อัครสาวก ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย felies, 2 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    มีเรื่องอยากถามท่านผู้รู้ครับ

    เมื่อ มีผู้ปารถนาพุทธภูมิเพื่อเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

    แล้ว พระอัครสาวกล่ะครับ จะเป็นผู้ที่ เคยตั้งความปารถนาไว้ในกาลก่อนหรือเปล่า

    แล้วต้องบำเพ็ญบารมีเยี่ยง พระโพธิสัตว์ หรือเปล่าครับ

    เช่น พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ
    ครับ


    [b-wai]
     
  2. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ตามในพระไตรปิฎกว่ากันว่าท่านก็เคยปรารถนาและอธิษฐานจิตไว้ก่อนต่อหน้าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งและก็ได้รับคำพยากรณ์ครับ ส่วนการสร้างบารมีในช่วงท่ามกลางก่อนที่บุญกุศลจะเต็มเปี่ยม ก็คล้ายๆกับการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์คือ เกี่ยวข้องอยู่ในบารมี 10 เพียงแต่ว่าชาติภพและความผูกพันธ์จะขึ้นอยู่ที่ว่าจะได้เป็นอัครสาวกของพระโพธิสัตว์ท่านที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด คือต้องไปเกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นแทบทุกชาติโดยต้องทำหน้าที่คอยช่วยเหลือในการสร้างบารมีต่างๆของพระโพธิสัตว์องค์นั้นจนกว่าท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครับ (ก็คงเป็นกลุ่มๆหรือเป็นทีมๆขึ้นมาหลากหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่ที่ว่าจิตของใครผูกพันธ์และมีจริตใกล้เคียงกับท่านใดครับ)
     
  3. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    เออ น่าคิดเหมือนกันครับ โมทนาๆ
     
  4. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    .....ตำแหน่งสำคัญๆ จะต้องทำบารมีเพื่อตำแหน่งนั้นๆครับผม อย่างท่านอัญญาโกณทัณญะ ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนและได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าครั้งอดีตว่าจะเป็นอริยบุคคลท่านแรกในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ อีกท่านที่เห็นชัดๆคือพระอานนท์ครับ ทั้งที่พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานมีอยู่มากมาย กลับต้องให้ท่านซึ่งขณะนั้นเป็นพระโสดาบันมาทำหน้าที่พุทธอุปฐาก ก็เพราะทุกท่านทราบว่าพระอานนท์ได้ทำบารมีเพื่อตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ และไม่มีใครทำได้ดีกว่าท่านอีกแล้ว (แม้ว่าจะเป็นอริยบุคคลระดับที่เหนือกว่าก็ตาม)
    .....เรื่องนี้เป็นบารมีพิเศษเฉพาะบุคคลครับ ในบางตำแหน่งก็มีประเพณีเฉพาะ เช่น พระอัครสาวกจะต้องนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า พุทธอุปฐากจะนิพพานหลังพระพุทธเจ้า
     
  5. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    ท่านที่จะเป็นพระอัครสาวกได้
    - ต้องเป็นผู้ที่เคยตั้งความปารถนาไว้ในกาลก่อน
    - และบำเพ็ญบารมี 10 มาไม่น้อยกว่า 2 อสงไขยแสนกัป

    พระอัครสาวกเบื้องขวา-ซ้าย
    จะมีบังเกิดในพระพุทธศาสนาแต่ละยุคได้แค่องค์เดียวเท่านั้น
    สุดยอดครับ
    [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2006
  6. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ก็ต้องเป็นแก๊งค์เดียวกัน
     
  7. Seel

    Seel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    260
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,604
    ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ก็ โมทนาแล้วกันนะ
     
  8. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    จากการตีความจากตำราหลายเล่มที่เคยอ่านตอนมีโอกาสอ่านเยอะๆ

    ระบบพระนิพพานของพระพุทธเจ้าจะมีดังนี้

    1. พระพุทธเจ้า
    2. พระอัครสาวก(เบื้องซ้าย เบื้องขวา)
    3. พระอสีติมหาเถระ
    4. พระเถระธรรมดา
    5. ฆราวาสปฏิบัติธรรม

    แม้ ตำแหน่งที่ 2 - 4 ก็ต้องมีการอธิษฐานมาก่อน โดยเฉพาะพระอัครสาวกต้องได้รับคำพยากรณ์มาจากพระพุทธเจ้าเช่นกัน ... ท่านมีกำลังมาก เปรียบประดุจ แขน ขา ของพระพุทธเจ้า ... สามารถทำให้ศาสนารุ่งเรืองได้มาก ...

