พลังสะกดจิตลึกลับข้ามห้วงจักรวาล (THE HYPNOTIZE TO CROSS THE UNIVERSE)

​

“มันเป็นยานลำใหญ่ที่มีแสงสว่างมาก เปลี่ยนสีได้หลายสี และมีขนาดราวดวงจันทร์
พวกเราดูมันอยู่เป็นเวลาร่วม 10 นาที แต่ไม่มีใครบอกได้เลยว่ามันเป็นอะไร <O
แต่ที่แน่ใจได้สิ่งหนึ่งคือ ผมจะไม่หัวเราะเยาะ คนที่บอกว่าเขาได้เห็นจานบินบนท้องฟ้าเลย”

จิมมี่ คาร์เตอร์ (JIMMY CARTER)<O
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 39 (THE PRESIDENT OF THE UNITEDSTATE OF AMERICA )<O</O
แถลงการณ์ ที่เมืองทอมสัน รัฐจอร์เจีย พ.ศ.2509 (TOMSON,JORJIA 1966)


<O</O
<O</O

​

พลังสะกดจิตลึกลับข้ามห้วงจักรวาล(THE HYPNOTIZE TO CROSS THE UNIVERSE)<O
ผมมีหนังสือเก่าอยู่เล่มหนึ่งเป็นของท่านผู้มีพระคุณ หนังสือชื่อ “จานบินผู้สัญจรระหว่างดวงดาว” โดยคุณสำเริง สัมพันธารักษ์ พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2524 คาดว่าน่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับ UFO ในสมัยยุคแรกๆที่คนไทยเริ่มตื่นตัวกับเรื่องจานบินเรื่อยมาเป็นลำดับ ถึงแม้หนังสือจะเก่ายังไงแต่ในส่วนของเนื้อหายังคงคลาสสิคมีแรงดึงดูดให้น่าอ่านอยู่เสมอ ก็ขอนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้ง<O</O
<O</O

พลังสะกดจิตลึกลับจากห้วงอวกาศ เป็นเรื่องที่ประหลาดจนไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายมุมของโลก ซึ่งถึงจะไม่ใช่ข่าวที่ดีนัก แต่ก็น่าจะศึกษา เพราะเป็นอีกแง่หนึ่งของเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว<O</O


คำสั่งฆ่าจากอวกาศ(COMMAND TO KILL OF SPACE)<O</O
ในหนังสือชื่อ หนังสือเดินทางสู่มาโกเนีย (PASSPORT TO MAGONIA) ซึ่งเขียนโดย จาคส์ วัลเล่ย์ (JACQUES VALLE) นักจานบินวิทยาที่มีชื่อเสียงซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2512 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่สหภาพโซเวียตเรื่องหนึ่งว่า<O</O
“เมื่อไม่นานมานี้ในสหภาพโซเวียต ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ในสาขาวิจัยและค้นคว้าด้านพลาสม่า (PLASMA) ได้เสียชีวิตลงในรูปการณ์ที่ชวนให้สงสัย กล่าวคือ เขาถูกผลักให้รถไฟใต้ดินที่มอสโคว์ชนตาย โดยผู้หญิงที่มีจิตผิดปกติคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้อ้างว่า ได้มีเสียงลึกลับจากอวกาศสอนให้เธอฆ่าชายผู้นี้ลงให้ได้ และเธอก็ไม่สามารถที่จะขัดขืนคำสั่งนี้ได้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาชญาวิทยาต่างก็รู้สึกเป็นกังวล ที่กรณีคล้ายกันนี้ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา โดยมีอยู่บ่อยๆที่คนมีจิตใจไม่ปกติหรือไม่มั่นคงวิ่งไปตามถนนอย่างบ้าคลั่ง และร้องตะโกนว่าตนกำลังถูกชาวดาวอังคารไล่กวด คลื่นแห่งความผิดปกติทางใจที่เกิดขึ้นทุกวันนี้น่าจะได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษเพราะว่ามันอาจจะไปเกี่ยวพันกับเรื่องลึกลับที่ว่ามีมนุษย์ได้ติดต่อกับชาวโลกอื่น”
<O</O
<O</O
<O</O
จ๊าคส์ วัลเล่ย์ นักเขียนและนักจานบินวิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส<O</O
<O</O

