ไขความปริศนาธรรม จาก มหากาพย์ไซอิ๋ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย หนึ่ง99999, 23 มีนาคม 2009.

  1. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    [​IMG]


    เดินทางไกลกับไซอิ๋ว
    วิเคราะห์ปริศนาธรรมจากมหากาพย์ไซอิ๋ว
    โดย : เขมานันทะ
    จัดพิมพ์โดย : กองทุนวุฒิธรรมเพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม



    จขบ.กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ค่ะ...
    เพิ่งจะเริ่มเตาะแตะไปไม่กี่หน้า แต่ก็อยากจะเล่าเสียแล้ว


    หนังสือเล่มนี้ได้รับเป็นธรรมะบรรณาการมาจากมือท่านผู้ประพันธ์เองเมื่อหลายปีมาแล้ว
    แต่ความหนาของหนังสือก็ทำให้ผัดผ่อนอยู่เรื่อยไป...


    มาในช่วงนี้ มลภาวะทางอารมณ์ก่อเกิด จำต้องหาอะไรมาขจัดปัดเป่า จึงหยิบหนังสือเล่มนี้ลงมาปัดฝุ่น
    แล้วค่อย ๆ และเล็ม...ทีละหน้า ทีละหน้า อย่างตั้งใจ


    นับตั้งแต่ "คำนิยม" ไปเลยทีเดียว...
    มา"เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" ไปพร้อม ๆ กับดิฉันนะคะ




    [​IMG][​IMG][​IMG]




    คำนิยมโดย ล.เสถียรสุต


    ไซอิ๋ว เป็นวรรณคดีที่มีคุณค่ามากเรื่องหนึ่งของจีน จัดเป็นงานชั้นเด่นหนึ่งในเจ็ดเรื่อง เช่นเดียวกับ สามก๊ก และ ซองกั๋ง
    เรื่องสามก๊กนั้นแปลเป็นไทยได้ไพเราะชวนอ่าน แต่ซ้องกั๋งและไซอิ๋ว ซึ่งฉบับจีน ภาษาดีมาก
    น่าเสียดายว่าแปลเป็นไทย แล้วไม่อาจรักษาความดีของต้นฉบับไว้เพียงพอ
    ทำให้เรื่องไซอิ๋วนี้กลายเป็นเรื่องอ่านเล่น ไม่เป็นที่สนใจเท่าที่ควร


    ในเชิงวรรณกรรมนั้น ผู้รจนาจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าพบว่าไซอิ๋ว มีคุณค่าในทางภาษา เพราะได้เก็บรวบรวม คำพูดที่เป็นคำคมของสามัญชนที่พูดกันในปักกิ่ง อันเป็นภาษาพูดที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะคำพูดของเห้งเจีย ซึ่งมักเอ่ยคำพูดอันคมคายขึ้นมาประกอบด้วยเสมอ
    ซึ่งหากสุขภาพอำนวยให้ทำได้ ข้าพเจ้าก็เคยตั้งใจจะคัดคำแหลมคมเหล่านี้ออกมา เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาอยู่เหมือนกัน


    ในด้านการแต่งนั้น ท่านผู้รจนาก็สามารถสร้างและสื่อแสดงบุคลิกลักษณะเด่นของตัวละครเอก คือ เห้งเจีย โป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋งซึ่งแตกต่างกันออกมาได้ดี


    กล่าวคือ เห้งเจียมีลักษณะขี้โมโห และมีความเฉลียวฉลาด
    หมูตือโป๊ยก่ายมีความโลภ และมักมากในการกิน
    ซัวเจ๋งมีความโง่ซื่อเป็นเจ้าเรือน


    แม้ชื่อก็ตั้งได้ตรงกับบุคลิกของตัวละคร
    อย่างเช่นเห้งเจียนี้ แปลว่า นักปฏิบัติ คือถ้าโกรธมากก็ต้องปฏิบัติให้มาก เพื่อควบคุมความโกรธ
    โป๊ยก่ายมีความโลภต้องเอาศีลแปดมาควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสไว้
    ส่วนซัวเจ๋งนี้โง่ก็ต้องเอาปัญญาเข้ามานำทาง


    รวมศีล สมาธิ ปัญญา ของทั้งสามนี้เข้าก็เป็นทางไปสู่ความหลุดพ้นได้
    ส่วนพวกปิศาจก็เป็นบุคลิกลักษณะจิตใจชนิดต่างๆ ของคนเช่นกัน


    การตีความปริศนาธรรมใน ไซอิ๋ว เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะมีเค้าให้ทำได้อยู่เหมือนกัน แต่การตีความให้ได้ความหมายทุกจุด ตลอดทั้งเรื่องอาจจะเป็นสิ่งสุดวิสัย เชื่อว่าท่านผู้เขียนคงมีหลักในการแต่ง คือเป็นเรื่องของการจัดการกับความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมมากเข้า กิเลสเหล่านี้ก็จะจางคลายหายไป กลายเป็นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา


    แต่อย่างไรก็ดี คนที่อ่านไซอิ๋วโดยมาก มุ่งเอาความเพลิดเพลินสนุกสนานและเอาประโยชน์ทางภาษาบ้าง
    ไม่ค่อยมีใครอ่านอย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องที่เอาของใหม่ไปปนไว้ในของเก่า
    คนอ่านโดยมากเป็นคนรุ่นเก่า เดี๋ยวนี้ก็คงหาคนอ่านยาก
    เพราะการเดินทาง ไปเจอปิศาจแล้วๆ เล่าๆ บางทีก็รู้สึกซ้ำๆ ซากๆ
    คนที่ไม่มองเห็นความลึกซึ้งเป็นปริศนาธรรม ก็อาจจะเบื่อ


    ในการอ่านหนังสือชุดใหญ่ๆ เช่นนี้ ที่จริงตามตำราท่านให้อ่านโดยตลอดเที่ยวหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเลือกอ่านเฉพาะตอนที่ดีอย่างพินิจพิเคราะห์
    มันอาจจะไม่ดีวิเศษหมดทั้งเล่ม
    แต่บางตอนก็อาจมีการเจรจาคมคาย และมีการบรรยายดีมาก
    เป็นประโยชน์แก่การศึกษาในทางภาษามาก
    บางตอนก็อ่านสนุก โดยเฉพาะตอนต้นของไซอิ๋ว
    เมื่อพระถังซัมจั๋งพบกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋งนี้เขียนได้สมจริงดี
    อย่างเช่นตอนออกเดินทาง พระถังซัมจั๋งไม่มีน้ำ
    เห้งเจียก็อาสาไปขอน้ำให้ ต้องไปขอกับพวกเซียนในลัทธิเต๋า
    เห้งเจียบอกว่าไม่เป็นไร ตนจะพูดจนให้พวกนั้นยกบ่อน้ำให้ตนใช้ไปตลอดทางจนถึงอินเดียเลยทีเดียว แต่พอเข้าไปขอจริงๆ ก็ถูกพวกนั้นเอาดาบไล่ออกมา เพราะเขาเห็นว่า แต่งตัวเป็นพระทางพุทธศาสนา


    นี้ก็น่าหัวเราะ ที่เห้งเจียทำไม่สำเร็จอย่างที่คุยโม้ไว้
    อย่างโป๊ยก่ายนั้นก็เอาแต่จะกินท่าเดียว เห็นบุคลิกเล็กๆ น้อยๆ ได้ชัดเจนดี


    ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของ ไซอิ๋ว คือ สามารถเอาเรื่องที่มีเค้าความจริง แต่ไม่ค่อยมีใครคิดและมองมาเขียนได้เป็นเรื่องเป็นราว
    อย่างเรื่องเดินทางไปอินเดียนั้น ที่จริงผู้แต่งเป็นผู้รู้ประวัติศาสตร์ดี และไม่ได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ มุ่งเขียนให้อ่านเพลิดเพลิน และก็เขียนได้ดีจริงๆ อุดมการณ์ และจินตนาการที่ท่านคิดขึ้นมานั้นก็นำเสนอได้ดี อย่างเช่นในเรื่องภูเขาที่มีไฟใหม้อยู่ตลอดเวลา ภูเขานี้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ที่แถบภูเขาอัลไตตาด ทางตะวันตกจนสุดเขตของจีน เป็นภูเขาที่ร้อนจัดเดินผ่านเกือบไม่ได้


    เรื่อง ไซอิ๋ว นี้คงได้รับอิทธิพลจากรามายณะของอินเดีย
    เวลานั้นจีนได้รับพุทธศาสนาแล้ว และมีวรรณคดีต่างๆ เช่น ชาดก หรือ อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งทำให้จีนมีความคิดในทางเอาอภินิหารมาใช้ด้วย เรื่องแปลงกายเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เห้งเจียแปลงเป็นแมลงวันนั้น จีนคงได้รับมาจากทางอินเดียแน่นอน เพราะจีนไม่เคยมีความคิดอย่างนี้ แต่อินเดียเก่งมาก
    การรับอิทธิพลนี้เข้ามา ก็นับว่าเป็นประโยชน์คือทำให้วรรณคดีมีสีสันหลากหลายขึ้น การมีจินตนาการแทรกทำให้อ่านสนุก และต้องชมว่าผู้แต่งก็แทรกได้ดีมากด้วย น่าคิดน่าวิจารณ์


    ในทางธรรมะ บางตอนก็มีประโยชน์มาก อย่างเช่นการเดินทางไปถึงไซที(อินเดีย) แล้วได้พระไตรปิฎกเปล่า ไม่มีตัวหนังสืออยู่เลย
    นี้ก็หมายความว่าพระสัทธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่ใช้คำพูด ต้องมาจากการปฏิบัติและเข้าถึงจิตใจจริง ๆ แต่ว่าคนยังต้องการคำพูดที่เข้าใจได้ ดังนั้น พระถังซำจั๋งจึงต้องขอเอาฉบับที่มีตัวหนังสือกลับไปเมืองจีน


    ในประวัติศาสตร์นั้น พระถังซัมจั๋งนั้นได้แปลคัมภีร์มากมาย
    เพราะภาษาอินเดียท่านก็รู้ดี ภาษาจีนท่านก็รู้ดี จึงอ่านเองแปลเอง ได้
    แต่ก่อนหน้านี้มีการแปลเหมือนกัน แต่ต้องผ่านล่าม ๓ - ๔ คน ฉบับที่ท่านแปลจึงถือได้ว่าเป็นฉบับแปลใหม่ แต่ก็อ่านยาก บางทีอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะท่านใช้ไวยากรณ์สันสกฤต ไม่ใช้ไวยากรณ์จีน


    เคยมีเรื่องปรากฎว่า มีประโยคหนึ่งมีอักษร ๗ ตัวเท่านั้น
    แต่ท่านพิจารณาตั้งหลายปีกว่าจะลงเอยว่าจะแปลอย่างไรดี
    เรียกว่าเป็นผู้ทำงานละเอียดมาก ยากจะหาคนเปรียบได้


    มีเกร็ดที่ลูกศิษย์เขียนเล่าไว้ในประวัติของท่านว่า พระถังซัมจั๋งเคยบวชมาแล้ว ๗ ชาติ มีสมณสารูปดีมาก เวลานั่งก็นั่งตัวตรง ไม่เอียง ไม่พิงอะไร
    แล้วที่แปลกที่สุดคือ ไม่มีใครเคยเห็นท่านหาวเลย อยู่ดึกเท่าไรก็ไม่หาว สมาธิดีมาก เมื่อยามท่านตาย เขาเล่าว่าท่านหกล้มและท่านมีโรคคล้ายรูมาติสซั่ม จากการตรากตรำเมื่อไปอินเดีย โรคก็ลุกลาม ท่านตายตั้งแต่อายุไม่มาก นัก สัก ๕๙ -๖๐ ปีเท่านั้นเอง
    แต่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนและทำงานทางคัมภีร์ไว้มาก
    ระหว่างผจญภัยไปอินเดียก็อดๆ อยากๆ ลำบากมาก ประวัติของท่านนับว่าน่าศีกษา แม้บางตอนจะดูมหัศจรรย์เกินไปสักหน่อยก็ตาม


    รวมความว่าหนังสือ ไซอิ๋ว รวมทั้งเรื่อง พระถังซัมจั๋ง นี้เป็นหนังสือดี ที่จะชักจูงให้คนสนใจในพุทธศาสนาได้ ท่านผู้รจนาไซอิ๋ว ต้องเป็นผู้มีความรู้ทางพุทธศาสนาดีมาก และยังมีฝีมือในทางวรรณศิลป์ด้วย ท่านไม่ได้ตั้งใจเขียนให้เป็นตำราประวัติศาสตร ์หากเจตนาจะให้อ่านสนุกและมีความหมายในทางธรรมะบ้าง นับเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าน่าอ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งทั้งปัญญาชน และ ปัญญาอ่อนสามารถอ่านได้ แต่ใครจะได้รับอะไร ก็ขึ้นอยู่กับวินิจฉัย เจตนาในการอ่าน และภูมิปัญญาของผู้อ่านนั้นเป็นสำคัญ
    ใครอ่านอย่างไร ก็ย่อมได้อย่างนั้น



    ล.เสถียรสุต






    [​IMG][​IMG][​IMG]




    คำนิยมโดยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


    อ่านไซอิ๋ว


    ได้เดินทางไกลกับไซอิ๋ว
    ลิ่วลิ่วล่องไปในแดนจิต
    มากมีมายาสารพิษ
    มากฤทธิ์ร้อยพันสารภัย


    บางครั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
    นานาความอยากมักได้
    คอยตั้งแต่จะเอาเข้าไป
    เท่าไรเท่าไรไม่เคยพอ


    บางครั้งรั้นโลดโดดดุ
    ราวไฟปะทุติดต่อ
    ทำลายไม่ยั้งไม่รั้งรอ
    เก่งกาจจริงหนอนะใจเรา


    บางครั้งงมเงื่องเซื่องซึมเซ่อ
    ละเมอเพ้อบ้าพาขลาดเขลา
    มืดมนหม่นมัวมั่วมึนเมา
    จับเจ่าจ่อมจมจนจำเจ


    ถอยหลังนั่งยามตามดูจิต
    เห็นฤทธิ์เห็นรอยกำหราบเล่ห์
    เห็นภูมิปัญญามาถ่ายเท
    เสน่ห์ผู้รู้ผู้ตีความ


    เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
    พฤ. ๒ พ.ย. ๒๕๓๒



    [​IMG]




    หมายเหตุจขบ.



    หนังสือเล่มนี้ที่มีอยู่ในมือเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรมเพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม ยังใช้ชื่อเดิมของหนังสือคือ "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว :วิเคราะห์ปริศนาธรรมจากมหากาพย์ไซอิ๋ว" หากในการพิมพ์ครั้งที่สามและครั้งหลัง ๆ ต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น"ลิงจอมโจก" เพื่อเน้นเนื้อหาทางปัญญาให้มากขึ้น แต่จขบ.ชอบชื่อเดิมมากกว่า จึงชอยึดตามชื่อเดิมของหนังสือเล่มที่ตัวเองอ่านอยู่


    อนึ่ง นี่ไม่ใช่การรีวิวหนังสือ หากแต่เป็นการ "บอกต่อ" โดยจะพยายามเก็บเกี่ยวเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้มาถ่ายทอด (ถ้าเป็นไปได้) ตั้งแต่ต้นจนจบ จะของดเว้นการวิเคราะห์วิจารณ์ใด ๆ นอกเหนือไปจากที่ท่านผู้ประพันธ์ได้ "ไขความ" ไว้ค่ะ


    ถ้าท่านเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้น่าสนใจ ก็ขอเชิญติดตาม...เดินทางไปพร้อม ๆ กับจขบ.ได้ค่ะ

    ก่อนการเดินทาง เราก็ต้องมาทำความรู้จักกับผู้นำทางก่อนนะคะ...ในการอ่านหนังสือแต่ละเล่ม หน้าแรกเลยที่จขบ.จะอ่านก็คือคำนำ ...เพราะคำนำจะเป็นตัวช่วยในการทำความเข้าใจกับเนื้อหาภายในหนังสือได้เป็นอย่างดี

    และโดยเฉพาะหนังสือไขปริศนาธรรมจากมหากาพย์ไซอิ๋วนี้ คำเกริ่นนำของผู้ไขความมีความสำคัญมาก ทุกถ้อยคำมีความหมาย มีนัยยะจนไม่อาจจะย่นย่อเอาตามใจตัวเอง จึงขอคัดลอกมาทั้งหมด



    [​IMG]

    (ภาพปกหนังสือ"ลิงจอมโจก" ฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุด)




    คำนำผู้ประพันธ์ ในการพิมพ์ครั้งแรก

    ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือ ไซอิ๋ว เมื่อ ๒๐ ปีก่อน และได้อ่านหนังสือการ์ตูนอีกหลายครั้ง แต่ก็หาได้รับความรู้สึกแปลกหรือใหม่กว่าเดิมไม่ กล่าวคือก็เหมือนกับความรู้สึกของนายวรรรณ ตุลวิภาคพจนกิจ ผู้เกลาสำนวนแปลไซอิ๋ว ของนายติ่น ซึ่งท่านผู้นั้นได้แสดงความรู้สึกไว้ตอนท้ายเรื่องว่า ไซอิ๋ว เป็นเรื่องชนิด "แต่อยู่ข้างติดตลกหัวอกลิง เท็จกับจริงปนกันทั้งนั้นเอย " ทั้งนี้เพราะว่าช่วงเวลาในท้องเรื่องที่ผู้แต่งวางไว้นั้นไม่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ กล่าวคือแต่งให้หลวงจีนเหี้ยนจัง หรือ สมณะยวนฉ่าง เดินทางไปไซที(ถิ่นตะวันตกคือ ชมพูทวีป) แล้วเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าจนได้อาราธนาพระไตรปิฎกกลับสู่กรุงจีน ผู้ที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ย่อมทราบกันดีว่ากาลเวลาของพระพุทธองค์กับหลวงจีนเหี้ยนจังนั้น ห่างกันตั้งเกือบ ๑๐ ศตวรรษ กล่าวคือ หลวงจีนเหี้ยนจังได้เดินทางจากกรุงจีนในรัชสมัยพระเจ้าหลีซิบิ๋น หรือ พระเจ้าถังไทจงแห่งราชวงค์ถัง

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าใจไปว่าท่านผู้รจนาเรื่องนี้ต้องสะเพร่า หรือไม่เรื่องทั้งหมดก็เขียนจริงกับเท็จปนกันดังกล่าวแล้ว อีกทั้ง ไซอิ๋ว เป็นหนังสือรวมอยู่ในพงศาวดาร ซุยถัง ก็ยิ่งชวนให้เข้าใจว่า ถ้ากวีไม่บกพร่องก็แกล้งเขียนจนเหลิงเจิ้ง ตามแบบฉบับของการเขียนตำนานหรือพงศาวดาร ทั้งชื่อเมือง ชื่อตำบล ภูเขา ในเขตแดนไซที(ชมพูทวีป) นั้นก็ล้วนเป็นชื่อจีนเสียทั้งสิ้น จึงลงความเห็นว่าผู้แต่งนั่งหลับตาเขียนโดยเอาพระถังซัมจั๋ง ผู้มีเกียรติคุณเป็นตัวเอกไปตามความนึกคิด นายติ่นผู้แปลไซอิ๋วจากภาษาจีนเป็นภาษาไทยไม่ยินยอมให้นายวรรณแก้ไขสิ่งที่นายวรรณเห็นว่าผิดทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ นึกแล้วก็น่ากลัวหากว่านายติ่นยินยอม เพราะไซอิ๋วที่เป็นปริศนาธรรมที่วิเศษนั้น ก็คงจะถูกดัดแปลงทำลายเนื้อหาทางจิตวิญญาณเพราะการอันนั้น

    ท่านผู้แต่งได้ซ่อนเพชรพลอยไว้ ทั้งในแง่วรรณศิลปและส่วนลึกซึ้งทางจิตใจ ในคำสนทนาของเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง และพระถังซัมจั๋งกับทั้งตัวประกอบอื่น นี้โสดหนึ่ง ส่วนความเยี่ยมยอดนั้นกลับไปอยู่ที่โครงสร้างของการเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้นจนจบตามเนติธรรมเนียมแห่งการแต่งมหากาพย์

    หากพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้วจะพบว่า ไซอิ๋ว ได้รับอิทธิพลมาจาก รามายณะ ยวนฉ่าง(องค์จริงในทางประวัติศาสตร์) ได้กลับจากอินเดียหลังจากที่ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ถึง ๑๐ ปีกว่า พระตรีปิฏกแห่งราชวงค์ถัง ผู้เป็นยอดนักศึกษาคงจะเป็นภาชนะใหญ่ บรรทุกฮินดูธรรมและพุทธธรรมไปกำนัลแผ่นดินจีน ท่านผู้รจนาคงรับทราบถึงความวิเศษของมหากาพย์ของฃาวอินเดีย คือ มหาภารตยุทธ รามายณะ ฯลฯ แล้วคงเป็นเหตุบันดาลใจให้กวีจีนผู้นี้รจนาขึ้นบ้าง ดังที่เราเห็นได้ชัดว่า เห้งเจียนั้นถอดแบบมาจากหนุมานทุกประการ ข้อต่างอยู่ที่หนุมานของอินเดียนั้น เป็นอุปมาพลังแห่งภักตะ(ภักดี) ต่อองค์พระราม(คือ สัจจะ) ในการยกทัพไปช่วงชิงสีดา(อาตมัน) จากราวณะ(อหังการ) ซึ่งเป็นคติธรรมทางฮินดู รามายณะ ที่ท่านมหาโยคีวาลมิกิรจนาขึ้นนั้น เป็นการอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณที่ได้หุ้มเรื่องจริง คือประวัติของรามจันทราแห่งอโยธยา วาลมิกิได้แปลงให้รามจันทราเป็นสัจจะ เช่นเดียวกับหลวงจีนยวนฉ่างผู้ทรงเกียรติคุณได้ถูกแปลงเป็นขันติ เห้งเจียของจีนนั้นเป็นโพธิปัญญา โป๊ยก่ายนั้นคือศีล และซัวเจ๋งนั้นก็คือสมาธิ


    รามายณะ นั้นดำเนินเรื่องสงครามระหว่างสัจจะ(รามจันทรา) กับอหังการ(ทศกัณฐ์) เช่นเดียวกับมหาภารตยุทธ ที่กำหนดให้การเดินป่าเป็นความเป็นไปท่ามกลางของการปฏิบัติธรรม ส่วน ไซอิ๋ว ให้เป็นการเดินทางผ่านป่าทุรกันดาร ผจญภูติผีปีศาจนานา ทั้งสามมหากาพย์นี้เป็นการนำเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์มาห่อหุ้มใหม่ พร้อมกับดัดแปลงตัวละครให้เป็นคุณค่าทางศีลธรรม หรือโลกุตรธรรม วีรบุรุษเหล่านั้นมหากาพย์ได้ถุกปัดความเป็นคนออกไปสิ้น เหลือแต่ความเป็นทิพยลักษณะ(DIVINITY) สำหรับฮินดูธรรม และเป็นคุณธรรมหรือบารมีสำหรับพุทธธรรม


    มีอยู่หลายตอนที่ผู้แต่งหยิบมาจาก รามายณะ ตรงๆ เช่นใน รามายณะ หนุมานไปพบนางสีดาในสวน แล้วไม่สามารถอุ้มนางมาได้ เพราะจะเป็นมลทินแก่นาง(รามเกียรติไทย นิยมเรียกตอนนี้ว่า หนุมานถวายแหวน) ซึ่งแท้จริงมีความหมายมากกว่านั้น ซึ่งจะเฉลยรวมกับไซอิ๋ว ในตอนเห้งเจียตีลังกาไปหาพระยูไล แลัวไม่สามารถรับพระไตรปิฎกมาเมืองจีนได้นั่นเอง เพราะว่าต้องรอให้ปัญญาหรือโพธิจิตนี้ ได้มีบารมีอื่นสนับสนุน
    และที่สำคัญต้องผ่านการฆ่าปีศาจ นั่นคือชนะอุปสรรคต่างๆได้แล้ว จึงจะได้รับวิมุติ มิใช่ว่าจะเข้าถึงได้ด้วยสักแต่การ คิดๆ นึกๆ ตามแบบอย่างวิธีการของปรัชญา

