ใครมีเพื่อนเป็นมุสลิมอย่เผลอชวนไปลอยกระทงนะคับ เด๋วเขาผิดข้อห้ามศาสนา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NaCl, 26 พฤศจิกายน 2004.

  1. NaCl

    NaCl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +289
    http://www.muslimthai.com/contentFront.php?option=content&id=494


    ::.มุสลิมกับวันลอยกระทง.


    เทศกาลลอยกระทงตรงกับวันเพ็_ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 หรือราวเดือนพฤศจิกายน เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย

    ประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง


    ประเพณีลอยกระทงสืบทอดมาช้านานตั้งแต่สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสันนิษฐานว่าได้ประเพณ๊นั้นมาจากประเทศอินเดีย จากความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ที่บอกว่า ลอยกระทงเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม

    ส่วนศาสนาพุทธจะมีความเชื่อแตกต่างกัน เช่น เป็นการยกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ หรือเป็นการลอยโดมเพื่อบูชาพระพุทธบาทซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมทา(ปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุทธา) และยังมีความเชื่อที่นอกเหนือจากนี้อีก เช่น ลอยกระทงเพื่อขอบคุณแม่คงคาที่ให้เราได้อาศัยน้ำกินและน้ำใช้รวมทั้งขอขมาต่อท่านที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลไป
    ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระพุทธบาท


    รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ไปปรากฎอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประว้ติคือ ครั้งหนึ่งพ_านาคทูล อาราธนาพระสัมมาสัมพุธเจ้าให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พ_านาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ไว้ที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมทานทีเพื่อให้พ_านาคทั้งหลายได้สักการบูชา

    การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีกสองเรื่องคือ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก
    การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์


    เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จครั้งรุ่งอรุณก็ถึงแม่น้ำอโนมาที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี

    เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารถนาจะบรรพชาโดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพพชชา" แล้วจึงทรงจับเมาลีด้วยพระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วดยนขึ้นไปบนอาดาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในเทวโลก

    พระจุฬามณีตามปกติมีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำ แม้พระศรีอาริยไตรยเทวโพธิสัตว์ ซึ่งในอนาคตจะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีจึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอาริยเมตไตรยด้วย
    การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก


    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ้งจึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา

    ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ เมื่อเท้าสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้นอันมีบันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงบันไดทองที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดทองสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ

    ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลายได้พร้อมใจกันทำสักการบูชาด้วยทิพย์บุปฝามาลัย การกระทงตามคตินี้จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากดาวดึงส์พิภพ (เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์จากดาวดึงส์)
    สรุปเหตุผลในการลอยกระทง


    1. เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ตามความเชื่อของลัทธิพราหมณ์

    2. เพื่อบูชาลอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ

    3. เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า

    4. เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าในวัน้สด็จจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุธมารดา

    5. เพื่อขอบคุณพระแม่คงคา หรือเทพเจ้าแห่งน้ำที่ให้อาศัยน้ำดื่ม น้ำใช้

    6. เพื่อแสดงความคารวะขออภัยต่อพระแม่คงคาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ไม่ว่าจะโดยมีเจตนาหรือไม่มีก็ตาม

    7. เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สู_หายไปตามกาลเวลา
    ประเด็นชี้แจง


    จากข้อมูลข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นประวัติหรือตำนานลอยกระทง ล้วนมีที่มาจากความเชื่อทางศาสนาทั้งสิ้น ทัศนะของศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่าการลอยกระทงเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ส่วนทางศาสนาพุทธเชื่อว่า การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท บูชาพระจุฬามณีเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก ดังนั้น เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทง จึงเป็นที่แน่นอนอย่างยิ่งว่า จะต้องอบอวลไปด้วยความเชื่อทางศาสนาอย่างแน่นอนเช่นนี้แล้ว มุสลิมจะเข้าร่วมในเทศกาลดังกล่าวไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในอัล-กุรฺอานว่า "สำหรับพวกท่านคือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันคือศาสนาของฉัน (หมายถึงศาสนาอิสลาม)"

