รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ยกตัวอย่างของท่านที่เข้านิพพานเเล้ว

    1. ตื่นนอน วันนี้ลูกจะทำดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานชาตินี้

    2. รักษาศีล ๕ หรือ ๘ หรือกรรมบถ ๑๐ อย่างน้อยวันละ ๑๐ นาที หลังจากตื่นนอน
    (คือ ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ได้โปรดสงเคราะห์ให้ลูกรักษาศีล ๕ ให้ครบภายใน ๑๐ นาทีนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า)

    3. ทำบุญ ครั้งละ ๑ บาท ตั้ง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) แล้วกล่าวว่า “ขอถวายเป็นสังฆะทาน ขอนิพพานชาตินี้ ขอให้ลูกคล่องตัวทุกประการเทอญ”
    (เงินจำนวนนี้จะไปถวายที่วัดใดก็ได้ ขอให้แจ้งพระผู้รับว่าถวายเป็นสังฆะทาน)

    4. ภาวนา พุท-โธ หรือ นะมะ-พะธะ หรือ นิพพาน-นิพพาน

    5. อาราธนาพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระพุทธเจ้า ประทับบนศีรษะของลูก ตลอดทั้งวันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า

    6. ขอขมาโทษ ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบขมาโทษต่อพระรัตนตรัย ขอได้โปรดยกโทษให้กับข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด

    7. กราบหมอน พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา ปลอดภัยทุกเวลาด้วย นะโมพุทธายะ

    8. พิจารณาร่างกาย เหม็นเน่า น่าเกียจ คน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย พังสลายทั้งหมด หากตายตอนนี้ขอไปนิพพานเลย

    9.นอนภาวนา ถนัดบทไหนให้ขึ้นบทนั้นก่อน เช่น ภาวนา พุท-โธ แล้วต่อด้วย


    ๑. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่า วันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตีนี้
    ๒. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้ และขอให้คล่องตัวทุกๆอย่าง
    ๓. รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล
    ๔. ภาวนามีให้เลือกดังนี้ แบบฝึก "มโนมยิทธิ"
    หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ
    หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
    หายใจเข้า นิพพาน หายใจออก นิพพาน
    ๕. นิมิต ฝึกจำภาพพระพุทธรูปที่ตนชอบ ๑ องค์ หลับตาและลืมตาต้องจำภาพให้ได้
    ๖. ขยายนิมิต ออกไปกลางแจ้ง ขอให้พระองค์ขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราและร้าน
    ๗. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด
    ๘. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเข้าพระนิพพาน ในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด
    ๙. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครก เหม็นเน่า อืดพอง น้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่ามีร่างกายจึงเป็น
    ทุกข์เพราะแก่ เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมด อนิจจา... พอหนังกำพร้าฉีกขาด น้ำเลือด น้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวเน่าคลื่นไส้ อ้วก
    แตก
    ๑๐. ทาน ศีล ภาวนา ก็ดีน้อยหรือมาก ทำด้วยความเต็มใจ เพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้
    ๑๑. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดตายแล้วจะไปที่นั้นแล
    ๑๒. พระพุทธเจ้า ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๘ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้านับเป็นล้านๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฏิอยู่ครบที่เมือง
    นิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้
    ๑๓. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมด มีแต่สภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ที่นั่นเป็นอมตะ ถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำ
    ได้ทำถึงปัญหาไม่มี อย่าห่วงตำราอย่าบ้าความรู้ปริยัติ จงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัดท่าซุง
    ๑๔. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุกๆ อย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้ จะมีผลแก่ตนแล แต่ถ้าคบนักเปรต ปฏิเสธเมืองนิพพาน
    อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ
    ๑๕. แผ่เมตตาปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลาย และสรรพวิญญาณทั้งปวง ขอจงอโหสิกรรมซึ่งกัน
    และกัน จงมีความสุข พ้นทุกข์ในชาตินี้ สู่ที่นิพพานเทอญ
    ๑๖. คำอาราธนาเจริญกรรมฐาน ลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและ
    พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดาครูบาอาจารย์ พรหมเทวดาทั้งหมด ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพาน ตามความ
    เป็นจริง ณ กาลบัดนี้เถิด
    ๑๗. อุทิศส่วนกุศล ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญเพียรมาแล้วนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม
    และพระอริยสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดา มนุษย์ทั้งหลาย อบายภูมิทั้ง ๔ เจ้ากรรมนายเวร สรรพวิญญาณทั้งหมด
    จงโมทนา จงมีความสุข พ้นทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้านิพพานของข้าพเจ้า
    ด้วยเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L_05.JPG
      L_05.JPG
      ขนาดไฟล์:
      20.5 KB
      เปิดดู:
      156
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.4 KB
      เปิดดู:
      448
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2008
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ kurochang
    เคยปล่อยให้มันอึดอัดไปเรื่อยๆแล้วก็ มันจุกที่ท้องขึ้นมาเรื่อยๆน่ะคับ
    จนสุดที่ขมับจากนั้นมันก็จะเหมือนมีอะไรมาบีบที่หัวจะระเบิด
    แบบนี้เรียกว่าวางอารมณ์เครียดไปรึเปล่าคับ