    ใน ไซอิ๋ว ทั้งคณะต้องผจญปีศาจฉันใด พระรามก็ต้องจองถนนไปลงกาฉันนั้น ลำพังจะให้เห้งเจียเข้าถึงพุทธะก็ได้ แต่ไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ได้ เพราะยังไม่รู้อริยสัจตามที่เป็นจริง

    หรือ ตัวอย่างที่เราอาจจะเห็นได้ดีกว่า แม้ความรู้เรื่องสุญญตาหรือความว่างถูกต้องแล้ว แต่ยังต้องเป็นทุกข์กระสับกระส่าย เรื่องทั้งนี้เพราะว่านั่นยังเป็นเพียงความรู้เฉยๆ ยังหาใช่ญาณจักษุในอริยสัจไม่ ต่อเมื่อชีวิตผ่านการสู้รบกับภูติผีปีศาจแล้ว จึงจะเป็นสัจจะที่มั่นคงขึ้น การตีลังกาไปหาพระยูไลนั้น แม้จะเป็น "ฤทธิ์ " แต่เป็นสิ่งชั่วคราว นั่นคือจะทำเป็นเข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่นดื้อๆ พาลๆ นั้นไม่ได้ แต่การรู้จักพระยูไลแม้ด้วยการตีลังกาไปก็ยังเป็นหลักประกันที่แน่นอนว่า เห้งเจียไม่เคยหลงยึดถือหรือหลงกลปิศาจตนใหน เพราะได้รู้จักพุทธภาวะถูกต้องดีมาก่อนนั่นเอง ดังนั้นการตีลังกาไปหาพระยูไลเมื่อคราวอับจนนั้น ก็คือการทำให้ว่างจากความยึดมั่นด้วยอุปาทาน ก็พลันถึงพุทธภาวะ แม้เป็นการชั่วคราว ปีศาจคือกิเลสก็พ่ายแพ้ไปได้เช่นกัน
    ในตอนเห้งเจียสู้รบกับลักฮี้เกา(วิภวตัณหา)นั้น เห็นเค้าว่าพาลีรบสุครีพอยู่ชัดเจน ในส่วนอรรถะของปริศนาก็วิเศษตรงอุปมาว่า ความอยากเป็นพระอรหันต์เป็นภวตัณหา ปัญญาที่จะละภวตัณหา จึงสู้รบกันเอิกเกริก เพราะไม่สามารถแยกออกว่า ใหนเป็นปัญญา ใหนเป็นภวตัณหา จนพระยูไลต้องเสด็จไปตัดสิน


    ตอนปราบปีศาจไซท่อ(สิงโต) ของพระกวนอิมนั้น มเหสีของพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้รับเสื้อหนามพุงดอสวม ปีศาจจึงเข้าไกล้มิได้ ดูเค้าจะเลียน รามายณะ ตอนทศกัณฐ์จะเข้าไกล้สีดาก็ให้รุ่มร้อนดังเข้าไกล้ไฟ

    ที่เมืองปีเปี๊ยกก๊ก เห้งเจียแหวกอกให้ดูว่าไม่มีใจ นี้ในส่วนความหมายตามวิธีหรือตามทางแห่งมหายานนั้น มีความหมายวิเศษว่า "พระนั้นต้องไม่มีใจ" และในส่วนอิทธิพลหรือที่มา ยืมมาจากตอนที่หนุมานแหวกอกให้ทศกัณฐ์ดู ในคราวที่ทศกัณฐ์เกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวก ในใจหนุมานมีแต่ สีดา -รามเท่านั้น ส่วนพุทธะในใจของพระโยคาวจรหรือภิกษุ จะต้องมีความว่างจากตัณหาอุปาทาน


    นอกจาก ไซอิ๋ว หยิบยืมมาจากรามายณะแล้วยังมีเรื่องราวที่หยิบเอามาจากบันทึกการเดินทางของพระสมณะยวนฉ่าง(ตามทางประวัติศาสตร์) มาผสมผสานลงด้วย
    อย่างเช่นเหตุการณ์ตอนสมณะยวนฉ่างไปพบเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ ที่ท่านได้บันทึกไว้ก็ถูกนำมาใส่ไว้ ตอนหนอน ๙ หัว(มละ ๙)
    บันทึกเรื่องราวการตกแต่งประทีปอันงดงามที่เมืองหนึ่ง ได้กลายมาเป็นตอนปีศาจควายปลอมมาเป็นพระพุทธเพื่อขโมยน้ำมันจันทน์


    เมื่อพระสมณะยวนฉ่างถูกโจรปล้น ก็ถูกมาไว้ในไซอิ๋วหลายตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนหลวงจีนยวนฉ่าง(องค์จริงตามประวัติศาสตร์) บันทึกถึงการเดินทางที่ท่านนำพระคัมภีร์ ข้ามแม่น้ำสินธุแล้วเกิดเรือล่ม ทำให้อักขระเลือนหายไป จนท่านต้องเสียเวลาคัดลอกใหม่จนครบ ก็ถูกนำมาไว้ในไซอิ๋วใน ฐานะ "ธรรมที่คัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้" ซึ่งพอจะประมวลได้ว่า ไซอิ๋ว เป็นเรื่องอิงประวัติศาสตร์ผสมผสานกับรามายณะ ส่วนสำคัญที่สุดก็คือ ท่านผู้รจนาเป็นผู้แตกฉานรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพุทธธรรม เนื้อหาของพระสูตรมากมายถูกนำมาแทรกไว้ตลอด ทั้งเต๋า ทั้งพุทธ ทั้งธรรมเนียม ทั้งภาษิตโบราณ คลุกเคล้ากันไปอย่างน่าสนใจยิ่ง ผู้รู้ภาษาจีนเป็นอย่างดีผู้หนึ่งชี้ให้ข้าพเจ้าได้ทราบว่า แม้แต่ในแง่ภาษาที่แต่ง ก็มีความไพเราะลึกซึ้งยิ่งนัก ไซอิ๋ว จึงแพรวพราวไปด้วยคุณค่ารอบด้าน







    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ทุกสิ่งถูกแปลงเป็นคุณธรรมหมดสิ้น ฉะนั้นผู้อ่านที่หวังสุนทรียรสก็จะได้ในระดับหนึ่งดังกล่าวแล้ว ส่วนอรรถะหรือธรรมรสนั้น จำเป็นต้องทราบเนื้อหาอุปมาอย่างชัดเจนก่อน ความเยี่ยมยอดและวิเศษของ ไซอิ๋ว ที่ไม่เหมือนวรรณกรรมอื่นอยู่ที่ผู้อ่านจะต้องลืมความเป็นคนอย่างหมดสิ้น ไม่มีพระถังซัมจั๋ง ไม่มีหลี่ซิบิ๋น ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีลิงเห้งเจีย ไม่มีหมูโป๊ยก่าย ไม่มีเงือกซัวเจ๋ง มีแต่คุณะ หรือ คำที่ยืมชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์มาเรียกเท่านั้น มิฉะนั้นความที่ไซอิ๋ว นั้นซับซ้อนนั่นเองจะปกปิดอรรถรสเสียหมด แล้วท่านผู้อ่านเองจะเป็นฝ่ายลดระดับค่าของวรรณกรรมนี้ลง

    ขณะที่อ่านนั้นเรามักจะเผลอไปจากระนาบนี้ เพราะว่าพระพุทธองค์ที่ประทับอยู่ในวัดลุยอิมยี่นั้น ก็หาใช้พระพุทธเจ้าทางกายภาพไม่ แต่กลับเป็นพุทธภาวะ และดังนั้นขันติคุณแห่งชีวิต(พระถัง) ที่อาศัยโพธิจิต(เห้งเจีย) และบารมีอื่นประกอบสนับสนุน จึงได้บรรลุถึงพุทธภาวะ สมัยใดเห้งเจียไม่นำทาง ให้โป๊ยก่าย(ศีล) นำ คือจูงม้า(วิริยะ) โป้ยก่ายจะนำเข้ารกเข้าพง เข้าถ้ำผีจนถูกกักขัง และรอให้เห้งเจีย(ปัญญา) มาช่วยปลดปล่อยดังนี้ เป็นต้น
    แม้แต่เจดีย์ หาบห่อ ต้นไม้ ภูเขา ถ้ำ ลำธาร และอาวุธวิเศษต่างๆ ก็ล้วนเป็นความหมายทางธรรมทั้งสิ้น

    และที่ยิ่งไปกว่านั้น พระสงฆ์ก็หาใด้หมายถึงพระสงฆ์ไม่ กลับหมายถึงเจตสิกธรรม ในขณะที่อ่านไซอิ๋วเป็นปริศนานี้ จำเป็นต้องทำในใจให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว แล้วท่านจะพบกับความขบขันในปริศนาธรรมขั้นลึก ความขบขันทีโพธิปัญญาจะดูหมิ่นดูแคลนศีล หรือว่าโพธิปัญญาทะเลาะกับขันติที่มันเอาแต่จะทนฝ่ายเดียว มิได้เชื่อโพธิในการฆ่ากิเลส อรรถรสในปริศนาธรรมที่ไม่มีคน ไม่มีสัตว์นี้ช่างแสนสนุก ตรงที่ได้นึกทายหรือคาดการร์ว่าปีศาจตัวนี้คือกิเลสตัวไหนหนอ และปัญญาจะผ่านปีศาจได้อย่างไรหนอ เมื่อกระทำในใจเพื่อจะอ่านไซอิ๋วเช่นนี้ จะได้ความหรรษาในธรรมสโมธานอย่างลึกซึ้ง พร้อม ๆ กับความบันเทิง

    สรุปได้ว่าทุกสิ่งอยู่ในใจ ผู้ที่อ่านไซอิ๋วจะพบว่าการอ่านไซอิ๋วเป็นดุจการได้สนทนากับชีวิต ไซอิ๋ว จึงเป็นคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเท่าๆ กับความเป็นวรรณกรรม เพราะท่านผู้แต่งได้รวบรวมเอาเนื้อหาในพระสูตรไว้หลายสิบสูตรชื่อของถ้ำปีศาจและชื่อของภูเขาและพรรณไม้รอบๆ ถ้ำจะเป็นกุญแจไขข้อธรรม น่าเสียดายว่า ไซอิ๋ว ฉบับไทยนั้นไม่คงเส้นคงวาในการแปลชื่อเท่าใดนัก

    ข้าพเจ้าได้เคยเข้าใจคลาดมาหลายระดับ แม้แต่เคยเข้าใจว่า เห้งเจีย
    โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งถ้าพิจารณานิสัยของสัตว์ทั้งสามก็คงจะใกล้เคียงมาก ครั้นต่อมาครูของข้าพเจ้าได้ชี้ขึ้นว่า ที่แท้สัตว์ทั้งสามนั้นคือ ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยุ่นั่นเอง โพธิก็ยังเถื่อน ศีลก็ยังทุศีล และสมาธิก็ยังซึมกะทืออยู่ ครั้นต่อมาเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ประชุมพร้อมกันแล้ว ถึงเขตโลกุตระ ทั้งสามตัวเริ่มเข้าร่องเข้ารอยกันได้ หากจะถือว่าทั้งสามสัตว์ คือ ราคะ โทสะ โมหะแล้ว พระถังซัมจั๋งจะอาศัยไปไซที( นิพพาน) ได้อย่างไร ดูขัดเขินกว่าที่จะลงเห็นว่าเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังเป็นโลกียะอยู่ ต่อมาเมื่อได้พิจารณาถี่ถ้วน หรือว่าท่านผุ้อ่าน ไซอิ๋ว จนจบเรื่องนั่นแหละ จึงจะมีความเห็นร่วมกับข้าพเจ้าเป็นแน่


    จนบัดนี้ข้าพเจ้ายังหาได้เข้าใจในปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ได้ทุกแง่ทุกมุม อันเกิดจากอัจฉริยภาพของท่าน โหงว-เซ่ง-อึง อย่างเต็มที่ไม่ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ยังมีส่วนลึกซึ้งที่ได้มองข้ามไปอีกมาก กระนั้นเท่าที่ทราบความหมายแล้ว ก็ยังเป็นเหตุให้รวบรวมอุตสาหะแก้อรรถไซอิ๋ว ตามกำลังสติปัญญา โดยย่อเรื่องพอเป็นเค้าแล้วเฉลย จึงขาดรสสนุกไปมาก ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านได้อ่านต้นฉบับไซอิ๋วมาบ้างแล้ว ก็คงจะได้ประโยชน์จากการเฉลยอรรถนี้มากยิ่งขึ้น และข้าพเจ้าคงจะได้บุญกุศลบ้าง จากการพยายามพิสูจน์ตามกำลังอันน้อยนิด ว่าวรรณกรรมในระนาบนี้ ในวิธีการเขียนชนิดนี้ เป็นแก่นสารของวรรณกรรมแห่งเอเชียที่เคยรุ่งโรจน์ทางนามธรรม และได้เสื่อมคลายลงเพราะอำนาจความคลั่งไคล้ในวัตถุในปัจจุบันนี้

    ทุกวันนี้เราต้องยอมรับกันว่า วรรณกรรมระดับมหากาพย์หาได้ยากนัก เพราะกวีนิพนธ์ใหม่ ๆ ล้วนถูกสร้างออกมาจากนักเขียนที่เป็นทาสอายตนะ แม้ว่าวรรณกรรมใหม่ ๆ จะเกิดมาจากสติปัญญา แต่เป็นสติปัญญาที่อยู่ในระนาบสามัญ ซึ่งยังไม่พ้นอิทธิพลของอามิส

    อาเธอร์ วัลเลย์ กวีชาวอังกฤษได้แปลและเรียบเรียงเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ และเขียนนำว่าเป็นเรื่องสนุกดังเรื่อง เดวี่ครอกเก็ต พร้อมกันนั้นเขาได้ชี้ช่องว่า ไซอิ๋วเป็นเรื่องลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ชาวตะวันตกมักจะรู้จักไซอิ๋วในนาม "Monkey god" มากกว่า "ไซอิ๋วกี่" ซึ่งหมายถึง การเดินทางไปตะวันตก(Journey to the West) ซึ่งหมายถึงอินเดีย และในส่วนลึกหมายถึงพระนิพพาน


    เขมานันทะ
     
  2. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    โห...สนุกค่ะ
    อ่านแล้วติดพันไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว...
    ล้ำลึกและแยบคายมาก ๆ

    ขอสารภาพว่าจขบ.ไม่เคยอ่านไซอิ๋วมาก่อน ได้แต่ดูหนังทีวี ซึ่งดูแล้วก็เห็นแต่เรื่องราวของการเดินทางผจญภัย ต่าง ๆ นานา พอจะเข้าใจแล้วว่าเป็นปริศนาธรรม หากก็ไม่ได้คิดตามไปลึกซึ้งนัก รับเฉพาะส่วนที่เป็นความบันเทิงเสียมากกว่า จนเมื่อได้ลงมืออ่านการวิเคราะห์ ไขปริศนาธรรมจากไซอิ๋วเล่มนี้นี่แหละ...จึงได้กระจ่างแจ้งในใจว่า...นี่คือสุดยอดวรรณกรรมโดยแท้ทีเดียว

    บล็อกนี้มายาว ๆ อีกแล้ว อย่างที่บอกไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้ว่า...
    มันยากที่จะย่นย่อแล้วให้ได้ใจความจริง ๆ



    [​IMG]



    คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ ๒

    กวีโหงว-เซ่ง-อึงเขียนไซอิ๋ว เมื่อเขาอายุ ๖๐ ล่วงแล้ว ความสำเร็จและล้มเหลวในชีวิตของเขาเอง และการศึกษาพุทธธรรมอีกทั้งการเฝ้าสังเกตต่อความเป็นไปของชีวิต ทำให้สะท้อนออกมาใน ไซอิ๋ว ได้อย่างลึกซึ้งและแยบคาย แม้ต้นเค้าไซอิ๋วกี่ก็คือ รามายณะ ก็ตาม หากแต่มีความผิดแผกกันมาก ไม่ว่าในทางรูปลักษณ์แห่งวรรณศิลป์และสัญลักษณ์


    ......................................

    โครงสร้างของการเดินทางในภายใน จากเมืองมนุษย์ของวีรบุรุษหาญกล้า อันหมายถึงศรัทธาหรือสติปัญญา ฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ จนลุถึงสรวงสวรรค์ได้ ภูติผีปิศาจนั้นที่แท้คือภาคหนึ่งของเทพ และการพบอุปสรรคนั้นเป็นแผนการของสวรรค์ที่จะทดสอบน้ำใจของวีรบุรุษ การเดินป่าของรามา การสร้างสะพานพันธะ(เสตุพันธ์) ไปลงกา การเดินป่าของพี่น้องปาณฑพใน มหาภารตะ การลุถึงป่ามืดครึ้มไร้เดือนดาว การลุถึงพระพักตร์มหาเทพ ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือภาพอันกวีรจนาขึ้นด้วยพจน์อันไพเราะวิจิตรอลังการ


    .........................................

    กลเม็ดเด็ดพรายของผีใหญ่ๆ ที่จำแลงมาเป็นเทพ มาเป็นพระพุทธเจ้าในตอนท้ายเรื่องไซอิ๋ว นั้นนับว่าลึกซึ้งและคมคาย มันมาเป็นเทพเป็นธรรม ทั้งที่แท้จริงเป็นปีศาจร้าย ยิ่งไกล้จบยิ่งดุและเดือด สติปัญญาเห็นสุญญตา(หงอคง) หรือ โพธิต้องรบหนัก ยิ่งปีศาจแปลงมาเป็นเห้งเจียเองด้วยแล้ว ยิ่งยากจะแก้ไข ต้องสำรวมจิตเป็นหนึ่ง เห็นสองจิตรบกันจนกว่าโพธิ(เห้งเจีย-หงอคง = ปัญญาเห็นสุญญตา) ได้จำแลงกายเป็นแมงหวี่ ชำแรกเข้าไปในท้องปีศาจ แล้วจึงกำราบมันอยู่ นั่นก็คือเห็นกิเลสด้วยปัญญาชนิดชำแรกแทรกซึม กล่าวคือ เป็นอันเดียวกับกิเลส กิเลสหยาบนั้นละได้ง่ายด้วยตะบองของเห้งเจีย แต่กิเลสชั้นสูงนั้นไม่อาจทุบตีมันให้ตายได้ ไซอิ๋วบอกเราว่า ต้องรู้เข้าไปถึงเนื้อในของกิเลส แล้วจะพบว่ามันไม่ใช่อะไรอื่น มันคือพาหนะของโพธิสัตว์จำแลงมา โพธิปัญญาล่วงรู้ถึงใหนเรื่องราวก็ยุติลงถึงนั้น

    ผมทึ่งในอรรถะของ ไซอิ๋ว เป็นอย่างยิ่ง ความฉลาดสามารถของ โหงว-เซ่ง-อึงผู้ประพันธ์นั้น นับว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ข้อสำคัญการนิพนธ์เรื่องยาวเป็นบทกวี ทั้งบรรจุสารัตถธรรม ขนบประเพณีมากมายไว้เช่นนี้ และยังแทรกอารมณ์ตลก อันเป็นปฏิภาณของกวีเองด้วย ย่อมยากยิ่ง


    ...........................................

    "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ที่พิมพ์ครั้งแรกนั้น แม้มีเวลามากในการกลั่นกรอง แต่ก็ไม่แน่ใจอยู่หลายสิ่ง และประการสำคัญที่สุด คือ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเข้าใจ แม้มีผู้เรียกร้องต้องการอยู่ ก็ยังไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำออกมาใหม่
    ต่อเมื่อวันเวลาผ่านมา ๑๐ ปีเศษ ความเข้าใจใหม่ๆ เกิดขึ้นจากรากฐานเดิม ช่วยให้ชัดเจนขึ้น ประกอบกับ พระดุษฎี เมธงฺกุโร แจ้งมาว่า จะช่วยให้อนุเคราะห์ในการจัดพิมพ์ครั้งใหม่ จึงได้ปรับปรุงเนื้อหาตัดตอนบางส่วนออกเพื่อความเหมาะสม
    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในความปรารถนาดีของพระดุษฎี ทั้งผู้ช่วยเหลืออื่น รวมทั้งสำนักพิมพ์ด้วย.