    หลักการอิสลาม ได้กำหนดขอบเขตในเรื่องศาสนาไว้อย่างชัดเจน และเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธอย่างเด็ดขาด

    นอกจากนี้ การลอยกระทงยังเกิดความเชื่อที่ว่า เพื่อเป็นการขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้อาศัยน้ำดื่มน้ำใช้ ความเชื่อดังกล่าวนี้ยิ่งค้านกับความเชื่อของมุสลิมอย่างรุนแรง เพราะมุสลิม มีความเชื่อว่าน้ำที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้าสู่แม่น้ำลำธารนั้นมาจากพระองค์อัลลอฮฺ ดังข้อความในอัล-กุรฺอานว่า "พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นปูลาดสำหรับพวกท่านและชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงหลั่งน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าและทรงทำให้งอกเงยออกมาโดยน้ำนั้น ซึ่งผลไม้ต่างๆ เป็นเครื่องยังชีพสำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงอย่าตั้งภาคีสำหรับอัลลอฮฺ ทั้งๆที่พวกท่านรู้ดียิ่ง"

    เมื่อมุสลิมเชื่อว่าน้ำฝนที่หลั่งลงมาแม่น้ำลำคลองมาจากพระองค์อัลลอฮฺ พร้อมทั้งต้องขอบคุณต่อพระองค์ ที่ทำให้มีน้ำดื่มน้ำใช้ด้วยสาเหตุนี้ได้รู้ถึงการประทานปัจจัยต่างๆนี่เอง มุสลิมจึงต้องห้ามมิให้ตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์อย่างเด็ดขาด เช่นนี้แล้วมุสลิมจะลอยกระทงเพื่อขอบคุณแม่คงคาหรือเทพเจ้าแห่งน้ำได้อย่างไรกัน !

    กรณีลอยกระทง เพื่อขออภัยต่อแม่คงคา อันเนื่องจากได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำ มุสลิมก็กระทำไม่ได้เช่นกัน ศาสนาอิสลามสอนว่า หากมุสลิมคนใดต้องการจะขออภัยหรือขอลุแก่โทษในความผิด จะต้องขอต่อพระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้นไม่อนุ_าตให้ขอหรือวิงวอนต่อพระเจ้าอื่นๆ ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า "บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งที่ชั่วช้าต่างๆ หรืออธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง พวกเขาก็ลำลึกถึงอัลลอฮฺ แล้วขออภัยโทษสำหรับความผิดต่างๆ ของพวกเขา และบุคคลใดเล่าที่จะอภัยโทษความผิดต่างๆ นอกจากพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น"


    ส่วนกรณีการลอยกระทง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สู_หายไปตามกาลเวลา มุสลิมก็กระทำไมได้เช่นกัน เพราะพระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในอัล-กุรฺอานว่า "และสิ่งใดที่ท่านร่อซูล(หมายถึงนบีมุหัมมัด ) นำมาให้พวกท่านจงรับสิ่งนั้นไว้ และสิ่งใดที่เขาได้ห้ามพวกท่าน พวกท่านจงหลีกห่างจากสิ่งนั้นเถิด"

    และมุสลิมคนใดที่ปฏิบัติตามท่านนบีมุหัมมัด เขาจะได้รับความเมตตา ดังที่อัล-กุรฺอานได้ระบุว่า "และพวกท่านจงเชื่อฟังพระองค์อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พื่อว่าพวกท่านจะได้รับความเมตตา"

    ในเมื่อมุสลิมไม่สามารถร่วมลอยกระทงกับชาวศาสนิอื่นได้ ถ้าเช่นนั้นมุสลิมจะเข้าไปเที่ยวในงานลอยกระทงได้หรือไม่ ? เพราะมีมุสลิมบางท่านอาจจะกล่าวอ้างว่า "ฉันแค่ไปเที่ยวงานลอยกระทง แต่ไมได้ร่วมลอยกระทงดังเช่นชาวพุทธ แล้วฉันจะมีความผิดตรงไหน?" ซึ่งผู้เขียนจะชี้แจงเป็นข้อๆ ดังนี้

    1.ทางศาสนาพุทธเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการต้อนรับพระพุทธเจ้าที่เสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ในวันดังกล่าว เพียงมุสลิมเข้าไปร่วมในงานก็เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นได้มารอต้อนรับพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ร่วมลอยกระทงก็ตาม

    2.ท่านนบีมุหัมมัด กล่าวไว้ว่า "บุคคลใดที่เลียบแบบชนกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย" ซึ่งวจนะของท่านนบีบอกให้ร้ว่า มุสลิมจะต้องไม่เลียนแบบกลุ่มชนอื่นในเรื่องความเชื่อวัฒนธรรม และประเพณี เพราะฉะนั้น การจัดเทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นของศาสนาพุทธ หากมุสลิมเข้าร่วมในงานนั้นก็เปรียบประหนึ่งเป็นกลุ่มชนของศาสนานั้นๆ ด้วย เพราะเท่ากับว่าได้ร่วมแสดงความยินดีและเห็นด้วยกับเทศกาลดังกล่าว

    3.ท่านนบีมุหัมมัด กล่าวไว้ว่า "อิสลามเริ่มต้นจากคนแปลกหน้า และจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างคนแปลกหน้า ดังนั้น จงแจ้งข่าวดี (หมายถึงสวรรค์) สำหรับคนแปลกหน้าเถิด"

    ท่านนบีมุหัมมัด ได้กล่าวถึงอิสลามจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างคนแปลกหน้า นั่นหมายถึงมุสลิมจะนำวิถีชีวิตที่ไม่ใช่อิสลาม คือเป็นคนแปลกหน้าที่ปฏิบัตืแตกต่างจากผู้คนส่วนให_่ในสังคม และ ณ พระองค์อัลลอฮฺคือ การตอบแทนความดีอันให_่หลวง ส่วนมุสลิมที่ไปร่วมเทศกาลงานลอยกระทง ก็เท่ากับว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะเขามีวิถีชีวิตที่เหมือนกับผู้คนในศาสนิกอื่นทั้งหลาย เขาไม่กล้าแสดงภาพลักษณ์แห่งเจตนารมณ์ของท่านนบีมุหัมมัด ที่ต้องการให้มุสลิมทำตัวแปลกแยกจากความเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในสังคม
    ประวัติการประดิษฐ์กระทง


    การลอยกระทงในเมืองไทยมีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย เรียกว่าการลอยกระทงพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือเท้าศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่แม่น้ำทามทีซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบทของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา
    รูปแบบการประดิษฐ์กระทง


    เมื่อถึงวันเพ็_พระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสตุที่หาง่ายตามธรรมชาติเช่น หยวกกล้วย และดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิฐานในสิ่งที่มุ่งหวังพร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา
    สรุปที่มาของการประดิษฐ์กระทง


    1. ผู้ที่เริ่มประดิษฐ์กระทงคือนางนพมาศ

    2. นางนพมาศประดิษฐ์กระทงเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมทานที
    ประเด็นชี้แจง


    เมื่อมุสลิมไม่สามารถไปเที่ยวงานลอยกระทง และร่วมลอยกระทงได้แล้ว ถ้าเช่นนั้น มุสลิมจะประดิษฐ์กระทงได้หรือไม่ ?

    คำตอบคือ มุสลิมไม่สามารถประดิษฐ์กระทงได้เช่นกันด้วย เหตุผลที่ว่า อิสลามสอนให้มุสลิมปฏิบัติตามแบบฉบับของที่นบีมุหัมมัด ดังที่ท่านนบีได้กล่าวว่า "ดังนั้น จำเป็นบนพวกท่านที่จะต้องปฏบัติตามแบบฉบับของฉัน และแบบฉบับของบรรดาเคาะลีฟะฮฺ (ทั้งสี่) ที่ฉลาดรอบรู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง พวกท่านทั้งหลายจงยึดมั่นสิ่งดังกล่าวด้วยฟันกราม"

    ส่วนการประดิษฐ์กระทงเป็นการริเริ่มของนางนพมาศ ซึ่งไม่เป็นที่อนุ_าตสำหรับมุสลิมที่จะปฏบัติตาม ดังความจากหะดีษข้างต้นที่ชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งเป้าหมายของการประดิษฐ์กระทงของนางนพมาศ ที่ต้องการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมทานทียิ่งขัดกับหลักการศรัทธาของมุสลิมอย่างรุนแรง เพราะมุสลิมจะเคารพสักการะต่อพระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น