    ตอนสร้างบารมีก็ต้องทำงานเป็นทีม

    ....พระอัครสาวกก่อนหน้านั้นก็เกิดเป็นคนนั้น คนนี้ ช่วยพระโพธิสัตว์สร้างบารมีไปเป็นชาติๆไป ตามจุดประสงค์ เป็นเจ้าเมืองบ้าง เป็นญาติบ้าง

    ยกตัวอย่าง ชาดกใน พระเจ้า 500 ชาติ


    อรรถกถา กักการุชาดก
    <CENTER class=D>ว่าด้วย ผู้ควรประดับดอกฟักทิพย์</CENTER><!--อรรถกถา กักการุชาดกที่ ๖ -->[​IMG]พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาเยน โย นาวหเร ดังนี้.
    [​IMG]ได้ยินว่า เมื่อพระเทวทัตนั้นทำลายสงฆ์ไปแล้วอย่างนั้น เมื่อบริษัทหลีกไปพร้อมกับพระอัครสาวก โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปาก. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตกล่าวมุสาวาททำลายสงฆ์ บัดนี้เป็นไข้เสวยทุกขเวทนามาก. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตนี้ก็ได้เป็นผู้พูดเท็จเหมือนกัน อนึ่ง พระเทวทัตนี้พูดมุสาวาททำลายสงฆ์ แล้วเป็นไข้ได้เสวยทุกข์มาก ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เสวยทุกข์มากแล้วเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
    [​IMG]ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
    [​IMG]พระโพธิสัตว์ได้เป็นเทวบุตรองค์หนึ่งในภพดาวดึงส์.
    [​IMG]ก็สมัยนั้นแล ในนครพาราณสีได้มีมหรสพเป็นการใหญ่ พวกนาค ครุฑ และภุมมัฏฐกเทวดา เป็นจำนวนมากพากันมาดูมหรสพ. เทวบุตร ๔ องค์แม้จากภพดาวดึงส์ ก็ประดับเทริดอันกระทำด้วยดอกไม้ทิพย์ชื่อกักการุ ผักจำพวกบวบ ฟัก แฟง พากันมายังที่ดูการมหรสพ.
    [​IMG]พระนครประมาณ ๑๒ โยชน์ ได้มีกลิ่นเดียวด้วยกลิ่นดอกไม้เหล่านั้น.
    [​IMG]มนุษย์ทั้งหลายเที่ยวสอบสวนอยู่ว่า ใครประดับดอกไม้เหล่านี้. เทวบุตรเหล่านั้นรู้ว่า มนุษย์เหล่านี้สืบสวนหาพวกเรา จึงเหาะขึ้นที่พระลานหลวงยืนอยู่ในอากาศด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่. มหาชนประชุมกันอยู่. พระราชาก็ดี อิสรชนมีเศรษฐีและอุปราชเป็นต้นก็ดี ต่างพากันมา. ทีนั้น จึงพากันถามเทวบุตรเหล่านั้นว่า ข้าแต่เจ้านาย ท่านทั้งหลายมาจากเทวโลกชั้นไหน?
    [​IMG]เทวบุตรกล่าวว่า มาจากเทวโลกชั้นดาวดึงส์
    [​IMG]มนุษย์ถามว่า พวกท่านมาด้วยกิจธุระอะไร?
    [​IMG]เทวบุตรกล่าวว่า มาด้วยต้องการดูมหรสพ.
    [​IMG]มนุษย์ถามว่า นี่ชื่อดอกอะไร ?
    [​IMG]เทวบุตรกล่าวว่า ชื่อดอกฟักทิพย์.
    [​IMG]มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย ท่านทั้งหลายโปรดประดับดอกไม้อื่นในเทว<WBR>โลก<WBR>เถิด จงให้ดอกฟักทิพย์นี้แก่พวกเราเถิด.
    [​IMG]เทวบุตรทั้งหลายกล่าวว่า ดอกไม้ทิพย์เหล่านี้มีอานุภาพมาก สมควรแก่เทวดาทั้งหลายเท่านั้น ไม่สมควรแก่คนเลวทรามไร้ปัญญา มีอัธยาศัยน้อมไปในทางต่ำทราม ทุศีล ในมนุษยโลก แต่สมควรแก่มนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้.
    [​IMG]ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว
    [​IMG]เทพบุตรผู้ใหญ่ใน ๔ องค์นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

    [​IMG]ผู้ใดไม่ลักสิ่งของด้วยกาย ไม่พูดเท็จด้วยวาจา ได้รับยศแล้วไม่พึงมัวเมา ผู้นั้นแลย่อมควรประดับดอกฟักทิพย์.