    เขมานันทะ
    ๕ มิถุนายน ๒๕๓๑





    [​IMG]




    บุพพภาค ก่อนเดินทาง

    ซัมเอี๋ยมเกาตัย ซั้นดุนเซง
    ~ อากาศเกื้อกูลกระทำให้เกิดสัตว์ต่างๆ

    เซียมเจียะเปา ฮ้ามยักง้วยเจ๋ง
    ~ ศิลาเทวดาครอบคลุมรับแสงอาทิตย์และพระจันทร์
    กระทำให้เป็นพญาลิงเผือก ขาวบริสุทธิ์ มีกำลังมาก

    เจียวมึงห่วยเก๊า ฮ่วนไต้เต๋า
    ~ อาศัยไข่เป็นรูป เกิดลิงหินเป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล

    เก๊ทามี แส่พ่วยตันเซ้ง
    ~ สมมติชื่อแซ่นั้น เพื่อสำเร็จแล้ว

    หลายกวยปุดเซ็ก ยินโป้เสียง
    ~ พิจารณาข้างในไม่รู้ เพราะไม่มีรูปและลักษณะ

    งั่วฮะเมงจาย จวกฮู่เฮ้ง
    ~ ประกอบภายนอก รู้แจ้งทำเป็นรูป

    เละต๋ายนั่งนั้ง กายเซอกือ
    ~ ต่อมาทุกๆ คน ต้องอาศัยลิงตัวนี้

    แชอวงแชเซี๊ยะ ตั้วตุ๊งฮ้วน
    ~ เป็นเจ้าพญาอยู่ ณ ที่นั้นฯ




    [​IMG]



    หงอคง
    (ความเป็นมา สมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิ)

    ฟ้า-ดิน สร้างลิง(โพธิ)ขึ้นจากหิน ให้เป็นลิงสามัญ แล้วค่อยๆ เติบโตกล้าแข็งขึ้น จนลิงบริวารยกขึ้นเป็นไต้อ๋อง ชื่อมุ้ยเกาอ๋อง เป็นลิงเผือกขาวผ่องบริสุทธิ์ ซึ่งมีความหมายว่า โพธิจิตนั้นบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติแล้ว ทุกคนต้องอาศัยลิงตัวนี้ เพราะว่าโพธิจิตนี้เป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล ดังโศลกที่ท่านกวีรจนาไว้

    ต่อมาหงอคง(เห้งเจีย) ประสงค์จะพ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย จึงได้สืบหาธรรมวิเศษ พญามุ้ยเกาอ๋องได้ไปถึงไซที(อินเดีย) กลับไม่พบผู้รู้ธรรมวิเศษเลย จึงได้ย้อนมาเกาะลังกา แลได้พบท่านผู้วิเศษคือ โผเถโจ๊ซือ (สังฆนายกสุภูติ) จึงได้เรียนปริยัติธรรม

    ตอนขอเรียนปริยัติธรรมนั้น มุ้ยเกาอ๋องปฏิเสธที่จะเรียนเดียรัจฉานวิชาต่างๆ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ต้องการแต่ความเป็นอมตะ
    ในที่สุดจึงได้เรียนธรรมหฤทัย จนท่องได้ขึ้นใจ อาจแปลงกายได้ ๗๒ อย่าง ( เท่ากับสภาวธรรม ๗๒ โป๊ยก่ายแปลงกายได้ ๓๖ หงอคงมากกว่า ๒ เท่า กำลังของปัญญากับศีลนั้นแปลงได้ ๑๐๘ เท่ากับจำนวนตัณหา ๑๐๘ ส่วนซัวเจ๋ง (อนันตริกสมาธิ) นั้นแปลงไม่ได้เลย)

    ต่อมา เมื่อหงอคงได้กลับมาถึงถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง(ถ้ำม่านน้ำ)เดิม จึงได้ทราบว่าระหว่างที่ตนแสวงหาความรู้อยู่นั้น ปีศาจหุนซีหม้อกุน(หุนซีหม้อกุน = ยุ่ง + โลก + สมัย) ได้มาแย่งชิงถ้ำและจับบริวารลิงไปกักไว้ที่ถ้ำผี และผี(อวิชชา) นี้มันมาเหมือนพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะไกล้ไกลสักเท่าใด หงอคงตามไปฆ่าปีศาจตาย แล้วแย่งอาวุธมาได้ด้วยถอนขนเป็นลิงน้อยหลายร้อยตัวเข้ารุมจับ (หงอคงมีขนอยู่ ๘๔,๐๐๐ เส้น ทุกเส้นอาจแปลงเป็นลิงได้ นี่คือปริยัติใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์) โพธิใช้สุตพละ(กำลังที่เกิดจากการฟังการเรียน) ฆ่าปีศาจคือความไม่รู้(อวิชชา)ในปริยัติ และในที่สุดจึงได้เป็นใหญ่ในหมู่ปีศาจทั้งหลาย และได้เพื่อนผี รวมทั้งตัวเองเป็น ๗ พญาผี

    เรื่องตอนได้อาวุธคือตะบองวิเศษนั้นเป็นดังนี้ ซึงหงอคงคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ต้องการอาวุธคู่มือที่เป็นเหล็ก แต่เดิมเป็นง้าว ซึ่งเป็นอาวุธของปีศาจหุนซีหม้อกุน ต่อมาได้อาวุธ ๑๘ อย่าง ล้วนเป็นเหล็ก (อาวุธ ๑๘ อย่าง คือความเข้าใจชัดถึงมูลธาตุ ๑๘ คือ อินทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อารมณ์ ๖ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ และ วิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ ซึ่งความเข้าใจเรื่องนี้เป็นดุจอาวุธเหล็ก มีกำลังมากกว่าอาวุธเดิม)

    ซึงหงอคงดำริถึงอาวุธวิเศษกว่าเหล็กอีก จึงได้ดำลงในลำธาร ในถ้ำของตนที่ทะลุถึงบาดาล(เส้นล้ำลึกของใจ) ดำลงไปถึงทะเลแห่งทิศตะวันออก เขตแดนของพญาเล่งอ๋อง อาวุธ คือตะบองวิเศษนั้น จมอยู่ใต้บาดาลทางทะเลตะวันออก

    หลังจากคัดเลือกอาวุธชั้นเยี่ยมใต้บาดาล จากการเสนอให้ของพญาเล่งอ๋องเจ้าแห่งทะเลตะวันออกแล้ว หงอคงมิได้พอใจเพราะน้ำหนักเบาไป จึงถูกแนะให้ไปหาตะบองกายสิทธิ์ ยืดหดได้ตามประสงค์ มีขื่อเป็นอักษร ๕ ตัวว่า ยู่อี่กิมซือเป๋ง (ตามใจ+ทอง+ปลอก = ตะบองปลอกทองได้ดังใจ) เมื่อจะให้ใหญ่ก็ได้ดังใจ จะให้เล็กเหน็บไว้ในรูหูก็ได้

    นอกจากตะบองแล้ว ยังมีเครื่องแต่งกายวิเศษที่หงอคงบังคับขู่ตะคอกเอามาจากพญาเล่งอ๋องแห่งคาบสมุทรอื่น คือ เกือกวิเศษใส่แล้วเหาะได้ เกราะทองคำป้องกันอาวุธ หมวกทองคำทำด้วยปีกหงส์แคล้วคลาดจากอันตราย (ปริศนาธรรมเครื่องแต่งกายนี้ตรงกันกับสุวรรณสังข์ชาดก เกราะ คือ รูป เงาะ เกือกวิเศษ คือ เกือกใส่แล้วเหาะได้ ส่วนหมวกนั้น สุวรรณสังข์กลับเป็นไม้เท้า )

    ซึงหงอคงได้อาวุธพิเศษ ก็เป็นเหตุให้ทั้งบนพื้นดินและสวรรค์ สั่นสะเทือนด้วยอัสมิมานะ หงอคง(โพธิจิตที่ยังเถื่อนอยู่) ได้ลงไปตีตะลุยนรก รุกรานเงี่ยมฬ่ออ๋องทั้ง๑๐ (มัจจุราช) และลบบัญชีตายแก่ตนและบริวารเสียสิ้น หมายถึงโพธินั้นไม่มีวันตาย หรือสภาวะที่อยู่เหนือความตาย

    พญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง(มัจจุราช) และพญาเล่งอ๋อง(ผู้เป็นใหญ่ในทะเล) ได้ยื่นฎีกาต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ ในความเถื่อนของหงอคงที่ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของสิ่งไหน แม้ความเกิด -ตาย ไม่ยอมรับผลของกรรมใดๆ จนเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องประชุมเทพยดาเพื่อปราบปรามหงอคง

    อุบายในการปราบหงอคงนั้นก็คือ ทดใช้พลังเถื่อนของโพธิให้มาสู่ฝ่ายสวรรค์(บุญ) แทนการสมาคมกับภูตผี (ถึงตอนนี้ ท่านกวีได้ล้อเลียนว่า ปัญญาหรือโพธิ(ในระดับที่ยังเถื่อนอยู่) ที่เชี่ยวชาญแตกฉานเหนือสิ่งใดในโลกแล้วนั้น เหมาะสำหรับเป็นแม่กองเลี้ยงม้าบนสวรรค์เท่านั้น)
    หงอคงถูกล่อด้วยตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน(เลี้ยงม้า-กวาดขี้ม้า) ครั้นรู้ความที่ตนถูกลวงแล้ว อัสมิมานะก็พลุ่งขึ้น หงอคง(โพธิ) ได้อาละวาด ทำลายบัญชีข้าวของและเหาะกลับมาอยู่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องตามเดิม โพธิที่ยังเถื่อนอยู่นั้น หายอมพอใจกับบุญที่ไร้เกียรติไม่

    เมื่อกลับถึงถ้ำอันเป็นนิวาสถานของตัวแล้ว ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊ก ๒ ตน (คือ มานะ และ อติมานะ) ได้มาสวามิภักดิ์พร้อมกับยุส่งว่า " ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีใครจะต่อต้าน ธุระอะไรจะมาเป็นนายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่าฤทธิ์เดชของไต้อ๋อง สมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซี้ย คือเป็นใหญ่เสมอฟ้าจึงจะควร "

    ตั้งแต่ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊กเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยหงอคงแล้ว จึงได้เกิดเหตุโกลาหลทั้งฟ้า เง็กเซียนฮ่องเต้จอมสวรรค์จึงได้รับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพสวรรค์ พร้อมกับโลเฉียยกทัพไปปราบหงอคง
    ไม่ว่าโลเฉียจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างใด หงอคงแปลงกายสู้ได้ทั้งสิ้น กองทัพสวรรค์ก็ต้องพ่ายแพ้ไป อันเป็นเหตุให้อัสมิมานะลงรากมั่นคง และถึงกับแต่งตั้งเพื่อนปีศาจอีก ๖ ตนขึ้นเป็นไต้เซียนเหมือนตัว (มิจฉาทิฏฐิ คือ อุจเฉททิฏฐิเพิ่มกำลังยิ่งขึ้น) และได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ ทั้งลิง(โพธิ) ทั้งผี(กิเลส) ก็รื่นเริงอยู่ในถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง

    สวรรค์ต้องดำเนินนโยบายใหม่ ในการทดใช้พลังของโพธิให้ไปสู่หนทางบุญให้ได้ จึงยอมแต่งตั้งให้หงอคงเป็นซีเทียนไต้เซี่ยตามอัสมิมานะของหงอคง โดยเง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรสร้างหอขึ้น ๒ หอ คือ หอเย็นระงับใจ และ หอเก็บรักษาอารมณ์ นี่คือเทคนิคของสวรรค์ในการปราบโพธิเถื่อน แล้วทรงประทานสุราที่พวกเซียน(ผู้สำเร็จ) ในสวรรค์นิยมดื่มให้ ๒ คนโท(คือปีติและสุขจากการระงับใจและเก็บรักษาอารมณ์) พร้อมกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง(คือ กุศลกรรมบถ ๑๐) เพื่อระงับมิให้ทำการชั่ว

    ซีเทียนไต้เซีย มีความปราโมทย์บันเทิงกับตำแหน่งในสวรรค์ทุกเช้าเย็น แต่หารู้ไม่ว่าตนเป็นขุนนางตำแหน่งไหน มีอยู่แต่ชื่อเท่านั้น(ความสุขจากการมีบุญนั้นมี แต่ชื่อไม่ใช่ทางแห่งมรรคผล) ไม่ช้าซีเทียนก็ก่อเหตุจลาจลในสวรรค์ขึ้นจนได้

    เง็กเซียนฮ่องเต้ขอให้ซีเทียนใช้เวลาว่างในการตรวจตรารักษาสวนชมพู่ทั้ง ๓ สวน เพื่อใช้เวลาว่างในสวรรค์ให้มีค่า สวนชมพู่ ๓,๖๐๐ ต้น(พระสูตร) ซีเทียนแอบขโมยชมพู่ในสวนที่สามกินหมด และได้ร่ายเวทตรึงนางฟ้า ๗ องค์ที่เป็นพนักงานสอยชมพู่ ในงานกินเลี้ยงพวกเซียน ได้แอบเข้าไปกินอาหารทิพย์ สุราทิพย์(สุขในบุญอันชวนเมา) และได้เมาสุราจนเดินล่วงล้ำเข้าไปเขตท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน และได้ขโมยกินยาวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะของพรหมชั้นนั้นที่บรรจุอยู่ในคนโท ๕ ใบ (ยาวิเศษ ในคนโท ๕ ใบ คือองค์แห่งปฐมฌาน ได้ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ในที่สุดซีเทียนจึงได้เหาะหนีลงสู่นิวาสถานเดิม คือถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง และยังติดรสของสุขในสวรรค์จนต้องหวนขึ้นไปขโมยสุราทิพย์ลงมากำนัลแก่ลิงบริวาร(เจตสิกได้ลิ้มรสสุขจากการระงับใจแล้ว)

    เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้จับตัวซีเทียนให้ได้ จึงกองทัพสวรรค์นำโดยถักทะลีทีอ๋องและโลเฉีย สมทบด้วยทัพดาวยี่สิบแปดดวง สิบสองง่วนสิน ดาวทั้งเก้า เจ้าฮวงเจี๊ยบ (เทพารักษ์) พร้อมทั้งท้าวกิมกัง(จตุโลกบาล) สมทบด้วยปุดเฉีย แม้กระนั้นแล้ว ทัพสวรรค์(กุศลเจตสิก) ก็ยังพ่ายแพ้แก่ซีเทียนไต้เซี้ย(โพธิ) ผู้มีต๋อกกั๊กกุยอ๋อง(มานะและอติมานะ) เป็นแม่ทัพหน้า

    พระโพธิสัตว์กวนอิม(อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์-เมตตาอันใหญ่หลวงในสรรพสัตว์) ได้แนะนำให้เชิญยี่หนึงจินกุน(สัมมาทิฏฐิ ๗) พระนัดดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ที่อยู่ในศาลลำน้ำก๊วนจิ๋วมาปราบซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงพาพี่น้องอีก ๖ พร้อมด้วยเทพารักษ์ สบทบด้วยกองทัพของถักทะลีทีอ๋อง(พรหมวิหารสี่) และด้วยการช่วยขว้างอาวุธวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุน(สมถะ) ลงบนหัวของซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงจับตัวซีเทียนได้

    ซีเทียน(โพธิเถื่อน) ครั้นถูกแผ่นทองคำวิเศษซ้ำจึงล้มลง ยี่หนึงจินกุน และพี่น้อง(สัมมาทิฏฐิ ๗) จึงตรงเข้าเอาอาวุธข่มไว้แล้วเอาเชือกวิเศษผูก แล้วเอามีดวิเศษเสียบย้ำเข้าที่กระดูกสันหลังของซีเทียน(ข่ม ผูก เสียบ ย้ำ นี่เป็นเคล็ดในการฝึกจิต)

    เง็กเซียนฮ่องเต้ รับสั่งให้เอาซีเทียนไปประหารชีวิตเพราะชอบก่อการจลาจลบนสวรรค์(บุญนั้นไม่ชอบโพธิปัญญานัก) ฟันด้วยดาบ เผาด้วยไฟ ผ่าด้วยสายฟ้า ซีเทียนก็หาได้ระคายเคืองผิวไม่ เพราะโพธินั้นกายสิทธิ์ เหตุด้วยฟ้าดินสร้าง

    ลบบัญชีตายออกจากพญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง และยังได้พลังสวรรค์จากการได้กินชมพู่ทิพย์(พระสูตร) สุราทิพย์ และ ยาอายุวัฒนะวิเศษ

    เง็กเซียนฮ่องเต๊จึงมอบซีเทียนไว้กับพรหมท้ายเสียงเล่ากุน เพื่อให้นำไปหลอมในเบ้าหลอมวิเศษชื่อ เบ้าโป๊ยก่วย ซีเทียนอาละวาดถีบเบ้าหลอมพังพินาศ ชักตะบองออกตีกราดจนหมู่เทพถอยร่น แม้พรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ไม่อาจต้านทานได้ ซีเทียนบุกเข้าไปจนถึงปราสาทที่ประทับของเง็กเซียนฮ่องเต้ สู้รบกับทหารรักษาพระองค์ของเง็กเซียนฮ่องเต้ จนทหารเทพต้องล้อมไว้ แต่ไม่อาจเข้าไกล้ซีเทียนได้ เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นเหลือกำลังของสวรรค์ จึงให้เทพบุตรไปนิมนต์พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วที่ประทับอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ ภูเขาเล่งซัวเขตเมืองโซจอก(โลกุตตระ) ปราะเทศไซทีมา

    พระยูไลพุทธะเสด็จมาห้ามศึกบนสวรรค์ ซีเทียนยังจ้วงจาบต่อพระยูไล โดยอ้างอิทธิปาฏิหารย์ของตัวเองว่า ตีลังกาทีหนึ่งไปได้ ๑๘,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากับระยะทางจากเมืองไต้ถังถึงไซทีตามที่ระบุไว้ในไซอิ๋ว นั่นคือ โพธิจิตอาจไปถึงนิพพานได้ด้วยการตีลังกาทีเดียว คือขณะจิตเดียว) ดังนั้น ตำแหน่งจอมสวรรค์ควรยกให้ตน นี่แหละคืออหังการของโพธิ

    พระยูไลจึงให้ซีเทียนลองแสดงฤทธิ์ให้ดู ซีเทียนจึงตีลังกาไปดุจลมพัดจนหมดเรี่ยวแรง ก็หาพ้นไปจากอุ้งพระหัตถ์ของพระพุทธะที่ซีเทียนเข้าใจเอาว่า นิ้วทั้ง ๕ (ข่ายพระญาณในขันธ์ ๕) เป็นรากของฟ้า คิดว่าตัวชนะพนันอันมีเดิมพันเป็นตำแหน่งจอมสวรรค์ ครั้นทราบว่าแพ้ก็ยังดันทุรังไม่ยอมรับ(ต่อความรู้เรื่องขันธ์ ๕) พระยูไลจึงได้คว่ำพระหัตถ์ครอบซีเทียน

    พระยูไลได้สลัดซีเทียนตกลงมายังพื้นโลก และได้เกิดเป็นภูเขา ๕ ยอดติดกันครอบซีเทียนไว้ โพธิจึงเพิ่งได้มารู้ฤทธิ์ของปัญจุปาทานในขันธ์ว่าหนักดุจภูเขา ความเพียรพยายามของซีเทียนไม่อาจเคลื่อนไปสู่มรรคผลได้ ด้วยเหตุยังไม่พ้นอุปาทานในขันธ์ ๕ พอปัญญาเคลื่อนตัวขึ้นสู่สนามการงานที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั่น เพราะอุปาทานครอบงำ จึงอุปมาได้ว่า ให้ซีเทียนไต้เซียกินน้ำเหล็กหลอมทุกครั้งที่มันหิว นั่นคือพอจิตกระทำงานตามหน้าที่ของมัน ก็ยึดมั่นว่าฉัน ว่าของฉัน จนเป็นทุกข์ดุจกินน้ำเหล็กหลอม

    เรื่องราวความเป็นมาแต่ต้นจนติดอยู่ใต้ภูเขา โผล่ได้แต่หัวรอวันพระถังซัมจั๋ง(ขันติ)จะมาช่วย และสวมมงคลให้ เพื่อเดินทางไปไซที(นิพพาน)ของหงอคง(โพธิ) ก็จบเพียงนี้




    [​IMG]



    พระถังตั้งปณิธาน


    อ้าองค์พระปฏิมา..................ข้าจะตั้งสัจจ์อธิษฐาน
    ไปสืบปิฎกไตรไกลบ้าน..........ให้สะท้านทั่วทั้งโลกา
    จะฝากลายไว้ให้โลกระบือ.......เล่าลือลูกหลานวันหน้า
    ด้วยใจที่ท่วมศรัทธา...............ให้ข้าได้ถึงไซที
    ขอให้ได้ศิษย์เรืองฤทธิ์............อาจปลิดชีพมารผลาญผี
    ขอคุณพระชนกชนนี................ช่วยคุ้มปีศาจรังควาน
    ขอเทพเจ้าจงช่วยแห่ห้อม..........รายล้อมหลวงจีนใจหาญ
    ขอเดชะพระอุปัชฌาอาจารย์......บันดาลให้แคล้วไพรี
    ขออธิษฐานทานศีลวิริยะ..........สัจจะปัญญาญาณรัศมี
    อุเบกขาเนกขัมม์ขันตี...............บารมีเมตตาคุ้มภัย
    ตราบถึงบัวบาทพระพุทธ...........สุดหล้ามุ่งฝ่าป่าใหญ่
    จะอาราธนาพระปิฎกไตร...........มาถวายท่านท้าวไทจง
    อ้าองค์พระปฏิมา....................ขอปัญญาข้าอย่าลืมหลง
    วกวนอยุ่ในไพรพง...................ขอจงลุถึงนิพพานเทอญ
     
  3. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    [​IMG]

    คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ 3

    ไซอิ๋ว นั้นดูคล้ายเรื่องเพ้อฝัน มีตัวละครทั้งที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ และสัตว์แปลกประหลาดมีอิทธิฤทธิ์ ทั้งภูติผีปีศาจและอาวุธวิเศษ ผู้ที่จะซาบซึ้งในอรรถรสของ ไซอิ๋ว ต้องมีวัฒนธรรมของการอ่านและเรียนรู้ต่างจากวัฒนธรรมกลไกลสมัยนี้ กล่าวคือมีเวลามากพอที่จะซึมซับเอาสาระประโยชน์ทางจิตใจ ทั้งเข้าใจซึ้งในภูมิปัญญาของผู้แต่ง ทั้งที่เป็นของท่านเองและสืบสานมาจากสิ่งที่เรียกว่า ปุราณธรรม

    ด้วยเหตุที่ ไซอิ๋ว นั้นเป็นเรื่องที่ยาวมาก ทั้งมีรายละเอียดปลีกย่อยและดูคล้ายซ้ำซาก จึงให้โครงสร้างหลักพร่ารางเลือน ซึ่งเช่นเดียวกับมหากาพย์อื่นๆ ดังนั้นผู้อ่านก็เพียงแต่รับรู้เป็นเค้า และรู้เรื่องเป็นตอนๆ ไม่ว่า รามายณะ มหาภารตะ หรือ ไซอิ๋ว และมหากาพย์ทางตะวันตกอย่างอีเลียด, โอดิสซี รวมทั้งมหากาพย์เก่าแก่ของชาวสุเมเรียน คือ กิลกาเมศ แต่การรับรู้เป็นฉากเป็นตอนต่อมหากาพย์เหล่านี้เองที่เอื้ออำนวยประโยชน์ทั้งทางจริยธรรม และโลกุตรธรรม ถ้าว่าวัฒนธรรมแห่งการอ่านการเรียนรู้ไตร่ตรองยังมีอยู่ แต่ถ้ามันได้กลายเป็นวัฒนธรรมแห่งความเชื่อ ความไม่ปะติดปะต่อของเรื่องราวและปมปริศนาต่างๆ ก็เอื้อให้เกิดความงมงายและกลายสภาพเป็นสิ่งไร้สาระที่แฝงอยู่ในความเชื่อของผู้คนในวัฒนธรรมนั้นๆ

    ใน กิลกาเมศ เอนกิดู ผู้มีหัวเป็นวัว กับ อิตนาผู้รู้สำนึก เป็นสองสหายวีรบุรุษกิลกาเมศ ดูจะหมายถึงสองภาคสองส่วนในจิตใจมนุษย์ ส่วนที่อยู่ภายใต้สัญชาตญาณของสัตว์ และส่วนสำนึกต่อสรวงสวรรค์ของพระเจ้า สองส่วนพึ่งพิงและขัดแย้งกันอยู่ในใจของกิลกาเมศ อันเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกๆ คน ความตอนหนึ่งที่พญาเหยี่ยวพาอิตนาไปด้วยพลังปีกสู่ฟากฟ้า แล้วหยุดถามความรู้สึกต่อโลกที่เปลี่ยนไป จากจุดมองที่ไกลโลกและไกล้สวรรค์ว่ารู้สึกสำนึกอย่างไร

    ' แนบล่างลงข้างข้า เถิดชาย ชาติหาญ
    มอบจิตมอบชีพมุ่ง มรรคฟ้า'
    พญาเหยี่ยวปีกสยาย กางเหยียด
    พลันปุจฉาว่า'หล้า เป็นไฉน น่ะนาย'

    อิตนาแลลิบหล้า โลกราง เลือนเอย
    เหลือแผ่นน้ำโอบดิน เท่านั้น
    เมืองอีกมนุษย์มล้าง เลือนหมด
    โลกพร่าเพราะปีกดั้น พรหมสรวง

    ข้าแต่พญาเหยี่ยวผู้ ทรงสัจจ์
    โปรดส่องข้อยคืนโลก จากฟ้า
    กระสันสวรรค์สงัด หายห่าง
    สู่วิสัยสามัญ, ข้า สวาทดิน

    บทเรียนที่อิตนา(หรือสำนึกต่อสวรรค์) ได้รับความคิดต่อไปสู่สวรรค์ก็คือ การกลับสู่โลก สู่สามัญ ครั้งแรกด้วยศรัทธาต่อสรวงสวรรค์ ทำให้เขาเห็นโลกเล็กลงจนรางเลิอน และหายสูญไปจากสายตาจึงต้องการกลับสู่โลก ถึงที่สุดแล้วก็คือสู่สามัญ ดูเหมือนว่าพญาเหยี่ยว(คือญาณหยั่งรู้-พาหนะของเทพเจ้า) น่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับพญาครุฑพาหนะของพระนารายณ์ และ เอนกิดู ก็คือ มินาทัว-เทพหัววัว สัญลักษณ์ของสัญชาตญาณดั้งเดิม อันดูเสมือนความชั่วร้ายนั่นเอง นี้จัดเป็นปุราณธรรมได้

    การเดินทางไกลในไซอิ๋วนั้น ตัวละครสำคัญที่สุดที่เอื้อให้บรรลุเป้าหมาย ก็คือ เห้งเจีย-ลิงผู้ครั้งหนึ่งชั่วช้าหยาบโลนอยู่ในภาคของสัตว์เช่นเดียวกับเอนกิดู ได้รับการสวมมงคล 3 ห่วง รับรสพระธรรมแล้วค่อยๆ แปรสำนึกไปสู่ปัญญา จนเป็นผู้นำทางไปสู่พุทธะได้ในที่สุด

    ในการพิมพ์ครั้งที่สาม นี้ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น"ลิงจอมโจก" เพื่อเน้นเนื้อหาทางปัญญา ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อ "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" ครั้งนี้คุณสว่าง พงศ์สิริพัฒน์ และทวีศักดิ์ อุชุคตานนท์ ให้การช่วยเหลือ ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาเป็นอย่างสูง ทั้งขอขอบพระคุณย้อนหลังต่อคุณสันต์ อุบลสูตรวนิช ผู้ช่วยค้นประวัติผู้ประพันธ์ โหงว-เซ่ง-อึง ให้หนังสือนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

     
  4. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top width="16%" rowSpan=2>
    กระทู้: 1475

    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </TD><TD vAlign=top width="85%" height="100%"><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>Re: ไขความปริศนาธรรม จาก มหากาพย์ไซอิ๋ว
    « ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2008, 03:50:09 PM »
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20>[​IMG]อ้างถึง </TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>[​IMG]


    บทที่ ๑ การเดินทาง(กิเลสมูล ๓ ดุจ ๓ ปีศาจ)

    ดูโน่นแน่ะ พระถังซัมจั๋งนั่งบนหลังม้าพระราชทาน กำลังดุ่มไปตามทางสู่ป่าใหญ่ เช้าตรู่ของวันแรกของการเดินทางนี้ มีหมอกลงจัดสองข้างทาง พระถังซัมจั๋งจึงเดินวนเวียนหลงทางไปถึงภูเขาซังขี้ซัว(สองแพร่ง) และทันใดนั้น พื้นดินก็พลันยุบฮวบลง พร้อมด้วยเสียงหัวเราะดังก้องป่าของปีศาจเสืออิ๊มเจียงกุนท่วนหม้ออ๋อง เพราะมันสะใจที่จะได้กินเนื้อพระภิกษุผู้อุตริคิดจะไปไซที

    พระถังอกสั่นขวัญหาย เมื่อปีศาจตะโกนเรียกเพื่อนอีกสองตน คือ ปีศาจหมีซัวกุนอ๋องและปีศาจควายดำเต็กชู้ลืออ๋องดังขรมเพื่อให้มากินเลี้ยงกัน



    [​IMG]


    รูป : แหม สนุกจริงครับ น่าหวาดเสียว พระถังซัมจั๋งผจญปีศาจทั้ง ๓ ตั้งแต่วันเริ่มออกเดินทางไปอินเดียทีเดียว

    โหงว : นี่แน่ ถ้าหากเจ้ามีจิตเลื่อนลอยมาอยู่ที่รสสนุกของเรื่องราวภูตผีชั้นเปลือกเหล่านี้ เจ้าจะพลาดจากสาระ

    รูป : สาระของไซอิ๋วก็อยู่ตรงสนุกนี่ พระถังผจญผี โกหกมดเท็จไปตลอดทาง จนถึงอินเดียมิใช่หรือ ?