    การประดิษฐ์กระทงที่เป็นปั_หากับมุสลิมในปัจจุบัน น่าจะมีประเด็นดังนี้

    1. การประดิษฐ์กระทงตามคำสั่งครู กรณีที่นักเรียนต้องประดิษฐ์กระทงตามคำสั่งครู จะกระทำได้หรือไม่เพียงใด ? ผู้เขียนขอตอบว่า เมื่อมุสลิมจะปฏิบัติตามคำสั่งของบุคคลใดก็ตาม สิ่งนั้นจะต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสนา ฉะนั้น หากครูสั่งให้นักเรียนประดิษฐ์กระทง นักเรียนผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำสั่งของครูไม่ได้ (โดยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) ซึ่งถ้านักเรียนมุสลิมผู้นั้นประดิษฐ์กระทง ปั_หาที่จะตามมาก็คือ กระทงที่ทำเสร็จแล้วไม่สามารถนำไปลอยกระทงได้ จะนำไปให้เพื่อนต่างศาสนิกก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการสนับสนุนกิจการของศาสนาอื่น เมื่อใช้ทำอะไรไม่ได้ ให้ใครก็ไม่ได้ จะนำไปทิ้งขยะก็ไม่ได้อีก เพราะจะเป็นการดูถูก ดูหมิ่นศาสนาอื่น หรือจะนำกระทงนั้นมาแยกเป็นชิ้นส่วนแล้วค่อยนำไปทิ้งขยะก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะถือเป็นการฟุ่มเฟือยเนื่องจากวัสดุที่นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงนั้นจะต้องใช้เงินซื้อหามาทั้งนั้นเมื่อทำเสร็จแล้วก็นำไปทิ้ง เช่นนี้อิสลามถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือย และยังเป็นการสร้างความใกล้ชิดกับมารร้ายชัยฏอนอีกด้วย

    2. ประดิษฐ์กระทงหรือรับกระทงมาจำหน่าย การที่มุสลิมประดิษฐ์กระทงเอง หรือรับกระทงมาจำหน่ายนั้นศาสนาถือว่าไม่อนุ_าต เพราะเป็นการสนับสนุนกิจการของศาสนาอื่น เนื่องจากพิธีกรรมลอยกระทงจะต้องใช้กระทง ถ้าหากไม่มีพิธีกรรมดังกล่าวก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น หากศาสนิกอื่นต้องการลอยกระทงจึงจำเป็นจะต้องหาซื้อกระทงอย่างแน่นอน และหากมุสลิมเป็นผู้จำหน่าย ก็เท่ากับมีส่วนช่วยให้การประกอบพิธีกรรมลอยกระทงบรรลุผลสำเร็จ อย่าว่าแต่การขายกระทงเลย แม้แต่การขายองุ่นให้แก่บุคคลที่จะซื้อไปคั้นทำสุรา ท่านนบีมุหัมมัด ก็ยังได้สั่งห้ามไว้ ดังหะดีษที่ว่า "ผู้ใดกักตุนองุ่นไว้ในฤดูเก็บเพื่อขายให้แก่ยิว หรือคริสต์ หรือแก่ผู้ที่ใช้มันทำสุราแล้ว แน่นอน เขาได้โยนตัวเองลงสู่ขุมนรกทั้ง ๆ ที่มีสติปั__า"
    มุสลิมจะเก็บสตางค์ที่อยู่ในกระทงได้หรือไม่ ?