เอียน โฮบานา และ จูเลียน วีเวอร์เบอร์ก (ION HOBANA + JULIEN WEVERBERGH) ซึ่งได้ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อจานบินหลังม่านเหล็ก (UFO FROM BEHIND THE IRON CURTAIN) ได้ให้ความเห็นว่าเรื่องราวทำนองนี้มีเกิดขึ้นคล้ายๆกันทั้งทางโลกตะวันตกและคอมมิวนิสต์ และถ้าจะบอกว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวไปเพื่อที่จะให้สังคมคอมมิวนิสต์สนใจก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าในโซเวียตนั้นไม่ค่อยจะอนุญาตให้ลงข่าวเช่นนี้ได้ง่ายๆนัก<O</O
<O</O

มนุษย์ต่างดาวลงมาร่วมเพศกับชาวโลกทางจิต<O</O
มีหนังสือชื่อ TRUE UFO AND OUTER SPACE ฉบับประจำฤดูหนาว 1980-1981 ได้ลงบทความเกี่ยวกับการติดต่อของชาวโลกกับมนุษย์ต่างดาวว่าสามารถจะเกิดขึ้นได้ทางจิตหรือความฝัน โดยกล่าวว่าเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2512 ได้มีสุภาพสตรีคนหนึ่งชื่อ เจน แอลีสัน (JANE ALLYSON) ซึ่งอยู่ที่นิวยอร์ค ได้เล่าว่า “เธอได้ร่วมชีวิตจริงๆ” กับมนุษย์อวกาศคนหนึ่งซึ่งได้เข้าไปปรากฏกายในห้องของเธอ เธอได้เล่าถึง “พิธี” (CEREMONY) ดังกล่าวว่าถึงกับเหงื่อตกราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ และได้บรรลุถึงจุดสุดยอดของความรักด้วย<O</O
<O</O

เจนเล่าว่า “ในตอนบ่ายของวันดังกล่าว ดิฉันกำลังนั่งอยู่ในรถตรงถนนที่ห้า และที่สิบเอ็ด โดยคอยแฟนของดิฉันที่เข้าไปซื้อของบางอย่าง ทันใดนั้นดิฉันก็เริ่มได้ยินเสียงอย่างหนึ่งในศรีษะของดิฉัน ซึ่งมันเป็นเสียงผู้ชายที่ชัดเจนมาก เขาพูดเสียงลึกๆและนุ่มนวล เสียงดังกล่าวยืนยันกับดิฉันว่า พวกเขาตั้งใจจะรักษาวัฒนธรรมหลายอย่างของเราไว้ รวมทั้งศิลปะและดนตรี ซึ่งมีค่าแก่พวกเขามากด้วย และเนื่องจากดิฉันเป็นศิลปินและนักดนตรี ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ดิฉันเกิดความกลัวขึ้นมาว่า ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอีก 20 ปีข้างหน้า เสียงดังกล่าวจึงเหมือนเป็นคำตอบให้แก่ตัวดิฉันด้วย เสียงนั้นบอกให้ดิฉันนำน้ำถังหนึ่งขึ้นไปบนหลังคาตึกที่ถนนสามสิบเอ็ด ที่ดิฉันพักอยู่....<O</O
<O</O