    แบบนี้เรียกว่าเครียดเกินไป วางอารมณ์หนักไปครับ
    ต้องทำใจให้สบายๆ ครับ

    การที่มองอะไรเพลินๆหรือเพ่งมองเล่นๆน่ะคับ (ใจก็สบายๆ) อยู่ๆลมหายใจมันหาย แต่พอเอาใจมารู้สึกว่าไม่หายใจ ลมหายใจก็กลับมาเหมือนเดิม
    ผมเคยเห็นเขาบอกว่าการที่จะถึงฌาณ4 ต้องผ่านปีติ ถ้าไม่ผ่านแสดงว่าไม่ใช่
    แต่พอไปอ่านเรื่อง วสี นวสี อะไรเนี่ยจะไม่ได้ เขาก็เขียนบอกจาก ฌาณ1ไป 4 เลย จาก 4 3 2 1 2 4 3 1 อะไรแบบนี้

    ถูกที่ใจสบาย แล้วลมหยุดอันนั้นน่ะฌาณ4ครับ
    จริงๆ แล้วมันจะผ่านปีติอะไรที่ว่าก็จริงอยู่
    แต่มันผ่านเร็วมาก เหมือนเราวิ่งอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างทาง
    ก็เลยรู้สึกเหมือนไม่มีปีติ มันผ่านไปเป็นฌาณ4 ภายในเสี้ยววินาที
    แต่ถ้ามันผ่านช้าๆค่อยๆเลื่อนขึ้นมา มันก็พอจะรู้สึกอยู่



    ผมไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเท่าไหร่คับ บ้าเล่นแต่เกมส์
    อยู่ที่วันไหนรุ้สึกสบายๆใจหน่อยก็นั่งแล้วก็นั่งได้ดีด้วย
    แบบนี้ถ้าเคยถึงขั้นลมหายใจละเอียด ชานมันจะเสื่อมมากไหมคับ

    เวลาเราเล่นเกมส์ เมื่อไหร่ ตอนนั้นจิตของเราจะเสื่อมจากสมาธิครับ
    นอกจากเราจะสามารถประคองฌาณได้ตลอดแม้จะเล่นเกมส์ก็ตาม
    ถ้าฝึกจริงๆ มันก็ทำได้ไม่ยากครับ
    เพราะถ้าฝึกจริงๆ เราจะต้องประคองลมหายใจสบาย อารมณ์ใจสบาย อารมณ์เมตตา
    เอาไว้ให้ได้ตลอดทั้ง24ช.ม.ครับแม้จะกินข้าว อาบน้ำ ออกกำลังกาย หรือจะทำกิจการใดอยู่ก็จะต้องทำให้ได้ แล้วถ้าเรารู้วิธีก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ
    สำคัญที่เรามีความใฝ่ในการปฏิบัติแค่ไหนเท่านั้นเอง
    ส่วนวิธีก็พอจะแนะนำอย่างละเอียดไปแล้ว ในเรื่องการจับลมหายใจ ให้ลองทำดูนะครับ

    ขอเพิ่มเติมนะคับ
    จับลมหายใจ แล้วลมหาย ก็มันหายไปแล้ว -*-
    จะจับอะไรล่ะคราวนี้ ช่วยแนะนำด้วยนะคับ
    ผมไม่ได้ไปไหนซักที ได้แค่หยุดหายใจแล้วก็ หยุดจิงๆ (หยุดนั่งสมาธิเลย เข้าซอยแล้วเจอทางตัน )

    ก็ฝึกจับลมหายใจ ให้ลมหาย ลมหยุดไป ให้ได้ตลอด24ช.ม.สิครับ
    ถ้าทำได้ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ
    ถ้าทำได้ตลอดแล้วเราก็เพิ่มอารมณ์ใจที่แผ่เมตตา จนจิตชุ่มเย็นเข้าไปด้วย
    ต่อจากเมตตาแล้ว เราจะหันไปจับอะไรก็ได้ทั้งหมด แทบจะทันที
    ถ้ารู้วิธีการและอารมณ์ใจที่ถูกต้อง

    สรุปว่า ทำใจสบายๆ ฝึกจับลมหายใจ หยุดลมหายใจให้คล่อง แผ่เมตตา ทำใจให้ชุ่มเย็น
    และประคองลมหายใจ หรือจิตที่ชุ่มเย็นให้ได้ตลอด24ช.ม.
    ลองทำดูครับ ทำใจสบายๆ อย่าเครียด อย่ากังวล อย่าหนัก มากเกินไป
    แล้วจะดีเองครับ
    ขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปครับ
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณchoosake<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1741535", true); </SCRIPT> ครับ
    1. พอเราสามารถที่จะขึ้นได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แม้ว่าอาจจะฝืดๆนิดๆหน่อยๆ
    แต่ก็พอจะทำได้แล้ว
    ทีนี้ให้เราหัดประคองอารมณ์ใจที่เราอยู่บนพระนิพพาน ที่เราเห็นภาพพระพุทธเจ้าปางพระนิพพาน
    เอาไว้ให้ได้24ช.ม. จะลืมตา หลับตา ก็ให้จิตของเราจับภาพพระนิพพานเอาไว้ตลอด
    ให้เราลองฝึกไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าเราเกาะพระนิพพานอยู่ทุกลมหายใจ
    แล้วความแจ่มใส ความชัด ของภาพ จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
    และความรักในพระนิพพานของเราจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