    [​IMG]คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :-
    [​IMG]บุคคลใดไม่ลักแม้แต่เส้นหญ้าอันเป็นของของคนอื่น และแม้จะเสียชีวิต ก็ไม่กล่าวมุสาวาทด้วยวาจา.
    [​IMG]คำนี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนาเท่านั้น. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
    [​IMG]ก็บุคคลใดไม่กระทำอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ด้วยกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร. บทว่า ยโส ลทฺธา ความว่า บุคคลใดได้แม้ความเป็นใหญ่แล้ว ไม่มัวเมาในความเป็นใหญ่ปล่อยให้สติ กระทำกรรมอันลามก บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้เห็นปานนั้นนั่นแล ย่อมควรซึ่งดอกไม้ทิพย์นี้ เพราะฉะนั้น บุคคลใดประกอบด้วยคุณเหล่านี้ บุคคลนั้นย่อมควรขอดอกไม้เหล่านี้ พวกเราจักให้แก่บุคคลนั้น.

    [​IMG]ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เราไม่มีคุณเหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว แต่เราจักกล่าวมุสาวาทรับเอาดอกไม้เหล่านี้มาประดับ เมื่อเป็นอย่างนี้ มหาชนจักรู้เราว่า ผู้นี้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ.
    [​IMG]ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ จึงให้นำดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ แล้วได้อ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๒
    [​IMG]เทวบุตรองค์ที่ ๒ นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

    [​IMG]ผู้ใดแสวงหาทรัพย์มาได้โดยชอบธรรม ไม่ล่อลวงเอาทรัพย์เขามา ได้โภคทรัพย์แล้ว ก็ไม่มัวเมา ผู้นั้นแลย่อมควรประดับดอกฟักทิพย์.


    [​IMG]คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :-
    [​IMG]บุคคลพึงแสวงหาทรัพย์มีทองและเงินเป็นต้น โดยธรรม คือโดยอาชีพอันบริสุทธิ์ ไม่พึงแสวงหาโดยการหลอกลวง คือไม่พึงนำเอาไปโดยการลวง ได้โภคะทั้งหลายมีผ้าและอาภรณ์เป็นต้น ไม่พึงมัวเมาประมาท บุคคลเห็นปานนี้ย่อมควรแก่ดอกไม้เหล่านี้.

    [​IMG]ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ แล้วให้นำดอกไม้ทิพย์มา<WBR>ประ<WBR>ดับ จึงอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๓.
    [​IMG]เทวบุตรองค์ที่ ๓ นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า

    [​IMG]ผู้ใดมีจิตไม่จืดจางเร็ว และมีศรัทธาไม่คลายง่ายๆ ไม่บริโภคของดีแต่ผู้เดียว ผู้นั้นแลย่อมควรแก่ดอกฟักทิพย์.


    [​IMG]คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :-
    [​IMG]บุคคลใดมีจิตไม่จืดจาง คือไม่จางหายไปเร็วเหมือนย้อมด้วยขมิ้น ได้แก่มีความรักมั่นคง และมีศรัทธาไม่คืนคลาย คือได้ฟังคำของคนผู้เชื่อกรรมหรือวิบากของกรรมก็ตามแล้วเชื่อ ไม่คืนคลาย ไม่แตกทำลายด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย.
    [​IMG]บุคคลใดไม่กันยาจกหรือ บุคคลอื่นผู้ควรแก่การจำแนกให้ไว้ภายนอก ไม่บริโภคโภชนะมีรสดีแต่ผู้เดียว คือจำแนกให้แก่ชนเหล่านั้นแล้ว จึงบริโภค บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.

    [​IMG]ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ จึงให้นำดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ แล้วอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๔.
    [​IMG]เทวบุตรองค์ที่ ๔ นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า

    [​IMG]ผู้ใดไม่บริภาษสัตบุรุษทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง พูดอย่างใด ทำอย่างนั้น ผู้นั้นแลย่อมควรซึ่งดอกฟักทิพย์.


