ประวัติพระอริยสงฆ์ไทย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 12 ตุลาคม 2005.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่ขาว
    วัดป่าถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำพู จ.อุดรธานี

    "ปล่อยจิตว่าง แล้วจิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่งไม่ขุ่นมัว ไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิตเย็นมีแต่ความสบาย รู้เท่าสังขาร รู้เท่าความเป็นจริง จิตเราไม่หวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนา เจ็บปวด มาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อ สิ่งเหล่านั้น "
    นามเดิม เกิดในสกุล โครัตถา กำเนิด 28 ธ.ค. 2431 สถานที่เกิด ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดสิทธิบังคม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในพ.ศ.2462 โดยมีพระครูป้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ มรณภาพ 16 พ.ค. 2526 อายุ 95 ปี 64 พรรษา
    ก่อนอุปสมบทหลวงปู่ได้ดำรงชีวิตตามวิสัยฆราวาสทั่วไปโดยมีบุตร 3 คน กระทั่งใน พ.ศ. 2462 ขณะอายุได้ 31 ปี หลวงปู่จึงตัดสินใจออกบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา หลวงปู่บวชอยู่นาน 6 ปี จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติเป็นธรรมยุตินิกาย เมื่อปีพ.ศ. 2468 ที่วัดโพธิ์สมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่มีความเด็ดเดี่ยวในข้อวัตรปฏิบัติมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการเดินจงกรม หลวงปู่ได้เน้นเป็นพิเศษ กล่าวคือ เมื่อฉันเสร็จเริ่มเดินจงกรมเป็นพุทธบูชา พอถึงบ่ายสองโมงเริ่ม เดินจงกรมถวายเป็นธรรมบูชา จนถึงบ่าย 4 โมง และเมื่อทำข้อวัตรเสร็จสิ้นแล้วก็จะเริ่มเดินจงกรมถวายป็นสังฆบูชา จนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม จึงเข้าที่พักเพื่อบำเพ็ญภาวนาต่อไป หลวงปู่ได้บำเพ็ญเพียรออกธุดงค์ เพื่อเผยแผ่พระธรรม คำสอนตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง จนอายุ 70 ปี จึงจำพรรษา เป็นการถาวรที่วัดป่าถ้ำกลองเพล หลวงปู่เป็นภิกษุ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีข้อวัตรปฏิบัติงดงาม สมควรจดจำเป็นแบบอย่างสืบไป

    ____________________________________________________________

    [​IMG]

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
    ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึงในนามของสมเด็จโต ท่านถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2319 จนอายุได้ 13 ปี สมเด็จโตจึงบรรพชาเป็นสามเณรในเมืองพิจิตร เมื่ออายุครบอุปสมบทจึง โปรดฯ ให้บวชเป็นนาคหลวงที่วัดตะไกร จ.พิษณุโลก ท่านได้เป็นพระพี่เลี้ยง และครูสอนหนังสือขอมและ คัมภีร์มูลกัจจายน์ เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏทรงบวชเป็นสามเณร ครั้งเจ้าฟ้ามงกุฏ ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4
    สมเด็จฯโตได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านรอบรู้แตกฉานใน พระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา ได้รับการยกย่องสรรเสริญในสติปัญญาและ ปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลม เปี่ยมด้วยจิตเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยาก มีอัธยาศัย มักน้อย สันโดษ " พระสมเด็จ" สมเด็จฯโตท่านสร้างขึ้น เพราะปรารภถึง พระมหาเถระในสมัยก่อน มักสร้างพระพิมพ์บรรจุใน ปูชนียสถาน เพื่อเป็นการสืบต่ออายุพระศาสนาให้ถาวรตลอดกาล ท่านจึงทำตามคตินั้นสร้างพระสมเด็จไว้ 84,000 องค์ เท่ากับพระธรรมขันธ์
    สมเด็จฯโต ท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงค์วัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร ถือผ้าสามผืนออกธุดงค ์เยี่ยมป่าช้า นั่งภาวนา เดินจงกรม จนวาระสุดท้ายท่านมรระภาพเมื่อวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 9 ปีจอ เวลา 2 ยาม รวมสิริอายุได้ 85 ปี

    _____________________________________________________________

    [​IMG]

    พระอาจารย์กว่า สุมโน
    นามเดิม กว่า สุวรรณรงค์
    บิดา หลวงพรหม (เมฆ สุวรรณรงค์) มารดา หล้า สุวรรณรงค์
    เกิด ที่บ้านม่วงไข่ ต. พรรณนา อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
    เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗

    บรรพชาและอุปสมบท
    อายุได้ ๑๕ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านไร่ ตำบลไร่ อำเภอพรรณานิคม มีท่านอาญาครูธรรม เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายธรรมยุติ ณ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธโล) เมื่อยังเป็นพระครูสังฆวุฒิกร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระรักและพระบุญเย็น เป็นพระกรรมวาจารย์
    มรณภาพ
    ได้มรณภาพ ด้วยโรคหัวใจวาย ที่วัดกลางโนนกู่ อำเภอพรรณานิคม เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ รวมอายุได้ ๗๒ ปี ๕๑ พรรษา
    _______________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
    วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    พระอาจารย์เสาร์ ฉายา กนตสีโล เกิด ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ตรงกับ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๐๒ ที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

    เนื่องจากท่าน เป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน รุ่นแรกๆ แต่ครั้งอดีต ก่อนที่จะ มีการบันทึกจดจำ ประวัติของท่าน ได้โดยละเอียด ถี่ถ้วน จึงทำให้ทราบ แต่เพียงชีวประวัติย่อ เท่านั้น
    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
    ภายหลังที่หลวงปู่เสาร์ ท่านได้สละเพศ ฆราวาสแล้ว ท่านอุปสมบท ที่วัดใต้ จังหวัด อุบลราชธานี ภายหลังต่อมา ได้ญัตติ เป็นพระธรรมยุต ที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ปัจจุบัน) มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชณายะ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัย น้อมไป ในสมาธิวิปัสสนา และพอใจ แนะนำสั่งสอนผู้อื่น ในทางนั้นด้วย เป็นผู้ใฝ่ใจ ในธุดงควัตร หนักแน่น ในพระธรรมวินัย ชอบวิเวก ไม่ติดถิ่นที่อยู่ และท่านได้รับ ความสงบใจ ในการปฏิบัติเป็นอย่าง
    หลวงปู่เสาร์ กนตสีโล เจริญธรรมโดยลำดับ แห่งองค์ภาวนา ต่อมาท่านมีความคิดว่า การที่ท่านปฏิบัติภาวนา อยู่นี้ ก็ได้ผล เป็นที่น่าพอใจ แต่ทางที่ดี ควรออกไปอยู่ป่าดง หาสถานที่สงบ จากผู้คน จิตใจ คงจะสงบกว่านี้ เป็นแน่แท้ ดังนั้น ท่านได้ออกธุดงค์ มุ่งสู่ป่าทันที ในวันรุ่งขึ้น ความปรารถนาของท่าน ก็เพื่อภาวนา และพิจารณาสมาธิธรรม ถ้าแม้เป็นจริง ดังคำตั้งใจแล้ว เมื่อกลับเข้าสู่วัด ท่านจะนำความรู้ ที่เกิดจากจิตใจ เหล่านั้น มาเผยแผ่ ยังผู้ที่หวัง ซึ่งความพ้นทุกข์ ต่อไป
    ภายหลังจาก หลวงปู่เสาร์ กนตสีโล ไปอยู่ป่าดง ฝึกฝนจิตใจ เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา จำพรรษา ในท่ามกลาง สิงสาราสัตว์ ในหุบเขา ถ้ำลึก เป็นเวลาอันสมควร ท่านจึงได้ ออกมาเปิดสำนัก ปฏิบัติธรรม ในวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยก่อนนั้น มีพระสงฆ์ฆราวาส ที่สนใจ กันอย่างจริงจัง ไม่มากนัก ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่ได้ ลดละความพยายาม ท่านก็ได้ตั้งอกตั้งใจ ในการสอนอบรม ผู้สนใจ ในธรรม ให้เกิดความรู้แจ้ง แก่ผู้ปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักยืนยัน ว่าการเจริญศีล สมาธิปัญญานี้ เป็นความสงบ และสามารถทำตน ให้หลุดพ้นได้จริง
    ดังคำพระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต แสดงที่ วัดถ้ำกลองเพล เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๒ "เรื่องปฏิปทา ของพระกรรมฐาน" ตอนหนึ่งว่า "..หลวงปู่เสาร์ เป็นบูรพาจารย์ ของพระกรรมฐาน ทั้งหลาย ในภาคอีสาน แต่ก่อนพระกรรมฐาน ไม่ได้มีมากมาย เหมือนอย่าง สมัยปัจจุบันนี้ เพราะว่าไม่มีใคร ไปศึกษา และนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใคร หอบเอาความรู้ จากพระไตรปิฏก มาสอนคน โดยมากสมัยก่อน เทศน์ ไปตามหนังสือ อ่านให้โยมฟัง พออ่านเสร็จ โยมก็สาธุ นึกว่าได้บุญแล้ว และก็พากันกลับบ้าน บางวันเทศน์ เรื่องพระโพธิสัตว์ใช้ชาติ เช่น สัญชัย ท้าวก่ำกาดำ เรื่องมโฆสก ฯลฯ ไม่ให้เอาธรรมะ มาสอนใจ ของตัวเราเอง เพราะฉะนั้น หลวงปู่ ครูอาจารย์ ทั้งหลายนี้ ท่านเอาแต่ ประพฤติปฏิบัติ รู้ธรรมแจ้งมาสอนเรา.. "
    หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านมีลูกศิษย์ที่สำคัญคือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ปัจฉิมวัย ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ท่านมรณภาพ ที่วัดอำมาตย์ เมืองจำปาศักดิ์ คณะศิษย์นำสรีระท่าน มาถวาย เพลิงที่วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

    ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นพระอาจารย์ ทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของภาคอีสาน รุ่นเก่าแก่ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ควรแก่การกราบไหว้บูชา อย่างสูงยิ่ง ปฏิปทาของท่าน เด็ดเดี่ยว เยือกเย็น มั่นคง น่าเคารพ เลื่อมใส ยิ่งนัก ชีวประวัติของท่าน ก็งดงามยิ่ง ไม่มีความด่างพร้อย ตลอดเวลา ที่ทรงดำรงเพศบรรพชิต จวบจนวาระสุดท้าย ของชีวิต ก็ยิ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ ในความเด็ดเดี่ยว เคร่งครัด ของการทรงศีล ครองธรรม ตามพระธรรมวินัย ของบูรพาจารย์ ผู้เป็นทั้งพ่อแม่ และครูอาจารย์ ของพระภิกษุสามเณร จริยาวัตร ของท่านสมบูรณ์ บริสุทธิ์ผุดผ่อง สง่าผ่าเผย จิตใจเปี่ยมล้นเมตตา เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวจิต หัวใจ ของปวงชน ลูกศิษย์ ลูกหา ทั้งหลาย ตลอดทั้งสอง ฝั่งลุ่มแม่น้ำโขง วาจาของท่านนั้น ว่ากันว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ปรกติท่านพูดน้อยมาก แต่ไม่ว่า จะกล่าวคำใดออกไป มักจะเป็นจริง ตามนั้นเสมอ ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้มอบกาย ถวายชีวิตนี้ ปฏิบัติกิจพระศาสนา ฝากฝังจิตใจ ไว้ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านเจริญเดินตามทาง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ทุกประการ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นำคณะศรัทธาทั้งหลาย ให้ได้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้รู้จักแยกแยะซึ่ง บาป บุญ คุณ โทษ ทั้งหลายทั้งปวง
    "กล่าวได้ว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร เป็นพระอาจารย์ ทางด้านวิปัสสนาธุระ รุ่นแรก ที่บุกเบิกชักนำ หมู่คณะ ออกเดินธุดงค์ ด้วยเท้าเปล่า ไปตามป่า ตามภูเขา ทางภาคอีสาน หลีกลี้หนีความพลุกพล่าน วุ่นวาย เที่ยวแสวงหา ที่วิเวก เพื่อบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม โดยท่านถือปฏิบัติ จนเป็นนิสัย คือ ภายหลังจาก ออกพรรษา ท่านจะพากัน ออกเดินทาง ตามหลังกันเป็นแถว บ่าข้างหนึ่ง สะพายบาตร บ่าข้างหนึ่ง สะพายย่าม แลแบกกลด มือถือกระบอกน้ำ ครองผ้าจีวรสีกรัก (ย้อมด้วยแก่นขนุน) แต่ละย่างก้าว อยู่ในอาการสำรวม เป็นที่น่าแปลกตา แปลกใจ และน่าทึ่งอยู่ไม่น้อย สำหรับผู้คน ในสมัยนั้น ที่พึ่งจะได้ประสบ พบเห็น หมู่คณะพระธุดงค์แบบอย่างนี้ "
    ปฏิปทาและวัตรปฏิบัติ ของท่านนั้น ได้ก่อให้เกิดสานุศิษย์ มากมาย ที่ดำเนินรอยตามท่าน เพื่อสืบทอด ธุดงควัตร มาจนกระทั่งบัดนี้
    _______________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระอาจารย์ลี ธัมมธโร
    วัดอโศการาม จ. สมุทรปราการ


    นามเดิม ชาลี นารีวงศ์
    บิดา ปาว นารีวงศ์
    มารดา พ่วย นารีวงศ์
    เกิด วันพฤหัสบดี ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ปีมะเมีย
    ที่บ้านหนองสองห้อง ต. ยางโอภาส อ. ม่วงสามสิบ จ. อุบลราชธานี

    อุปสมบท
    เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบท เมื่อวันพุธที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ปีฉลู เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย

    การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัต
    ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้เดินทางไปพบพระอาจารย์มั่น ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อศึกษาธรรม ปรากฏว่า ขณะนั้น ท่านอาจารย์มั่น กำลังอาพาธอยู่ แต่ก็ได้แนะนำให้ไปศึกษา กับพระอาจารย์สิงห์ จันตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ที่วัดบ้านท่าวังหิน

    การญัตติธรรม
    ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ติดตามพระอาจารย์มั่น ท่องเที่ยวไปในที่วิเวกต่างๆ เพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนา เป็นเวลาถึง ๔ เดือน จึงได้ตัดสินใจไปญัตติเป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ที่วัดบูรพา โดยมีพระบัญญา พิศาลเถร (หนู) วัดสระปทุม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เพ็ง วัดไต้ จังหวัด อุบลราชธานี เป็นพระกรรมวาจารย์

    สมณศักดิ์
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะในนาม "พระสุทธิธรรมรังคัมภีรเมธาจารย์" เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐

    มรณภาพ
    ได้อาพาธและมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่วัดอโศกการาม จ. สมุทรปราการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช
    อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก
    ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
    พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด
    พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่
    พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"
    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
    มรณภาพ
    ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

    ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
    ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี
    ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร
    ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ
    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง
    ______________________________________________________________________


    [​IMG]

    พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล)
    วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี

    นามเดิม จูม จันทวงศ์
    บิดา คำสิงห์ จันทวงศ์
    มารดา เขียว จันทวงศ์
    เกิด ที่บ้านท่าอุเทน ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ. นครพนม
    เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๑ (ปีชวด)

    บรรพชา
    อายุ ๑๒ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพนแก้ว ต.ท่าอุเทน เมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๔๒

    อุปสมบท
    เมื่ออายุครบบวชแล้ว ได้อุปสมบท ที่วัดมหาชัย อ.เมือง จ.หนองบัวลำพู เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๔๕๐ โดยมี พระครูแสง ธมมธโร เป็นพระอุปัชฌาย์

    ธรรมศึกษา
    พ.ศ.๒๔๔๖ ติดตาม พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ไปจำพรรษา ที่วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี อันเป็นสำนัก ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ได้มีโอกาส ศึกษาข้อวัตร ปฏิบัติ ในด้าน สมถวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์ และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    คุณพิเศษ
    เป็นอุปปัชฌาย์ ที่มีสัทธิวิหาริก เป็นพระกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น หลายรูปอาทิ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์ขาว อนาลโย พระอาจารยอ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ พระอาจารย์จันทร์ เขมปัตโต

    สมณศักดิ์
    ๑๙ ธ.ค.๒๔๘๘ ได้เป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมเจดีย์

    เจ้าอาวาส
    วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ. อุดรธานี

    มรณภาพ
    ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ณ โรงพยาบาลศิริราช
    _______________________________________________________________________


    [​IMG]

    พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    นามเดิม สิงห์ บุญโท
    บิดา เพียอัครวงศ์ (อ้วน)
    มารดา หล้า บุญโท
    เกิด วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๒๓ ปีฉลู

    บรรพชา
    เป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ ณ วัดบ้านหนองขอน ตำบลหัวทะเล อำเภออำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน จังหวัดอำนาจเจริญ)

    อุปสมบท
    ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๕๒ โดยสมเด็จพระมหาวีวงศ์ (ติสโส อ้วน) สมัยเมื่อดำรงสมณศักดิ์ เป็นพระศาสนดิลก เป็นอุปัชฌาย์ ศิษย์หลวงปู่มั่น

    ในระหว่างพรรษา ปี พ.ศ.๒๔๕๘ ได้นมัสการ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดบูรพา อ.เมือง จ.อุบลราชธานี มีความเลื่อมใสศรัทธา ในปฏิปทาศีลาจารวัตร ของท่านพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน จึงมอบกายถวายตัว เป็นศิษย์ออกธุดงคปฏิบัติ ตามแนวของท่าน จนมีความก้าวหน้าทางธรรมปฏิบัติ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
    เป็นพระนักปฏิบัติ ที่เด็ดเดี่ยว เสียสละ เป็นผู้นำหมู่คณะ เผยแผ่ธรรม ได้ผลดีมาก ในแถบจังหวัดนครราชสีมา และภาคอีสาน วัดที่ท่านเคยพำนัก เป็นเจ้าอาวาส คือวัดป่าสาลวัน โคราช
    สมณศักดิ์
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ "พระญาณวิสิษฏ์ สมิทธิวีราจารย์" เมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐

    มรณภาพ
    วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๐๔ เวลา ๑๐.๒๐ น ณ วัดป่าสาลวัน รวมอายุได้ ๗๓ ปี

    _______________________________________________________________________

    [​IMG]

    ครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย
    วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน

    "พาลภายนอกย่อมเห็นด้วยตา พาลภายในมองไม่เห็นด้วยตา หากไม่คบหาบัณฑิต นักปราชญ์แล้วที่ไหนจะล่วงรู้ได้ การคบ บัณฑิตนักปราชญ์ คือ หมั่นฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เพื่อให้รู้ทันพาลภายใน ปุถุชนทั้งหลายพากันเชื่อว่า นามรูป เป็นตัวตน จึงตกอยู่ในอำนาจของมัน จึงบันดาลให้เป็นพาล "
    นามเดิม อินตาเฟือน กำเนิด 11 มิ.ย. 2420 สถานที่เกิด บ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดบ้านโฮ่งหลวง อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เมื่อพ.ศ. 2441 โดยมีครูบาสมณะ เป็นพระอุปัชฌาย
    ครูบาเจ้าบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 18 ปี และอุปสมบทเมื่ออายุได้ 21 ปี ได้รับฉายาว่า "สิริวิชโยภิกขุ" เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษากัมมัฏฐานกับครูบาอุปละ วัดดอยแต อ.แม่ทา จ.ลำพูน จริยวัตรอันเคร่งครัดของครูบา ทำให้เกิดแรงศรัทธาแก่เหล่าพุทธศาสนิกชน กระทั่งรวบรวมเหล่าพุทธศาสนิกชนทำการสร้างทางเดินขึ้นดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ได้เป็นผลสำเร็จ โดยเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2477 และสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2478 นอกจาก สร้างทางขึ้นดอยสุเทพแล้ว ท่านยังได้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกฉบับลานนาไทย รวมทั้งการสร้าง และบูรณวัด ต่างๆ หลายวัด ท่านเป็นผู้ทรงศีล จนได้รับขนานนามว่า " พระครูบาศีลธรรมเจ้า" ท่านได้สร้างประโยชน์ต่อศาสนา อย่างแท้จริง สมดังเป็น "นักบุญแห่งลานนา" ซึ่งควรค่าแก่การเทิดทูน เคารพบูชายิ่ง
    _______________________________________________________________________