    2.ให้เราอธิษฐานขอบารมีจากพระพุทธเจ้า ทุกๆครั้ง
    เช่น ขอพระพุทธเจ้าได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่พระนิพพาน
    แล้วจะเห็นได้ชัดกว่าปกติ
    ก่อนพิจารณาขันธ์5 ก็ให้เราขอบารมีจากพระพุทธเจ้าให้พระองค์สอนเรา
    แล้วเราก็จะรู้สึกว่าพระองค์กำลังสอนเราอยู่ และพระธรรมที่เหมาะสมกับดวงจิตของเราก็จะหลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระธองค์เอง
    แล้วก็ให้เราคิด พิจารณาไปตามนั้น

    3.การพิจารณาร่างกายนั้น ก็คือตัววิปัสสนาญาณ และสามารถจะทำได้หลากหลายวิธีตามแต่จริตของบุคคล
    ผมจึงจะขอแนะนำวิธีคร่าวๆ
    1.สำหรับผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้ว ให้เรายกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน
    และขอให้พระพุทธองค์สอนเราเลย ให้พระองค์ท่านนำเราพิจารณา
    แล้วจิตของเราจะไหลลื่นพิจารณาไปเอง แบบนี้จะเหมาะที่สุดกับเรา
    2.พิจารณาแบบตัดสังโยชน์10
    คือพิจารณาไล่ตัดสังโยชน์ทีละข้อๆ จนตัดครบ10ข้อตามที่หลวงพ่อบอกเอาไว้
    3.พิจารณาตามหลักวิปัสสนาญาณ9
    ไล่ไปทีละญาณ อันนี้หลวงพ่อก็มีสอนเอาไว้
    4.พิจารณาด้วยกฏไตรลักษณ์ จับร่างกายมาพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีสภาพไม่ทรงตัว แล้วไล่อารมณ์ไป หลวงพ่อท่านก็มีสอนอีก
    5.พิจารณาสภาพรอบตัวเรา
    คือหากเราได้เห็นหรือพบเจอสิ่งใดในชีวิตประจำวันให้เรานำสิ่งนั้นมาพิจารณาทั้งหมด
    เช่น เห็นกบตายบ้าง วัวตายบ้าง สัตว์ต่างๆตายบ้าง
    เราก็มาพิจารณาว่า ร่างกายของเขากับเรามันก็ต้องตายเหมือนกัน เป็นต้น
    6.พิจารณาอย่างพิศดาร
    แท้ที่จริงแล้วการพิจารณานั้นสามารถทำได้อย่างมากมายหลายวิธี
    เช่น พิจารณาไปกรรมฐาน40 ในสติปัฏฐาน4 พิจารณาด้วยอำนาจของญาณทัศนะต่างๆ เช่นระลึกถึงอดีตชาติว่าเราก็มีความทุกข์ไม่ต่างกัน หรือการพิจารณาสิ่งต่างๆตามกิเลสที่เรากำลังเผชิญอยู่
    ขอแค่เราพิจารณาแล้วจิตปล่อยวางจากขันธ์5 ร่างกาย บรรเทากิเลสได้ จิตมีความเบาสบายก็ถือว่าพิจารณาได้ถูก

    สรุปว่าการพิจารณาให้เหมาะสมกับเราที่สุด เหมาะสมกับอารมณ์ใจของเรา ณ ขณะจิตนั้นมากที่สุด ก็มีความแตกต่างกันไปตามเวลา สถานที่ ตัวบุคคล การพิจารณาไม่มีการตายตัว
    แต่ขอให้ขอบารมีจากพระพุทธเจ้าทุกครั้ง ว่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถพิจารณาธรรมะของพระพุทธองค์ได้อย่างละเอียด ลึกซึ้ง ถูกต้อง และน้อมใจยอมรับอย่างแท้จริง
    การพิจารณาจำเป็นที่จะต้องมีอารมณ์ใจที่ปล่อยวาง เบาสบายใจ
    ยิ่งพิจารณายิ่งปล่อยวาง เบา สบายใจ
    ไม่ใช่ยิ่งพิจารณายิ่งสะสมทุกข์ ยิ่งอมทุกข์ ยิ่งหดหู่ ยิ่งเซ็ง แบบนี้อารมณ์ของจิตจะเศร้าหมอง ทำให้เป็นการเสียกำไร

    ดังนั้นขอให้พิจารณาเพื่อปล่อยทุกข์ไม่ใช่เพื่อสะสมทุกข์
    ขอให้เจริญก้าวหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2008
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ศีล5 ครับ
    ขอให้ลองบอกอารมณ์ใจในการปฏิบัติว่าได้ปฏิบัติมาในแนวทางไหน
    และจิตมีความสงบยังไง มีอาการ อารมณ์ใจอย่างไร บ้าง
    เพื่อที่จะได้สามารถตอบได้อย่างละอียด ว่าควรที่จะปรับอารมณ์ใจอย่างไรครับ