    ก่อนที่ผู้เขียนจะตอบคำถามข้างต้น ขอหยิบยกที่มาของการวางเศษสตางค์ในกระทงเสียก่อน ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า "ชาวบ้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำส่วนให_่จะเย็บกระทงด้วยใบตองถ้ามีฐานะดีก็จะประดิษฐ์หยวกก้วยเป็นบ้านหรือเรือลำให_่ ๆ ตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้สด ปักธูปเทียน บ้างก็จะใส่สตางค์ หมาก พลู เนื่องจากบางคนเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการปลดเปลื้องความทุกข์โศกโรคภัยต่าง ๆ ให้พ้นจากตัว ก็นำสั__ลักษณ์บางอย่างของตนใส่ลงไป เช่น เศษผม เศษเล็บ เศษเครื่องนุ่งห่ม เศษเงิน เมื่อจะลอยก็จุดธูปเทียน กล่าวคำขอขมาต่อแม่คงคา หรือกล่าวคำอธิษฐานตามใจปรารถนา แลัวจึงปล่อยกระทงให้ลอยน้ำไป กับความเชื่อในการตัดเศษผม เศษเล็บ ฯลฯ หรือการลอยทุกข์โศก โรคภัย และบาปต่าง ๆ นั้น ที่จริงแล้วถ้าผู้ลอยต้องการให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง"

    สรุปว่า การวางเศษสตางค์และสิ่งอื่น ๆ ไว้บนกระทงเนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นการปลดเปลื้องความทุกข์โศก โรคภัย และบาปต่าง ๆ ให้พ้นจากตัว เมื่อเป็นความเชื่อของผู้ที่วางสตางค์ไว้บนกระทง เช่นนี้ มุสลิมจะไปหยิบเศษสตางค์มาได้อย่างไรกัน ในเมื่อขั้นตอนการลอยกระทงทั้งหมดเป็นเรื่องของศาสนา และความเชื่อทั้งสิ้น ประเด็นนี้คงไม่แตกต่างอะไรกับอาหารหรือผลไม้ที่หะลาล แต่ผ่านพิธีกรรมของศาสนาอื่น ที่ผ่านขั้นตอนทางพิธีกรรมของศาสนาอื่น มุสลิมไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมใด ๆ ได้เลย
    มุสลิมจะจุดดอกไม้ไฟหรือพลุในวันลอยกระทงได้หรือไม่ ?


    ท่านนบีกล่าวไว้ว่า "บุคคลใดที่เลีนยแบบชนกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้น"

    การจุดดอกไม้ไฟและการจุดพลุถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในเทศกาลลอยกระทง เมื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสนุกสนานในวันดังกล่าว มุสลิมจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการจุดดอกไม้ไฟหรือพลุ ถ้าหากมุสลิมคนใดปฏิบัติก็แสดงว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นแล้ว

    จากรายละเอียดที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด พอที่จะสรุปให้เป็นบทเรียน และเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิมได้ดังนี้

    1. มุสลิมจะต้องไม่นำแบบฉบับหรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปะปนกับวิถีชีวิตของมุสลิม

    ครั้งหนึ่งท่านก็อยซ์บุตรของท่านอุบาดะฮฺ อัลอันศอรีย์ กล่าวว่า "ฉันเดินทางมายังเมืองฮีเราะฮฺ (ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองกูฟะฮฺ) ฉันเห็นชาวเมืองดังกล่าวกราบไหว้ต่อหัวหน้าเผ่าของพวกเขา ฉันจึงกล่าวว่า ท่านนบีมุหัมมัด สมควรได้รับการกราบไหว้ยิ่งกว่าหัวหน้าเผ่าของพวกเขาเสียอีก จากนั้น (ภายหลังเดินทางกลับ) ฉันจึงมาหาท่านนบีมุหัมมัด พลางกล่าวว่า แท้จริงฉันเดินทางไปยังเมืองฮีเราะฮฺ ฉันเห็นชาวเมืองนั้นกราบไหว้หัวหน้าเผ่าของพวกเขา ที่จริงท่านสมควรได้รับการกราบไหว้มากกว่าเขาเสียอีก ท่านนบีจึงกล่าวแก่ฉันว่า ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร หากท่านเดินผ่านหลุมฝังศพของฉันแล้วท่านจะการไหว้ต่อหลุมฝังศพของฉันไหม ? ฉันกล่าวตอบว่า ฉันคงไม่ทำเช่นนั้น ท่านนบีกล่าวตอบว่า พวกท่านจงอย่าทำเช่นนั้น"