คืนนั้นหลังจากที่ดิฉันกินข้าวเย็นแล้ว ดิฉันก็นำถังมาใบหนึ่งแล้วก็เติมน้ำจนเต็มแล้วก็เตรียมตัวไว้ แม้ว่าดิฉันจะคิดว่ามันค่อนข้างจะโง่เง่าอยู่บ้างที่จะไปเชื่อเสียงกระซิบดังกล่าว ซึ่งหูดิฉันอาจจะแว่วไปเองก็ได้ และเมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ดิฉันก็รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะขึ้นไปบนตึกดังกล่าว จึงได้ขึ้นไปพร้อมถังน้ำ และนั่งคอยอยู่บนนั้น ดิฉันคิดว่าคงจะได้เห็นจานบินสักลำ แต่ดิฉันไม่ได้ขึ้นไปที่นั่นคนเดียวหรอกนะคะ แฟนของดิฉันก็ขึ้นไปด้วย เพราะดิฉันกลัวที่จะอยู่คนเดียว <O</O
ดิฉันคอยอยู่ประมาณ 20 นาที และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่จึงได้กลับลงไปข้างล่าง ดิฉันก็รู้สึกเหนื่อยจึงเข้านอน <O</O
คืนนั้นเองที่ดิฉันได้ฝันอย่างประหลาดที่สุดคือ ฝันว่าได้ไปนอนหลับอยู่ที่ห้องข้างบนนั้น และดิฉันได้ลุกขึ้นและมองไปรอบๆตัว และจากหน้าต่างดิฉันได้เห็นจานบินสามลำลอยอยู่ข้างนอก จานบินเหล่านี้มีสีเทาเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ และทันใดนั้นก็มีมนุษย์คนหนึ่งลอยออกมาจากจานบินลำหนึ่ง และผ่านเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง โดยผ่านกระจกเข้ามาโดยไม่ต้องเปิดมันเลย เขาลอยมาเป็นเส้นตรง มายังเตียงที่ดิฉันกำลังนั่งอยู่
<O</O
<O</O


เขาจับมือดิฉันแล้วดิฉันก็ลอยลงจากเตียงไปที่พื้นกับเขาและดิฉันไม่เห็นตัวเขาแตะพื้นเลย เรายืนอยู่ที่นั่นและมองหน้ากันและกัน เขาสวมชุดสีน้ำเงิน และคาดเข็มขัดสีทองหรือสีเหลือง เขาสวมรองเท้าบู๊ตสั้นๆสีดำ และเอาขากางเกงยัดไว้ในรองเท้า ดิฉันจำหน้าของเขาไม่ได้ รู้แต่ว่าน่ารัก และถ้าเขาจะมีผม มันก็คงจะเกรียนศรีษะเขาทีเดียว<O</O
ต่อจากนั้นดิฉันก็รู้สึกว่ามี “พิธี” อย่างหนึ่งเกิดขึ้นและมือของเขาดิฉันได้รับสารเหลวสีขาวอย่างหนึ่งถูกส่งผ่านมือเข้ามายังตัวของดิฉัน มันแล่นเข้ายังหัวใจของดิฉันก่อน แล้วจึงต่อเข้าไปยังส่วนของสมอง ดิฉันไม่เคยมีความสงบสุขอันยิ่งใหญ่หรือความรักครั้งใดเท่าครั้งนี้ จะว่ามันเป็นประสบการณ์ทางเพศเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ เพราะว่ามันมีความลึกล้ำกว่ากันมาก และมันก็ครอบคลุมความรักไว้ทั้งหมดที่เราจะสามารถสัมผัสได้ <O</O
<O</O

เสร็จแล้วเขาก็ติดต่อกับดิฉันว่า มนุษย์อวกาศก็มีประสบกาณ์เช่นเดียวกับชาวโลก แต่ก็เป็นไปในแบบของตนและก็ยังมีความต้องการที่จะแต่งงาน และให้ความรักหรือรับความรักด้วย เมื่อพิธีเสร็จสิ้น เขากับดิฉันก็ย้ายกลับเข้าไปที่เตียง ซึ่งแฟนของดิฉันนอนอยู่ เมื่อเขาปล่อยมือดิฉันแล้ว เขาก็ลอยออกไปทางหน้าต่างสู่จานบินสามลำที่จอดลอยอยู่ และเมื่อเขากลับเข้าไปในจานบินแล้วจานบินสามลำก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายวับไปในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อดิฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็รู้สึกว่าดิฉันได้รู้จักมนุษย์อวกาศมากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ” <O</O
<O</O