    โหงว : เจ้าเซ่อ มองเข้าไปในใจของเจ้าที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็จะพบพระถังซัมจั๋งกำลังหล่นลงในหล่มปีศาจ

    รูป : ผมไม่เข้าใจท่านเลย พระถังก็พระถัง จะเกี่ยวอะไรกับผมเล่า ?

    โหงว : จงลืมพระถังทางกายภาพเสีย ลองเดาดูซิว่า ๓ ปีศาจคืออะไรแน่ ?

    นาม : ผมใช้หลักปริยัติเดาก็ได้ว่า คือ มิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ คือ อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ตายแล้วไม่เกิดนี่คือปีศาจเสือ สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าทุกอย่างเที่ยง ตายแล้วเกิด นี่ไม่ใช่ปีศาจหมีรึ และ นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าบุญ-บาป ไม่มี นี่ปีศาจควายดำ พระถังตอนออกเดินทางใหม่ๆ ไปอินเดียมีมิจฉาทิฏฐิ ๓ ใช่ใหม ?

    โหงว : เอาอีกแล้ว... ไม่มีพระถังและไม่มีอินเดีย พอเริ่ม "ออกเดินทาง" ก็พบกิเลสมูลทั้ง ๓ อย่างคาดไม่ถึง มิใช่มิจฉาทิฏฐิ ๓ ดอก ชีวิตโดยทั่วไปนั้นดูคล้ายๆ จะไม่มีกิเลส ครั้นหันมาศรัทธาใน "การเดินทาง" ในภายในจึงได้เห็น และดังนั้นเราจึงแต่งว่า วันเริ่มออกเดินทางก็พลันหล่นโครมลงในหล่มปีศาจ คือ ราคมูล อุปมาด้วยหล่มของปีศาจเสืออิ๊มเจียวกุนท่วนหม้ออ๋อง ซึ่งมันมีสหายปีศาจอีก ๒ คือ โลภมูล อุปมาด้วยปีศาจหมีซัวกุนอ๋อง และ โมหมูล ปีศาจควายดำ เต็กชู้สืออ๋อง กิเลสมูลที่ไม่เคยคาดคิดว่า พิษสงมันจะมากมายเพียงนี้

    รูป : ก็แล้วภูเขาซังขี้ซัว หมายถึงอะไรเล่าครับ ?

    โหงว :ซังขี้ซัว คือ ภูเขาสองง่าม

    รูป : ผมเข้าใจแล้ว คือว่าชีวิตที่ตัดสินใจมุ่งต่อความหลุดพ้น ครั้นได้ผจญกิเลสมูลก็ท้อใจ เกิดลังเลต่อการละกิเลส โลเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี นี่เองคือภูเขาสองง่าม

    โหงว : เจ้านี้ค่อยฉลาดขึ้นบ้าง

    รูป : ขอได้โปรดเล่าต่อไปครับท่าน ผมเคยรู้ประวัติของพระถังซัมจั๋งจาริกไปตามเส้นทางสายใหม ไม่นึกว่ายังมีเกร็ดย่อย แต่งโกหกให้สนุกขึ้นอีกเยอะ

    โหงว : ดูเหมือนเจ้าจะเลื่อนลอยอีกแล้ว จึงหาว่า ไซอิ๋ว เป็นเรื่องโกหก คนอื่นเขาเขียนประวัติพระถังซัมจั๋งไปอินเดียทางกายภาพ เราเองเขียนประวัติการเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณของทุก ๆ คน และจงฟังโศลกของเรา


    "มิใช่พระถังผจญ..........ผีบนเส้นทางสายไหม
    แต่บนหนทางสายใจ.....จึงได้พบพระพุทธะ
    ลึกนักชักฉงนคนว่า.......แต่งบ้าห้าร้อยสวะ
    พระถังทั้งพร้อมคณะ......เงอะงะในใจเจ้าเอง"

    นาม : ท่านครับ ได้โปรดเล่าต่อว่า พระถังรอดจากหล่มปีศาจทั้ง ๓ อย่างไรกัน ?

    โหงว : ถ้าเจ้ายังสนใจจะฟัง ก็จงทำในใจให้ดี เราจะเล่าต่อให้ฟังในบทถัดไป



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๒ กตัญญูกตเวทิตา สนับสนุนให้ได้โพธิปัญญา

    เทพเจ้าประจำดวงดาวไทเป็กแชกุน ได้ปรากฎกายในร่างของตาเฒ่า มาช่วยพระถังไห้รอดพ้นจากความตาย แล้วสั่งว่า "ถ้าท่านจะไปไซที จำต้องไม่ปริปากบ่นถึงความทุกข์ยาก ด้วยการทำอย่างนี้ ท่านจะได้สานุศิษย์ผู้มีฤทธิ์ นำทางไปถึงจุดหมายได้ "

    พระถังซัมจั๋งเดินทางต่อไปแต่ผู้เดียวในป่าใหญ่ อันเต็มไปด้วยภูตผีและสัตว์ร้าย วันหนึ่งพระถังได้ถูกเสือและงูร้ายล้อมหน้าล้อมหลังจนใจสั่นระรัว ถ้ามิได้นายพรานป่าชื่อเล่าเป็กกิมมาช่วย ก็น่าที่พระถังจะสิ้นชีวิต เล่าเป็กกิมพรานป่าผู้กตัญญูต่อมารดา นิมนต์พระถังไปที่บ้านแล้วตามไปส่งพระถังที่ภูเขาโง้วเห้งซัว คือภูเขาห้ายอดที่พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วครอบทับซีเทียนไต้เซีย(ซึงหงอคง)ไว้ และสาปสั่งจนกว่าพระถังซัมจั๋งจะมาปลดปล่อย เอาไปเป็นสานุศิษย์ ไปสืบพระไตรปิฎกยังไซที

    พระถังขอร้องให้เล่าเป็กกิม ไปส่งจนพ้นเขตภูเขาโง้วเห้งซัว แต่พรานกตัญญูต่อมารดาปฏิเสธ อ้างว่า " พ้นเขตภูเขานั้นแล้ว บรรดาเนื้อสิงสาราสัตว์ มิได้อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้าแล้ว "

    ขณะนั้นเอง ทั้งสองได้ยินเสียงร้องทักดังก้องฟ้าของซีเทียนไต้ซือ

    " อาจารย์... ทำไมช้านักเล่า ? "

    เล่าเป็กกิมเป็นคนกล้า เดินรี่เข้าไปที่ที่มาของเสียง เห็นซีเทียนไต้ซือ ถูกภูเขาทับอยู่ก็เข้าไปถามความ ครั้นรู้เรื่องกันแล้ว ก็ช่วยเอานิ้วแคะขี้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นในหูของซีเทียน เนื่องจากถูกภูเขาครอบอยู่นานนับร้อย ๆ ปี

    ซีเทียนก็ขอให้พระถังขึ้นไปปลดแผ่นยันต์มีอักขระ ๖ พยางค์ ออกจากยอดภูเขา อักขระ ๖ คำนั้นว่า " โอม มณีปัทเม ฮูม "

    ครั้นแล้วซีเทียนก็แผลงฤทธิ์เสียงดังสนั่น ดีดสลัดตัวหลุดออกมาจากภูเขา มาหมอบไหว้พระถังซัมจั๋ง อาจารย์ก็ได้สานุศิษย์เอกคู่หูแต่ครั้งนั้น

    เล่าเป็กกิมพรานกตัญญูก็ลากลับไป

    ซีเทียนเอาตะบองยู่อี่ที่เสียบไว้ในรูหูออกมาทุบเสือตัวหนึ่งตาย แล้วถลกหนังเสือเอามานุ่งห่ม เป็นอันว่าซีเทียนได้บวชครั้งแรก พระถังตั้งชื่อใหม่ให้ว่า "ซึงเห้งเจีย'

    ศิษย์จูงม้าให้อาจารย์นั่ง บ่ายหน้าเดินดุ่ม ๆ ไปในป่าใหญ่ มุ่งสู่ทิศปราจีน....



    [​IMG]


    นาม : พระถังรอดจากปีศาจกิเลสมูลอย่างไรครับ ?

    โหงว : เจ้าไม่ตั้งใจฟังเราเล่าเลยจริง ๆ ก็ไทเป็กแชกุนกล่าวว่าอย่างไรเล่า ?

    นาม : จงทนอย่าได้บ่น แล้วจะได้ศิษย์มีฤทธิ์มาก แล้วศิษย์นั้นจะช่วย

    โหงว : นั่นแหละ จงทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ไม่ยอมที่จะทำตามอำนาจของกิเลส แล้วจะพ้นจากหล่มได้เอง

    รูป : เอ๊ะ ท่านครับ ถ้าพ้นจากหล่มของกิเลสมูล ๓ พระถังก็เป็นพระอรหันต์แล้วซีครับ

    โหงว : นี่เธอ เราเตือนกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่พระถังซัมจั๋งที่ใหนนะ แต่ชีวิตช่วงที่ศรัทธาขันติยังต้องล้มลุกคลุกคลาน และปีศาจกิเลสมูลมิได้ถูกฆ่าตายนี่ เพราะพระถังยังไม่ได้ศิษย์(เห้งเจีย -ปัญญา) ปีศาจมันหลบหายไปเท่านั้น แล้วมันจะมาใหม่ในรูปของปีศาจอีกหลายร้อยหลายแสนทีเดียว

    รูป : เอ อยู่ดี ๆ กิเลสมูลหายไปเฉย ๆ ได้หรือครับ ในชีวิตกิเลสมันดองสันดานอยู่นี่

    โหงว : อย่าสู่รู้น่า ... จงดูเข้าไปในใจ เจ้าจะพบว่า แม้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสมูลก็หามีอยู่จริงไม่ ปีศาจทั้ง ๓ มันเป็นมายา เข้ามาเพื่อให้รู้จัก และให้เห้งเจียฆ่ามันเสีย มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาดอก

    รูป : เล่าเป็กกิม ซีเทียนไต้เซีย เล่าครับ ?

    โหงว : เล่าเป็กกิม คือ ความกตัญญูที่ไปเขี่ยตระไคร่ในหูของซีเทียน ก็คือกตัญญูกตเวทิตาคุณนั้น จะเป็นธรรมเครื่องสนับสนุนให้ ได้โพธิปัญญา เราจึงอุปมาด้วยกตัญญู เขี่ยแคะหูให้ปัญญาที่ถูกครอบงำอยู่ในชีวิต

    รูป : ทำไมถึงเขต ภูเขาโง้วเห้งซัวแล้ว บรรดาเนื้อเสือจึงไม่อยู่ในอำนาจพรานกตัญญูเล่าเป็กกิม ?

    โหงว : การละกิเลสในเขตนั้น เป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่กตัญญู

    รูป : พระเซ็กเกียมองนีฮุดโจ๊ว ครอบซีเทียนด้วยภูเขา ๕ ยอดเล่าหมายความว่าอย่างไร ?

    โหงว : เจ้าจงย้อนไปดูบทซึงหงอคง แต่เราสรุปย่อให้ฟังว่า ปัญญาสามัญนั้นถูกอุปาทานขันธ์ ๕ ครอบงำอยู่นานนัก จนกว่า...

    นาม : จนกว่าขันติจะถูกกตัญญูส่งมาถึง

    โหงว : อย่าสู่รู้น่า... จนกว่าจะแกะอักขระ ๖ พยางค์ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" ออกได้ เมื่อนั้นแหละ ปัญญาจึงจะเป็นอิสระและ จะนำชีวิตไปสู่นิพพาน

    รูป : แกะอักขระ ๖ พยางค์ ออกหมายความว่าอย่างไร ?

    โหงว : "แกะ" หมายความว่า เข้าใจอรรถซึมซาบในบทภาวนานี้ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" แปลว่า "ขอนอบน้อมแด่ดวงมณีในดอกปทุม " คือ ความประเสริฐแห่งใจ

    รูป : ท่านครับ เห้งเจียทุบเสือถลกหนังมานุ่งหมายถึงการบวช ปัญญาบวชได้อย่างไรกันครับ ?

    โหงว : เห้งเจีย(ปัญญา) ห่มหนังเสือ นั่นหมายถึงปัญญาที่เริ่มน้อมไปสู่เนกขัมม์เท่านั้น ส่วนการบวชจริง ๆ ของปัญญาคือ การสวมมงคล ๓ วงของพระยูไล

    รูป : มงคล ๓ วง ?

    โหงว : มงคล ๓ วง คือ ไตรลักษณ์ ที่นำมา " ครอบหัว " ปัญญาเข้าแล้ว นั่นคือ การบวชแท้

    รูป : ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ครับ

    โหงว : อยากเข้าใจก็จงเงี่ยหูฟัง เราจะเล่าในตอนต่อไป



    [​IMG]



    (...จบบทที่ ๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  6. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓ อินทรีย์ ๖ ดุจโจร ๖ คน

    อาจารย์ชวนศิษย์คนโปรด รอนแรมกันมาในท่ามกลางฤดูหนาว และอย่างไม่ทันคาดคิดโจร ๖ คน ได้จู่โจมเข้ามาขวางหน้า ร้องตวาดขู่ว่าจะปล้นทรัพย์และชีวิต พระถังตกใจกลัวจนตัวสั่น เห้งเจียกรากเข้าประจันหน้า ร้องถามชื่อแซ่กันขึ้นนายโจรร้องบอกชื่อดังนี้


    โจรคนแรก :

    ชื่องั้นขันชี้นะเจ้า.........ตาเห็นรูปใจเร้า
    รุ่มร้อน ตัณหา ...........แลนา

    โจรคนที่สอง :

    ยี่เทียล้อหน้ากริ้ว..........หูยินเสียงใจสะยิ้ว
    รุ่มร้อน ตัณหา .............แลนา

    โจรคนที่สาม :

    ภิชืออ้ายหน้าแปร้.........จมูกได้กลิ่นใจแพ้
    รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา

    โจรคนที่สี่ :

    จิสองซื้อคือลิ้น...........ลิ้มรสแล้วใจดิ้น
    รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา

    โจรคนที่ห้า :

    ซิ้นปุ๊มอิ๋วที่ห้า.............สัมผัสผิวใจบ้า
    รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา

    โจรคนที่หก :

    อี่เกี้ยนออกหัวหน้า.......ใจรู้คิดพะว้า
    รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา

    เห้งเจียได้ยินชื่อแล้วหัวเราะก๊ากใหญ่ ร้องขึ้นว่า " อ้ายพวกลูกหลานข้า เจ้าพวกขนหน้าแข้งของปู่ ถ้าพวกเจ้าทั้งหก ปล้นอะไรมาแล้ว ให้เรามีส่วนแบ่งด้วย ปู่ก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า "

    นายโจรทั้งหก เป็นเดือดเป็นแค้นในคำสบประมาท......
    โธ่อ้ายลิงหาเรื่องตาย

    ทั้งหกรุมเข้ารบเห้งเจีย เห้งเจียจึงตีตายหมด ฝ่ายพระถังเห็นศิษย์โหดร้ายก็ตำหนิ เห้งเจียก็เถียงว่า ขืนไม่ตีมัน มันก็จะตีอาจารย์ตายเท่านั้น

    ศิษย์และอาจารย์โต้เถียงด่าทอกันรุนแรง พระถังเดือดดาลขึ้น จึงออกปากขับไล่ไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียก็น้อยใจ จึงทิ้งอาจารย์เสีย แล้วเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋องที่ใต้บาดาล




    [​IMG]



    โหงว : เป็นไง ?

    รูป : แหมสนุกจริงๆ ครับ เห้งเจียเป็นลิง ทำไมจึงแต่งให้เก่ง ขนาดโจร ๖ คนสู้ไม่ได้

    นาม : แกลืมไปอีกแล้วซีน่า

    โหงว : โจร ๖ คน คือ ผัสสะ ๖( ตาเห็นรูป จักษุวิญญาณเกิด ฯลฯ อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา )

    นาม : วิญญาณ ๖ ที่เกิดในขณะแห่งการกระทบของอายตนะ ๖ กับ อารมณ์ ๖ นั้นคือธาตุรู้ นั้นคือธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ซึ่งเป็น "ขนหน้าแข้ง" ของโพธิจิต

    รูป : แท้จริง ธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ที่เกิดจากการกระทบทั้งหกทางนั้นมีสองชนิด ชนิดแรกคืออวิชชาสัมผัส นี้จำเป็นต้อง "ฆ่า" เสีย เอาไว้ไม่ได้ ขืนเอาไว้มันจะฆ่าพระถัง คือ ชีวิตทางธรรมจะถูกฆ่า อีกชนิดหนึ่งคือ ปฏิฆสัมผัส หรือ วิชชาสัมผัส การกระทบที่สักว่ากระทบ หรือ มีการเห็นตามอาการที่เป็นจริงของการกระทบ แล้วไม่ปรุงแต่งเป็นตัณหา เช่นนี้ย่อมให้มีการกระทบได้ การกระทบทางอายตนะนั้นดุจโจรปล้น ถ้าให้ปัญญามีส่วนในการกระทบทุกๆ ครั้งการกระทบนั้นกลับเป็นความรู้

    นาม : จึงอุปมาว่า เห้งเจีย(ปัญญา) จะไว้ชีวิต ถ้าปล้นแล้วมาแบ่งให้ตนด้วย

    โหงว : ใช่แล้ว

    รูป : ก็แล้วทำไม พระถังจึงไม่เข้าใจละครับ เห้งเจียนั้นฉลาดออก

    โหงว : นี่เธอ ขอเตือนว่าไม่มีพระถังหรือลิง พระถังคือศรัทธา ขันติ สัจจะอธิษฐานซึ่งภูมิธรรมเหล่านี้ ยังลงร่องรอยกันไม่ได้กับปัญญา

    นาม : จึงอุปมาว่า ทะเลาะกันดังลั่นไปทั้งป่า

    รูป : แล้วไง แต่งให้เห้งเจียดันเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋อง ถึงบาดาลเชียว

    นาม : เอ ?

    โหงว : เมื่อมีแต่ศรัทธา ขันตินำหน้า ปัญญาก็กบดานเสียเท่านั้น ขันติหรือศรัทธามันไม่ค่อยชอบใช้ปัญญาดอกเธอ

    นาม : จริง.....หรือแกว่าไง

    รูป : อาจารย์เล่าต่อดีกว่าครับ ว่าพระถังทำอย่างไร จึงให้ปัญญามาเป็นคนจูงม้าไปไซทีได้อีก

    โหงว : อย่ากลัวเลยเธอ ว่าแต่เห้งเจียของเธอเอง ลงไปซดน้ำชาอยู่ใหนน่ะ ?



    [​IMG]



    **เห้งเจียเหาะไปซดน้าชากับพญาเล่งอ๋องใต้บาดาล = ปัญญาเฉื่อยชา ไม่ทำหน้าที่

    ** ขอบคุณภาพการ์ตูนไซอิ๋วจากเว็บ http://www.mindcyber.com/ ค่ะ [​IMG]

    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๐ - ๑๓
     
  7. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">[​IMG]


    บทที่ ๔ ปัญญารู้ไตรลักษณ์ คือการ "บวช" แท้

    พระถังซัมจั๋งคอตก เดินจูงม้าไปในป่าใหญ่แต่ลำพัง แสนว้าเหว่ เดินมาครู่หนึ่งพบพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลงมาเป็นแม่เฒ่า ได้สนทนาปราศรัยรู้ความกันแล้ว แม่เฒ่ากล่าวว่าจะไปไซทีโดยไม่มีเห้งเจียนั้น ย่อมไปไม่ถึงโดยแน่นอน แม่เฒ่ารับว่าจะช่วยไปตามเห้งเจียให้ นางได้มอบเสื้อและห่วงมงคลสวมหัว พร้อมทั้งมนต์สะกดหัวใจไว้ปราบเห้งเจียในเวลาดื้อหรือดุร้าย

    กล่าวฝ่ายเห้งเจีย นั่งซดน้ำชาอยู่กับพญาเล่งอ๋อง พญาเล่งอ๋องได้เตือนสติให้รำลึกถึงมรรคผล เห้งเจียจึงเหาะย้อนกลับมาหาพระถัง พระถังก็ให้เห้งเจียสวมเสื้อและห่วงมงคล โดยหลอกว่าเป็นหมวกวิเศษที่ใครใส่แล้วยิ่งฉลาดรอบรู้ในการหนังสือ ส่วนเสื้อนั้นใครสวมแล้ว จะรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีโดยไม่ต้องเรียนต้องฝึก เห้งเจียหลงเชื่อ ครั้นแล้วพระถังก็ลองร่ายมนต์สะกด เห้งเจียก็ปวดขมับล้มม้วนกลิ้งไปมา เป็นอันว่า เจ้าลิงจอมโจกของเราก็อยู่ในกำมือของพระถังซัมจั๋งโดยสิ้นเชิง



    [​IMG]


    นาม : ( หัวเราะกั๊กๆ )

    รูป : แกเข้าใจรึ ?