    [​IMG]

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    ผู้ที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อให้ได้สมาธิที่ถูกต้อง เป็น "สัมมาสมาธิ" ให้ได้ปัญญาเป็น "สัมมาทิฏฐิ" ต้องอาศัยศีลเป็นมูลฐาน ศีลที่เรา รักษาบริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีแล้วนั้นแหละ จะประคับประคองจิตใจ ให้มีความสงบลงสู่ความเป็นสมาธิอย่างถูกต้อง เมื่อสมาธิอาศัย อำนาจแห่งศีลเป็นเครื่องอบรม "ปัญญา" คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นมา ย่อมเป็น "สัมมาทิฏฐิ"
    นามเดิม พุธ อินทรหา กำเนิด 8 ก.พ. 2464 สถานที่เกิด อ.หนองโดน จ.นครราชสีมา อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อพ.ศ. 2485 โดยมี พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ พระราชสังวรญาณ
    หลวงพ่อกำพร้าบิดา มารดา ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ดังนั้น หลวงพ่อจึงอยู่ในความอุปการะของญาติที่ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอินทร์สุวรรณ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ภายหลังบรรพชา เป็นสามเณรแล้ว หลวงพ่อได้มีโอกาสเดินทางไปยังวัดบูรพา จ.อุบลราชธานี ณ วัดแห่งนี้เอง หลวงพ่อได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเริ่มรับการฝึกอบรมด้าน ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปีพ.ศ.2483 ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้พาหลวงพ่อไปฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลวงพ่อได้จำพรรษาเรื่อยมาจนอายุครบบวช จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดแห่งนี้ หลวงพ่อได้ปฏิบัติศาสนกิจช่วยงานพระศาสนาตลอดมา กระทั่งในปีพ.ศ. 2513 หลวงพ่อจึงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อมิเคยหยุดบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระศาสนา และสังคม ท่านยังคงรับเป็นองค์บรรยายธรรม และอบรมสมาธิภาวนาให้แก่ศาสนิกชนอย่างสม่ำเสมอ ท่านเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ แก่พระศาสนา และประชาชนอย่างสูง เป็นผู้ยินดีเอาใจใส่ในการอบรมสั่งสอนธรรมแก่ พระภิกษุ สามเณ ตลอดถึงสาธุชน ผู้มาถึงสำนักด้วยความเมตตา เป็นผู้ชี้นำในธรรมปฏิบัติ ทั้งเป็นผู้ปฏิบัติสำรวมตนในพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นแบบอย่างอันดี แก่ศิษยานุศิษย์มาโดยตลอด ควรแก่การเครารพเทิดทูนยิ่ง
    ____________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินทปัญโญ)
    วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

    "มนุษย์เราจะเป็นมนุษย์อยู่ได้ ก็เพราะกำลังประกอบอยู่ด้วย ธรรม มิฉะนั้นจะต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ หรือต้องตาย ในที่สุด โดยไม่ต้องสงสัย มนุษย์ที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรม ก็ต้องประกอบอยู่ด้วยอธรรม เป็นธรรมดา และจะต้องเป็น อมนุษย์ในร่างของมนุษย์ โลกนี้จะเป็นอย่างไร หากเป็นโลก ที่ประกอบอยู่ด้วยอมนุษย์ในร่างของมนุษย์ เต็มไปทั้งโลก "
    นามเดิม เงื่อม พานิช กำเนิด 27 พ.ค. 2449 สถานที่เกิด ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดอุบล อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อพ.ศ. 2469 โดยมีพระครูโสภณเจตสิการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ พระธรรมโกศาจารย์ มรณภาพ 8 ก.ค. 2536 อายุ 87 ปี 67 พรรษา
    ท่านพุทธทาส อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ได้รับฉายาว่า "อินทปัญโญ" เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางมาศึกษาต่อ ที่วัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร สอบได้นักธรรมเอก และเรียนภาษาบาลีได้เปรียญ 3 ประโยค สร้างสำนักปฏิบัติธรรม ที่วัดตระพังจิก ต.พุมเรียง อ.ไชยา สุราษฎร์ธานี เมื่อ 12 พ.ค. 2475 ให้ชื่อว่า "สวนโมกขพลาราม" ซึ่งแปลว่า สวนป่าเป็น กำลังหลุดพ้นจากทุกข์ ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.2487 ได้ย้ายสวนโมกขพลาราม จากทมายังสถานที่แห่งใหม่ คือ วัดธารน้ำไหล ในปัจจุบัน ท่านสร้างผลงานทางธรรมไว้มากมายทั้งที่เป็นหนังสือ และเทปบันทึกเสียง รวมทั้งได้ไปแสดงปาฐกถาธรรม ทางสถานีวิทยุ สถานที่ และหน่วยงานหลายแห่ง ท่านได้อุทิศตนเพื่องานพระศาสนา และทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้ได้พบสันติสุข โลกมีสันติภาพ ตามปณิธานที่ตั้งได้ 3 ประการ ได้แก่
    1. พยายามทำให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน
    2. พยายามทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
    3. พยายามนำโลกออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม

    ผลจากการมุ่งมั่นศึกษา ฝึกฝนตนอย่างเข้มงวด และอุทิศชีวิตถวายแด่พระศาสนาของท่าน ทำให้ท่านได้รับการ นับถือยกย่อง จากพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ ผลงานของท่านได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ กระทั่งได้รับการยอมรับจากชาวโลกว่าเป็น สมณปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีบทบาทอย่างสูง ต่อพุทธศาสนา
    ______________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระอาจารย์อ่อน ญาณสิร
    วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า
    อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

    นามเดิม อ่อน กาญวิบูลย์
    บิดา เมืองกลาง กาญวิบูลย์
    มารดา บุญมา กาญวิบูลย์
    เกิด ที่บ้านดอนเงิน ต. แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี
    วันอังคาร เดือน ๗ ปีขาล พ.ศ. ๒๔๔๕

    การบรรพชาและอุปสมบท
    เมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดเกาะเกตุ บ้านเมืองเก่า อำเภอ กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี

    ครั้นอายุครบบวช ก็ได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ วัดปะโค อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เมื่อเดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ ปีระกา ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๔ โดยมีพระอาจารย์จันทา เจ้าคณะอำเภอ กุมภวาปี เป็นพระอุปัชฌาย์
    การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัต
    ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้เดินธุดงค์ไปจนถึงอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และได้เข้าศึกษา ปฏิบัติกัมมัฏฐาน กับพระอาจารย์สุวรรณ เป็นเบื้องต้น

    พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ ของพระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น ที่วัดบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ณ ที่นี้ ได้พบกับพระอาจารย์ฝั้น เป็นครั้งแรก
    การขอญัตติ
    เมื่อเดือน ๓ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีชวด ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้ญัตติเป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ณ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนธโล) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูสังฆวุฒิกร เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูอดิศัยฯ (อดีตเจ้าคณะจังหวัดเลย เป็นพระกรรมวาจารย์)

    มรณภาพ
    พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ จำพรรษาอยู่ที่ วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งมรณภาพ

    ____________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระอาจารย์แว่น ธนปาโล
    นามเดิม แว่น ทุมกิจจะ
    บิดา นายวันดี ทุมกิจจะ
    มารดา นางคำไพร ทุมกิจจะ
    เกิด วันเสาร์ เดือน ๔ ข้างแรม พ.ศ. ๒๔๕๓
    บ้านบัว อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร

    บรรพชาและอุปสมบท
    บวชเณรอายุ ๑๘ ปี เจ้าอาวาส วัดศรีรัตนาราม อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร พระอาจารน์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาได้ติดตามหลวงปู่สิม พุทธาจาโร (ลูกผู้พี่เป็นญาติใกล้ชิดในตระกูล) ได้เห็นจริยวัตรต่างๆ ที่สวยสดงดงาม ของหลวงปู่สิม เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นอย่างมาก และได้ขอแปรญัตติ จากมหานิกาย มาเป็นธรรมยุติกนิกาย พออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม โดยมีพระเทพสิทธาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์

    จาริกและปฏิบัติธรรม
    พระอาจารย์แว่น ได้ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา จนได้พบกับพระปรมาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้รับอุบายธรรม จากหลวงปู่มั่น ในครั้งนั้น ทำให้จิตใจสว่างไสว และได้นำมาถ่ายทอด แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อเป็นอุบาย ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ตามสติกำลังของตน จึงนับได้ว่าเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ท่านที่ยังไม่เคยเข้ากราบนมัสการ ควรหาโอกาสไปกราบ เพื่อรับกระแสแห่งเมตตาธรรมจากท่าน



    _____________________________________________________________

    [​IMG]

    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต)
    วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม

    "ผู้มีจิตใจเป็นอิสระรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาอุปทานเท่านั้น จึงจะรู้ว่าอะไร เป็นความเสื่อม อะไรเป็นความเจริญที่แท้จริง มิใช่เพียง ความเจริญที่อ้างสำหรับมาผูกรัดตัวเอง และผู้อื่นให้เป็น ทาสมากยิ่งขึ้น หรือ ถ่วงให้จมต่ำลงไปอีก จึงจะสามารถ ใช้ประโยชน์จากความเจริญที่สร้างขึ้นพร้อมกับสามารถ ทำตนเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้เป็นอย่างดี "
    นามเดิม
    ประยุทธ์ อารยางกูร กำเนิด 12 ม.ค. 2481
    สถานที่เกิด
    อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
    อุปสมบท
    อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2504 ในฐานะนาคหลวง