    สีของจิตก็เป็นลักษณะหนึ่ง ของการเห็นด้วย เจโตปริยญาณ คือการรู้วาระจิตของผู้อื่น
    การเห็นก็ต้องเห็นด้วยจิต เห็นด้วยญาณทัศนะ
    หลวงพ่อฤาษีท่านบอกว่า สีของจิตที่นักปฏิบัติต้องการมีเพียงสีเดียว
    คือ สีเพชร
    คือเราจะต้องทำจิตของเราให้ใสเป็นเพชร อยู่ตลอดเวลา
    จะทำแบบนี้ได้ก็ต้องเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา
    ในส่วนของสมถะเราก็ทำจิตให้เป็นฌาณที่สูงที่สุด ฌาณ4 ฌาณ8
    ในส่วนของวิปัสสนา เราก็พิจารณาขันธ์5 ร่างกาย จนจิตปล่อยวางจากร่างกาย
    ยิ่งปฏิบัติให้ใจ เบา สบาย ชุ่มเย็นมาก จิตก็ยิ่งใส เปล่งประกายระยิบระยับ
    เราจะต้องหมั่นตรวจอารมณ์ใจของเราอยู่เสมอ ให้ใสเป็นเพชร
    อย่างต่ำที่สุด ก็ควรจะต้องทรงฌาณเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา
    ถ้าเราไม่ประคองฌาณเอาไว้ จิตก็จะมีสีที่ขุ่นมัวบ้าง หรือมีสีต่างๆบ้าง
    แต่ถ้าเราประคองฌาณเอาไว้เสมอ จิตก็จะมีสีทอง สีขาว หรือใสเป็นแก้ว เป็นอย่างต่ำ

    ขอให้ลองประคองจิตของเราให้สะอาด ใสเป็นเพชร ให้ได้ตลอด24ช.ม.ดูนะครับ
     
  5. เกษม เกษม

    เกษม เกษม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +50
    ขอถามว่า หลังจากทำกรรมฐาน หรือ หลังสวดมนต์ เวลาแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
    โดยเฉพาะตอนอุทิศ ทำไมถึงมักจะขนลุกเสมอ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ก็เป็นอาการของปีติครับ
    อาจจะมีเทพ เทวดา ที่ท่านได้รับ ได้โมทนาแล้ว
    แล้วท่านต้องการ ให้เรารู้ว่าท่านได้รับแล้ว
    จึงทำให้เราขนลุกมี และอาจจะเกิดจากความรู้สึกที่เราอิ่มใจ
    เวลาที่ได้อุทิศบุญให้กับผู้อื่นด้วยอีกส่วนหนึ่ง

    แต่แบบนี้ก็ทำให้เราเกิดความมั่นใจในตัวเองครับ ว่า
    บุญที่เราทำนั้น มีผลจริง และมีผู้ได้รับบุญจริงๆ
    ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดไปเอง หรือเป็นแค่เพียงเรื่องที่เล่าๆกันมา

    ก็ขอให้หมั่นแผ่เมตตา ทำใจให้สบายด้วยเมตตาไปเรื่อยๆครับ
    ผู้ที่มีเมตตาก็คือผู้ที่มีฌาณ
    ถ้าตายด้วยเมตตา อย่างเลวที่สุดก็เป็นพรหมครับ
    ดังนั้นต้องรักษาความเมตตาของเราเอาไว้ตลอดเวลาครับ
     
  7. roc75258

    roc75258 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    คือเมื่อประมาณ2ปีที่แล้วผมเคยหัดนั่งเองที่บ้าน แบบปล่อยอารมณ์สบายๆ แต่จำคำภาวนาไม่ได้ครับ รู้สึกว่าจะเคยผ่านถึงปิติ4ครับ พอดีไม่เคยนั่งได้ถึงอารมณ์นั้นมาก่อน เลยตกใจกลัว+วิ่งไปหาพ่อเลยครับ (ตัวลอย+สงสัยด้วยว่ามันลอยจริงหรือเปล่าครับ) ตั้งแต่นั้นมา นั่งยังไงก็ไม่นิ่ง ไม่สงบ แล้วก็ไม่สบายซักวันเลยครับ พี่Xorce พอจะให้คำแนะนำว่าผมควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปได้ไหมครับ?

    เมื่อก่อนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ ตั้งแต่นั่งรอบนั้น+อ่านเว็บพลังจิตนี่ หมดสงสัยเรื่องพระรัตนตรัยเลยครับ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณroc75258<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1747176", true); </SCRIPT> ครับ
    ในยุคของเราปัจจุบันนั้น
    มีนักปฏิบัติที่เยอะมาก ที่เลิกปฏิบัติไปเลย
    เพราะว่าเกิด ปีติ
    บางคนกลัวไม่กล้านั่งอีก บางคนอยากให้เกิดปีติจนจิตใจไม่สงบ
    บางคนก็ทำได้แค่ถึงปีติแม้จะฝึกมาเป็นระยะเวลานาน

    คำแนะนำก็คือ
    การทำสมาธิ ถ้าเป็นสมถะก็ทำเพื่อทำให้ใจสบาย เบา สงบ ชุ่มเย็น เป็นฌาณ4 ฌาณ8
    เราไม่ได้ทำสมาธิกัน เพื่อให้เกิดปีติครับ
    เนื่องจากจิตที่เกิดปีติ ยังเป็นสมาธิระดับไม่สูงถึงที่สุด
    ดังนั้นไม่จำเป็นที่เราจะต้องอยากให้ปีติเกิดขึ้น หรือกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นครับ

    ที่นั่งสมาธิแล้วไม่สบายใจ ก็เกิดจากการอยากให้ปีติเกิดขึ้น และเกิดจากการที่เราตื่นเต้นกับปีติด้วยอีกส่วนนึงจะต้องคอยพะวงว่าถ้าตัวเรามันลอยอีกที เราจะทำยังไงกับมัน
    ดังนั้นให้เราไม่ต้องสนใจเรื่องปีติเลยครับ
    ให้เราทำใจของเราให้สบาย ให้เบา ให้มีความสุข
    ถ้าเกิดปีติ ก็ให้เราดูมันไปเฉยๆครับ ไม่นานจิตก็จะผ่านปีติขึ้นไปเอง