    นาม : เปล่า

    รูป : แล้วหัวเราะหาอะไรวะ

    นาม : หัวเราะเยาะความโง่ของคนสมัยเราที่อุตริกล่าวว่า "แต่ก่อนคนเรายังโง่" ซึ่งเรื่องจริงกลับตรงข้าม

    รูป : ตรงข้ามยังไง ?

    นาม : มันตรงกันข้ามว่า คนโบราณผูกปริศนาไว้ให้ คนสมัยนี้แหละโง่ แล้วยังหยิ่ง ยกตัวอีกซิ อย่างที่อาจารย์เล่ามา แกรู้รึ ?

    รูป : ก็นิทานสนุก ๆ ไปคิดอะไรให้ปวดหัวทำไมเล่า อาจารย์ท่านก็แต่งไปเรื่อย ๆ นึกไหนได้ก็ว่ากันไป

    โหงว : ถ้าแกขืนหมิ่นข้า ข้าจะยอมโง่โดยหยุดเฉลย เพื่อให้แกโง่สองเท่าของข้า

    นาม : โธ่ อาจารย์อย่าถือสามันเลย ผมอยากทราบจริง ๆ ว่า ปัญญาที่กบดานและดื้อดุร้ายจะถูกควบคุมได้อย่างไร ?

    โหงว : กวนอิมโพธิสัตว์ คือเมตตาบารมี ได้นำเสื้อวิเศษ คือการเฝ้าดูจิต โดยการทำในใจไว้อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ซึ่งใครใส่แล้วรู้ขนบธรรมเนียมโดยไม่ต้องเรียน ขนบธรรมเนียมที่พระอริยเจ้าได้ทำทางไว้ คือการมีสติเฝ้าดูชีวิต หรือ การทำในใจไว้อย่างแยบคาย แล้วจะรู้ทาง รู้ธรรม รู้วินัย โดยไม่ต้องเรียนเลย

    รูป : แล้ว มงคล ๓ ห่วงเล่าครับ ?

    นาม : ผมเดาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหมครับ ?

    โหงว : ผิดถนัด เห้งเจียคือปัญญา ซึ่งเราจะได้พบ ศีล สมาธิ ในบทถัด ๆ ไป ไม่ใช่ที่นี่ ห่วงมงคล ๓ ห่วงคือ ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ วงนี้ รวบมัดเป็นวงว่าง (สุญญตา) วงเดียวไว้สวมหัวของปัญญา นั่นคือจิตที่ดื้อรั้นกระสับกระส่าย ไหลไปตามอารมณ์นั้น ต้องให้มันกำหนดกัมมัฏฐานที่มีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์จึงจะชื่อว่าบวชจริงไม่ใช่ที่กายเท่านั้น

    รูป : แล้วทำไมอาจารย์แต่งให้พระถังซึ่งเป็นพระ เที่ยวทุศีลหลอกลวงแม้กระทั่งลิงว่า ห่วงมงคลคือหมวก ก็ไม่รู้ ?

    นาม : นี่ แก เลื่อนลอยอีกแล้วละซี

    โหงว : จิตของคนธรรมดาจะไม่ยอมกำหนดไตรลักษณ์ จะต้องหลอกล่อ(ปัคคหะ) ว่ากำหนดไตรลักษณ์ แล้วจะรู้เรื่องปริยัติได้หมดสิ้น ที่จริงเราไม่ได้หลอกเลย ปริยัติทั้งหมดทั้งสิ้นในพระไตรปิฎก รวมลงที่ว่า สิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือสรุปว่าคือ สุญญตา อันอุปมาด้วยห่วงมงคลวงว่างครอบไว้เหนือหัวของปัญญา

    นาม : แหม สนุกจริงครับ

    รูป : แล้วคาถาบีบขมับเล่า ?

    โหงว : ทุกครั้งที่จิตดื้อไม่ยอมทำตามในการมุ่งสู่ความหลุดพ้น มักจะวนไปสู่อารมณ์โลก ๆ ตามปรารถนา คือดันไปกำหนดว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของเที่ยง เป็นสุข หรือเป็นตัวตนเข้า จงร่ายมนต์บีบขมับคือ กำหนดกัมมัฏฐานที่มีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ แล้ว ปัญญามันจะยอมรับใช้

    นาม : เป็นอันว่า ชีวิตสามารถปลุกเร้าบังคับให้ปัญญาทำหน้าที่จูงม้าหลวง(วิริยะของศรัทธา)พาชีวิตบ่ายหน้าสู่นิพพาน อันเป็นเป้าหมาย.... โอ้โฮ วิเศษจริง ๆ

    รูป : ผมฟังไม่สนุกเลย แหมคุยกันคอแห้ง ขอน้ำชามาซดกันหน่อยนา

    โหงว : มัวซดน้ำชาอยู่ใต้บาดาลนั่นแหละ อีนางเง็กมิ่นกงจู๊

    รูป : อาจารย์ด่าใครครับ เง็กมิ่นกงจู๊ ไหนกัน ?

    นาม : อาจารย์ครับ โปรดเฉลยก่อน เพราะไซอิ๋วยาวมาก กว่าจะถึงตอนนั้น เดี๋ยวผมก็ลืมเสียเท่านั้น

    โหงว : เง็กมิ่นกงจู๊ คือ กามสุขัลลิกานุโยค เมียน้อยของงูหม้ออ๋อง(มิจฉาทิฏฐิ)

    รูป : อาจารย์ด่าผม

    นาม : อาจารย์ครับ ได้โปรดเล่าต่อไป

    โหงว : บทถัดไปหวาดเสียวมาก เพราะพระถังจะพบปีศาจร้ายตัวแรกที่อาศัยอยู่ในบึง ฟังนะ ..............
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5350 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    เคยอ่านมี อาจารย์ท่านหนึ่งตีความให้น่าฟังดี





    ปริศนาธรรม ห่วงมงคล 3 วง คือ ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    บีบมารวมกัน ซ้อนกัน กลายเป็นวงเดียว วงว่าง หมายถึง ศูนยตา


    เวลาพระถังท่องมนต์ปีขมับ ลิงเกเร



    3 วงมันกำลังจะกลายเป็นวงเดียว โพธิยังเถื่อน กิเลสหนา ก็ดิ้นพล่าน
    นอกทางเมื่อไร ใช้ธรรมมาบีบ สกัดกิเลส วันหลังมาต่อ
     
  9. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๕ ปัญญาทำให้ได้วิริยบารมี

    อาจารย์และศิษย์ดุ่มเดินไปในป่าลึก ถึงที่โล่ง ลุถึงบึงใหญ่ชื่อเองเส้า(เหยี่ยวโศก) เขตภูเขาจั๋วบั่วซัว ทันใดนั้น มังกรร้ายเง็กเล้งซัมไทจื้อ ผู้ต้องโทษจากสวรรค์ ได้โผล่พรวดขึ้นมา อ้าปากกลืนม้าหลวงลงไปในท้อง เห้งเจียกระชากตะบองยู่อี่เข้ารบกันโกลาหล เง็กเล้งเห็นท่าจะเสียทีก็ดำลงกบดานในก้นบึง

    เห้งเจียมิรู้จะทำประการใด ด้วยตนเชี่ยวชาญเฉพาะบนบก ไม่ถนัดในน้ำ จึงต้องเหาะไปนิมนต์พระกวนอิมโพธิสัตว์พร้อมทั้งเทพยดามาช่วย กวนอิมได้ร้องบอกให้รู้ว่า บุคคลที่เง็กเล้งรอ คือพระถังซัมจั๋งที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น บัดนี้ก็คือคนที่ตนได้กินม้าเสียนั่นเอง เง็กเล้งทราบความแล้วก็ขึ้นจากก้นบึง มาทำความเคารพพระถัง และไหว้เห้งเจีย ฝ่ายกวนอิมก็ร่ายมนต์แปลงร่างของเง็กเล้งให้กลับเป็นม้าขาว เพื่อแทนม้าหลวงที่ถูกกลืนกินไป เมื่อกวนอิมและปวงเทพยดากลับไปสำนักตนแล้ว เห้งเจียก็จูงม้าขาวนำหน้าพระถังข้ามบึงเองเส้าด้วยเรือของตาเฒ่าผู้หนึ่ง




    [​IMG]





    นาม : พอก่อนครับขอให้อาจารย์ช่วยเฉลยทีก่อน

    รูป : โธ่ เรื่องกำลังสนุก มาขัดคอทำไมก็ไม่รู้

    โหงว : เอาละ ไม่ต้องทะเลาะกัน เราจะเฉลยให้ฟัง ชีวิตช่วงนี้ได้ลุถึง "บึงแห่งความท้อถอยใจ"

    นาม : มิน่าเล่าถึงให้ชื่อว่า "เหยี่ยวโศก" แม้โผขึ้นไปได้ในอากาศ ทีท้อถอยก็คอตกปีกเปลี้ยละเหี่ยโหย

    โหงว : ตีปีกชูคอในทางธรรม เที่ยวอวดโอ่ด้วยแรงแห่งวิริยะของศรัทธา(ม้าหลวง)อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดม้าก็ถูกกลืน ความท้อถอยใจก็ประดังเข้ามา

    รูป : เพราะบึงนั้นกว้างมากนะครับ อาจารย์ทำไมไม่แต่งให้ม้าพาพระถังเหาะข้ามไปเลยละครับ ?

    นาม : ทำไมให้เง็กเล้งซัมไทจื้อ ขึ้นมากินม้าหลวง แล้วอยู่ในบึงแห่งความท้อถอยเล่าครับ ?

    โหงว : วิริยะของศรัทธาหมดเขตเพียงริมบึงนั้น ต่อจากนั้นชีวิตจำเป็นต้องพึ่งวิริยะที่เกิดจากปัญญาเข้าปราบปรามปีศาจที่กบดานอยู่ในบึง

    รูป : ก็มังกรเง็กเล้งกบดานอยู่ และเห้งเจียไม่ได้ฆ่านี่ครับ

    โหงว : ในช่วงที่ชีวิตเป็นบึงแห่งความท้อแท้นั้น วิริยะได้กบดานอยู่ ต้องใช้โพธิสัตว์ปัญญาปลุกให้มันขึ้นมาชนะความท้อถอยได้ นั่นคือวิริยบารมีเกิดแล้ว

    นาม : นั่นเป็นคติของมหายานนี่

    โหงว : เอาเถอะน่า เฉลยแบบเถรวาทก็ได้ว่า แม้ไม่ไปตามกวนอิมมา เห้งเจียกับเง็กเล้งก็รู้จักกัจนได้ เพราะเง็กเล้งกำลังรออยู่แล้ว

    นาม : ทำไมเห้งเจียไม่ถนัดทางน้ำ ?

    โหงว : เห้งเจียคือตัวปัญญาที่ยังหยาบเถื่อนอยู่ ยังขาดศีล ซึ่งจะพบในบทถัดไป ซึ่งทั้งสามจะได้ช่วยกันปราบปีศาจในน้ำ คือ กิเลสประเภทกบดาน ตอนนี้สรุปว่า เมตตาของโพธิสัตว์นั้นทำให้วิริยะตื่นขึ้น

    นาม : แล้วคณะไปไซทีข้ามบึงแห่งความ "ท้อถอย" ด้วยเรือของตาเฒ่า หมายความว่าอย่างไร ?

    รูป : โธ่ ... คุณ ตาเฒ่าไม่มีชื่อจะมีความหมายอะไร นอกจากว่าอาจารย์แต่งส่งเดชให้พระถังข้ามบึงเท่านั้นเอง

    โหงว : ตาเฒ่าคือ "โบราณธรรม " โบราณวิธีที่ท่านผู้รู้ได้ผ่านบึงแห่งความท้อถอยของชีวิตไปได้

    รูป : โอย ... ผมชักวิงเวียนเข้าทุกทีแล้ว จะไปตีความในด้านในทำไมกันนักหนาเชียว อ่าน-ฟังให้สนุก ๆ ก็พอแล้ว

    นาม : ไซอิ๋ว ของอาจารย์เป็นวรรณกรรมชิ้นเดียวของโลกที่เป็นพยานในการมองด้านใน ทุกสิ่งอยู่ข้างใน ใช่ใหมครับ ?

    โหงว : อย่ายอเราเลิศลอยเกินไปนัก แท้จริงเราได้เค้าวิธีมาจาก รามายณะ

    นาม : อะไรกัน... รามายณะก็เป็นวรรณกรรมด้านในหรือครับ ?

    โหงว : ใช่ เอาเถิดเจ้าจะรู้เอง เจ้าอย่าเสียเวลาออกเรื่องเลย ฟังให้ดี เราจะเล่าตอนต่อไป...



    [​IMG]


    **แม่เฒ่า - พ่อเฒ่า หรือ คนชรา = โบราณภาษิตหรือ เรื่องที่เล่า ๆ สืบต่อกันมา

    ** ขอบคุณภาพการ์ตูนไซอิ๋วจากเว็บ http://www.mindcyber.com/ ค่ะ [​IMG]

    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๙ - ๒๒
     
  10. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๖ อุบายวิธีการกำหนดกัมมัฏฐาน


    ศิษย์และอาจารย์ขึ้นฝั่งแล้ว ก็บ่ายหน้าไปตามทาง แลไปข้างหน้า เห็นศาลเจ้าประหลาดขวางทางอยู่ ขณะที่รีรอกันอยู่ได้มีตาเฒ่าผมขาวโพลนโผล่หน้าออกมากล่าวต้อนรับ ครั้นสนิทคุ้นกันแล้ว ตาเฒ่าจำแลงก็ถวายเครื่องอานม้า พร้อมทั้งไม่เรียวถักด้วยเอ็นเสือสำหรับเฆี่ยนบังคับม้า กับธูปหอมอย่างดีแก่พระถังซัมจั๋ง ฝ่ายเห้งเจียเห็นแล้วหัวเราะเยาะ ของขวัญเล็กน้อยจากตาเฒ่า

    ตาเฒ่า ( สิงห์พาหนะของกวนอิมจำแลงมา ) มอบของวิเศษตามคำสั่งของกวนอิมแล้วก็อันตรธานหายไป



    [​IMG]



    โหงว : เอ้า เจ้าทั้งสองลองทายปริศนาตอนนี้ดูที เครื่องอานม้า ไม้เรียวถักด้วยเอ็นเสือ ธูปหอมอย่างดี คืออะไร

    นาม : ?
    รูป : พุทโธ่ ...อาจารย์หลอกให้คิดปวดหัวเล่นไปได้ เล่าต่อเถอะน่า

    โหงว : จำเป็นที่จะต้องรู้ปริศนาตอนนี้อยู่บ้างเหมือนกัน เพื่อว่า "ม้าขาวของเจ้าทั้งสองจะได้นำชีวิตไปสะดวกสบายขึ้น"
    นาม : อาจารย์ช่วยเฉลย

    รูป : มัวเล่นท่าอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเลิกฟังเสียหรอก

    โหงว : ดังความในตอนต้นว่า ยอดสุดของวิปัสนากัมมัฏฐานนั้น คือ การเห็นแจ้งต่อไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) แต่ยังมีกัมมัฏฐานอีกชนิดหนึ่งที่เป็นเครื่องประคับประคอง ได้แก่ หมวดอนุสสติ เช่น มรณัสสติ เป็นต้น ซึ่งอุปมาด้วยเครื่องอานม้า ให้ขี่ม้าสะดวกขึ้น วิริยะจะเป็นไปอย่างสะดวก ไม่ทุลักทุเล

    นาม : อาจารย์ ถ้าเช่นนั้นผมทายต่อไปได้แล้วว่า ไม้เรียวถักด้วยเอ็นเสือ กับธูปหอมอย่างดี คืออุบายวิธี ๒ อย่าง ในการประคับประคองใจ คือ

    ๑. นิคคหะ ข่มกำลังเมื่อฟุ้ง นี่คือไม้เรียวถักด้วยเอ็นเสือ เพราะเอ็นเสือนั้นม้ากลัวลาน
    ๒. ปัคคหะ ล่อเมื่อห่อเหี่ยว ให้หวังสุขอันไพบูลย์ในวันหน้า นี่คือธูปหอมอย่างดี
    ด้วย ๒ วิธีต่างวาระของการงานนี้ วิริยะ(ม้าขาว) ของชีวิต จะเป็นไปได้ด้วยดี

    โหงว : เจ้าฉลาดมากขึ้นแล้วซิ...

    รูป : ว้า ...ผมต้องการฟังนิทาน มาพูดธรรมมะธัมโมกันอยู่ได้ เรื่องนั้นต้องไปพูดกันในวัดโน่น

    นาม : เอ ทำไมเห้งเจียมันถึงหัวเราะเยาะของ ๒ สิ่งนี้เล่าครับ ?

    โหงว : ทำไม ? ปัญญานั้นมันมักดูถูก ละเลยของเล็กน้อยไม่ใช่หรือ แต่ว่านี้เป็นวิธีของโพธิสัตวยานดังนั้น สิงห์พาหนะของกวนอิมจึงแปลงมาให้ของขวัญ ทางของโพธิสัตว์ต้องสมบูรณ์ไปด้วยธรรมทุกหมวด สมบูรณ์แบบซี ...

    รูป : อ้าว เล่าต่อเสียทีซิ

    โหงว : ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องต่อไป ตอนพระถังผจญปีศาจร้าย ซึ่งบางทีปีศาจนั้นอยู่ที่ตัวของเจ้าละก้อ จงตั้งใจฟังให้ดีสักหน่อยนะ



    [​IMG]
     
  11. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๗ บวชกาย - การทดใช้กายกรรม

    ขึ้นเดือนสามฤดูใบไม้ผลิ ศิษย์จูงม้า พาอาจารย์เดินชมป่ากันไปพลาง ต่างรื่นเริงบันเทิงใจ ตราบจนลุถึงอารามใหญ่ชื่อกวนอิมเซียนยี เห้งเจียก่อเหตุแก้ห่อผ้ากาสาวพัสตร์วิเศษของพระโพธิสัตว์กวนอิมออกมาอวด พระถังผู้เสงี่ยมห้ามก็ไม่ฟัง หลวงจีนเฒ่าสมภารวัดคิดละโมบ ให้ลูกวัดเอาไฟครอกทั้งศิษย์และอาจารย์ เพราะหวังจะได้ผ้ากาสาวพัสตร์วิเศษของพระราชทาน เห้งเจียรู้เท่าทันจึงซ้อนกลเอาไฟเผาวัดเสียสิ้น

    ระหว่างที่หลวงจีนทั้งหลายชุลมุนดับไฟกันนั้น ปีศาจหมีดำเฮ็กฮองไต้อ๋อง ผู้คุ้นเคยไปมาหาสู่กับสมภารวัด ได้แอบขโมยผ้ากาสาวพัสตร์ไปซ่อนไว้ ในถ้ำเฮ็กฮองต๋อง ภูเขาเฮ็กฮองซัว เห้งเจียตามไปสู้รบกันเป็นสามารถ ไม่แพ้ - ขนะแก่กันได้ จึงต้องไปนิมนต์พระโพธิสัตว์กวนอิมมาช่วย เห้งเจียฆ่าเพื่อนของเฮ็กฮองไต้อ๋อง ๒ ตนที่เป็นปีศาจสัตว์ คืองูขาวกับชะมด จำแลงมาเป็นเต้าหยินคบค้าอยู่กับเฮ็กฮอง เห้งเจียแปลงเป็นเม็ดยาและพระโพธิสัตว์แปลงเป็นเต้าหยินสหายของปีศาจ เฮ็กฮองหลงกลกินยาอายุวัฒนะเก๊เข้าไปในท้อง เห้งเจียจึงบีบพุงกระทุ้งใจจนยอมแพ้ เห้งเจียคิดจะฆ่า แต่กวนอิมขอชีวิตมันไว้ แล้วเอามงคลสวมหัวพาไปเป็นคนเฝ้าประตูด้านหลังสำนักเขาน่ำไฮ้ที่ประทับ



    [​IMG]


    รูป : (หัวร่อกั้ก ๆ ) แหม...อ้ายปีศาจเฮ็กฮองสำคัญนัก อยากห่มผ้ากาสาวพัสตร์ของพระราชทานเสียด้วย สนุกจริง ๆ

    นาม : แกไม่รู้ความหมายก็สนุกแบบเด็ก ๆ

    รูป : แกรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่รู้ ?

    นาม : ถ้ารู้ก็ลองขยาย

    รูป : ข้ามหน้าอาจารย์เปล่า ๆ น่า อ้าว...โธ่ ยังไม่จบเรื่องอาจารย์กลับเมืองจีนเสียแล้ว

    นาม : อย่ากลัวน่า เอาละ ทีนี้ข้าจะแทนอาจารย์ละหนา โปรดฟังเฉลย ตั้งแต่ได้ม้ามังกร วิริยะก็สม่ำเสมอมุ่งสู่นิพพาน

    รูป : เดี๋ยวก่อน....บอกก่อนว่าปีศาจหมีดำเฮ็กฮองคืออะไร ?

    นาม : ข้าว่า คืออทินนาทาน เพราะมันขโมยจีวรของพระถัง

    โหงว : ปัญญามันขี้โอ่ ชอบที่จะอวดคุณของสมณะ คือศีล พออวดก็ถูกขโมย...

    รูป : อาจารย์ครับ ปีศาจเป็นเกลอกับสมภารละโมบหมายความว่าอย่างไร ?

    โหงว : (หัวเราะ) ชอบอวดศีล เพราะละโมบในลาภ จึงได้เป็นดุจปีศาจลักผ้าเหลืองมาห่มน่ะซี..
    .
    รูป : (พึมพำ) อาจารย์นี่บาปต่ายห่ะ...ด่าพระสงฆ์องค์เจ้า...

    โหงว : ปีศาจเฮ็กฮองคืออทินนาทานฯใช่แล้ว คือขโมยห่มผ้ากาสาวพัสตร์

    รูป : อทินนาทานฯหมายถึงลักทรัพย์ แต่การห่มผ้าเหลืองเป็นการผ่านพิธีบวชแล้วนี่

    นาม : นัยยะอันลึกของอทินนาทานสำหรับพระคือ ขโมยสิทธิในการสวมผ้ากาสาวพัสตร์

    โหงว : ปีศาจนี้คุ้นกับสมภารวัด ชอบไปมาหาสู่กัน ปีศาจกายกรรมของคนเรานี้ปล่อยตามอำเภอใจ มันจะเที่ยวขโมย มันมี ๒ คนคือฆ่าสัตว์ (ปาณา ฯ) ล่วงละเมิดของรักของเขา (กาเมฯ) (ชะมดกับงูขาว) และทั้งสามคือมิจฉากัมมันโต เห้งเจียคือปัญญา ฆ่าสองปีศาจตาย คือจำต้องใช้ปัญญาละเจตนาในการฆ่าสัตว์ และล่วงละเมิดของรักของผู้อื่น

    นาม : แล้วทำไมกวนอิมโพธิสัตว์จึงขอชีวิตเฮ็กฮองไต้อ๋องไว้ ?

