บุ ญ แ ห่ ง ก า ร ภ า ว น า

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    บุ ญ แ ห่ ง ก า ร ภ า ว น า
    ศิยะ ณัญฐสวามี

    ภาวนา คือการทำให้เกิดขึ้น
    ภาวนา นี้จะเชื่อมโยงกับ ตบะ
    ตบะ แปลว่า การทำให้ตั้งมั่น


    ตัวภาวนาเองคือทำให้เกิดขึ้น
    ทำอะไรให้เกิดขึ้น ทำสมาธิทำปัญญาให้เกิดขึ้น
    เราจะได้ยินอยู่ ๒ คำก็คือ

    สมถะภาวนา กับ วิปัสสนาภาวนา
    ทั้งสองอันนี้มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน
    คือ ต้องการให้เกิดสมาธิและปัญญา
    สมาธิและปัญญามันจะเชื่อมต่อกัน
    เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งรวมกัน


    ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ที่ ถู ก ต้ อ ง

    สติเป็นพื้นฐานของสมาธิ
    สมาธิเป็นพื้นฐานของปัญญา
    สติสัมปชัญญะ คือทำความรู้ตัวทั่วพร้อมให้ปรากฏ
    เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งรวมกัน
    สติสัมปชัญญะจะทำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา โดยธรรมชาติ

    สติสัมปชัญญะจำให้กลับมารู้จักตนเอง
    ส่วนสติปัญญาจะทำให้เข้าใจความเป็นจริง
    สมาธิกับปัญญานั้น มันเป็นตัวเสริมซึ่งกันและกัน
    หมายความว่า ถ้าเรามีสมาธิมาก
    ปัญญาของเราก็จะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล
    พอเรามีปัญญามากเราก็จะยิ่งเข้าสมาธิได้ลึกซึ้ง

    สมถะกับวิปัสสนาคือสองสิ่งที่จะต้องไปด้วยกัน
    เหมือนคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
    คือด้านหัวกับด้านก้อย


    ในขณะที่เราหงายด้านหัวขึ้น
    ก็ต้องมีด้านก้อยรองรับ
    ขณะที่หงายด้านก้อยขึ้น
    ก็ต้องมีด้านหัวรองรับ
    หมายความว่าในขณะที่เราเจริญวิปัสสนาให้ได้ผล
    เราจะต้องมีสมถะรองรับเสมอ


    ถ้าจะเปรียบอีกอย่างได้อย่างนี้

    วิ ธี ก า ร ป ฏิ บั ติ ท า ง จิ ต ใ จ

    สมถะเหมือนการเดินหน้าเข้า คือ ดำดิ่งจิตไปเลย
    ทำให้จิตสงบดิ่งมั่งมั่นลง
    ไปสู่ความสงบ ความเวิ้งว้าง ความบริสุทธิ์
    เรียกว่าเดินหน้าเข้า
    ส่วนวิปัสสนาเหมือนถอยหลังเข้ามองข้างนอกก่อน เช่น

    มองโลกเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางโลก
    มองสังคมเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางสังคม
    มองร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางร่างกาย

    มองความคิดก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความคิด
    มองความรู้สึก ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความรู้สึก


    เมื่อปล่อยไปเรื่อยๆ
    มันก็เข้าไปสู่ความสงบลึกล้ำเหมือนกัน
    พอเข้าไปสู่ความสงบล้ำลึกก็ได้ปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่เช่นกัน


    ฉะนั้นสมถะเหมือนเดินหน้าเข้า
    วิปัสสนาเหมือนเดินถอยหลังเข้า
    แต่มันเข้าไปสู่ที่เดียวกัน
    คือ มันเข้าไปสู่ความสงบ
    ความสะอาดหมดจด

    พอมันสะอาดหมดจดมันจึงเป็นบุญ
    เพราะบุญคือการชำระให้บริสุทธิ์


    ฉะนั้นสมถะกับวิปัสสนาต้องไปด้วยกันและอาศัยกันและกันเสมอ
    เพราะข้างหน้าข้างหลังเป็นอยู่ด้วยกันตลอด


    เพราะมันคือสองด้านของสิ่งเดียวกัน

    คือมันไปด้วยกัน
    เพียงแต่จะเอาด้านไหนไปด้วยกัน
    ด้านไหนเป็นตัวตามเท่านั้น
    แต่มันต้องติดตามกันไปตลอดไม่อาจพรากจากกัน
    ถ้าพรากจากกันเมื่อไรก็หลุดจากกรรมฐาน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    ผ ล า นิ ส ง ส์ ข อ ง ก า ร ภ า ว น า

    เมื่อภาวนา คือการทำให้เกิดขึ้น
    ทีนี้รู้อะไรที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น
    พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อเราภาวนาแล้ว
    เราสามารถทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นได้ คือ

    ๑. ความสุข : ความสุขเกิดขึ้นแน่ๆ จากการภาวนา
    ๒. ปัญญา : ปัญญาเกิดขึ้นแน่ๆ จากการภาวนา
    ๓. อำนาจ : มันจะมีพลังอำนาจเกิดขึ้นจากการภาวนา
    ๔. ความบริสุทธิ์ : ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยๆ จะเต็มรอบโดยลำดับขึ้น