    ให้ลองทำตามเรื่อง การจับลมหายใจด้วยใจสบายๆแบบที่ผมได้เขียนลงไปดูนะครับ
    ถ้าทำแบบนั้นจิตมันจะทะลวงปีติไปเลย
    ส่วนมากจะไม่เจอปีติ
    ทำให้ตัดปัญหาเรื่องนี้ทิ้งไปได้เลย
    แล้วพอจิตของเรามันละเอียดกว่านี้ เราค่อยย้อนลงมาดูเพื่อพิจารณาศึกษาเป็นความรู้ก็ได้ครับ
    แต่อารมณ์ใจของเราเวลาฝึกสมาธิ ให้เน้นไปที่อารมณ์เบา สบาย นิ่ง ชุ่มเย็น อิ่มเอิบ สบายๆครับ
    แล้วจิตของเราจะไม่ภะวงกับองค์ฌาณ กับปีติ จะไม่สนใจว่าเราอยู่ฌาณไหน อะไรยังไง ให้มันฟุ้งซ่านเล่นๆ
    ขอแค่เราใจสบายก็พอ มันจะอยู่สมาธิระดับไหนก็ไม่สำคัญ
    เพราะใจสบายเมื่อไหร่ จิตเป็นฌาณเมื่อนั้น

    สรุปว่า ถ้าเกิดปีติก็ให้ดูมันเฉยๆ แล้วเน้นทำใจให้สบาย ให้มีความสุขครับ
    ขอให้เข้าถึงซึ่งความสงบ เป็นฌาณสมาธิ ได้โดยง่ายนะครับ
     
  9. เกษม เกษม

    เกษม เกษม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +50
    ขอบคุณมากครับ
     
  10. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอสอบถามเนื่องเรื่อง สักนิดครับ
    เรื่อง ผีอ่ำ
    อยากทราบสาเหตุที่แท้จริง ว่าต้องการอะไรกันแน่
    เนื่องจากว่า ที่บ้านของผม ตัวผมเคยโดนผีอ่ำ บ่อยมาก ๆ และหลัง ๆ มานี้
    เกิด ว่ามีการไปอ่ำ น้องสะใภ้ (ฝันว่าวิ่งมาให้ผมช่วย)
    และ ล่าสุด ไปเข้าฝัน คุณยายผม และล่าสุดกว่านั้น ไปเข้าฝันและอ่ำแฟนผม
    ลักษณะ บุคคล ในความฝัน เป็นคน ๆ เดี่ยวกัน แฟนผม ไม่ได้กลัวอะไรมาก ถามในความฝันว่าต้องการอะไร ก็ไม่บอก แต่อึ่ดอัดหายใจมาก และ ด่าไปเยอะครับจนตื่น และห้องผม มียันต์เกราะเพชร ใส่กรอบ ตั้งไว้ด้วย ครับ
    รบกวน ด้วยครับว่า ควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง

    ออ เวลาผมสวดมนต์ ไหว์พระ ตอนเช้า ก็ อุทิศให้ เจ้าที่เจ้าทางผีบ้านผีเรื่อง ตลอดเหมือนกันครับ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ผี ไม่ได้กลัว คำสวด หรือ มนต์ หรอกครับ ผี บางตน สวดมนต์ชินบัญชรเก่งกว่าเราอีก

    ยันต์ก็ดี เครื่องลางก็ดี พระสร้อยห้อยคอก็ดี บางอันก็มีผีอยู่ในนั้นครับ

    ดังนั้น คุณเอาอะไรเข้าบ้านกันแน่ คุณจะรู้หรือครับ ก็เที่ยวไปไหว้แล้วรับเอามา

    ดีไม่ดี ชักศึกเข้าบ้านนะครับ หากต้นสังกัดอยากได้อะไรไปอัดใส่เครื่องลาง ก็ให้ไส้ศึก
    ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนในบ้านนั้นแหละ มาพาเอาไป

    เจริญสติ ให้ธรรมะเกิดขึ้นเป็นเกราะ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงดีกว่า ไปเอาอะไรภายนอก
    ที่เราไม่รู้มาทำให้เกิดความไม่รู้เพิ่มเข้าไปอีก ลำพังแค่รู้กาย รู้ใจตนก็แย่แล้ว

    สรรพสัตว์ไม่ว่าภพไหนก็ล้วนเกิดเพราะยังมีจิตติดอวิชชาเหมือนกันทั้งนั้น

    คุณคิดว่าเขาจะช่วยเรา เป็นที่พึ่งให้เราได้จริงๆ เหรอ

    ตอนผมไปทำบุญกฐิณ พระปลัดก็ให้พระผงมาเป็นกล่อง เพราะเป็นเจ้าภาพ
    พอเอาเข้าบ้าน ก็โดนอำ มากันหลายคน ผมก็วิ่งไล่เตะ เพราะไม่ใช่พวก
    กลัวหัวหด พอมาทวนดู ก็อ๋อ สงสัยจะมีใครจับผีอัดใส่ในเหรียญในยันต์ ก็
    นักสมาธิสักผักแล้วอธิษฐานว่า หากมีบุญบารมีทำมาขอให้ผีที่อยู่ในฐานะอนุโมทนา
    ได้ให้กล่าวอนุโททนา ผีตนไหนไม่อาจเห็นได้ให้ได้รับอนิสงค์จากการแผ่ส่วน
    บุญที่เกิดขึ้นจากผีที่เห็นได้ หลังจากนนั้นก็ไม่มีเรื่องกวนใจ กวนสมาธิอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2008
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407