    โหงว : กายกรรมชอบลักถูกสวมมงคล คือบวชมันเสียให้เป็นชอบ นี่เป็นการละมิจฉากัมมันโต ให้กายกรรมเป็นไปในทางบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยเมตตา จึงอุปมาว่ากวนอิมโพธิสัตว์(เมตตา) ขอชีวิตปีศาจตนนี้ให้บวชไปเป็นคนเฝ้าประตูหลังสำนัก

    รูป: ทำไมประตูหลัง จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นควรอยู่ประตูหน้า จะได้ต้อนรับแขก

    นาม.: เจ้าเซ่อ ...เฝ้าประตูหลังหมายถึง กายกรรมบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้น ต้องปิดทองหลังพระน่ะซี

    โหงว : นี่คือการทดใช้กายกรรม หรือกายสังขารไปสู่เมตตาธรรม มิฉะนั้นมันจะใช้ไปในทางกักขฬะ คือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย

    นาม : ผมเดาว่าปีศาจเฮ็กฮองไต้อ๋องต้องมีน้องชาย ชื่อมิจฉาวาจา

    โหงว : จริง ... จำให้ดีนะ ปีศาจตระกูลฮองจะโผล่มาในบทถัด ๆ ไป และมันจะดุยิ่งกว่าพี่หลายเท่านัก....

    นาม : ผมคิดว่า การบวชที่ใจหรือโพธิจิต นั่นคือการกำหนดไตรลักษณ์ และการบวชกายคือการทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน ส่วนการบวชวาจาคืออย่างไรเล่าครับ ?

    รูป : ยังไม่เห็นน้ำตัดกระบอก ยังไม่เห็นกระรอกก่งหน้าไม้

    โหงว : นั่นไง วาจาที่เป็นประดุจปีศาจขนเหลือง ปากพ่นไฟ...ซึ่งละยังไม่ได้ จนกว่าชีวิตจะมีศีลของปัญญา(โป้ยก่าย) ไม่ใช่ศีลสามัญ ถ้าเจ้าอยากจะรู้ เราจะเล่าต่อไป......


    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๖ - ๒๙







    (*จบบทที่ ๗ โปรดติดตามตอนต่อไป)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5357 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right>แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล [​IMG] บันทึกการเข้า </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๘ ศีลที่เกิดจากปัญญา

    วันหนึ่งจวนค่ำแล้ว เห้งเจียจูงม้า มีพระถังนั่งอยู่จนลุถึงหมู่บ้านเกาเล้าจึง เจ้าของบ้านชื่อเกาท้ายกงมีลูกสาว ๓ คน คนโตชื่อกล้วยไม้กลิ่นหอม คนกลางชื่อกล้วยไม้หยก คนสุดท้องชื่อกล้วยไม้น้ำเงิน (จุ๋ยลั้น)ทั้งบ้านได้รับความทุกข์โศก เนื่องจากปีศาจหมูตนหนึ่ง มาข่มขืนนางจุ๋ยลั้นเอาเป็นภรรยา เกาท้ายกงบิดาพยายามหาหมอผีดี ๆ มาขับไล่ก็แพ้แก่ปีศาจหมดสิ้น

    เห้งเจียจึงได้ขันอาสาจะปราบปีศาจหมู โดยแปลงกายเป็นจุ๋ยลั้น นอนรอเวลามาของปีศาจ ฝ่ายปีศาจหมูตือกังเจีย ที่พระโพธิสัตว์กวนอิมเรียกชื่อว่าตือหงอเหนง เป็นปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์มาก มันมีอาวุธวิเศษคือคราดเก้าซี่ พอตกกลางคืน ตือหงอเหนงก็ออกจากถ้ำมาเป็นสายลม มุ่งสู่ห้องนอนของนางจุ๋ยลั้น ปลุกปล้ำกันพักหนึ่ง จุ๋ยลั้นก็กลับกลายเป็นเห้งเจีย สู้รบกันเป็นสามารถ

    ครั้นพูดจาไต่ถามกันขึ้น หงอเหนงจึงได้รู้ว่าพระถังคือผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกที่ไซที จึงได้ยอมคำนับและนับถือเห้งเจียว่าเป็นพี่ ขอติดตามไปไซที พระถังตั้งชื่อใหม่ให้ว่าตือโป้ยก่าย คณะไปไซทีต่างเปลี่ยนรองเท้าใหม่ แล้วอำลาเกาท้ายกง ออกเดินทางจากหมู่บ้านเกาเล้าจึง บ่ายหน้าสู่ป่าใหญ่ มุ่งไปยังไซที



    [​IMG]

    นาม :ผมรู้ล่วงหน้าแล้วว่าโป้ยก่ายคือศีล และซัวเจ๋งที่จะพบต่อไปคือสมาธิ แต่ทำไมอาจารย์จึงแต่งให้ศีลเที่ยวข่มขืนชำเราลูกสาวชาวบ้านด้วยเล่า ?

    โหงว :เพราะว่าศีลนั้น หากไม่มีปัญญากำกับแล้ว มันก็เถื่อนและจะพาเข้ารกเข้าพง และศีลที่ขาดปัญญามันจะทุลเรื่อย ศีลที่ขาดปัญญาจึงได้เป้นปีศาจอยู่ จนกว่าจะถึงเขตแดนโซจ๊อกในไซที

    รูป : อะไรครับแดนโซจ๊อก ?

    โหงว :โซจ๊อกคือเขตโลกุตตระ หมายความว่าการเดินทางของใจขณะเป็นโลกียะ คือล้มลุกคลุกคลาน ปัญญาก้เถื่อน ศีลก็ทุ สมาธิก็ซึมกระทือ ครั้นปัญญา(เห้งเจีย) ศีล(โป้ยก่าย) สมาธิ (ซัวเจ๋ง) ขันติ(พระถัง) สมังคีกันดี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นั่นคือเขตโซจ๊อก

    นาม :หมายความว่าศีลของชีวิตที่น้อมไปทางโลกุตตระนั้น ต้องมีปัญญา มิฉะนั้นศีลนั้นจะเป็นปีศาจ คอยมาข่มขืนชำเราลูกสาวของชาวบ้าน ใช่ไหมครับ ?

    โหงว :ใช่แล้ว ลูกสาวสามคนของเกาท้ายกง คนโต"นางกล้วยไม้กลิ่นหอม" คือจุลศีล คนกลาง"นางกล้วยไม้หยก" คือ มัชฌิมศีล คนสุดท้อง "นางกล้วยไม้น้ำเงิน" คือมหาศีล ขาดปัญญาแล้วการรักษาศีลชั้นเลิศจะเป็นไปไม่ได้ จะฉุกละหุกโกลาหลวุ่นวาย ต้องปกปิดพรหมจรรย์ อุปมาด้วยปีศาจหมูต้องแอบมาช่มชืนชำเรานางจุ๋ยลั้นทุกค่ำคืน มิได้เป็นเจ้าของ(สามี)ของศีลจริง ๆ

    นาม : โอ้โห...อาจารย์ไปไกลขนาดนั้นเชียวหรือ

    รูป :ผมว่าไม่ตีปริศนาสนุกกว่า คือมีบทอนาจาร ที่นักเขียนยุคนี้นิยม

    โหงว :การชำเราศีลของเรามีความหมายว่า เพราะขาดปัญญา การมีศีลขั้นสูงสุดเป็นได้เพียงการทำท่าทางหลอกชาวบ้านเท่านั้น

    นาม :นั่นคือปีศาจหมู ตะกละและขี้เซา แต่เดี๋ยวก่อนครับ โป้ยก่ายมีคราดวิเศษ ๙ ซี่ นี่มันอะไรกัน?

    รูป :แล้วกัน แกนี่ คราดก็คราด จะไปนับซี่นับความอยู่ได้

    โหงว :หน้าที่ของศีลคืออะไรรึเจ้า...? ถ้ามิใช่การคราดกวาดสับกิเลสหยาบทางกาย วาจา ส่วน ๙ ซี่นั้นเล็งเอาสังฆคุณ ๙ เพราะศีลคือตัวแท้ของคุณของสมณะ ที่จะพึงเห็นได้โดยง่าย

    นาม :คือ สุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ไม่ใช่เพิ่มทุกข์ สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติพอควรพอเหมาะพอสม อาหุเนยโย เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ปาหุเนยโย เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ทักชิเญยโย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน อัญชลิกรณีโย เป็นผู้ควรอัญชลี อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ เป็นเนื้อนาบุญของโลก

    โหงว : เก่ง สังฆคุณ ๙ คืออาวุธวิเศษของศีล ทีน้อมเข้าใส่ตัวแล้วมีปัญญามุ่งสู่นิพพาน

    รูป :ท่านอาจารย์ เล่าต่อไปดีกว่าครับ มัวชักช้าอยู่แต่เฉลย ไม่สนุกเลย

    โหงว :อดใจหน่อยซี เราเฉลยอุปมาเหล่านี้ตอนต้นมาก ๆ เพื่อว่าจะได้เข้าใจวิธีมองด้านในของเราแล้ว ตอนท้าย ๆ เจ้าจะเข้าใจได้เองความสนุกทางจิตวิญญาณจะเกิดขึ้น เอาละ ถ้าเจ้ายังอยากฟัง เราจะเล่าเรื่องในบทต่อไป


    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๓๐ - ๓๓
     
  13. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๙ หลักการดำรงจิต เมื่อผจญอุปสรรคทุกระดับ

    พระถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป้ยก่าย และม้าขาว รอนแรมมาจนบรรลุถึงภูเขาภู่โท่ซัว อันเป็นสำนักของพระโอเซ้า อาจารย์เซ็นผู้อาศัยอยู่ในรังกาที่ทำด้วยหญ้าและกิ่งไม้ พระโอเซ้าร้องวทักโป้ยก่ายเพราะเคยคุ้นหน้า แต่ท่านไม่รู้จักเห้งเจียพระถังจึงสอบถามถึงทางไปไซทีว่า ยังใกล้หรือไกล ท่านตอบว่า "ยังไกลอีกมากนัก จงพยายามเถิด หนทางไปนั้นไม่สู้ยากแต่อุปสรรคมากมาย แต่ไม่ช้าจะได้พบสานุศิษย์คนสุดท้าย แล้วการเดินทางจะเป็นไปจนถึงไซทีแน่นอน "

    พระโอเซ้าได้บอกมนต์วิเศษสำหรับภาวนา เมื่อมีอุปสรรคหรืออันตราย คือข้อความใน "มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร" มี ๕๔ วรรค ๓๗๐ ตัวอักษร ซึ่งมีใจความย่อดังนี้

    "ขันธ์ ๕ คือความว่าง ความว่างคือขันธ์ ๕ สิ่งทั้งปวงไม่เกิด ไม่ดับ ไม่สกปรก ไม่สะอาด ไม่พร่อง ไม่เต็ม ไม่มีอวิชชา ไม่ปราศจากอวิชชา ไม่มีชรามรณะ ไม่ปราศจากชรามรณะ ไม่มีการรู้ ไม่มีการไม่รู้ ไม่มีการบรรลุไม่มีการไม่บรรลุ อาศัยปัญญาอันยอดเยี่ยมนี้ พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งสิ้น ได้แจ่มแจ้งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยปัญญานี้จิตจะปราศจากความลังเล และไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค จึงไม่หวั่นไหว ทุกข์ทั้งปวงจะดับหมด และนี่มิใช่ความสูญเปล่าเลย "

    พระถังซัมจั๋งเรียนมนต์วิเศษนี้จนขึ้นใจแล้วก็นมัสการลาพระโอเซ้าเซียนซือ เห้งเจียชักโมโหไม่ชอบหน้าพระโอเซ้า ขยับตะบองจะทุบหัว พระโอเซ้ากระโดดขึ้นรังกา หายไปในหมอก ศิษย์และอาจารย์ก็ออกมุ่งหน้าสู่ทิศปราจีน




    [​IMG]


    นาม : แหม มนต์ของโอเซ้าเซียนซือที่ชื่อมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร นี้หวาดเสียวจริง ๆ ครับ ผมไม่ชอบเลย

    โหงว : ก็แกมีเห้งเจียอยู่มากน่ะสิ

    นาม : ผมไม่เข้าใจครับ

    รูป : เล่าต่อ ๆ กำลังสนุก

    โหงว : เอาเถอะน่า เดี๋ยวเล่าต่อแน่ เห้งเจียคือปัญญาที่ยังไม่เป็นโลกุตตระ จะไม่ชอบคำว่าว่าง ว่าง ว่าง ไม่มี ไม่มี ไม่มี ทั้ง ๆ ที่มนต์นี้แหละมันสำคัญนักจริง ๆ หนา

    นาม : ดู ๆ จะเป็นนัตถิกทิฎฐิ คืออะไร ๆ ก็ไม่มี

    โหงว : เป็นนัตถิกะได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีแม้ความไม่มี แต่ที่แท้คือสุญญตา ความว่างที่ทุกข์ทั้งปวงจะดับ อุปสรรคทั้งสิ้นจะสลายลง

    นาม : ก็เป็นอันว่า เข้าใจเรื่องความว่างชัดเจนแล้ว ก็ถึงไซที คือนิพพานแล้วซีครับ แต่ทำไมโอเซ้าจึงบอกว่ายังอีกไกลนัก

    โหงว : สุญญตานี้ทำให้ทุกข์ทั้งปวงว่างไป แต่ว่าชีวิตจำเป็นต้องผ่านปีศาจอีกนับร้อยเพื่อให้ปัญญาได้ผจญทุกข์ จนได้ถึงพระพักตร์พระยูไล คือพุทธภาวะ ถ้าเข้าถึงได้จริงเด็ดขาด ไซทีก็อยู่ณ ตรงนั้น แต่เพราะชีวิตไม่อาจซึมซาบอยู่กับสุญญตาได้ทุกลมหายใจเข้าออก มักจะเผลอไปยึดมั่นในรูปธรรมต่าง ๆ จนเกิดอุปสรรคขึ้น และนั่นคือปีศาจที่ปัญญาจะต้องเข้าปราบปราม และความพยายามที่จะอยู่กับความว่างนี่เอง คือการเดินทางของชีวิต จนกว่าจะถึงพระพักตร์พระยูไล คือพุทธภาวะ

    นาม : ผมว่าเนื้อหาของมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรก็คือคันธนูที่ทำด้วยเขากระต่าย สายธนูทำด้วยหนวดเต่า ลูกศรทำด้วยนอกบ (ในปริศนาธรรมไทยเรื่องหนวดเต่าเขากระต่าย)ซึ่งเอาไปยิงมารจนตายสิ้นนั่นเอง ใช่ไหมครับ ?

    รูป : ชักเลอะเทอะกันใหญ่แล้ว กระต่ายบ้าที่ไหนจะมีเขา เต่าบอที่ไหนจะมีหนวด พุทโธ่ กบบ้านไหนเมืองไหนจะมีนอ...

    โหงว : เพราะความไม่มีนั่นแหละ ความมีที่คนทั้งหลายเคยชินอย่างยิ่ง จึงถูกยิงดับไป เอาความไม่มีไปยิงความมี อุปสรรคจะดับลง

    นาม : แต่ท่านอาจารย์ครับ พุทธธรรมนั้นไม่เกี่ยวข้องกับทั้งความมีและความไม่มี แต่มีหลักว่า "ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จะมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จะดับ ถ้าสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จะเกิด ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จะไม่มี" นี่ครับ

    โหงว : ใช่ ...และนั่นคือตะบองยู่อี่ของเห้งเจีย ที่จะบุกเบิกจนถึงพุทธภาวะ "ไม่มีแม้แต่ความไม่มี"นั่นเป็นมนต์ขจัดอุปสรรคที่จะหล่อเลี้ยงขันติ(พระถัง)ไปตลอด เป็นอันว่าเมื่อมีอุปสรรค เป็นความทุกข์ทรมานก็จงดำรงใจด้วยมนต์ว่า ไม่มี ไม่มี ไม่มี

    รูป : ฉิบหายกันคราวนี้เอง ข้าวไม่มีจะกรอกหม้อ ลูกคนโตไม่มีค่าเล่าเรียน เมียกำลังจะคลอดลูก ที่ดินกำลังผ่อนส่ง แล้วขืน ไม่มี ๆ ๆ ๆ โธ่เอ๊ย...คาถาเวร !

    โหงว : นั่นเจ้ากำลังมีความมี ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีหนี้ ไม่มีความไม่มี ข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด เมื่อใจว่างจากทุกสิ่งแล้วทีนี้เจ้าก็หาข้าวสารมากรอกหม้อซี แต่ข้าวสารก็ว่าง หม้อก็ว่าง ที่ดินก็ว่าง ให้สิ่งทั้งปวงมีเหมือนกับไม่มี เป็นเหมือนกับไม่ได้เป็น

    รูป : เฮ้อ... กลุ้ม เล่าเรื่องปีศาจต่อดีกว่าน่าอาจารย์

    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๓๔ - ๓๗
     
  14. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๐ ถ้าจะไปข้างหน้า ให้ถอยหลัง

    คณะไปไซทีมาถึงบ้านผู้เฒ่าแซ่อ้วง ครั้นผู้เฒ่าทราบว่าจะไปยังไซทีก็แนะนำว่า "หากจะไปทิศตะวันตก จงออกเดินไปทางทิศตะวันออกก็จะถึง" ฝ่ายเห้งเจียนั้น เชื่อมั่นในตะบองของตัวที่จะนำไปไซทีก็ยืนยันที่จะเดินทางสู่ทิศตะวันตกอยู่

    โป้ยก่ายแสดงอาการหยาบช้า ปากยื่น ผึ่งหู จนพระถังรำคาญ
    จนเห้งเจียแนะนำให้ซ่อนปากไว้ในคอและเอาใบหูรัด รวบไว้ที่ท้ายทอย

    ศิษย์และอาจารย์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำ แล้วก็อำลาตาเฒ่าออกเดินทางมุ่งสู่ป่าใหญ่



    [​IMG]


    โหงว : ตรงนี้ต้องเฉลยไหม

    นาม : ไม่ต้องครับ เหลาจื้อกล่าวไว้ว่า ถ้าจะไปข้างหน้า ให้ถอยหลัง คนไทยโบราณกล่าวว่า "ทางใหญ่อย่าจร" คำของผู้รู้ทั้งหลายที่เน้นความหมายว่า "ยิ่งอยากไปนิพพานอย่างโง่ ๆ เท่าใด ยิ่งไม่ถึงนิพพาน ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์เท่าใด ยิ่งมิได้เป็นยิ่งขึ้น " เพราะพระอรหันต์ท่านหมดอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งห่างออกไปทุกที ยิ่งไม่อยากเป็นอะไรเลย ไม่อยากได้อะไรเลยก็ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที หมดอยากก็นิพพาน

    รูป : จะพูดเสียตรง ๆ ก็หมดเรื่อง ทำไมต้องกล่าวเงื่อนงำให้เพื่อนวิงเวียนว่า "หากจะไปตะวันตก จงมุ่งตะวันออก" ทำไมก็ไม่รู้...

    นาม : ปากยื่น ผึ่งหู ของโป้ยก่ายคือต้นเหตุของการทุศีล คือชอบทำปากยื่นและหูยาวคอยหาเหตุเพื่อปากจะได้กระดุบกระดิบอีก หุบปากเข้าไปในคอ รัดหูให้แน่น ศีลก็ดูเรียบร้อยขึ้นใช่ไหมครับ ?

    โหงว : ชักเข้าทีแล้ว

    รูป : ขืนซ่อนปากไว้ในคอ ใครมันจะทำได้ทั้งวัน แล้ววาจาชั่วที่พรูอยู่ข้างในจะซ่อนที่ไหนเล่า

    โหงว : วจีสังขารของวาจาชั่วคือปีศาจหนูขนเหลืองพ่นไฟ คืออึ้งฮองไต้อ๋อง น้องชายของเอ็กอองไต้อ๋อง เราจะเล่าให้ฟังในบทต่อไป แต่ขอให้เจ้าจำภาษิตนี้ไว้ให้ดี


    "ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง
    ปิดปากเสียบ้าง แล้วว่างสบาย"


    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๓๘ - ๔๐
     
  15. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๑ การทดใช้มิจฉาวาจา

    เดินทางมาครึ่งวัน ศิษย์และอาจารย์ก็บรรลุถึงภูเขายอดสูงเทียมเมฆ ลมเริ่มแปรปรวนพัดอู้ ทันใดนั้น เสือร้ายตัวหนึ่งกระโดดออกมาขวางหน้า เห้งเจียและโป๊ยก่ายรุมกันรบ เสือสู้ไม่ได้ก็ถอดคราบเสือทิ้ง กลายร่างเป็นคน กระชากมีดสั้น ๒ เล่มออกมาเป็นอาวุธ เข้าสู้รบ ล่อให้เห้งเจียโป้ยก่ายเผลอ แล้วบันดาลเป็นลมพัดหอบเอาพระถังซัมขั๋งและม้าขาวไปให้แก่ปีศาจอึ้งฮองไต้อ๋อง น้องชายของปีศาจเอ็กฮองไต้อ๋อง (ที่ไปเฝ้าประตูหลังของสำนักน่ำไฮ้ของกวนอิมโพธิสัตว์ ) แล้วเซียนฮอง ทหารเอกของปีศาจก็ออกมาสู้รบกับเห้งเจียโป้ยก่าย เห้งเจียจึงรบล่อมาให้โป้ยก่ายฆ่าเสียด้วยคราดวิเศษ

    เห้งเจียถอนขนออก แล้วเป่ามนต์เนรมิตเป็นลิงบริวาร เข้าล้อมอึ้งฮองไต้อ๋อง ปีศาจหนูขนเหลืองปากพ่นลมพิษ เห้งเจียเสียทีถูกลมปากของปีศาจปลิวไปตามลม ลมพิษถูกตาทั้งสองเจ็บปวดทรมาน หากว่ามิใช่เห้งเจียแล้วเห็นทีตาจะบอด

    เห้งเจียและโป้ยก่ายเที่ยวหาหมอรักษาตา เทพารักษ์ผู้ตามคุ้มครองได้หยอดยาตาให้ เมื่อหายแล้วตากลับสว่างกว่าเดิมตั้งร้อยเท่า พันเท่า เห้งเจียรู้เคล็ดลับในการปราบปีศาจ หนูขนเหลืองปากพ่นลมพิษจากตาเฒ่าผู้ที่เทพจำแลงมา จึงเหาะไปนิมนต์เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ผู้ชอบเทศนายิ่งนัก เล่งเกี๊ยดกับเห้งเจียก็เหาะกลับมาที่ถ้ำปีศาจ เห้งเจียร้องท้าให้ปีศาจออกจากถ้ำแล้วรบล่อมาหาเล่งเกี๊ยด เล่งเกี๊ยดมียาบำบัดลมเม็ดหนึ่งกับไม้ตะบองมังกรทอง จึงได้ขว้างไม้ตะบองไปเป็นมังกรทอง ๘ เล็บ ตรงเข้ารัดขยุ้มปีศาจไว้ในอุ้งเล็บทั้ง ๘ เห้งเจียเงื้อตะบองจะฆ่าเสีย เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ก็ร้องห้ามขอชีวิตปีศาจไว้ว่าจะจับตัวไปถวายพระเซ็กเกียมองนีฮุดโจ๊ว

    เล่งเกี๊ยดพาปีศาจไปแล้ว เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ช่วยกันทลายถ้ำ และฆ่าสมุนปีศาจเสียสิ้น แก้มัดพระถังออกมาได้แล้วก็ออกเดินทางต่อไป



    [​IMG]


    รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ

    นาม : อ้ายบ้านี่ ช่างไม่สนใจธรรมะเอาเสียเลย จะมัวโง่ดักดานอยู่แต่ฟังนิทานเท่านั้น

    โหงว : อ้าว...เจ้านี่ ปีศาจอึ้งฮองไต้อ๋องจับพระถังของแกเข้าถ้ำผีเสียแล้วหรือ อีกหน่อยตาเห้งเจียของเจ้าจะบอด

    นาม : โธ่ ๆ ผมเผลอไปจริง ๆ ครับ (ไม่น่าด่ามันเลย อายอาจารย์จริง ๆ )

    รูป : จะเฉลยก็รีบเฉลย เสียเวลาเปล่า ๆ

    โหงว : อึ้งฮองไต้อ๋องคือวจีสังขารที่ผลักดันออกมาเป็นมิจฉาวาจา ที่อุปมาด้วยหนูขนเหลือง ปากพ่นลมพิษพ่นไฟ

    นาม : เอ ทำไมต้องขนเหลืองด้วยละครับ

    โหงว : นุ่งห่มเหลือง แล้วปากยังพ่นลมพิษมิจฉาวาจาอยู่นั่นละซี

    รูป : ลมพิษถูกตาเพื่อนจนตาบอด

    โหงว : เจ้านี่ เผลอออกจากเรื่องข้างในไปอยู่ด้านนอก มีคนขึ้นอีกแล้ว ข้าบอกว่าลมพิษที่พ่น คือมิจฉาวาจานั้น ทำให้ตาปัญญาของตัวเองแหละบอด

    นาม : เข้าตำรายิ่งพูดพล่ามยิ่งไม่รู้ ยิ่งพูดพ่นวิจารณ์ดี - ชั่ว ยิ่งมืดบอด

    โหงว : ระวังนะเจ้า

    นาม : ทหารเอกเซียนฮองของมันที่มีมีดสั้นสองเล่มส่ะครับ

    โหงว : ทหารเอกแม่ทัพหน้า (เซียนฮอง)ของวจีสังขารที่เป็นมิจฉาวาจา คือวิตก - วิจาร ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นแล้ว ก็ได้พ่นลมพิษออกมาแน่ นี่ไง มีดสั้นสองเล่ม ชีวิตช่วงนี้ดุจ "ถูกปีศาจปากพ่นลมพิษ"จับขังไว้ในถ้ำ ปัญญาก็ตามืดแต่แล้วตาก็หายเพราะโพธิปัญญานั้น มันมีอำนาจทิพย์ที่รักษาตัวมันเองได้ เมื่อรู้ความจริงเรื่องวจีสังขาร ตาจึงสว่างขึ้นหลายพันเท่า

    นาม : เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์เล่า ?