    สมณศักดิ์
    พระธรรมปิฎก

    ท่านจบการศึกษาทางโลกในระดับมัธยมศึกษา โดยได้รับทุนเรียนดีของกระทรวงศึกษาธิการ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ. 2494 สอบได้นักธรรมชั้น ตรี โท เอก และเปรียญธรรม 3 ถึง 9 ประโยค ขณะยังเป็นสามเณร จึงได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุเคราะห์ ให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในฐานะนาคหลวง ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งน้อยคนนัก ที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้ เมื่อจบการศึกษาขั้นปริญญาพุทธศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และสอบได้วิชาชุดครู พ.ม.
    ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งท่านได้สร้างความเจริญ ให้แก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทั้งด้านบริหาร และวิชาการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นบทบาท และภาวะสังคมที่เพิ่มขึ้นของสงฆ์ รวมทั้งสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนไว้ในหลักสูตร ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส วัดพระพิเรนทร์ในปีพ.ศ.2515 ถึง พ.ศ.2519 จากนั้นจึงได้มาดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม

    ท่านได้อุทิศตนให้กับการเผยแพร่พระศาสนา ทั้งด้านการบรรยาย ทางวิชาการ การแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดจนงานด้านนิพนธ์ เอกสารวิชาการ และตำราต่าง ๆ จำนวนมาก ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ หนังสือ "พุทธธรรม" ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "มรดกธรรมอันล้ำค่าแห่งยุค" ที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง
    นอกจากงานด้านนิพนธ์แล้ว ท่านยังได้รับการอาราธนาให้เป็นผู้แสดงปาฐกถาในการประชุม นานาชาติขององค์กรระดับโลกต่าง ๆ หลายครั้ง อีกทั้งยังได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น รางวัล "สังข์เงิน" สาขาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ปีพ.ศ.2533 รางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพปีพ.ศ.2537 จากยูเนสโก นับเป็นคนไทยคนแรก ที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลนี้ ซึ่งนับเป็นการสร้างเกียรติประวัติ และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก
    ท่านดำรงชีวิตแบบ เรียบง่าย มีวัตรปฏิบัติที่อ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความสำคัญ และความสนใจแก่ผู้ที่เข้าพบโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา ผิวพรรณ และเพศ เป็นพระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อวงการพระพุทธศาสนา และสังคมของมวลมนุษย์อย่างหาที่เปรียบได้ยาก
    ________________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระราชสังวราภิมณฑ์
    (หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวณฺโณ)

    ท่านพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวณฺโณ) อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาตั้งแต่ เป็นสามเณรอายุ 17 ปี แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดประดู่ฉิมพลีกรุงเทพมหานครเมื่ออายุ 20 ปี ตลอดอายุขัยของหลวงปู่ 94 พรรษานั้น ท่านประพฤติ ปฏิบัติอยู่ในสมณธรรม ออกธุดงค์จารึกไป ยังสถานที่ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ สถานที่บำเพ็ญธรรมของหลวงปู่มี 2 แห่ง คือ สำนักสงฆ์ถ้ำสิงโตทอง จังหวัดราชบุรี และพระธาตุสมฟาง อำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้การ อุปถัมภ์ตลอดตั้งแต่หลวงปู่อาพาธ และ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลประทาน เมื่อหลวงปู่มรณะภาพด้วย
    _______________________________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)

    ชาติภูมิ
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ องค์ปฐมบรมครูแห่งวิชชาธรรมกายในยุคปัจจุบัน เดิมชื่อ สด นามสกุล มีแก้วน้อย ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๗ ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๒๔๖ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา ๕ คน

    การศึกษาเมื่อเยาว์วัย
    ท่านเรียนหนังสือกับพระภิกษุน้าชายของท่าน ณ วัดสองพี่น้อง เมื่อพระภิกษุน้าชายลาสิกขาบทแล้ว ท่านก็ได้มาศึกษาอักษรสมัย ณ วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ปรากฏว่าท่านเรียนได้ดีสมสมัย คือตั้งใจเรียนจริงๆ ไม่ยอมอยู่หลังใคร

    การอาชีพ
    เมื่อเสร็จการศึกษาแล้ว ออกจากวัดช่วยมารดาบิดาประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าขาย โดยซื้อข้าวบรรทุกเรือล่องมาขายให้แก่โรงสีในกรุงเทพฯ บ้าง ที่นครชัยศรีบ้าง เมื่อสิ้นบุญบิดาแล้ว ได้รับหน้าที่ประกอบอาชีพสืบต่อมา เป็นคนรักงานและทำอะไรทำจริง ทั้งขยันขันแข็ง อาชีพการค้าจึงเจริญโดยลำดับ จนปรากฏในยุคนั้นว่า เป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง

    เมื่ออายุ ๑๙ ปี ระหว่างที่ทำการค้าอยู่นั้น ความคิดอันประกอบด้วยความเบื่อหน่ายเกิดแก่ท่าน โดยเกิดธรรมสังเวชขึ้นในใจว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  3. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระอาจารย์พรหม จิรปุญโญ
    นามเดิม พรหม สุภาพงษ์
    บิดา จันทร์ สุภาพงษ์
    มารดา วันดี สุภาพงษ์
    เกิด วันเดือนปี ที่เกิด ไม่ปรากฏหาหลักฐานไม่ได้
    ที่บ้านตาล ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัด สกลนคร เป็นบุตรคนแรกในจำนวน ๔ คน

    อุปสมบท
    เบื้องแรกท่านได้รับราชการ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ บ้านดงเย็น มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่ราชการ สร้างหลักฐาน จนนับว่ามีฐานะ พอกินพอใช้ ต่อมาได้พบกับท่านอาจารย์สาร ซึ่งมาพักวิเวกอยู่ในป่าใกล้บ้านดงเย็นนั้น ได้รับฟังโอวาท จากท่านอาจารย์สาร เป็นที่เข้าใจ แจ่มแจ้ง จนปลงใจที่จะสละครอบครัว และทรัพย์สมบัติ ออกบวช ในพระพุทธศาสนา ได้อุปสมบท เมื่ออายุ ๑๗ ปี ที่วัดโพธสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ สมัยเป็นพระราชกวี เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    จาริกและปฏิบัติธรรม
    หลังจากได้อุปสมบทแล้ว ก็ได้เที่ยววิเวก อยู่ในเขตนครเชียงใหม่ ท่านจึงได้เดินทางไปคนเดียว จนถึงที่หมายแล้ว ได้เข้าไปกราบขอรับโอวาทแนะแนวทางปฏิบัติจากท่านอาจารย์มั่น เมื่อได้รับคำแนะแนวปฏิบัติ ให้เกิดความอุตสาหะ ในการประกอบความเพียร เพื่อละนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามและปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

    ครั้งสุดท้าย ท่านได้กลับจากการอยู่ใกล้ชิด ท่านอาจารย์มั่น ที่บ้านหนองผือ ตำบลนาใน มาอยู่ที่บ้านดงเย็น และได้หาญาติโยม สร้างวัดประสิทธิธรรม ท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดประสิทธิธรรมนี้ จนสิ้นอายุขัยของท่าน
    มรณภาพ
    ท่านได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ณ วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เวลา ๑๗.๓๐ น. คำนวณอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๔

    _______________________________________________________________________

    [​IMG]

    พระธรรมญาณมุนี (ทองย้อย บัวอ่อน)
    "พระธรรมญาณมุนี" พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายคันถธุระ คณะคามวาสี ซึ่งป็นฝ่ายที่มุ่งศึกษาพระปริยัติธรรม หรือพระไตรปิฎก แล้วทำการอบรมสั่งสอน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดกวิศราราม ผู้เป็นกำลังยิ่งใหญ่ในงานทางพระพุทธศาสนา และกิจการของคณะสงฆ์รวมทั้งงานการศึกษาและการสาธารณสุขของสังคม
    สภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถวายปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาครุศาสตร์) เมื่อปีพ.ศ. 2526 และท่นยังเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ตำแหน่งพระธรรมญาณมุนี ศรีวิสุทธิดิลก ตรีปิฎกคุณาภรณ์ กถึกสุนทรธรรมบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล)
    วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่

    " สักวา แดนดิน ถิ่นสงบ จะค้นพบ แดนใด สุดใฝ่หา
    พื้นพิภพ ทั่วทั้ง ฝั่งคงคา บนเวหา สรวงสวรรค์ ชั้นพรหมินทร์
    แดนสงบ อยู่ที่ใจ ใช่ที่อื่น ใจชุ่มชื่น ด้วยความดี ใจมีศีล
    ใจสงบ พบความสุข ทั่วแดนดิน ถิ่นสงบ พบได้ ที่ใจเอย "