    อืม! เข้าท่าอยู่เหมือนกัน
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ศีล5 ครับ
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ขอให้ลองบอกอารมณ์ใจในการปฏิบัติว่าได้ปฏิบัติมาในแนวทางไหน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อานาปานสติ + กำหนดภาพพระ ภาวนาพุทโธ บางครั้ง ก็ฝึกแบบมโนมยิทธิ (ด้วยตนเอง) ไม่เคยฝึกกับครูฝึกค่ะ

    ให้ลองไปฝึกกับครูซักครั้งนึงครับ
    พอได้ครั้งแรกแล้วก็สามารถนำมาฝึกเองได้สบาย
    ถ้ายังทำไม่ได้ก็ให้ ฝึกสมาธิให้ใจสบาย ตามที่ฝึกได้แล้วไปก่อนนะครับ


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">จิตมีความสงบยังไง มีอาการ อารมณ์ใจอย่างไร บ้าง </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เริ่มต้นนั่งภาวนาจับลมไปสักพัก ลมหายใจก็เบาสบาย คำภาวนาหายไป นิ่งอยู่สักพัก ก็ถอยมาพิจารณาค่ะ

    คำภาวนาหายไป จิตก็เริ่มเป็นฌาณแล้วครับ
    เสร็จแล้วจับลมหายใจ สบายๆ จิตก็จะมีความชุ่มเย็น จะอยู่ประมาณฌาณ2ครับ
    ถ้าลมหายใจเริ่มช้าลง จนลมหายใจแค่ที่ปลายจมูกนิดเดียว จิตก็จะประมาณฌาณ3ครับ
    พอลมหายใจช้าลงเรื่อยๆ สบายๆ จนลมหายใจหยุดนิ่ง จิตของเราก็หยุด เบาๆ สบายๆ นิ่งๆ ตอนนี้จิตเป็นฌาณ4ครับ ถ้าลมยังไม่หยุดก็ประมาณฌาณ3
    เสร็จแล้วก็ถอยมาพิจารณา ถือว่าทำได้ถูกครับ
    ทีนี้ให้เราอธิษฐานด้วยครับ ว่าให้เราจับลมหายใจสบายๆ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ทีนี้ให้เราลองดูระหว่างวัน ให้เราจับลมหายใจสบายๆ เอาไว้ให้ได้ทั้งวัน
    ส่วนคำภาวนา ก็ไม่จำเป็นจะต้องจับแล้ว เพราะอารมณ์ใจเราละเอียดกว่านั้นแล้ว
    หากเราสามารถประคองลมหายใจสบายๆเอาไว้ให้ได้ทั้งวัน
    จิตของเราก็ถือว่าทรงฌาณทั้งวันด้วยครับ

    การที่เราจะดูจิตของผู้อื่นและตัวเราเองได้ จิตของเราก็จะต้องมีความละเอียด มากกว่าเขา
    หากได้มโมยิทธิแล้วถือว่าเป็นของง่ายมากครับ
    คือให้เรายกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน แล้วกราบพระพุทธเจ้า
    จากนั้นให้ตั้งจิตขอบารมีจากพระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเห็นจิตของผู้อื่นได้
    เพื่อเป็นการศึกษา และเพื่อใช้พิจารณาในการตัดกิเลส ไม่ใช่เพื่อการอวดคุณวิเศษที่เราได้รับจากพระองค์

    ส่วนถ้ายังไม่ได้มโนมยิทธิ ให้เราจินตนาการ หรือจับภาพพระพุทธรูป
    นึกให้เห็นเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรได้ยิ่งดี
    เสร็จแล้วก็ขอบารมีจากพระพุทธเจ้า ตามที่ได้เนะนำเอาไว้คร่าวๆ
    จากนั้น ก็ให้เราจับภาพพระเป็นเพชรจนใจสบายอีกครั้งนึง
    จากนั้นก็เพิกภาพพระพุทธรูป
    เราก็จะเห็นสีของจิตตัวเองและผู้อื่น
    โดยให้เริ่มจากสีของจิตตัวเองก่อน
    ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสีครับ เราอาจจะทราบว่าเขากำลังโมโห โดยมีคำพูดขึ้นมา
    หรืออาจจะจับคลื่นอารมณ์ของเขาได้ ว่ามีความเย็น ร้อน สบาย อึดอัด ประการใด

    จุดประสงค์ของการรู้วาระจิตนี้
    1.เพื่อตรวจสอบอารมณ์ตัวเองว่าเรากำลังมีกิเลสประการใด จะได้ตัดได้ถูก
    2.เพื่อเอาไว้ใช้แนะนำ สอนสมาธิให้กับคนอื่น