    โหงว : มิจฉาวาจาเป็นเรี่ยวแรงไหลบ่าของวจีสังขาร จะปราบมันตรง ๆ ได้ยาก จึงต้องทดใช้มันไปในทางกุศล คือการเริ่มสำรวมระวังตั้งสติ ระงับความพลุ่งพล่าน ปากดิ้นลิ้นรัวผลีผลามพูด ให้พูดแต่น้อย นี่คือยาเม็ดกำบังลม (ซึ่งไม่ได้ใช้ในตอนนี้) เล่งเกี๊ยดผู้โปรดปรานการเทศน์ ถูกนิมนต์มาปราบปีศาจก็หมายถึงทดใชมิจฉาวาจา (การพูดปด พูดหยาบ เพ้อเจ้อ ส่อเสียด) ที่อุปมาด้วยปากพ่นลมพิษ ให้เป็นการพูดแต่ธรรมะเสีย

    นาม : ถ้าวจีสังขารนี้มีพิษโทษถึงทำให้ปัญญามืดก็เลิกพูดไปเสียมิสิ้นเรื่องไปหรือ ?

    โหงว : วจีสังขารจะตัดขาดไปได้อย่างไร นอกจากจะระงับ"กำบังลม"ไว้ก่อนแล้วทดใช้ให้วจีสังขารหลั่งไหลไปในทางพุทธธรรม

    นาม : ธรรมะอะไรเล่าครับ เพราะธรรมะนี้กว้างและมากมาย อาจจะกลายเป็นพูดธรรมะด้วยวาจาเพ้อเจ้อเท่าเดิมอยู่

    โหงว : เล่งเกี๊ยดขว้างไม้เท้ามังกรทอง กลายเป็นมังกร ๘ เล็บขยุ้มปีศาจไว้ในอุ้งมือ เจ้าตอบคำถามของเจ้าเองไม่ได้หรือ ?

    นาม : เข้าใจแล้ว จงพูดแต่เพียง "อริยมรรคมีองค์ ๘ " เท่านั้น แล้วปีศาจมิจฉาวาจาจะอยู่ในอำนาจ

    รูป : เห้งเจียจะฆ่า ไหงเล่งเกี๊ยดขอไว้พาไปเป็นทาสรับใช้พระเซ็กเกียมองนีฮุดโจ้ว (ศากยมุนีพุทโธ)

    โหงว :ก็นั่นไงล่ะ ปัญญาสามัญคิดว่าฆ่าวาจา(ไม่พูด)เสียเลยจะได้สิ้นเรื่อง แต่วิธีของโพธิสัตวยานนั้นจงพูดเถิด แต่พูดถึงทาง(มรรค) และนั่นคือการเป็นทาสรับใช้พระพุทธเจ้า ในการเผยแผ่ธรรมะของพระองค์

    นาม : ถ้ำปีศาจถูกเห้งเจียจุดไฟเผาฆ่าสมุนพินาศลง หมายถึงกิเลสเล็ก ๆ น้อย ๆ คำพูดที่เนื่องจากมิจฉาวาจาก็หายไปสิ้นเมื่อเจตนาพูดชั่วไม่มี

    รูป : แหม...สนุกจริง ๆ ครับอาจารย์

    โหงว : เป็นอันว่าบวชใจก่อนเพื่อน ด้วยการสวมห่วงไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เข้าในหัวของปัญญา บวชกายด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ทางกายให้ผู้อื่น ด้วยเมตตาชนิดไม่หวังผลตอบแทน บวชวาจาด้วยด้วยการพูดถึงทางอันประเสริฐ เป็นการรับใช้พระพุทธเจ้า และทุกครั้งที่เกิดอุปสรรคทุกข์ทรมานในชีวิต ฟังภาวนาบทมนต์วิเศษ "ไม่มี ไม่มี ไม่มี" ของอาจารย์เซ็นโอเซ้าเซียนซือ ต่อจากนั้นขอให้ทุ่มชีวิตก้าวเดินไปสู่ที่สุด การผจญปีศาจร้ายคือกิเลสจะกลายเป็นความรู้ไปหมดสิ้น

    นาม : โอ้โฮ วิเศษจริง

    รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ



    **คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๔๑ - ๔๖
     
  16. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๒ เรือน้ำเต้า (พบซัวเจ๋ง)

    ขึ้นฤดูวสันต์ เวลาจวนค่ำ ศิษย์และอาจารย์ลุถึงฝั่งแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ฝั่งตรงข้ามกว้างไกลสุดสายตาของพระถังและโป้ยก่าย แต่อยู่ในทัศนวิสัยของเห้งเจีย

    ขณะที่กำลังรีรอกันอยู่นั้น ปีศาจซัวหงอเจ๋งก็โผล่พรวดขึ้นมา จะจับพระถังกินเป็นอาหาร โป้ยก่ายเข้ารุมรบเป็นโกลาหล พอเห้งเจียเข้าช่วย ปีศาจก็ตกใจกระโดดหนีลงน้ำ โป้ยก่ายตามลงไป ล่อขึ้นบก เห้งเจียใจร้อนทนไม่ได้กระโดดผลีผลามเข้าสู้รบ ปีศาจก็กลับมุดน้ำกบดานเสีย เห้งเจียจนปัญญา เพราะว่าหากปราบปีศาจนี้ไม่สำเร็จก็ข้ามแม่น้ำไปไม่ได้ จึงตีลังกาในอากาศถึงเขาน่ำไฮ้ เล่าความให้กวนอิมฟัง
    กวนอิมโพธิสัตว์จึงมอบลูกน้ำเต้าให้แก่ฮุยไง้ศิษย์เอกให้ไปกับเห้งเจีย ฮุยไง้ลอยอยู่กลางแม่น้ำ แล้วร้องเรียกปีศาจว่า..."ซัวหงอเจ๋ง ซัวหงอเจ๋ง ผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกยังไซทีมาถึงแล้ว ขึ้นมาเถิด " ปีศาจจึงขึ้นมาจากน้ำแล้วเข้ามาคำนับพระถังและเห้งเจีย แล้วโกนผมสมาทานศีล บวชเป็นพระสงฆ์

    ครั้นแล้วซัวหงอเจ๋งก็ได้เอาหัวกะโหลก ๙ หัวของบรรดาผู้คิดจะไปไซที ที่ตนได้จับกินแล้วร้อยกะโหลกเป็นมาลัยคล้องคอไว้นั้น นำมาร้อยติดกันด้วยหวายล้อมลูกน้ำเต้าของกวนอิมไว้ตรงกลาง แล้วเชิญคณะไปไซทีลงขี่ต่างเรือข้ามฟาก พระถังยืนตรงกลาง โป้ยก่ายยืนซ้าย ซัวเจ๋งยืนข้างขวา ข้างหลังคือเห้งเจียจูงม้าขาว ฝ่ายอุยไง้ศิษย์เอกของกวนอิมก็เหาะอยู่เบื้องบนเพื่อตามคุ้มครอง คลื่นลมสงบราบเรียบ เรือน้ำเต้าลอยละลิ่วถึงฝั่งตรงข้าม ฮุยไง้จึงเก็บลูกน้ำเต้าคืน หัวกะโหลกทั้ง ๙ หัวก็หายไป

    เมื่อข้ามแม่น้ำได้แล้วก็บันเทิงใจ ฝั่งตรงข้ามอุดมไปด้วยไม้ผลไม้ดอกออกช่อน่ารื่นรมย์ ศิษย์และอาจารย์ต่างมุ่งมั่นไปสู่ทิศปราจีนด้วยความเบาใจ



    [​IMG]


    รูป : ซัวเจ๋งคืออะไร ? แม่น้ำหลิวซัวฮ้อคืออะไร ?

    นาม : สมาธิคือซัวเจ๋ง แม่น้ำหลิวซัวฮ้อคือ มโนนิเวศน์ (การเฝ้าสังเกตใจ ) ในขณะที่จิตอยู่ในนิเวศน์ คือเริ่มมองด้านในเป็น อนันตริกสมาธิจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น

    รูป : ก่อนหน้ามองด้านในเป็นมันเป็นอย่างไร ?

    นาม : สมาธิก็ยังเป็นปีศาจเงือกอยู่วะ

    โหงว : คือมิจฉาสมาธิ เจ้าชักฉลาดขึ้น ลองไขความตอนที่ข้ามแม่น้ำด้วยเรือน้ำเต้าดูที

    นาม : ซัวเจ๋งคืออนันตริกสมาธิ (สมาธิที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย) คือสมาธิของชีวิตที่เกิดจากปัญญาในชีวิตประจำวัน การใช้ปัญญาในการสอดส่องพิจารณา ในการพยายามละกิเลสจะมีสมาธิชนิดนี้ควบคู่อยู่เสมอ และในวันที่สมาธิได้ประจักษ์ถึงสมาธินี้ก็เมื่อความยึดมั่นในกามเริ่มถอยกำลัง ซัวเจ๋งนี้คือสมาธิที่เป็นองค์แห่งมรรค ตอนข้ามลำน้ำหลิวซัวฮ้อ คือบารมี ๖ ได้เกิดขึ้นในชีวิตพร้อมพรั่ง คือปัญญา(เห้งเจีย) ศีล(โป้ยก่าย) สมาธิ(ซัวเจ๋ง) วิริยะ(ม้าขาว) ทาน (ฮุยไง้) ขันติ(พระถัง) บารมีทั้ง ๖ บรรทุกไปบนน้ำเต้ากลวง - สุญญตา

    รูป : แล้วหัวกะโหลก ๙ หัวของผู้ที่เคยเดินทางไปไซที และถูกปีศาจซัวเจ๋งจับกินเล่า?

    นาม : ?

    โหงว : ความเพียรเพื่อจะได้สมาธิชนิดนี้จะต้องจริงจังประหนึ่งว่าเอาความพยายามของชีวิตถึง ๙ ชาตินั่นแหละมารวมกัน

    นาม : จึงอุปมาว่า ซัวเจ๋งใช้กะโหลกผีของผู้คิดไปไซทีถึง ๙ หัวมาร้อยเป็นมาลัยคล้องคอ แล้วตอนนี้ก็ใช้เป็นพาหนะขี่ข้ามแม่น้ำไปอีก

    รูป : ตอนข้ามน้ำทำไมเห้งเจียจูงม้าอยู่ข้างหลังพระถัง

    นาม : ศีลอยู่ซ้าย กลางคือขันติ สมาธิอยู่ขวา ปัญญาอยู่หลัง คลื่นลมจึงสงบ

    รูป : แกไม่ได้เฉลยว่าเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น ในช่วงที่ชีวิตประจักษ์ต่อสมาธิ

    นาม : ก็ไม่รู้ซิ มันเป็นของมันอย่างนั้น จะไปหาเหตุผลหาสวรรค์วิมานอะไรกัน

    โหงว : ช่วงนั้นสมาธิเพิ่งเกิด จิตเริ่มเป็นหนึ่งแน่ว ปัญญาไม่ต้องทำงานหนัก เพียงแต่กุมบังเหียนวิริยะไว้เท่านั้นเพราะบารมีอื่นพรั่งพร้อมในหน้าที่การงานในช่วงนั้น ๆ แล้ว
    ชีวิตเมื่อถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่โน้มเอียงไปทางนิโรธ ทางดับกิเลส (ไซที) จะเริ่มพบกับความสงบสุขระดับหนึ่ง สองข้างทางเดินของชีวิตจึงเริ่มมีไม้ดอกไม้ผลออกช่อน่าชมยิ่ง


    (จบบทที่ ๑๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  17. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๓ ความมั่นคงต่ออุดมคติ

    ศิษย์และอาจารย์รอนแรมมาหลายวันวันหนึ่งมองไปข้างหน้าเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่กลางป่า ทั้งหมดก็พุ่งตรงเข้าไปเพื่อขอพักอาศัย หญิงม่ายเศรษฐีนีผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ได้ออกมาต้อนรับ และนางได้ร้องเพลงเกี้ยวพระถัง เพื่อให้เลิกเดินทางไปไซที และจะให้แต่งงานกับธิดาทั้งสามของนาง พระถังรู้สึกอึดอัดรำคาญใจยิ่งนัก มิรู้จะทำประการใด หญิงม่ายร้องโศลกพรรณนาความสุขในโลกียวิสัยขึ้นมาว่า


    "พอเดือนสามถึงเดือนสี่....สวมแพรสีถึงเดือนห้า
    หกถึงแปดกินใบชา..........แช่เย็นฉ่ำสำราญใจ
    พอเดือนเก้าเข้าเดือนสิบ...เดือนสิบเอ็ดสวมเสื้อใหม่
    แพรจินเจาเมาเมรัย..........หมักข้าวเหนียวเที่ยวโสฬส
    เดือนสิบสองสิ้นอ้ายยี่......แสนเปรมปรีด์ยกเหล้าซด
    สรวงสวรรค์พลันปรากฏ....เคล้าสตรีรสซดเมรัย
    ตกกลางคืนเริงรื่นระบำ ....ร้องลำนำกลางแสงไฟ
    วิเศษกว่ารัตนตรัย...........มัวบวชพระจะดักดาน"

    ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเกรงว่าศิษย์ทั้งสามจะพลอยเคลิบเคลิ้ม จึงได้ร่ายโศลกขึ้นว่า


    "เราเป็นพระสละเรือน.....ยิ่งไร้เพื่อนยิ่งสำราญ
    ปลิดรักหักทะยาน...........ในโลกีย์ มีสุขครัน
    ใจโล่งดุจอากาศ.............ถึงธรรมชาติจิตเดิมนั้น
    ไม่เกิด - ไม่ตายนิรันดร์....เราหมายใจไปไซที"

    ฝ่ายโป้ยก่าย กลับหลงเคลิบเคลิ้มตามคำของหญิงม่าย เกิดกำหนัดในการครองเรือน เข้าไปเกี้ยวพาราสีธิดาทั้งสามของนาง ธิดาทั้งสามบันดาลฤทธิ์ มัดโป้ยก่าย โป้ยก่ายตกใจนอนกลิ้งอ้อนวอนอยู่ แล้วบ้านทั้งหลังในป่าใหญ่ก็อันตรธานหายไป เพราะว่าที่แท้ เศรษฐีนีม่ายและธิดาทั้งสามนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแปลงมาทดสอบน้ำใจของคณะไปไซที

    เมื่อพระถังทราบว่าพระโพธิสัตว์ตามมาทดลองตนก็กราบนมัสการด้วยความบูชา



    [​IMG]



    นาม : ทำไมมีแต่โป้ยก่ายเท่านั้นล่ะครับที่กำหนัดยินดีในการครองเรือน

    โหงว : อ้าว เราบอกแล้วว่าศีลที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ ยังไม่เป็นโลกุตตระนั้นมันทุศีลเรื่อย แต่ชีวิตไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำ เพราะบารมีอื่นคอยคุ้มครองไว้

    นาม : นัยยะอันลึกอยู่ตรงไหนครับ ในการทดลองนี้

    โหงว : อยู่ตรงนี้ เมื่อชีวิตมีปัญญาคือสมาธิ ก่อตัวขึ้นแล้ว "ทางของโพธิสัตวยานจึงเป็นไปได้"หมายความว่าต่อแต่นี้ปีศาจคือกิเลสทุกตัวที่มาผจญ จะเป็นเพียงการทดสอบและจะรุนแรงขึ้นทุกที ๆ ยิ่งใกล้เขตโซจ๊อก (โลกุตตระ)เท่าใด ปีศาจจะมีฤทธิ์ร้ายกาจปราบยากยิ่งนัก

    นาม : เอ๊ะ มันผิดหลักนะครับ โดยปกติการปฏิบัติธรรมนี่ ยิ่งใกล้ความหลุดพ้นกิเลสน่าจะเบาบางลงนะครับ

    โหงว : นั่นเธอคิดเอาเองโดยเทียบเคียงจากวัตถุ ดูแต่พระพุทธเจ้าซี จะตรัสรู้อยู่แล้วพญามารที่ปราบยากที่สุดก็มาผจญในวินาทีที่ท่านจะตรัสรู้

    รูป : เล่าต่อ

    โหงว : ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปเท่าใดในชีวิต จะผจญปีศาจที่กบดานอยู่ลึกมากเท่านั้น เพื่อให้เห้งเจีย(ปัญญา)ได้ใช้ตะบองของมันฆ่าเสียให้สิ้น

    นาม : นี่มิหมายความว่า ก่อนสนใจธรรมะนั้นไม่รู้จักว่ากิเลสมีมากมายขนาดไหน ครั้นปฏิบัติฝึกฝนรู้เห็นเข้ากลับเห็นเป็นพะเนินเทินทึก จึงได้เป็นทุกข์เพราะรู้ว่ากิเลสดองอยู่ในสันดานเยอะแยะ

    โหงว : ใช่ และไม่ใช่

    รูป : เอ๊ะ อาจารย์นี่ยังไง ใช่และไม่ใช่ตอบออกมาได้

    โหงว : แต่ก่อนหมอเขาไม่มีกล้องจุลทรรศน์ก็รู้จักเชื้อโรคไม่กี่ชนิด ผู้คนก็ล้มตายกันมาก แต่ไม่ค่อยกลัวเชื้อโรคเพราะไม่รู้ ครั้นมีกล้องจุลทรรศน์ที่ยิ่งมีสมรรถภาพสูงเท่าใด ก็ยิ่งพบเชื้อโรคประหลาด ๆ มากมาย แพทย์ก็หาทางแก้ไขได้มาก คนก็ตายน้อยลง .แต่คนโง่คนพาลก็คิดว่าไม่เห็นอะไรจะเป็นกิเลสนี่ แล้วก็เลยไม่กลัวกิเลส สบายใจ จึงได้ตายจากการเป็นคนดี ครั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมกลัวบาป เห็นแต่บาปกรรม รังเกียจ ขยะแขยงคนชั่ว เป็นทุกข์เพราะความดีและความชั่ว

    นาม : ผมว่าตาย"ลึก"กว่าคนชั่วอีก

    โหงว : มันตาย ๆ เป็น ๆ นั่นแหละ ปีศาจชั้นปราณีตที่ปราบยากขึ้นทุกที แต่กิเลสทั้งหยาบและประณีตนั้นมันว่างจากตัวตน พอปัญญาแรงกล้า มันจะละลายไปทั้งหยาบและประณีต

    รูป : เฮ้อ กลุ้มใจจริง ๆ ไป ๆ มา ๆ ความชั่วกลับดีกว่าความดี กลุ้ม

    โหงว : เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบุญทั้งบาป เป็นการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ต่อพ้อนบุญพ้นบาปจึงจะไปถึงไซที ดังพุทธภาษิตที่ว่า...ปาปปุญฺญหินสฺส นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต

    รูป : พอ พอ ผมไม่อยากฟังคำพระคำเจ้า ไม่รู้เรื่อง เล่าต่อดีกว่า

    นาม: เพิกถอนบุญและบาปเสียได้ก็ปรินิพพาน นี่คือคำแปล

    รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ



    ( *จบบทที่ ๑๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  18. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๓ ความมั่นคงต่ออุดมคติ

    ศิษย์และอาจารย์รอนแรมมาหลายวันวันหนึ่งมองไปข้างหน้าเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่กลางป่า ทั้งหมดก็พุ่งตรงเข้าไปเพื่อขอพักอาศัย หญิงม่ายเศรษฐีนีผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ได้ออกมาต้อนรับ และนางได้ร้องเพลงเกี้ยวพระถัง เพื่อให้เลิกเดินทางไปไซที และจะให้แต่งงานกับธิดาทั้งสามของนาง พระถังรู้สึกอึดอัดรำคาญใจยิ่งนัก มิรู้จะทำประการใด หญิงม่ายร้องโศลกพรรณนาความสุขในโลกียวิสัยขึ้นมาว่า


    "พอเดือนสามถึงเดือนสี่....สวมแพรสีถึงเดือนห้า
    หกถึงแปดกินใบชา..........แช่เย็นฉ่ำสำราญใจ
    พอเดือนเก้าเข้าเดือนสิบ...เดือนสิบเอ็ดสวมเสื้อใหม่
    แพรจินเจาเมาเมรัย..........หมักข้าวเหนียวเที่ยวโสฬส
    เดือนสิบสองสิ้นอ้ายยี่......แสนเปรมปรีด์ยกเหล้าซด
    สรวงสวรรค์พลันปรากฏ....เคล้าสตรีรสซดเมรัย
    ตกกลางคืนเริงรื่นระบำ ....ร้องลำนำกลางแสงไฟ
    วิเศษกว่ารัตนตรัย...........มัวบวชพระจะดักดาน"

    ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเกรงว่าศิษย์ทั้งสามจะพลอยเคลิบเคลิ้ม จึงได้ร่ายโศลกขึ้นว่า


    "เราเป็นพระสละเรือน.....ยิ่งไร้เพื่อนยิ่งสำราญ
    ปลิดรักหักทะยาน...........ในโลกีย์ มีสุขครัน
    ใจโล่งดุจอากาศ.............ถึงธรรมชาติจิตเดิมนั้น
    ไม่เกิด - ไม่ตายนิรันดร์....เราหมายใจไปไซที"

    ฝ่ายโป้ยก่าย กลับหลงเคลิบเคลิ้มตามคำของหญิงม่าย เกิดกำหนัดในการครองเรือน เข้าไปเกี้ยวพาราสีธิดาทั้งสามของนาง ธิดาทั้งสามบันดาลฤทธิ์ มัดโป้ยก่าย โป้ยก่ายตกใจนอนกลิ้งอ้อนวอนอยู่ แล้วบ้านทั้งหลังในป่าใหญ่ก็อันตรธานหายไป เพราะว่าที่แท้ เศรษฐีนีม่ายและธิดาทั้งสามนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแปลงมาทดสอบน้ำใจของคณะไปไซที

    เมื่อพระถังทราบว่าพระโพธิสัตว์ตามมาทดลองตนก็กราบนมัสการด้วยความบูชา



    [​IMG]