สิ่งที่เราพอจะทราบจากรายงานนี้ก็คือ เหตุการณ์ที่สำคัญบางอย่างกำลังดำเนินอยู่เพื่อจะนำเราไปสู่ความเข้าใจในตนเองและจักรวาล เหตุการณ์ชนิดนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้ เราอาจจะต้องเตรียมตัวสำหรับการติดต่ออีกรูปแบบหนึ่ง แบบซึ่งเราไม่รู้ตัว แต่จะทำให้เราเข้าใจพวกเขาทีละน้อย โดยไม่เกิดความหวาดกลัว การติดต่อแบบนี้อาจเป็นแบบหนึ่งของโทรจิตก็ได้ <O</O
<O</O



มีใครเคยอ่านเรื่องชายชุดดำ(MEN IN BLACK ไม่ใช่หนังนะครับ)กันรึยัง ถ้ายังผมจะได้นำมาโพสในโอกาสต่อไป <O</O

 

อืม....ครับ

 

สิ่งบ้างสิ่ง เป็นไปได้

 

MEN IN BLACK

ช่วยเราให้ฟังหน่อยครับ..อยากรู้ครับ

 

ก็เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งอ่ะนะ รู้เขารู้เราดีกว่า....

 

((อนุโมทนาเด้อ))

((ครับผมเองก้อเชื่อว่า โลกเราแบบนี้ยังมีแล้วอีกกี่ล้านกาแลคซี่ล่ะ โลกแบบเราคงมีอีกแน่นอนโดยที่เราไม่ทราบว่า มันอยู่ที่ใดเท่านั้น โดยที่เค้าพยายามติดต่อกับเราตลอด โดยที่ท่าน ใคร ผม ไม่รู้.................))[b-wai]

 

เราก็มีประสบการเกี่ยวกับการติดต่อกับต่างดาวในแบบโทรจิตเหมือนกันนะ

 

น่าเชื่อถือนะแต่ก็อดตะหวิดใจไม่ได้อยู่ คงไม่ว่ากันนะ ถ้าจะเชื่อแค่ครึ่งหนึ่งโฮะๆๆๆ

 

งั้นเค้าก็มีวิวัฒนาการทางด้านโทรจิตน่ะสิ
หรือว่าเทคโนโลยีจะถึงขั้นนั้นแล้ว? แต่แค่เปลี่ยนความคิดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วส่งผ่านสมองไปกระตุ้นต่อมไร้ท่อหรือสมองก็น่าจะทำได้นะครับ...(มั่วน่ะครับ)
ถ้ามีจริงแล้ว ทำไมไม่มีหน่วยมือปราบจักรวาล(กาเวียน(มุขน่ะครับ))ละเนี่ย?(ถ้าเกิดเหตุการอย่างนั้นขึ้นจริงๆ)
แต่ที่รัสเซียนี่ก็มีคนมีพลังจิตอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ(มันเป็นได้2กรณี(ก็ใช่ว่าสหรัฐจะไม่มีนักพลังจิตเลยนี่(อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ)))>แล้วไหงทีไอน์สไตน์ถึงไม่โดนบางละเนี่ย...?

 

สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถ้าเค้าจะเดินทางมาถึงโลกเราได้
เค้าต้องมีวิวัฒนาการทางด้านจิตใจและทางด้านเทคโนโลยีควบคู่กันไป
และเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพหรือสมดุลย์
ฉนั้นถ้าเค้าสามาถเดินทางมายังโลกเราได้โดยไม่มีอุปสรรคเรื่องระยะทาง
จิตใจของมนุษย์ต่างดาวย่อมประเสริฐกว่าพวกเราหลายเท่านัก
และอาจจะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งพวกเรายังไม่สามารถเข้าใจได้ในตอนนี้