    [​IMG]คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า
    [​IMG]บุคคลใดไม่ด่า ไม่บริภาษสัตบุรุษ คือบุรุษผู้เป็นอุดมบัณฑิต ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง พูดถึงสิ่งใดด้วยวาจา ย่อมกระทำสิ่งนั้นแลด้วยกาย บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.

    [​IMG]ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ แล้วให้นำดอกไม้แม้เหล่านั้นมาประดับ เทวบุตรทั้ง ๔ องค์ได้ให้เทริดดอกไม้ทั้ง ๔ เทริดแก่ปุโรหิตแล้วพากันกลับไปยังเทวโลก.
    [​IMG]ในเวลาที่เทวบุตรเหล่านั้นไปแล้ว เวทนาอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ศีรษะของปุโรหิต ศีรษะได้เป็นเหมือนถูกทิ่มด้วยยอดเขาอันแหลมคม และเป็นเหมือนถูกบีบรัดด้วยแผ่นเหล็กฉะนั้น.
    [​IMG]ปุโรหิตนั้นได้รับทุกขเวทนา กลิ้งไปกลิ้งมาร้องเสียงดังลั่น และเมื่อมหาชนกล่าวว่านี่อะไรกัน จึงกล่าวว่า เรากล่าวมุสาวาทในคุณซึ่งไม่มีอยู่ภายในเราเลยว่ามีอยู่ แล้วขอดอกไม้เหล่านี้ กะเทวบุตรเหล่านั้น ท่านทั้งหลายจงช่วยนำเอาดอกไม้เหล่านี้ออกจากศีรษะของเราด้วยเถิด.
    [​IMG]ชนทั้งหลายถึงจะช่วยกันปลดดอกไม้เหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะปลดออกได้ ได้เป็นเหมือนดอกไม้ที่ผูกรัดด้วยแผ่นเหล็ก ลำดับนั้น ชนทั้งหลายจึงหามปุโรหิตนั้นนำไปเรือน เมื่อปุโรหิตนั้นร้องอยู่ในเรือนนั้น กาลเวลาล่วงไปได้ ๗ วัน พระราชารับสั่งเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า พราหมณ์ผู้ทุศีลจักตาย เราจะทำอย่างไรกัน. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์โปรดให้เล่นมหรสพอีกเถิด เทวบุตรทั้งหลายจักมาอีก.
    [​IMG]พระราชาจึงให้เล่นมหรสพอีก เทวบุตรทั้งหลายจึงมาอีกได้กระทำพระนครทั้งสิ้น<WBR>ให้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกันด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ แล้วได้ยืนอยู่ที่พระลานหลวง<WBR>เหมือนอย่างเคยมา มหาชนประชุมกันแล้ว นำพราหมณ์ผู้ทุศีลมาให้นอนหงายอยู่ข้างหน้าของเทวบุตรเหล่านั้น.
    [​IMG]พราหมณ์ปุโรหิตนั้นอ้อนวอนเทวบุตรทั้งหลายว่า ข้าแต่นาย ขอท่านทั้งหลายจงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด. เทวบุตรเหล่านั้นติเตียนพราหมณ์ปุโรหิตนั้นในท่าม<WBR>กลาง<WBR>มหา<WBR>ชน<WBR>ว่า ดอกไม้เหล่านี้ไม่สมควรแก่ท่านผู้ลามกทุศีลมีบาปธรรม ท่านได้สำคัญว่า จักลวงเทวบุตรเหล่านี้ น่าอนาถ ท่านได้รับผลแห่งมุสาวาทของตนแล้ว ครั้นติเตียนแล้วจึงปลดเทริดดอกไม้ออกจากศีรษะ ให้โอวาทแก่มหาชนแล้วได้ไปยังสถานที่ของตนทันที.

    [​IMG]พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
    [​IMG]พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต
    [​IMG]บรรดาเทวบุตรเหล่านั้น องค์หนึ่งได้เป็น พระกัสสป
    [​IMG]องค์หนึ่งได้เป็น พระโมคคัลลานะ
    [​IMG]องค์หนึ่งได้เป็น พระสารีบุตร
    [​IMG]ส่วนเทวบุตรผู้เป็นหัวหน้า ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กุมภาพันธ์ 2006
  9. yeen

    yeen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +3,656
    ข้อ3 มีพุทธภูมิบารมีเต็มลามาเยอะเหมือนกันครับ เช่นพระสีวลีเป็นต้น .......และ.......หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็อีกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2006

แชร์หน้านี้

Loading...