    นาม : ทำไมมีแต่โป้ยก่ายเท่านั้นล่ะครับที่กำหนัดยินดีในการครองเรือน

    โหงว : อ้าว เราบอกแล้วว่าศีลที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ ยังไม่เป็นโลกุตตระนั้นมันทุศีลเรื่อย แต่ชีวิตไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำ เพราะบารมีอื่นคอยคุ้มครองไว้

    นาม : นัยยะอันลึกอยู่ตรงไหนครับ ในการทดลองนี้

    โหงว : อยู่ตรงนี้ เมื่อชีวิตมีปัญญาคือสมาธิ ก่อตัวขึ้นแล้ว "ทางของโพธิสัตวยานจึงเป็นไปได้"หมายความว่าต่อแต่นี้ปีศาจคือกิเลสทุกตัวที่มาผจญ จะเป็นเพียงการทดสอบและจะรุนแรงขึ้นทุกที ๆ ยิ่งใกล้เขตโซจ๊อก (โลกุตตระ)เท่าใด ปีศาจจะมีฤทธิ์ร้ายกาจปราบยากยิ่งนัก

    นาม : เอ๊ะ มันผิดหลักนะครับ โดยปกติการปฏิบัติธรรมนี่ ยิ่งใกล้ความหลุดพ้นกิเลสน่าจะเบาบางลงนะครับ

    โหงว : นั่นเธอคิดเอาเองโดยเทียบเคียงจากวัตถุ ดูแต่พระพุทธเจ้าซี จะตรัสรู้อยู่แล้วพญามารที่ปราบยากที่สุดก็มาผจญในวินาทีที่ท่านจะตรัสรู้

    รูป : เล่าต่อ

    โหงว : ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปเท่าใดในชีวิต จะผจญปีศาจที่กบดานอยู่ลึกมากเท่านั้น เพื่อให้เห้งเจีย(ปัญญา)ได้ใช้ตะบองของมันฆ่าเสียให้สิ้น

    นาม : นี่มิหมายความว่า ก่อนสนใจธรรมะนั้นไม่รู้จักว่ากิเลสมีมากมายขนาดไหน ครั้นปฏิบัติฝึกฝนรู้เห็นเข้ากลับเห็นเป็นพะเนินเทินทึก จึงได้เป็นทุกข์เพราะรู้ว่ากิเลสดองอยู่ในสันดานเยอะแยะ

    โหงว : ใช่ และไม่ใช่

    รูป : เอ๊ะ อาจารย์นี่ยังไง ใช่และไม่ใช่ตอบออกมาได้

    โหงว : แต่ก่อนหมอเขาไม่มีกล้องจุลทรรศน์ก็รู้จักเชื้อโรคไม่กี่ชนิด ผู้คนก็ล้มตายกันมาก แต่ไม่ค่อยกลัวเชื้อโรคเพราะไม่รู้ ครั้นมีกล้องจุลทรรศน์ที่ยิ่งมีสมรรถภาพสูงเท่าใด ก็ยิ่งพบเชื้อโรคประหลาด ๆ มากมาย แพทย์ก็หาทางแก้ไขได้มาก คนก็ตายน้อยลง .แต่คนโง่คนพาลก็คิดว่าไม่เห็นอะไรจะเป็นกิเลสนี่ แล้วก็เลยไม่กลัวกิเลส สบายใจ จึงได้ตายจากการเป็นคนดี ครั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมกลัวบาป เห็นแต่บาปกรรม รังเกียจ ขยะแขยงคนชั่ว เป็นทุกข์เพราะความดีและความชั่ว

    นาม : ผมว่าตาย"ลึก"กว่าคนชั่วอีก

    โหงว : มันตาย ๆ เป็น ๆ นั่นแหละ ปีศาจชั้นปราณีตที่ปราบยากขึ้นทุกที แต่กิเลสทั้งหยาบและประณีตนั้นมันว่างจากตัวตน พอปัญญาแรงกล้า มันจะละลายไปทั้งหยาบและประณีต

    รูป : เฮ้อ กลุ้มใจจริง ๆ ไป ๆ มา ๆ ความชั่วกลับดีกว่าความดี กลุ้ม

    โหงว : เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบุญทั้งบาป เป็นการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ต่อพ้อนบุญพ้นบาปจึงจะไปถึงไซที ดังพุทธภาษิตที่ว่า...ปาปปุญฺญหินสฺส นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต

    รูป : พอ พอ ผมไม่อยากฟังคำพระคำเจ้า ไม่รู้เรื่อง เล่าต่อดีกว่า

    นาม: เพิกถอนบุญและบาปเสียได้ก็ปรินิพพาน นี่คือคำแปล

    รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ



    ( *จบบทที่ ๑๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  19. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๔
    บารมี ๓๐ ที่ย่อเหลือปัญญากับเมตตา


    เห้งเจียถือตะบองยู่อี่เดินนำหน้าคณะ ซัวเจ๋งหาบห่อจีวรวิเศษและจูงม้าขาวที่พระถังนั่งอยู่บนหลัง โป้ยก่ายแบกคราดวิเศษ ๙ ซี่อยู่บนบ่าคอยระวังพระถัง ศิษย์และอาจารย์ตั้งใจแน่ว บ่ายหน้าสู่ทิศปราจีน

    พักหนึ่งก็ลุถึงทางใหญ่ มองไปข้างหน้าเห็นสำนักผู้วิเศษตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันน่ารื่นรมย์นัก พระถังคิดว่าคงจะเป็นเขตวัดลุยอิมยี่ เขาเล่งซัว ที่ประทับของพระยูไลแน่แล้ว แต่เห้งเจียร้องห้ามว่าเขาเล่งซัวยังอีกไกล พระถังก็ท้อใจ เห้งเจียปลอบว่า "มูลสันดานของอาจารย์ผ่องใสบริสุทธิ์อยู่แล้ว หากเพียงหยุดอยากเสียเท่านั้น เขาเล่งซัวก็จะอยู ณ เฉพาะหน้า พระยูไลก็อยู่ ณ ตรงนั้น"

    ศิษย์และอาจารย์เข้าไปสู่สำนักที่มีป้ายเขียนว่า "ติ๋นหงวนจื้อ" ในขณะนั้นเจ้าสำนักคือติ๋นหงวนจื้อไม่อยู่ ในสำนักนี้มีของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นก่อนฟ้าดินแยกกัน คือ ต้นผลยิ่นเซียมก๊วย(ผลไม้ให้พลัง) สามพันปีจึงออกดอก อีกสามพันปีจึงตั้งผล อีกสามพันปีผลจึงจะสุก ร่วมหมื่นปีจึงจะใช้กินเป็นยาวิเศษได้ และมีผลเพียง ๓๐ ผลเท่านั้น ติ๋นหงวนจื้อได้สั่งสาวกไว้ว่าหากพระถังผ่านมาให้เก็บผลยิ่นเซียมก๊วยให้ ๒ ผล พระถังไม่กล้ากินเพราะรังเกียจว่ารูปร่างคล้ายเด็กแดง

    เห้งเจียแอบเข้าไปในสวนขโมยผลไม้วิเศษ ครั้งแรกสอยผิดวิธี ลูกหล่นลงดินแล้วหายไปหมด ครั้งหลังสอยมาได้ ๓ ผล มาแบ่งให้ซัวเจ๋งกับโป้ยก่ายกินกันคนละผล

    สาวกของติ๋นหงวนจื้อจับได้ก็สู้รบกันโกลาหล เห้งเจียเดือดดาล เลยประชดแผลงฤทธิ์ โค่นถอนหักรากต้นยิ่นเซียมก๊วยเสียสิ้น ติ๋นหงวนจื้อกลับมาก็สู้รบกันใหญ่ เห้งเจียสู้ไม่ได้เลยถูกจับขังทั้งคณะ

    เจ้าสำนักคาดโทษว่าหากไม่ทำให้ต้นยิ่นเซียมก๊วยวิเศษนี้ฟื้นก็จะไม่ปล่อยให้ไปไซที เห้งเจียพาคณะแหกคุกหลายครั้ง แต่ถูกติ๋นหงวนรวบจับใส่ถุงวิเศษกลับมาได้ทุกครั้ง

    ทั้งคณะกำลังรอเวลาที่จะถูกประหารชีวิต เห้งเจียจึงต้องหนีไปตามกวนอิมโพธิสัตว์มาช่วย กวนอิมเสด็จมาในสวนแล้วเขียนยันต์ใส่ฝ่ามือของเห้งเจีย แล้วให้เห้งเจียประพรมน้ำมนต์ลงที่รากของต้นยิ่นเซียมก๊วย ติ๋นหงวนเองก็ใช้ถ้วยหยกมาตักน้ำรดตลอดลำต้น กวนอิมจึงให้เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ร่วมแรงกันพยุง ประคับประคองต้นไม้วิเศษนั้นให้ตั้งต้นขึ้น แล้วทรงพรมน้ำมนต์ ต้นไม้วิเศษก็ฟื้นเขียวสดตามเดิม ติ๋นหงวนสั่งให้เก็บผลมาสิบผล แจกกันกิน นับตั้งแต่กินผลไม้ ๑๐ ผลแล้ว คณะไปไซทีเกิดพละกำลังยิ่งนัก พระถังนำสานุศิษย์ร่ำลาเจ้าสำนัก แล้วมุ่งหน้าสู่ทิศปราจีนต่อไป.........



    [​IMG]



    นาม : ผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยออกลูกเป็นเด็กแดง หมื่นปีถึงจะเป็นลูกทีหนึ่ง เป็นเพีบง ๓๐ ผล กินแล้วเกิดพลัง แกรู้ความหมายรึ ?

    รูป : ผลไม้ก็คือผลไม้ ของกินเท่านั้น จะไปตีความหาวิมานอะไร แล้วแกล่ะรู้รึ?

    นาม : ข้าก็ไม่รู้ ต้นบ้าบออะไร ออกลูกเป็นเด็ก เคยได้ยินแต่ต้นนารีผล มักกะลีผลออกลูกเป็นนารี

    โหงว : เอ๋...ทีเรื่องยากเธอเข้าใจได้ ครั้นเรื่องง่ายกลายเป็นยาก หมวดธรรมไหนบ้างเล่า ๑๐ สามครั้งเป็น ๓๐

    นาม : พุทโธ่เอ๊ย...บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ เป็น ๓๐ ผลพอดี หมื่นปีสุกทีหนึ่ง เพราะยากหนักหนาที่ชีวิตจะฟื้นขึ้นมุ่งสู่ไซที เอ อาจารย์ครับ ไหงออกลูกเป็นเด็กแดงเล่าครับ ?

    โหงว : บารมีทั้งหมดสรุปลงใน "ความไม่ยึดมั่นถือมั่น" ซึ่งมีแบบอย่างอยู่ที่เด็กแดงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

    นาม : แล้วจะมีปัญญาอย่างไร โธ่ ขืนบำเพ็ญบารมีแบบเด็กแดงก็วินาศ

    รูป : นั่นน่ะซี พระถังซัมจั๋งผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกจึงไม่กล้ากิน

    โหงว: เจ้าชักฉลาดขึ้นบ้างละ ศรัทธา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน กลัวจะไม่ได้อะไรจากการทำใจเหมือนเด็กแดง ทั้ง ๆ ที่นี่ล่ะยอดบารมี ยอดพละ(ยิ่นเซียมก๊วย)ในการปล่อยวาง

    รูป : ติ๋นหงวนจื้อคือใครครับ ?

    โหงว : เจ้าต้องถามว่าคืออะไร ไม่ใช่คน สัตว์ ชีวะ เจ้านี่ขี้เลือนจริง

    รูป : บ๊ะ ด่าผมว่าขี้เรื้อน เดี๋ยวก็ได้เคืองกันเท่านั้นแหละ

    นาม : อาจารย์ว่าเจ้าขี้เลือน ออกจากระนาบจิตวิญญาณในการมอง เผลอไปมองแต่ด้านนอก

    โหงว : ติ๋นหงวนจื้อคืออุเบกขา ที่มีผลเป็นความไร้เดียงสาดุจเด็กแดง คือยิ่นเซียมก๊วยในสวน

    นาม : ทำไมอาจารย์ไม่อุปมาให้อุเบกขาเป็นพระหลวงตาแก่ ๆ ล่ะครับ ?

    โหงว : โธ่...ที่นั่นมันเมืองจีน เต็มไปด้วยเซียนเจ้าสำนัก และอุเบกขาแบบเด็กแดงสร้างมาก่อนแยกฟ้าดิน(ทีตี้) นี่เป็นการเดินเรื่องตามคำสอนของเหล่าจื้อด้วย

    รูป : ไหงไม่ให้มีตัวเล่าจื้อจริง ๆ มาเป็นตัวละครด้วยเล่าครับ

    โหงว : เอาอีกแล้ว มีตัวละเม็งละครเป็นคนอีกแล้ว เจ้าขี้เรื้อน แต่เจ้าชักฉลาดขึ้นแท้จริงเราให้มีเหลาจื้อด้วยแต่ไม่ใช่คน คืออุเบกขานั่นคือพรหมท้ายเสียงเล่ากุนอยู่พรหมโลก

    นาม : เห้งเจียทำผิดวิธี ผลยิ่นเซียมก๊วยหล่นลงดินหายไป แล้วโมโหถอนรากถากกิ่งหมด มันเรื่องอะไร ?

    โหงว : ปัญญายังหยาบ หน่วงบารมี ๓๐ ไม่สำเร็จ กลับเพิ่มกิเลสซี

    รูป : แล้วบารมีนั้นคืออะไรกันแน่

    โหงว : บารมีก็คือความเคยชิน เป็นสิ่งเดียวกับกิเลสอาสวะนั่นแหละ

    นาม : บ้าแล้ว งั้นสร้างบารมีก็เท่ากับสร้างกิเลส กรรมเวรอะไรเช่นนี้

    โหงว : เจ้าเซ่อ...บารมีก็ชินไปทางกุศล อาสวะก็ชินไปทางอกุศล แต่เป็นความเคยชินเท่ากัน

    รูป : งั้นทั้งบารมีและกิเลสมิได้ดองสันดานอยู่นะสิครับ มันเป็นความชินที่เพิ่งเกิดเมื่อปะทะอารมณ์เท่า ๆ กัน ?

    โหงว : ไม่เลว ! เป็นอันว่าปัญญามันยังเห็นไม่ชัด จะสร้างบารมีก็ดันสร้างกิเลสเข้า นี่คือเห้งเจียสอยผลยิ่นเซียมก๊วยไม่เป็น

    นาม :ถอนรากถอนโคน ต้องนิมนต์กวนอิมมาพรมน้ำมนต์ เขียนยันต์ใส่มือเห้งเจีย...?

    โหงว :ปัญญากับเมตตา เท่านั้นคือยอดบารมี ที่จะทำให้พลังแห่งชีวิตเพิ่มขึ้น และปัญญา ศีล สมาธิ จะร่วมมือกันประคับประคองให้งอกราก ออกผลเป็นบารมี ๓๐

    รูป : จึงอุปมาว่า เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง เข้าประคองให้ลำต้นตั้งตรง แต่ว่า...ถ้าผมยังไม่มีบารมีแล้วมันจะฟื้นได้อย่างไร มันไม่มีอยู่นี่

    โหงว : ถ้างั้นเจ้าคือพระพุทธเจ้า

    รูป :โอ๊ย...

    นาม :บ้า

    โหงว :ทำไม ? ก็เจ้าบอกว่าไม่มีความเคยชิน ทั้งบารมีทั้งอาสวะ ผู้นั้นก็เป็นพุทธะ


    นาม :พุทโธ่เอ๊ย...! พูดเสียใจหายวาบ ก็ทุกคนยังมีความเคยชินของอาสวะนั่นแหละจึงต้องสร้างบารมี หากไม่มีอาสวะแล้ว จะไปสร้างมันทำไมอีก จิตเดิมแท้บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้บารมีและอาสวะอยู่เองแล้ว

    รูป : หยุดอยากเสียเท่านั้น เขาเล่งซัวที่ประทับพระยูไลก็อยู่เฉพาะหน้า

    โหงว : เข้าที ๆ

    นาม :อาจารย์ เล่าต่อดีกว่าครับ

    โหงว : ตอนต่อไปนี้ จะเต็มไปด้วยเรื่องผีปีศาจที่ดุร้ายยิ่งนัก

    รูป : !

    โหงว : โธ่ แกไม่ต้องกระเถิบหนีผีเข้ามาหรอก เจ้าจะหนีไม่พ้น เพราะว่าผีก็คืออวิชชาที่อยู่ในใจเจ้าเอง


    (*จบบทที่ ๑๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  20. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๑๕
    เมื่อศีลออกหน้าปัญญา


    เห้งเจียถึอตะบองกายสิทธิ์เดินนำหน้าขบวน มายังภูเขายอดสูงเทียมเมฆ พระถังเริ่มหิวอาหาร ขอร้องให้เห้งเจียเหาะไปบิณฑบาต เห้งเจียก็อุ้มบาตรหกคะเมนหายไปทางทิศอาคเนย์ ปีศาจแป๊ะกุดฮู้หยิน(ผีไม้อกไก่)ผู้เฝ้าติดตามจะกินเนื้อพระถังจึงได้โอกาสตอนเห้งเจียไม่อยู่ จำแลงกายเป็นหญิงสาวบ้านป่า ในมือถืออาหารหวานคาวเข้ามาถวาย ขณะที่ปีศาจจะจับพระถังนั้น เห้งเจียก็เหาะกลับมาพอดี จึงใช้ตะบองตีปีศาจโครมใหญ่ แต่ปีศาจหาตายไม่ มันถอดคราบหญิงสาวให้ดู ดุจว่าตายนอนจมกองเลือดอยู่ อาหารก็กลายเป็นหนอนและไส้เดือนไป

    ฝ่ายโป้ยก่ายเกิดราคะกำหนัดในหญิงสาว ทั้งตะกละในอาหารก็ยุยงพระถังว่าเห้งเจียอิจฉา แสร้งเป่ามนต์ให้อาหารดี ๆ กลายเป็นไส้เดือน แล้วยังฆ่าทายิกาอีก พระถังก็หลงเชื่อจึงร่ายคาถาบีบขมับ เห้งเจียก็ปวดหัวล้มลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมา พลางร้องขอความกรุณา พระถังจึงขอให้สัญญาว่าไม่ให้โหดเหี้ยมนัก

    เดินกันมาอีกครู่หนึ่ง แป๊ะกุดฮู้หยินก็แปลงเป็นหญิงเฒ่ามารดาของหญิงสาว เดินร้องไห้อาลัยลูกสาวสวนทางมา เห้งเจียเห็นก็รู้ได้ว่าเป็นปีศาจ จึงรี่เข้าไปทุบโครมเข้า ปีศาจก็ถอดร่างหนีไปอีก เหลือแต่ซากของหญิงชรานอนจมกองเลือดอยู่ โป้ยก่ายก็กล่าวยุยงพระถังว่าเห้งเจียใจทมิฬ ไม่สมเป็นสมณะที่จะไปไซทีด้วย พระถังก็เดือดดาล ร่ายคาถาบีบขมับไม่หยุด เห้งเจียล้มดิ้น สัญญาว่าจะไม่ทำอีก

    เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่งแป๊ะกุดฮู้หยินก็แปลงร่างเป็นตาเฒ่าพ่อของหญิงสาวเดินภาวนาพุทธคุณสวนทางมา เห้งเจียรู้ทันก็หวดด้วยตะบองโครมใหญ่ ปีศาจถอดร่างหนีไม่ทันก็ขาดใจตาย เหลือแต่ซากเป็นกองกระดูกขาวกร่อนนานนับปี เห้งเจียจึงชี้ให้พระถังดูบอกว่าเป็นปีศาจแน่

    ฝ่ายโป้ยก่ายนึกเกลียดน้ำหน้าเห้งเจีย ก็ยุพระถังอีกว่าเห้งเจียกักขฬะ พระถังโกรธสุดขีด ภาวนาคาถาบีบขมับไม่หยุด แล้วออกปากขับไล่เห้งเจียไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียนึกน้อยใจ จึงหกคะเมนตีลังกาพรวดเดียวไปถึงถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง ภูเขาฮวยก๊วยซัว สำนักเดิมของตน เริ่มส้องสุมสมุนลิงประพฤติตัวเป็นอันธพาลใหญ่ไม่สนใจเรื่องไปไซที ยกธงขึ้นหน้าถ้ำ ประกาศศักดานุภาพ ออกอาละวาดไปตามอารมณ์




    [​IMG]



    โหงว : มีอะไรงงไหมเล่า

    นาม : เอ๊...แป๊ะกุดฮู้หยิน ปีศาจไม้อกไก่แปลงเป็นหญิงสาว หญิงเฒ่า ตาเฒ่า...?

    รูป : น่าสงสารทั้งสามคราว

    โหงว :คิดให้ดี ๆ

    นาม : ชีวิตคิดเมตตาหญิงสาว พ่อเฒ่าแม่เฒ่า ที่แท้ตะกละราคะ ปัญญารู้ทันละอารมณ์นั้นเสีย สันดานราคะก็ไม่ชอบ ไม่ชอบใช้ปัญญา ชอบศีลทั้ง ๆ ที่ทุศีลเรื่อย ปัญญาจริงก็กลับเถื่อน ไม่ได้ใช้ปัญญาไปในทาง "เดินทางสู่นิพพาน" กลับปล่อยให้ส่ายไปตามอารมณ์ แล้วปัญญาก็กลับประทุษร้ายตัวเอง

    โหงว : ไม่เลว สมัยใดชีวิตไว้ใจศีล ปล่อยให้ปัญญาซบเซาแล้วศีลจะนำเข้าถ้ำผี

    รูป : จริงครับ ผมเลยขี้เกียจรักษาศีล สู้ใช้ปัญญาไม่ได้

    โหงว : อ้ายงู้หม้ออ๋อง !

    รูป : ด่าผมรึ...? ไม่รู้ความหมายเสียอย่าง ไม่เดือดร้อน

    นาม :เป็นอันว่าบทนี้ พอจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องที่ศีลออกหน้า ปัญญากลับเถื่อน

    โหงว:
    ห่มจีวรดำทำพูดน้อย.......ทำตาปรอยค่อย ๆ ย่าง
    เข้าตำราศีลนกกระยาง....วางท่าสงบกบไว้ใจ
    รูป :
    รักนกกระยางอย่างพระอริย์...ผิว์ท่านแนะเรื่องไหนไหน
    สีกากบนอบนบไหว้..........พอได้ที ทำหรี่ตา
    โหงว : "โยมเอ๋ย โลกนี้มีทุกข์หนัก.....ฉันจักช่วยชี้ชั้นฟ้า"

    รูป : นกกระยางเหลืองหัวร่อร่า.....อ้าปากกินกบสิ้นสระ

    นาม : ผู้ถูกกินซื้อสวรรค์.................ผู้กินนั้นขายสวรรค์ดะ

    รูป : งั้นเลิกรับศีลละวะ

    นาม : (อ้าว...ทำไม ?)

    รูป : กลัวเป็นพระ พ่อค้าสิ

    โหงว :
    ไม่...แต่จงรักษาศีลเพื่อกุศล...ผลคือเสริมสมาธิ
    ใช่เคร่งอวดอุตริ.................พอสมาธิดี มีปัญญา
    นาม : รักษาศีลไว้ข่มเพื่อน

    โหงว : นั้นยังเถื่อนอยู่นักหนา

    นาม : อวดเคร่งจนมัวตา.......... ชีวามิดติดถ้ำผี

    รูป : หยุดก่อน เล่าตอนต่อไป

    โหงว : ถึงถ้ำใหญ่ในพงพี..........ผีบ้ากาม...

    นาม : งามล่ะซี

    โหงว : ผีหน้าเขียว

    รูป : แหม เสียวจัง




    (จบบทที่ ๑๕ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5376 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...