    นามเดิม จันทร์ แสงทอง กำเนิด 26 พ.ย. 2460 สถานที่เกิด อ.ป่าซาง จ.ลำพูน อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2480 โดยมี พระพุทธิโสภณ (แหวว) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ พระธรรมดิลก
    หลวงปู่เข้าสู่เพศบรรพชิตโดยบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 15 ปี ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อ. เมือง จ.เชียงใหม่ ท่านสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ในปีพ.ศ. 2483 ท่านให้ความสนใจต่อการพัฒนาชนบท และการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง โดยได้อุทิศตนเพื่องานดังกล่าวอย่างไม่ย่อท้อ กระทั่งสามารถสร้างผลงานด้านการพัฒนาชนบท และการศึกษาจนเป็นที่ ยอมรับโดยทั่วไป อาทิเช่น - ร่วมกับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตั้งชื่อว่า สภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา - จัดตั้งมูลนิธิเมตตาศึกษา และโรงเรียนเมตตาศึกษา ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เพื่อช่วยเหลือให้เด็กยากจนได้มี โอกาสศึกษาเล่าเรียนแบบให้เปล่าทั้งด้านทุนการศึกษา ผู้อุปการะ ที่พักอาศัย อุปกรณ์การเรียน เป็นต้น - จัดตั้งมูลนิธิศึกษาพัฒนาชนบท เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในชนบทที่ด้อยการศึกษาได้รับการพัฒนาถึงระดับ ที่สามารถช่วยเหลือตนเอง และชุมชนได้ ทั้งด้านอาชีพทางการเกษตร และงานฝีมือท้องถิ่น โดยมีแนวคิดในการ พัฒนาที่ว่า "เศรษฐกิจ จิตใจ ต้องแก้ไขพร้อมกัน" ผลงานจำนวนมากที่หลวงปู่ท่านได้สร้างไว้ล้วนเป็นผลงานที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติอย่างมาก กระทั่งท่านได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากหน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ มากมาย เช่น
    - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโล่รางวัล "มหิดลวรานุสรณ์" แก่สภาสังคม สงเคราะห์แห่งประเทศไทย เพื่อถวายแด่หลวงปู่ ผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติ
    - ได้รับการถวายรางวัลศิลปินแห่งชาติ ด้านวัฒนธรรมดีเด่น สาขาภูมิปัญญาชาวบ้าน ประจำปี 2538
    นับได้ว่าหลวงปู่เป็นพระเถระรูปสำคัญของล้านนาไทยที่บำเพ็ญศาสนกิจตลอดระยะเวลาแห่งเพศบรรพชิต โดย ให้การศึกษา การเผยแพร่ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพุทธศาสนิกชนมาโดยตลอด คุณงามความดีของท่านได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน ควรแก่การเคารพบูชายิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน
    วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    " ขณะที่จิตสงบอยู่ย่อมปล่อยอารมณ์ที่เคยรบกวนต่าง ๆ เสียได้ เหลือแต่ความรู้ ความสว่างประจำใจ และความสุขอันเกิดจาก ความสงบตามขั้นของใจเท่านั้น ไม่มีสองกับสิ่งอื่นใด เพราะว่า จิตปราศจากอารมณ์ และเป็นตนของตนอยู่โดยลำพัง แม้กิเลส ส่วนละเอียดยังมีอยู่ภายในก็ไม่แสดงตัว ใจที่ปราศจากอารมณ์ มีความสงบตัวอยู่โดยลำพังนานเพียงไร ก็ย่อมจะแสดงความสุข ความอัศจรรย์ ความสำคัญ ความมีคุณค่า ให้เจ้าของได้ชมนาน และมากเพียงนั้น "

    กำเนิด ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธาน
    วันเกิด ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖
    นาม บัว โลหิตดี
    เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น

    พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์

    เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่าง ๆ ตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้ว ต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียรในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผา ในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง

    เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ

    ยืนยัน...ชาตินี้ ชาติหน้า อดีตชาติ มีจริง สภาวะธรรมในใจของท่านขณะนั้น ท่านเคยเล่าให้พระภิกษุในวัดป่าบ้านตาดฟังว่า "เกิดความสลดสังเวชภพชาติแห่งความเป็นมาของตน และเกิดความอัศจรรย์ในพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ที่ท่านหลุดพ้นไปแล้ว ท่านก็เคยเป็นมาอย่างนี้ เราก็เป็นมาอย่างนี้ แต่คราวนี้เป็นความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ได้ทราบชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะตัวพยานก็มีอยู่ภายในจิตนั้นแล้ว แต่ก่อนจิตเคยมีความเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งใด บัดนี้ไม่มีสิ่งใดจะติดจะพัวพันอีกแล้ว..."

    สมณศักดิ์
    พระราชญาณวิสุทธิโสภณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

    "ธรรมชาติของดีทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี มีอุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยงาม ก็เกิดขึ้นมาจาก โคลนตม อันเป็นของสกปรก ปฏิกูล น่าเกลียด แต่ว่า ดอกบัวนั้นเมื่อขึ้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งสะอาด เป็นที่ทัดทรงของพระราชา อุปราช อำมาตย์ เสนาบดี เป็นต้น และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปยังโคลนตมอีก -ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ -ได้สมบัติทั้งปวงไม่เท่าได้ตน เพราะตัวตนนั้นเป็นที่เกิดแห่ง สมบัติทั้งปวง"
    นามเดิม
    กำเนิดในสกุล แก่นแก้ว กำเนิด 20 ม.ค. 2413 สถานที่เกิด บ้านคำบง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

    อุปสมบท
    อุปสมบท ณ วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 12 มิถุนายน 2436 โดยมีพระอริยกวี เป็นพระอุปัชฌาย์

    มรณภาพ
    11 พ.ย. 2492 อายุ 80 ปี 56 พรรษา

    หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ณ วัดบ้านคำบง เมื่อบวชได้ 2 ปี ท่านจำต้องสึกตาม ความประสงค์ของบิดา พออายุได้ 22 ปี หลวงปู่จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และได้เข้าฝึกปฏิบัติธรรม ในสำนักวิปัสสนากับ ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ณ วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่เป็นอาจารย์สอนธรรมทางวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงมีผู้เคารพนับถือมาก หลวงปู่มีศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระเถระซึ่งเป็นที่เครารพของผู้คนทั้งประเทศ อาทิเช่น
    [​IMG] หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    [​IMG] หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    [​IMG] หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    [​IMG] หลวงปู่ขาว
    [​IMG] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
    [​IMG] หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น

    หลวงปู่ได้รับ การเรียกขานจากบรรดาศิษย์ว่า "พระอาจารย์ใหญ่" เป็นผู้มีประวัติงดงาม เป็นฐานที่พึ่งอันมั่นคงตลอดจนเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ตลอดเวลาในเพศบรรพชิต หลวงปู่ปฏิบัติตนจนกระทั่งเป็น แบบอย่างที่ดี อันจะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  7. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

    "โลกนี้มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป จะอยู่ที่โน่นก็เปลี่ยนแปลง อยู่ที่นี่หรือที่ไหนก็เปลี่ยนแปลงเพราะพวกเราทั้งหลายอยู่ได้ด้วย การเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่ไม่ได้ หายใจ ออกมาแล้วก็เปลี่ยนเป็นหายใจเข้า แล้วก็หายใจออก ไม่เช่นนั้น ก็อยู่ไม่ได้ ออกไปหมดก็อยู่ไม่ได้ ลมเข้ามาแล้วไม่ออกก็อยู่ไม่ได้ เราทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ก็เป็นของโลก มันเป็นของๆ โลก ไม่ควร ทำความน้อยใจ ไม่ควรทำความเสียใจใดๆ เราต้องเป็นผู้มีจิตใจ เข้มแข็ง จะตกไปอยู่ที่ไหนก็สร้างแต่คุณงามความดี แม้หมดชีวิต ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี "
    นามเดิม ชา ช่วงโชติ กำเนิด 17 มิ.ย. 2461
    สถานที่เกิด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
    อุปสมบท
    อุปสมบท ณ วัดก่อใน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2482 โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ พระโพธิญาณเถร

    มรณภาพ
    16 ม.ค. 2535 อายุ 74 ปี 53 พรรษา

    หลวงปู่เกิดในครอบครัวที่อบอุ่น มั่งคั่ง และมักเกื้อหนุนสงเคราะห์ผู้ยากไร้อยู่เสมอ ท่านเป็นเด็กวัดตั้งแต่ อายุยังน้อย และได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านก่อ เมื่ออายุได้ 13 ปี ลาสิกขาเมื่ออายุได้ 16 ปี แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุได้ 21 ปี หลวงปู่ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดก่อใน จนกระทั่งต้นปีพ.ศ. 2489 หลวงปู่จึงได้เริ่ม ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อหาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง และได้เข้ากราบนมัสการ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดหนองผือนาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร พระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาท และปรารภเรื่องนิกายว่า "ถ้าถือพระวินัย เป็นหลัก ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็น ต้องญัตติเข้าธรรมยุตินิกาย ด้วยทางมหานิกาย จำเป็นต้องมีพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเช่นเดียวกัน" ด้วยเหตุนี้เอง หลวงปู่จึงมิได้ขอญัตติเป็นธรรมยุติเช่นเดียวกับ ศิษย์ของพระอาจารย์มั่นทั้งหลาย หลังจากเข้ากราบนมัสการพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านเกิดศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนักถึงกับ เปรียบเทียบว่า "คนตาดีเมื่อพบดวงไฟก็มองเห็นแสงสว่าง ส่วนคนตาบอดนั้น ถึงจะนั่งเฝ้าดวงไฟก็มองไม่เห็นอะไร" ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ของพระอาจารย์มั่น ได้ถูกนำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติสำหรับพระ-เณร เมื่อหลวงปู่ได้กลับมาพัฒนาวัดหนองป่าพงในช่วงบั้นปลายชีวิต จนกระทั่งมีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงต่างแดน มีชาวต่างประเทศเลื่อมใส ศรัทธาขอบวชกับหลวงปู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงได้สร้างวัดป่านานาชาติ เพื่อให้ภิกษุชาวต่างชาติ ได้มีโอกาสใช้เป็นที่พำนักฝึกปฏิบัติธรรม นอกจากนั้นยังได้สร้างวัดสาขาของวัดหนองป่าพง เพื่อเผยแพร่พระศาสนาไปยังทั่วทุกภาค ของประเทศ จึงนับได้ว่าหลวงปู่เป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อศาสนิกชนทั้งหลาย ควรแก่การเทิดทูนบูชายิ่ง


    <TABLE width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG] วัดหนองป่าพง</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  8. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระราชสังวรอุดม (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
    วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