    ดังนั้นขอให้จับภาพพระ ทำใจเราให้ เบา สบาย ชุ่มเย็นเสียก่อน
    แล้วเราก็จะสามารถรู้วาระจิตได้ โดยไม่ยากนัก
    สำคัญว่าดู รู้ เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยกตนข่มผู้อื่น แบบนี้วิชาจึงจะไม่เสื่อมครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    ขอสอบถามเนื่องเรื่อง สักนิดครับ
    เรื่อง ผีอ่ำ
    อยากทราบสาเหตุที่แท้จริง ว่าต้องการอะไรกันแน่
    เนื่องจากว่า ที่บ้านของผม ตัวผมเคยโดนผีอ่ำ บ่อยมาก ๆ และหลัง ๆ มานี้
    เกิด ว่ามีการไปอ่ำ น้องสะใภ้ (ฝันว่าวิ่งมาให้ผมช่วย)
    และ ล่าสุด ไปเข้าฝัน คุณยายผม และล่าสุดกว่านั้น ไปเข้าฝันและอ่ำแฟนผม
    ลักษณะ บุคคล ในความฝัน เป็นคน ๆ เดี่ยวกัน แฟนผม ไม่ได้กลัวอะไรมาก ถามในความฝันว่าต้องการอะไร ก็ไม่บอก แต่อึ่ดอัดหายใจมาก และ ด่าไปเยอะครับจนตื่น และห้องผม มียันต์เกราะเพชร ใส่กรอบ ตั้งไว้ด้วย ครับ
    รบกวน ด้วยครับว่า ควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง

    ออ เวลาผมสวดมนต์ ไหว์พระ ตอนเช้า ก็ อุทิศให้ เจ้าที่เจ้าทางผีบ้านผีเรื่อง ตลอดเหมือนกันครับ

    ลักษณะนี้ เกิดจากกรรมครับ คาดว่าน่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร
    วิธีก็มีสามวิธีคร่าวๆครับ
    1.ทำบุญอุทิศไปให้ สังฆทานชุดนึง ยิ่งดี
    2.ตั้งจิต กราบขอขมากรรมกับเขา พร้อมกับแผ่เมตตาอุทิศไปให้ ให้แผ่เมตตาจนใจของเราชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอมครับ
    3.ถ้ายังไม่ได้ผล ให้ขอบารมีจากพระพุทธเจ้า ให้ประทับเหนืออาณาบริเวณบ้าน
    และเหนือศรีษะของทุกๆคน
    คือ ให้จินตนาการถึงภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ให้อยู่เหนือบ้าน เหนือศรีษะ
    จะจินตนาการว่ามีภาพยันต์เกราะเพชร มาห้อมล้อมทั้งตัวบ้านและบุคคลซ้ำอีกขั้นด้วยก็ยิ่งดีครับ
    แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีจากพระองค์ครับ

    ถ้าทำขั้นที่3แล้ว ก็น่าจะบรรเทาลงแล้วครับ
    ถ้ายังไม่ไปก็จะต้องคอยอุทิศบุญ แผ่เมตตาให้ไปเรื่อยๆ
    เพราะถ้าเราขอบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองแล้ว ยังมีอาการอีกนี่ อันนี้เกิดจากจิตของเราอาจจะคลาดจากพระ หรือไม่ก็เป็นกรรมครับ สิ่งอื่นใดจะผ่านเข้ามาไม่ได้

    ขอให้ลองทำดู และประสบผลสำเร็จนะครับ
    <!-- / message -->
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ไม่มีสภาวะใด ทีเหนือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ
    ถ้าเราเชื่อมั่น ศรัทธาและนอบน้อมเคารพพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
    ไม่มีทางที่เราจะถูกทำอันตรายได้ครับ

    แต่ร่างกายมันก็ไม่เที่ยงเป็นธรรมดาครับ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างเป็นธรรมดา
    ส่วนจิตใจ ของเรา ที่เป็นตัวเราจริงๆนั้น จะไม่มีทางที่ใครจะทำอะไรได้ ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ

    ดังนั้นถ้าเคารพพระพุทธเจ้าจริง บทสวดทุกบท คาถาทุกคาถา พระเครื่องทั้งหมด
    ก็สามารถที่จะคุ้มครองเราได้จริง
    แต่จะคุ้มครองไม่ได้ ก็กับผู้ที่ปากบอกว่าเคารพ แต่ใจไม่ได้เคารพจริงเท่านั้น
     
  16. roc75258

    roc75258 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้กังวลเรื่องปิติแล้วครับ ปัญหาในช่วงนี้คือ เวลาผมนั่งสมาธิ ส่วนมากจะท่อง นะมะพะธะ ซักพักวูบ(หลับ)ครับ พอรู้สึกตัวอีกทีนี่ ตัวเอนมาข้างหน้าแบบหน้าผากแทบจะแตะกับขาตัวเองเลยครับ ไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรหรือครับ?
     
  17. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ถึง คุณ นิวรณ์
    ผม พึ่ง จะ ไปบูชา พระ 6 กษัตริย์ ที่วัดบางนมโค มา 1 ชุด (เป็นเหรียญ แบบพระพุทธเจ้าประทับเหนือ สัตว์ 6 ชนิดครับ)
    และ แม่ผม นำพระมาเพียบ ในวันเดี่ยวกัน อีก เหอะ ๆ ๆ ๆ จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ออ ที่ผมก็วิ่งไล่เตะ เพราะไม่ใช่พวก
    กลัวหัวหด พอมาทวนดู ก็อ๋อ สงสัยจะมีใครจับผีอัดใส่ในเหรียญในยันต์ ก็
    นักสมาธิสักผักแล้วอธิษฐานว่า หากมีบุญบารมีทำมาขอให้ผีที่อยู่ในฐานะอนุโมทนา
    ได้ให้กล่าวอนุโททนา ผีตนไหนไม่อาจเห็นได้ให้ได้รับอนิสงค์จากการแผ่ส่วน
    บุญที่เกิดขึ้นจากผีที่เห็นได้ หลังจากนนั้นก็ไม่มีเรื่องกวนใจ กวนสมาธิอีก