    ทั้งหมดนี้ คือขบวนการแห่งบุญอันเกิดจากการภาวนา

    คิดดู ความสุขใครไม่ต้องการ
    ปัญญาใครไม่ต้องการ อำนาจในตนเองใครไม่ต้องการ
    ความบริสุทธิ์ใครไม่ต้องการ
    ทั้งหมดนี้ คือสุดยอดของคุณค่าแห่งชีวิตเลยทีเดียว
    เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการภาวนา

    วิ ธี ก า ร ภ า ว น า

    ทำอย่างไรล่ะ เราจึงจะภาวนาให้ได้ผล
    และภาวนาวิธีไหนให้ดีที่สุด
    ถ้าภาวนาหลายๆ วิธีตีกันไหม
    อันนี้เป็นคำถามที่ได้ยินได้ฟังมามาก


    เคยตั้งใจไว้ว่า จะฝึกภาวนาทุกวิธีที่มีสอนอยู่ในโลกนี้

    ก็ไปฝึกมาเกือบหมดเกือบทุกศาสนา
    ไปฝึกจากหลายๆ อาจารย์
    กับฤาษีหลายท่าน
    กับพระหลายท่าน
    ฝึกตามคัมภีร์หลายคัมภีร์ในหลายศาสนา
    และตามเทคนิคในศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆ มามากมาย

    จึงได้พบความจริงว่า

    เทคนิคต่างๆของการฝึกจิต
    มันก็เหมือนอาหารต่างๆ แต่ละประเภท


    พอเรากินหลายๆ อย่างไป
    ถามว่าอาหารมันตีกันไหม

    มันก็ไม่ได้ตีกัน
    มันกลับไปผสานสร้างคุณสมบัติของเราให้เข้มแข็ง
    แข็งแกร่งและพร้อมรับทุกสภาพ
    เพราะในเทคนิคการฝึกแต่ละวิธีมันให้ผลไม่เหมือนกัน

    สารแต่ละประเภทมันทำงานไม่เหมือนกัน
    การฝึกจิตก็เช่นกัน
    เทคนิคการฝึกแต่ละวิธีทำงานก็ไม่เหมือนกัน เช่น
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    กสิณ การรวมศูนย์ทำให้เกิดพลังอำนาจ

    อัปปนาสมาธิ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    เป็นการกระจายออกจากศูนย์กลาง
    เพื่อทำให้จิตยิ่งใหญ่ ทำให้มีความสุข

    อนัตตาญาณ ทำให้มันมองอะไรทะลุปรุโป่ง ทำให้ปัญญาไร้ขอบเขต

    การพิจารณาอสุภะ สิ่งไม่สวยงามทั้งหลาย
    มันจะตรงข้าม เมตตา

    ถ้าเรา เมตตา มากๆ มันจะไปรักคนง่าย
    พอรักคนง่ายมันจะหลงอีกแล้ว
    เมตตา มากก็อาจะหลงได้อีก เพราะมันรักคนง่าย
    แล้วคนก็มารักเรามากเหลือเกิน เพราะ เมตตา มันฉ่ำ
    ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ
    จึงควรเจริญ อสุภะ ควบคู่ไปด้วย
    อสุภะ จะเป็นตัวล้างฉันทะทำให้มีเมตตาในอุเบกขาได้

    แต่ละเทคนิคมันทำหน้าที่กันคนละหน้าที่

    ดังนั้น จิตใจที่สมบูรณ์มันจะต้องมีกรรมฐานทุกอย่าง
    จะต้องมีวิธีการฝึกทุกๆ วิธี
    และพร้อมที่จะใช้เทคนิคที่เหมาะสมเสมอในทุกขณะ
    ในทุกๆปรากฏการณ์แห่งชีวิต
    แล้วมันจะได้จิตใจที่สมบูรณ์


    ถ้าไปฝึกอย่างเดียว
    ฉันจะต้องไปฝึก กสิณ อย่างเดียว
    อย่างอื่นฉันไม่สนก็ได้
    ก็อาจจะเก่งมากในเรื่อง กสิณแต่คุณสมบัติอื่นๆจะไม่ค่อยได้

    จะเก่งในการรวมศูนย์
    พวกนี้จะไม่ชอบพูด
    พวก กสิณ จะบรรยายธรรมไม่ค่อยเก่ง จะชอบอยู่นิ่งๆ
    มีอะไรมาไหวนิดนึงมาสั่นคลอน เสียสมาธิ

    แต่ถ้า เมตตา อย่างเดียวก็เพลิดเพลินกับมหาชน
    มันเพลิดเพลินกับหมู่คณะไปหมด
    เสียศูนย์ง่ายอีกเช่นกัน

    มันจะต้องมีทุกอย่างผสมผสานกัน

    ดังนั้น จากประสบการณ์แห่งชีวิต
    รับรองว่าสมาธิไม่ตีกัน
    แต่ที่ตีกันนั้น คือ ทิฏฐิมานะ อันเกิดจากการยึดถือ