    พระภิกษุสงฆ์ ในประเทศไทย สายอรัญวาสี หรือที่เรียกว่า "พระป่า พระธุดงคกรรมฐาน" นับตั้งแต่ ปีพุทธศักราช 2458 เป็นต้นมา ได้รับการอบรม วางหลักปักฐาน การเผยแผ่ ศาสนธรรม จากพระบุพพาจารย์ใหญ่ สายวิปัสสนากรรมฐาน คือท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    ด้วยปฏิปทาบารมีธรรม ของพระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ทำให้บังเกิดกองทัพธรรมพระกรรมฐาน นำธงชัย แห่งพระพุทธศาสนา กระจายเผยแผ่อมตะธรรมไปทั่วสารทิศ และในบรรดาพระกรรมฐาน ลูกศิษย์ของท่าน ได้มีสมณะผู้ทรงศีลาจารวัตร เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ของชาวพุทธกว้างไกล และนำพาซึ่งประโยชน์ แห่งการพระศาสนาอย่าง สัมฤทธิ์ผล ปรากฏชัด ณ ปัจจุบันกาล พระคุณเจ้ารูปนี้คือ
    พระราชสังวรอุดม ( หลวงปู่ศรี มหาวีโร ) วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
    นามเดิมของท่านชื่อ ศรี เกิดในสกุลปักกะสีนัง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2460 ตรงกับวันศุกร์ เดือนหก ปีมะเมีย ที่บ้านขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดาชื่อนายอ่อนสี โยมมารดาชื่อนางทุม ปักกะสี
    ในช่วงปฐมวัย ท่านเข้าศึกษา ที่โรงเรียนประชาบาล วัดบ้านขามป้อม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำท้องถิ่น จบชั้นประถมปีที่ 6 และได้ขวนขวาย เข้ามาเรียนต่อ ที่โรงเรียนสารคามพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด จนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อปี พ.ศ.2480
    การศึกษาของท่าน ในยุคสมัยนั้น นับว่าอยู่ในขั้นดี ท่านได้เข้ารับราชการ เป็นครูในปีรุ่งขึ้น หลังจากสำเร็จการศึกษา ชีวิตการเป็นครู ท่านเริ่มที่ โรงเรียนวัดบ้านชาด ตำบลหัวเรือ มหาสารคาม และต่อมาที่โรงเรียน บ้านสวนจิก ตำบลปอภาร ร้อยเอ็ด
    ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2488 ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์รังสรรค์ บ้านป่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพระโพธิญาณมุนี ( ดำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นอุปปัชฌาย์ ได้รับฉายา ทางพระพุทธศาสนา เป็นมคธว่า "มหาวีโร"
    พรรษาแรก ในชีวิตสมณะผู้ละวาง ท่านได้พำนักศึกษาปฏิบัติธรรม อยู่กับท่านพระอาจารย์คูณ อุตตโม วัดประชาบำรุง มหาสารคาม
    ปีต่อมา พ.ศ.2489 ท่านได้จาริกไปจำพรรษ ที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีโอกาสศึกษา ปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนา กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นศิษย์สำคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    เมื่อออกพรรษาแล้วพระศรี มหาวีโรในครั้งนั้นได้ออกจาริกแสวงธรรม ไปตามวนาป่าเขาราวไพร อาทิ ภูเก้า ภูผักกูด บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม ซึ่งที่ภูผักกูด หรือภูผากูดแห่งนี้ เป็นสัปปายะสถาน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เคยธุดงค์จาริก มาพำนัก เป็นแหล่งเจริญธรรม ที่ผู้กล้าแห่งกองทัพธรรม ได้มาประพฤติธรรม บำเพ็ญเพียร ด้วยเป็นสถานที่อยู่ไกลจากชุมชน ขาดแคลนขัดสน ในปัจจัยสี่ แต่มีภูมิทัศน์ ที่เหมาะแก่การพัฒนา ภูมิธรรมสัมมาปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
    ปี พ.ศ. 2490 หลวงปู่ศรี มหาวีโร ธุดงค์ไปพำนักที่ถ้ำพระเวส ครั้นเข้าพรรษา ได้ไปจำพรรษา ที่วัดบ้านนาแก อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ซึ่งในยุคสมัยนั้น เป็นดินแดนที่ครุกรุ่นไปด้วยสถานะการณ์ แห่งความขัดแย้ง ด้านอุดมการณ์ทางการเมือง และสังคม แต่ท่านก็อยู่ด้วยความราบรื่น ปราศจากอันตราย จนกระทั่ง ออกพรรษา จึงจาริกไปยังจังหวัดสกลนคร และปี พ.ษ. 2491 เข้าจำพรรษา ที่วัดโนนนิเวสน์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นการเดินตามทางรอยธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเคยมาพำนักที่วัดแห่งนี้มาแต่ครั้งอดีต
    ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในปฎิปทาบารมีธรรม ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งขณะนั้น อยู่ในช่วงปัจฉิมวัย พำนักอยู่ที่สำนักป่า บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พระอาจารย์ศรี มหาวีโร จึงเข้าไปกราบนมัสการ พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่สำนักป่าบ้านหนองผือ ขออนุญาต พำนักจำพรรษา และศึกษาธรรมกับท่าน ซึ่งหลวงปู่มั่น ก็เมตตาอนุญาติ นับเป็นโอกาส อันเป็นมหามงคล ในชีวิตบรรพชิต ที่มีโอกาสศึกษาธรรม และอุปปัฎฐาก พระบุพพาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รวมทั้งมีโอกาสเจริญธรรม กับสหธรรมิกร่วมสำนัก ร่วมครูอาจารย์เดียวกัน
    เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาพาธพระอาจารย์ศรี ก็มีโอกาสถวายการปฏิบัติ เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่ถึงแก่มรณภาพ ก็นำความวิโยคอาดูร มาสู่ผู้เป็นศิษย์ ผู้เคารพศรัทธาครูอาจารย์ อย่างสุดจิต สุดใจ พระอาจารย์ศรี มหาวีโร ได้ถวายสักการะ สรีระ หลวงปู่มั่น เป็นครั้งสุดท้าย ในงานถวายเพลิง ฌาปนกิจ ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
    ต่อมาปี พ.ศ.2493 พระอาจารย์ศรี มหาวีโร ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนอง ผักตบ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดอุดรธานี และปีต่อมา ได้มีโอกาส ไปพำนัก จำพรรษาที่ วัดบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ได้มีโอกาส ศึกษาธรรม กับท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ในสำนักแห่งนี้
    ปี พ.ศ.2495 ได้ร่วมสร้างวัดป่าหนองแซง โดยบัญชาของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
    ท่านพระอาจารย์ศรี ได้ออกจาริกห่างถิ่นมหาสารคาม และร้อยเอ็ดไปนานหลายปี จนกระทั้งปี พ.ศ.2496 ท่านจาริกมายังวัดป่ากุง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาประมาณ 170 ปี ท่านเป็นผู้นำศรัทธา ในการพัฒนาวัดป่ากุง ให้เรืองรุ่งโดยลำดับ จนกระทั้งเป็น "วัดประชาคมวนาราม" ที่งามสง่า เป็นศาสนสถาน อันไพศาล สำหรับชาวพุทธ ผู้ศรัทธาในธรรมะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และดำเนินตามธรรมวิถีของพ่อแม่ครูอาจารย์
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เป็นต้นมา ท่านเป็นผู้นำ เป็นธุระในกิจการงาน พระศาสนา อย่างจริงจังและ มั่นคง สร้างคุณูปการและสาธารณประโยชน์ เป็นจำนวนมาก
    ที่เป็นงานยิ่งใหญ่อลังการคือการก่อสร้าง "พระมหาเจดีย์ชัยมงคล" ณ วัดผาน้ำทิพย์ อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด
    พระมหาเจดีย์แห่งนี้ เป็นผลานิสงส์แห่งแรงศรัทธา ของชาวพุทธ ต่อพระบวรพุทธศาสนา ต่อพระสุปฏิปันโน ต่อบารมีธรรม ของพระราชสังวรอุดม เจ้าคุณหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ ต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นหลักชัยหลักใจของชาวไทย หมายจรรโลงพระพุทธศาสนา สืบสานศิลปวัฒนธรรม งานพุทธศิลปให้สถิตสถาพรสืบไป
    รูปแบบอันวิจิตร เป็นศิลปผสมความยิ่งใหญ่ ของพระปฐมเจดีย์ กับความ โอฬารของพระธาตุพนม กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียว ประดิษฐานตระหง่าน ตระการตา ด้วยศิลปกรรม อันล้ำเลิศ ด้วยฝีมือลูกหลานไทย เป็นนฤมิตกรรมแห่งยุคสมัย ที่จะเป็นปูชนียสถานสำคัญ ของไทย และของโลกวัฒนา สืบต่อไปภายภาคหน้า
    ในยามเช้าผู้คนจากบ้านไกลเรือนไกล จากหลายถิ่น จะมารวมกัน ที่หน้าวัดประชาคมวนาราม เพื่อเตรียมถวายภัตตาหาร บิณฑบาตรพระคุณเจ้า เป็นโอกาสที่พุทธศาสนิกชน จะได้กราบนมัสการหลวงปู่ศรี อย่างใกล้ชิด บางรายบางท่าน ก็มาขอพึ่งบารมีธรรมของท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาเสมอตลอดมา
    การบิณฑบาตร เป็นธุดงควัตรที่พระกรรมฐานประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่ศรีจะตื่นแต่ดึก ออกเดินไปรอบ ๆ วัด จนถึงเวลาบิณฑบาตร ท่านเป็นผู้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงแม้จะมีอายุกว่า 80 ปีแล้ว
    หลังจากบิณฑบาตรแล้ว สาธุชนจะร่วมกันถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเป็นพระวิปัสนาจารย์กรรมฐาน ที่มีความสามารถอย่างสูงในการแจกแจงแสดงธรรม
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นพระเถราจารย์ ผู้เปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม เป็นเนื้อนาบุญ อันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธศาสนา เป็นพระป่า พระกรรมฐาน ที่ศิษย์เคารพ ศรัทธา อย่างมหาศาล เป็นสมณะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างสิ้นสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    " ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง คือการ ต่อสู้กับมัจจุราช เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อ ตนเอง และต้องสู้โดยลำพัง ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดี คือไปสู่ สุคติ ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าย คือไปสู่ทุคติ อาวุธที่ใช้ ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียว คือ "สติ" ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการ เจริญภาวนาเท่านั้น "
    พระธุดงคกรรมฐาน ที่เป็นศิษย์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ และเป็น ผู้เจริญ ในสมณะธรรม บำเพ็ญกิจน้อยใหญ่ เพื่อ อำนวยประโยชน์ ต่องานพระศาสนา สถาบันหลัก ของชาติไทย และเกื้อกูล หมู่ชน สังคม อย่างเอนกอนันต์ เป็นปูชนียภิกขุ ที่สาธุชน เคารพศรัทธามหาศาล
    พระเดชพระคุณ "พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร" วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร นามเดิม เกิดในสกุล สุวรรณรงค์ เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนที่ ๕ ของ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ในตระกูล "สุวรรณรงค์" อดีตเจ้าเมือง พรรณานิคม มารดา ของท่านชื่อ นางนุ้ย
    พระอาจารย์ฝั้น ครั้งวัยเยาว์ มีความประพฤติ เรียบร้อย นิสัยโอบอ้อม อารี ขยันหมั่นเพียร อดทน ต่ออุปสรรค ช่วยเหลือกิจการ งานของบิดา มารดา โดยไม่ย่อท้อ ต่อความยากลำบาก
    ท่านเข้าศึกษา ชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย บ้านม่วงไข่ และ เข้าไปศึกษาต่อ กับพี่เขย ที่เป็นปลัดขวา ที่อำเภอเมือง ขอนแก่น ช่วงนั้น ทีแรก ท่านอยากรับราชการ แต่ต่อมา ได้เห็น ความเป็นอนิจจัง ของผู้มี ยศฐาบรรดาศักดิ์ จึงได้เปลี่ยน ความตั้งใจ และได้เข้า บรรพชา เป็นสามเณร ที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นในพ.ศ. ๒๔๖๓ จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติ เป็นธรรมยุตินิกาย เมื่อวันที่ ๒๑ พ.ค. ๒๔๖๘ ที่วัดโพธิ์สมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้น อายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดสิทธิบังคม อำเภอ พรรณานิคม จังหวัด สกลนคร โดยมีพระครูป้อง เป็นอุปัชฌาย์ และเป็นผู้สอน การเจริญกรรมฐาน ตลอดพรรษาแรก
    ออกพรรษาแล้ว ท่านกลับมาพำนัก ที่วัดโพนทอง ซึ่งมีพระครูสกลสมณกิจ เป็นเจ้าอาวาส และวิปัสสนาจารย์ นำพระภิกษุฝั้น อาจาโร ออกธุดงคและเจริญภาวนา
    ในช่วงชีวิตบรรพชิตของหลวงปู่ ท่านได้ธุดงค์ยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่พระธรรม คำสอน จนกระทั่งเป็นที่นับถือศรัทธาของญาติโยมจำนวนมาก และได้รับการได้รับการยกย่องเป็น "อริยสงฆ์" องค์หนึ่ง
    มรณภาพ ๔ ม.ค. ๒๕๒๗ อายุ ๗๘ ปี ๕๘ พรรษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  10. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่หลุย จันทสาโร
    วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย

    นามเดิม นายบา วรบุตร
    บิดา นายผ่อย วรบุตร
    มารดา นางกวย วรบุตร
    เกิด วันอังคารที่ ๑๑ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔
    ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ที่ อ.เมือง จ. เลย
    มีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน คือ
    ๑. นางบวย วรบุตร (ถึงแก่กรรม)
    ๒. หลวงปู่หลุย (มรณภาพ)
    ๓. นายสุข วรบุตร (ถึงแก่กรรม)

    หลังจากที่หลวงปู่ จบชั้นประถมปีที่ ๓ จากโรงเรียน วัดศรีสะอาด ได้ไปอยู่กับพี่เขย ซึ่งทำงานเป็นสมุห์บัญชี แผนกสรรพากร อ.เชียงคาน อายุ ๑๘ ปี ได้เข้าโบสถ์ นับถือศาสนาคริสต์ เพราะชอบสวดมนต์ นับถือศาสนาคริสต์ อยู่ ๕ ปี จนคุณพระเชียงคาน ให้ชื่อว่า นักบุญ หลุย จากการที่คลุกคลีอยู่นี้ ได้เห็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงออกจากศาสนาคริสต์ เข้าอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ โดยบวชฝ่ายมหานิกาย อยู่ ๑ ปี แล้วญัตติเข้าเป็นฝ่ายธรรมยุติ ที่ จ.เลย กับท่านพระครูอดิสัย คุณาธาร อยู่ ๑ พรรษา และได้ญัตติเป็นครั้งที่สอง ที่ จ. อุดรธานี โดยท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์
    ในครั้งนี้ได้อุปสมบท พร้อมกับหลวงปู่ขาว อนาลโย โดยหลวงปู่หลุย เป็นนาคขวา บวชก่อนหลวงปู่ขาว ๑๕ นาที และได้มาอยู่กับท่าน พระอาจารย์มั่น และท่านพระอาจารย์เสาร์ ที่ อ.ท่าบ่อ เป็นเวลา ๑๑ ปี และหลวงปู่ ได้อยู่เป็นเจ้าอาวาส วัดถ้ำผาบิ้ง อยู่ ๒ - ๓ ปี ก็ได้เที่ยววิเวก โดยให้พระอาจารย์มนตรี (หรั่ง คณาโสภโณ) เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำผาบิ้งสืบต่อไปแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  11. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    " ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย ความตายนั้น แก้ไม่ได้ ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มาแต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า "เราต้องตาย" ทุกลมหายใจ"
    นามเดิม สิม วงเข็มมา กำเนิด 26 พ.ย. 2452 สถานที่เกิด ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    อุปสมบทอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส อ.เมืองจ.ขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2472 โดยมี
    ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์(จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์
    สมณศักดิ์ 2502-พระครูสันติวรญาณ 2535-พระญาณสิทธาจารย์(ฝ่ายวิปัสนา)
    มรณภาพ 14 ส.ค. 2535 อายุ 83 ปี 63 พรรษา

    หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 17 ปี ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นไม่นาน จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติใหม่เป็นธรรมยุตินิกาย ได้รับฉายาว่า "พุทธาจาโร" จากนั้นได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ หลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด จนกระทั่งปี 2510 หลวงปู่ได้ลาออก จากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ จากนั้นได้จำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำผาปล่อง จนกระทั่งมรณภาพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  12. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่ตื้อ อลจธมโม
    วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

    นามเดิม ตื้อ ปาลิปัตต์
    บิดา นายปา ปาลิปัตต์
    มารดา นางปัตต์ ปาลิปัตต์
    เกิด วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๔๓๑
    ณ บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

    บรรพชาอุปสมบท
    เป็นศิษย์วัด ตั้งแต่วัยเยาว์ ต่อมาบรรพชาเป็นสามเณร และเมื่ออายุ ๒๑ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุ สังกัดมหานิกาย

    ศึกษาธรรม
    ด้วยความเคารพศรัทธาเลื่อมใส ในพระรัตนตรัย และในบารมีธรรม ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ กาลต่อมา ได้ญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย สหธรรมิก ที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมโม มีความสนิทสนมมาก คือ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ซึ่งเคยออกธุดงคจาริกด้วยกัน

    ปฎิปทา
    หลวงปู่ตื้อ เป็นสมณะที่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ การเสวนาและแสดงธรรม จะตรงไปตรงมา จนคล้ายขวานผ่าซากในวาจา

    สหธรรมิก
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    สิริอายุ ๘๖ ปี (๖๕ พรรษา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  13. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    บทบูชาพระรัตนตรัยนี้ เป็นลิขิตของพระกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่มอบกาย ถวายชีวิต อุทิศเพื่อ พระพุทธศาสนา พระคุณเจ้า รูปนี้คือ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
    ชีวประวัติ ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นชีวิต แห่งสมณะ ผู้ละวางลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มุ่งสู่ ความหลุดพ้น อย่างจริงจัง มั่นคง
    ท่านเกิดเมื่อ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2454 ที่บ้านกุดสระ อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อนายคูน เสวตร์วงศ์ มาดาชื่อ นางแพง เสวตร์วงศ์ เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน อาชีพของครอบครัว คือทำนา ท่านศึกษา ในโรงเรียน ชั้นประถม ปีที่ 2 ก็ต้องออกมา
    ในวัยเยาว์ ท่านได้มีโอกาส รับใช้พระธุดงค์ ที่จาริกมา ในละแวกบ้าน ซึ่งมีส่วนช่วย หล่อหลอมจิตใจ ให้ใฝ่ในทางธรรม
    อายุ 18 บวชเป็นเณร เมื่ออายุครบเกณฑ์ ก็ได้บวช เป็นพระ ตามประเพณี จากนั้น ก็ลาสิกขา มาครองเรือน ได้ประสพ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง แห่งสังขาร และการพลัดพราก
    ครั้นปี พ.ศ.2486 บวชเป็น พระมหานิกาย ที่วัดบ้านยาง มีพระครูคูณ เป็นอุปัชฌาย์ พรรษาแรก ก็สอบนักธรรมโทได้
    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488 ท่านได้ญัตติ เข้าในคณะธรรมยุต ที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ครั้งเป็นพระเทพกวี เป็นอุปัชฌาย์ และให้ท่าน ไปพำนัก ฝึกการปฏิบัติ กับหลวงปู่บุญมี ชลิตโต ที่วัดโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็ม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นวัด ที่เจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เคยอาราธนา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ไปพำนัก ครั้งที่ท่าน กลับจากเชียงใหม่ และหลวงปู่ บุญมี เคยได้รับการศึกษา อบรม กับท่านพระอาจารย์มั่น และดำเนิน ปฏิปทา ตามพระบุพพาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  14. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สมเด็จพระญาณสังวร (สุวัฑฒโน)
    วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร

    "คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นสั่งสอนอยู่ในภายใน ปฏิบัติได้ อยู่ในภายใน รู้ยิ่งเห็นจริงได้เองทุก ๆ คน มีเหตุตรองตามให้ เห็นได้จริงทุก ๆ คน ปฏิบัติก็ได้ผลจริงทุก ๆ คน เพราะไม่ได้ สอนในภายนอก แต่ว่าสอนในภายใน แล้วก็เป็นเหตุเป็นผลที่ ตรองตามให้เห็นได้ ปฏิบัติได้ "
    นามเดิม เจริญ คชวัตร ประสูติ 3 ต.ค. 2456 สถานที่เกิด อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดเทวสังฆาราม เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2476 โดยมี พระเทพมงคลรังษี เป็นพระอุปัชฌาย์ สมณศักดิ์ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จฯ ได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อป ีพ.ศ. 2469 ขณะอายุได้ 14 ปี ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา จากนั้นได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม กระทั่งอายุครบอุปสมบท ท่านจึงได้ เดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อพ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยต่อไป และที่วัดบวรนิเวศนี่เอง ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท เป็นธรรมยุตนิกาย โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ด้านการศึกษา ทรงสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปีพ.ศ. 2484 และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "สมเด็จพระญาณสังวร" เมื่อพ.ศ. 2515
    ท่านได้ทรงอุทิศตนเพื่องาน พระศาสนาโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทรงรับเป็นองค์แสดงธรรมยังสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง นอกจากนั้นยังได้ทรงนิพนธ์ ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนา ซึ่งล้วนแต่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งไว้มากมาย พ.ศ. 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเลือกให้เป็นพระอภิบาล(พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่าง วันที่ 22 ต.ค. - 5 พ.ย 2499 เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นพระเถระที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามทางแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงเป็นพระผู้ประเสริฐบริสุทธิ์ที่หาได้ยากยิ่งองค์หนึ่ง จากคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสมไว้ ในที่สุดจึงได้รับตำแหน่งเป็น "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" เมื่อ 21 เม.ย. 2532 เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  15. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) กำเนิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2445 (ปีขาล) เป็นบุตรของนายอุตส่าห์ นางครั่ง ครอบครัวชาวนา บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
    เมื่ออายุ 18 ปี มีโอกาสติดตาม พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ออกธุดงค์ และบรรพชา เป็นสามเณร ที่วัดบ้านเค็งใหญ่ โดยมีพระอาจารย์ลุย เป็นอุปัชฌาย์ ต่อมาไป ศึกษาธรรมที่วัดสุทัศนาราม เมืองอุบล และเรียนหนังสือที่วัดศรีทอง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 อุปสมบท ณ พัทสีมาวัดสุทัศนาราม โดยมีพระมหารัฐเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ต่อมาได้ออกธุดงคไปกับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้มีโอกาสวาสนากราบ นมัสการพระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ อุดรธานีทำให้ มีกำลังจิต กำลังใจ ในการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรอย่างยิ่ง
    ครั้งสมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ไปพำนักทางภาคเหนือ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ได้จาริกธุดงคกับพระอาจารย์อ่อนสีไปกราบท่านอาจารย์ใหญ่ที่ป่าเมี่ยง ดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ และได้ปฏิบัติธรรมในภาคเหนือ ถิ่นมูเซอร์ และมาโปรดสาธุชนแถบลำพูนจนกลับมา ภาคอีสานพำนักที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ หนองคาย
    ปี พ.ศ.2492 ไปเยี่ยมหลวงปู่มั่นที่อาพาธที่วัดบ้านหนองผือ นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนครจนกระทั้งท่านพระอาจารย์ใหญ่ละสังขาร กาลต่อมาปี พ.ศ.2493 ท่านไปจำพรรษาที่ภูเก็ตและเผยแผ่ศาสนธรรมในภาคใต้ ร่วมกับหมู่คณะท่านพำนักที่ภูเก็ต-พังงา-กระบี่ นานถึง 15 ปีกลับมาที่ถ้ำขามสกลนคร พักจำพรรษา ปีรุ่งขึ้นจาริกมาที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งตั้งอญู่ริมแม่น้ำโขงบรรยากาศดีเหมาะแก่การเจริญธรรมสัมมาปฏิบัติ
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นสมณะผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรอันงดงามยิ่ง เป็นผู้นำศรัทธาในการอบรมสั่งสอนธรรมและนำสร้างศาสนสถานเพื่อการจรรโลงพระบวร พุทธศาสนาหลายแห่งในถิ่นแถบอีสาน เป็นปูชนียาจารย์ของชนทุกระดับชั้น ในปัจฉิมวัยท่านไปพำนักพักที่วัดถ้ำขามและละสังขาลด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22.00 น สิริรวมอายุได้ 93 ปี 71 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานน้ำอาบศพและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานโลงทองทึบ และทรงรับงานบำเพ็ญกุศลอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์
    พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มีที่วัดหินหมากเป้ง นับเป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระเถราจารย์ครั้งประวัติศาตร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  16. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงปู่ดูลย์
    วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

    "ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า-ชาติหลัง หรือ นรก-สวรรค์อะไรก็ได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง 16 ชั้น ตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองตามลำดับ หรือถ้า สวรรค์-นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีในขณะนี้ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ "
    นามเดิม เกิดในสกุล เกษมสินธ์ กำเนิด 4 ต.ค. 2431 สถานที่เกิด ต.เฉนียง อ.เมือง จ.สุรินทร์
    อุปสมบท
    อุปสมบท ณ วัดจุมพลสุทธาวาส อ.เมือง จ.สุรินทร์ ในพ.ศ.2453 โดยมีพระครูวิมลศีลพรต เป็นพระอุปัชฌาย์

    สมณศักดิ์ พระราชวุฒาจารย์
    มรณภาพ 30 ต.ค. 2526 อายุ 96 ปี 74 พรรษา
    เมื่อแรกบวช หลวงปู่ได้พากเพียรศึกษาการปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด มีความวิริยะ อุตสาหะอย่างแรงกล้า จนล่วงเข้าพรรษาที่ 6 หลวงปู่จึงหันมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสุทัศน์ จ.อุบลราชธานี สอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นรุ่นแรก ของจังหวัดอุบลราชธานี และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ (มูลกัจจายน์) จนสามารถแปลพระธรรมบทได้ เนื่องจากวัดสุทัศน์ เป็นวัดที่อยู่ในสังกัดธรรมยุตินิกาย หลวงปู่จึงได้ขอญัตติเป็นธรรมยุตินิกายในพ.ศ.2461 ณ วัดสุทัศน์โดยมีพระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ และในพรรษาต่อมาหลวงปู่ได้มีโอกาสพบ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เมื่อได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว จากพระอาจารย์มั่น ก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง จึงได้เลิกศึกษาพระปริยัติแล้วออกธุดงค์ตามพระอาจารย์มั่น ไปยังที่ต่างๆ หลายแห่ง จึงนับได้ว่าหลวงปู่เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นในสมัยแรก ต่อมาเจ้าคณะมณฑลนครราชสีมาขอให้หลวงปู่กลับ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อบูรณะวัดบูรพาราม หลวงปู่จึงจำต้องระงับกิจธุดงค์และเริ่มงานบูรณะตามที่ได้รับมอบหมาย หลวงปู่ได้อุทิศชีวิต เพื่อพระศาสนาอย่างแท้จริง จนได้รับการยอมรับจากสาธุชนทั้งหลาย ว่าเป็นอริยสงฆ์ที่หาได้ยากยิ่งองค์หนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  17. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ
    พระราชวิทยาคมเถระ ( วิ )
    วัดบ้านไร่ ตำบล กุดพิมาน ด่านขุนทด นครราชสีมา


    "คนเรา เมื่อมีเมตตาให้กับผู้อื่น ผู้อื่นเขาก็จะ ให้ความเมตตาตอบสนองต่อเรา ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะโกรธเราตอบเช่นกัน ความเมตตานี่แหละ คืออาวุธ ที่จะปกป้องตัวเราเอง ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นอาวุธที่ใคร ๆ จะนำเอาไปใช้ก็ได้ จัดว่าเป็นของดีนักแล"
    ประวัติ
    หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชือ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขอำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง"

    หลวงพ่อคูณเกิดเมื่อวันพฤหัสบุดีที่ ๔ ตุลาคม ๒๔๖๖ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีกุน
    การศึกษา
    เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หล ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม นอกจากนี้พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย "ค่ำคืนอันมืดมิดมิอาจบดบังแสงอันสกาวใส ของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาได้ไม่"

    อุปสมบท
    หลวงพ่อคูณอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ ปีวอก หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า...

    " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ
    ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
    ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด...

    พิจารณาว่า ความเกิดเป็นธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ไม่
    หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคงสอนเน้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า...
    "อนิจจัง ไม่เที่ยง
    ทุกขัง เป็นความทุกข์
    อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา
    สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม
    จึงมิใช่ของเราและของเขา"

    ศัตรูที่แท้จริงของคนคือ โลภ โกรธ หลง ต้องแก้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่ได้ไม่
    สู่มาตุภูม
    หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย การให้ทรัพย์ตั้งทุนหนุนศึกษา เรียนธรรมาศาสน์พุทธพิศุทธิ์ใส ก็ชื่อว่าธรรมทานยานนำไป สู่เมืองใหญ่คือนิพพานสุขศานต์เอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2005
  18. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ใครมีประวัติพระสงฆ์ต่างๆมาแบ่งปันกันด้วยนะครับขออนุโมทนาครับและขอกราบเคารพพระอริยสงฆ์ไทยทั้งมวลด้วยความเคารพอย่างสูงสุดทั้งกายวาจาและใจ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    หาข้อมูลมาได้เยอะมากเลยนะครับ โมทนาด้วยนะครับ
     
  20. โลกันต์

    โลกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +620
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2005

แชร์หน้านี้

Loading...