    จากตัวบทหะดีษข้างต้น ถือเป็นมาตรฐานในเรื่องการไม่เคารพการไหว้สิ่งอื่นนอกจากพระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น และอีกประการหนึ่ง การไม่นำแบบฉบับหรือพิธีกรรมของศาสนาอื่นมาปะปนกับวิถีชีวิตของมุสลิม ดังเช่นที่ท่านก็อยซ์ได้แสดงความคิดเห็นว่าท่านนบีน่าที่จะได้รับการกราบไหว้มากกว่าหัวหน้าเผ่าของชนกลุ่มหนึ่ง เพียงแค่ความคิดดังกล่าว ท่านนบีก็ยังได้สั่งห้ามพร้อมทั้งได้ตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบให้แก่ท่านก็อยซ์ ดังตัวบทที่ยกมาข้างต้น แล้วสำมะหาอะไรกับการลอยกระทง

    ถ้าเช่นนั้นลองพิจารณาดูเถิดว่า ถ้าท่านนบียังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ท่านจะตอบว่าอย่างไร หากมีผู้ถามท่านว่า "ฉันจะไปร่วมงานลอยกระทงเฉกเช่นเพื่อนชาวต่างศาสนิกได้หรือไม่?"

    2. มุสลิมจะต้องรู้ถึงสิทธิของตนเองที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า

    ครั้งหนึ่งท่านนบีได้กล่าวถามท่านมุอาซว่า "ท่านทราบไหมว่า สิ่งใดคือสิทธิของพระองค์ที่จะได้รับจากปวงบ่าวของพระองค์? ท่านมุอาซกล่าวตอบว่า พระองค์อัลลอฮฺและศาสนฑูตของพระองค์ย่อมรู้ดียิ่ง ท่านนบีจึงเฉลยว่า หมายถึงปวงบ่าวของพระองค์จะต้องเคารพภักดีต่อพระองค์ และไม่ตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีสำหรับพระองค์"

    หะดีษข้างต้นให้ความหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องอธิบายเลยว่า การเข้าร่วมงานเทศกาลลอยกระทง หรือการร่วมลอยกระทงนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิมอย่างแน่นอน หากมุสลิมคนใดเคารพสิ่งอื่นจากพระองค์อัลลออฺ นั่นเท่ากับว่า เขาผู้นั้นได้ตั้งสิ่งหนึ่งเทียบเคียงกับพระองค์แล้ว

    3. การที่มุสลิมเข้ากิจกรรมของศาสนิกอื่น นั่นเป็นสั__าณหนึ่งของวันสิ้นโลก

    ท่านนบีมุหัมมัด กล่าวไว้ว่า "วันสิ้นโลกจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ากลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉันจะปฏิบัติตามบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี จนกระทั่งว่าพวกเขา (หมายถึงมุสลิมกลุ่มนั้น) เคารพภักดีบรรดารูปเจว็ด (เช่นเดียวกับผู้ตั้งภาคี)"

    ในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะยังไม่เกิดวันกิยามะฮฺ แต่สั__าณหลายประการก็ได้ปรากฎขึ้นให้เห็นอย่างมากมาย จากหะดีษข้างต้นก็เช่นกัน หากมุสลิมในปัจจุบันมีความศรัทธาที่อ่อนแอ ก็ย่อมจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องหลงผิดไปสู่การเคารพภักดีต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากการเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เห็นเช่นกัน อีกความหมายหนึ่งจากตัวบทข้างต้นอาจเป็นไปได้ว่า มุสลิมจะปฏิบัติตามแบบอย่างหรือเลียนแบบพิธีกรรมทางศาสนาของศาสนิกอื่นถึงแม้จะไม่ถึงขั้นกราบไหว้รูปเจว็ดเหมือนพวกเขาก็ตาม

    เปรียบได้กับมุสลิมบางท่านในปัจจุบันที่เข้าร่วมพิธีกรรมของศาสนาอื่นจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา จนบางครั้งแยกแยะไม่ออกเลยว่าสิ่งใดที่อิสลามอนุมัติ และสิ่งใดที่อิสลามไม่อนุมัติ ฤๅปัจจุบันใกล้จะถึงยุควันสิ้นโลกแล้วกระมัง !
     

แชร์หน้านี้

Loading...