    สมาธิ คือสภาวะจิตใจ
    วิธีการฝึกหลายวิธีก็เพื่อตะล่อมใจให้เข้าสมาธิได้ทุกด้าน
    เพียงแต่เราจะต้องรู้จักการประกอบให้ถูกส่วน
    และการใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์


    และแม้เราจะฝึกมาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจนชำนาญ
    เวลาไปฝึกวิธีอื่นจะง่ายเลย

    เช่น ถ้าเราฝึก อานาปนสติ มาแล้วจนได้ฌาณ
    เพียงฝึก กสิณ ทีเดียวก็ได้สมาธิเลย
    หรือฝึก กสิณ เข้าสมาธิแล้ว
    ฝึก อสุภะ ทีเดียวเลยก็เช่นกัน

    ถ้าได้สมาธิโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง
    แล้วไปฝึกวิธีอื่นยิ่งง่ายใหญ่เลย

    ดังนั้น จงเรียนรู้....จงฝึกฝน
    อาจารย์ท่านใดสอน ฝึกไปให้หมด
    วิธีไหนเหมาะกับภาวะใด
    เอามาใช้ให้ถูกภาวะ
    แล้วท่านจะได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่จากการภาวนา



    ----------------------------------------------------

    ที่มา

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15320

    ----------------------------------------------------
     
  4. ดาโกต้า

    ดาโกต้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +210
    เป็นความรู้ที่ชัดเจนในตัวของมันเอง ขออนุโมทนาสาธุ
     
  5. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    เจาะลึกมาก ๆ
     
  6. khunsittiporn

    khunsittiporn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุ

    เนื่องจากเพิ่งสมัครเข้ามาใหม่ ยังไม่เข้าใจใน วิธีการ ในภาวนาที่ถูกต้อง แต่จะพยายามค้นหาต่อไป
     
  7. mainoi

    mainoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +133
    โมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ (เต้) การนั่งถ้านิ่งบ้าง ไม่นิ่งบ้าง ถือว่าจะได้บุญไหมค่ะ ต่างกับคนที่เขาได้ฌาณมากน้อยแค่ไหน ขอเจริญในธรรมค่ะ
     
  8. แบงก์จ้า

    แบงก์จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +1,520
    สา....ธุ
     
  9. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนา สาธุด้วยนะค่ะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะฝึกกสิณดีไหมอยากฝึกค่ะ
    แล้วก็ มโนมยิทธิ ลองไปดูแล้วแต่ยังไม่ได้ เพราะปกติจะเป็นคนช้า ค่อยเป็นค่อยไป
    มโน นี่เหมือน เค้าได้กันมาแล้ว จึงจะฝึก ถึงจะไปไว ได้เลย แต่เราไปนี่ยังงงๆ
    ไว้หลังๆเลยดีกว่า ตอนนี้ ก็ฝึกวิปัสานาอยู่ พอได้อ่านก็สิ้นสงสัยแล้ว
    เดี๋ยวจะลองไปฝึกกสิณดู ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำนะค่ะ
     
  10. chinasungkia

    chinasungkia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +852
    อนุโมทนากับทุกท่านนะครับ

    เมื่อคืนนี้ ผมลองใช้วิธีภาวนา อย่างเดียว ตามที่ได้ฟังพระธรรมเทศนา จาก พระอาจารย์สมชาติ ธรรมะโชโต ทางวิทยุเอฟเอ็ม 102.25 MHz ท่านว่าให้ใช้เพียงคำภาวนา อย่างเดียว ไม่สนใจ ลมหายใจ ไม่สนใจ ท้องที่ พอง-ยุบ

    ผมได้นำมาทดลอง ภาวนาอย่างเดียวตลอด ภาวนา คำว่า "พุท-โธ" ผมก็ภาวนาของผมไปเรื่อย ๆ ปรากฎว่า ก็สามารถเข้าสมาธิ ได้เช่นเดียวกับที่เรา ดูลมหายใจ หรือ ดูท้อง พอง-ยุบ เลยครับ เพื่อน ๆ ทุกท่าน

    ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูได้นะครับ ผมคิดว่า เข้าสมาธิ ได้เร็วพอสมควร เลยล่ะครับ สำหรับวิธี ภาวนาสมาธิ เนี่ยะครับ.........
     
  11. undersky_08

    undersky_08 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +0
    มองโลกเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางโลก
    มองสังคมเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางสังคม
    มองร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางร่างกาย

    มองความคิดก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความคิด
    มองความรู้สึก ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความรู้สึก



    ......................................

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  12. undersky_08

    undersky_08 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +0
    มองโลกเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางโลก
    มองสังคมเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางสังคม
    มองร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางร่างกาย

    มองความคิดก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความคิด
    มองความรู้สึก ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความรู้สึก


    ..........................

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  13. SOMDEJ

    SOMDEJ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    611
    ค่าพลัง:
    +353
    เยี่ยม...
    เป็นสาระธรรมที่ดีบทหนึ่ง ขออนุโมทนา
    และ ขออนุญาตเก็บไว้ศึกษาทบทวน - เผยแพร่ในโอกาสข้างหน้าจ้ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...