    เวลา โดน อ่ำ จะลุก ไปเตะ กับผียังไง อ่ะ ไม่ได้แกล้ง ผมก็อยากทำได้บ้าง

    ถึงคุณ Xorce
    ในวิธีการ ข้อ ที่ 3 นี้เหมือนกับ ว่าต้องใช่ สมาธิและพลังจิต(ไม่รู้ว่าถูกเปล่า) ค่อนข้างสูงหรือ แนวแน่น มาก ๆ และ ตลอดเวลา หรือเปล่าครับ ถ้า ครอบบ้าน รอบบ้าน พอไหวครับ
    แต่ถ้า ให้ กับทุกคนในบ้านนี้ คงไม่ไหว เพราะ บ้านผมอยู่กัน ทั้งหมด 11 คน ทุกมุม ของบ้าน (หลายห้อง)

    แต่ขอบคุณ ที่แนะนำครับจะลองนับไปปฏิบัติที่ละข้อ
    ขอบคุณมาก ๆ ครับ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    นะมะพะธะ ที่ท่องก็มีเจตนาเพื่อจะทำเป็นมโนมยิทธิ
    ดังนั้นเราจะนอนไปเลยไม่ต้องนั่งก็ได้ครับ
    มันจะทำให้ใจสบาย แล้วกายทิพย์จะออกง่ายกว่า
    แต่แนะนำให้ไปฝึกครึ่งกำลังมาก่อนดีกว่า จะง่ายกว่าเยอะครับ

    อาการง่วง มันจะเกิดจากจิตไม่ตื่นตัว จิตประคองสติไม่ได้ครับ เลยหลับง่าย
    แบบนี้แนะนำให้เพิ่มจับภาพพระ ให้เห็นเป็นเพชรได้ยิ่งดี
    หรือจับลมหายใจควบด้วยจะดีกว่า
    มันจะทำให้จิตสว่าง ตื่นตัวมากกว่า จะไม่ง่วงหลับ

    กับอีกทีก็ถ้ามันหลับแล้วใจสบาย มันตัดเข้าฌาณละเอียดก็ปล่อยมันไปเถอะครับ
    หลวงพ่อบอกว่าถ้าเราภาวนาจนหลับ ใจสบาย เราหลับไปนานแค่ไหน
    ก็ถือว่าทรงฌาณไว้นานเท่านั้น
    เป็นวิธีฝึกที่ง่ายครับ ภาวนาแล้วนอนมันไปเลย

    อีกวิธีก็คือ นะมะพะธะ ก็ดี ลมหายใจก็ดี ภาพพระก็ดี
    ให้ภาวนา จับ เอาไว้ตลอดทั้งวันครับ
    จะได้ถือว่าเราทรงสมาธิทั้งวัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนนั่งก่อนนอนเท่านั้น
    จะได้รุ้สึกว่าวันนึงเราทำสมาธิ24ช.ม. มันจะมากกว่าเรานั่งแค่ประมาณ2ช.ม.ตอนอยู่ที่บ้าน
    ลองทำทั้งวันดูครับ แล้วมันจะไม่ง่วง อย่างที่เคยเป็น
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ
    ถ้าเราทำเองมันก็ต้องใช้พลังสูงอย่างที่ว่าจริงๆ
    เราจึงจำเป็นจะต้องขอบารมีจากพระพุทธองค์ไงครับ
    สิ่งที่เราทำคือขอบารมีจากพระพุทธเจ้า
    และเชื่ออย่างสุดใจว่าท่านคุ้มครองเราได้จริงก็เท่านั้นเอง ไม่ยากครับ
    แล้วตัวเราเองก็ประคองสมาธิ จับภาพพระ ไว้เสมอเท่านั้นเองครับ
    เรื่องการคุ้มครอง เป็นบารมีของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเราครับ จึงไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังของตัวเองเลย
    เราเองอาจจะทำไม่ไหว แต่ถือเป็นเรื่องเล็กของพระพุทธองค์ครับ
    อยู่ที่ศรัทธาของเราในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ
     
  20. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอถามบ้างนะค่ะ ตอนนี้มันจะมีอาการแบบว่า หากจิตสงบปุ๊บ ไม่ว่าจะนั่งหลับตาอยู่หรือก็ตาม
    มันจะเกิดอาการ เหมือนคนจะเป็นลมอ่ะค่ะ เหมือนจะวูบเล็กๆ แต่ไม่ได้วูบนะค่ะ
    พูดไม่ถูกเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่างแต่ไม่ใช่ เป็นแบบเล็กๆ วูบเล็กๆ อะไรอย่างเนี่ยอ่ะค่ะ
    มันเป็นอาการใดค่ะ แล้วจะพัฒนาอย่างไรต่อไปดี ช่อยตอบคำถามด้วยขอบพระคุณค่ะ
    ตอนนี้เกิดปิติตัวโยก บางทีรู้สึกเหนื่อย หลังๆรู้สึกว่าน้อยลง รู้สึกตัวเบาสบายขึ้น
    และเกิดอาการเหมือนวูบ หรือตกเล็กๆ ดังที่กล่าวไปข้างต้นอ่ะค่ะ วอนช่วยสอนสั่งด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...