ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    "ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"
    (หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    "ความสงบเป็นสุขจริงหนอ!"

    ขณะใดที่ตั้งความระลึกรู้อยู่เฉพาะหน้า เพ่งพินิจพิจารณาสังเกตดูอารมณ์ภายในที่ผ่านใจ ไม่เห็นมีอะไรเปนแก่นสารมั่นคง ผ่านมาแล้วก็ล่วงเลยลับดับหายไปทุกๆขณะ ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย ปล่อยวาง เปนกลาง ไม่เข้าไปพัวพันรักใคร่ชอบชัง ติดข้องอยู่ในอารมณ์ใดๆ ขณะนั้นกายใจเบาสบาย ชุ่มชื่น เยือกเย็นสงบสงัดอยู่ภายใน เปนสุขวิหารธรรมที่ได้อาศรัยอยู่ทุกวันนี้ฯ.

    ขอประทานน้อมจิตต์ถวายกุศลสนองพระคุณ
    ธมฺมวิตกฺโก

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "อตีตาธรรมเมา อนาคตาธรรมเมา อดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆ..."

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "การภาวนานั้น ไม่ได้หมายเอาเพียงรูปร่างภายนอก การนั่งสมาธิตามแบบแผนอย่างเดียว...
    ข้อสำคัญอยู่ที่การทำให้
    จิตใจตั้งมั่นรู้อยู่ภายใน รวมอยู่ภายใน รู้ตามเป็นจริงของสิ่งต่างๆ มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นต้นจนไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียได้.."

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "ธรรมชาติของจิต จะไปหยุดนิ่งอยู่นานๆ ไม่ได้เดี๋ยวมันก็คิด ในช่วงนั้นถ้าเกิดความคิดขึ้นมาปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ สิ่งที่มันคิดนั้นจะเป็นอะไรก็ได้เรื่องครอบครัว เรื่องการเรื่องงาน เรื่องผู้เรื่องคน จิปาถะสารพัดที่จะคิดขึ้นมา เมื่อมันคิดขึ้นมาอย่างนั้น ปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ รู้ รู้ เป็นการส่งเสริมให้จิตของเรามีพลังเข้มแข็ง เพราะความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดสติปัญญาจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้จากความคิด เมื่อจิตมีความคิด สติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ความคิดสะเปะสะปะเหลวไหลนั่นแหละจะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ เพราะจิตของเราคิดแล้วจะรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไปๆ เมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้นกลายเป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็สามารถกำหนดหมายรู้ความคิดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็รู้พระไตรลักษณ์ขึ้นมา ก็กลายเป็นปัญญาในขั้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะไปข้องใจสงสัยอยู่ทำไมหนอรีบเร่งบำเพ็ญภาวนาให้มากๆ ให้ได้สมาธิเป็นเบื้องต้น
    ทีนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจ หรือไม่มีอะไรจะคิดก็
    ให้กำหนดจิตรู้ที่จิตเฉยๆ ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด ว่างรู้ที่ความว่าง คิดรู้ที่ความคิด ไล่ตามกันไปอย่างนี้ เมื่อเราฝึกหัดจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้อารมณ์จิตหรือความคิด สติก็ทำหน้าที่ตามรู้คอยควบคุม เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง
    เมื่อพิจารณาไปพอสมควรแล้ว บางครั้งจิตอาจจะสงบลงในท่ามกลางแห่งภาวนา แล้วก็หยุดพิจารณา เมื่อมันหยุดพิจารณา ไปนิ่ง รู้เฉยอยู่
    ให้กำหนดตัวผู้รู้ ในขณะกำหนดตัวผู้รู้ จิตจะหยุด นิ่งอยู่ ก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าไปรบกวน น้ำใจกำลังจะนิ่ง ในเมื่อน้ำใจนิ่ง ไม่มีคลื่นไม่มีฟอง ไม่มีอารมณ์มารบกวน เราก็จะสามารถเห็นจิตเห็นใจของเราได้ทะลุปรุโปร่ง เหมือนๆ กับน้ำทะเลที่มันนิ่ง เราสามารถมองเห็น เต่า ปลา กรวด ทราย สาหร่าย อยู่ใต้น้ำได้ถนัด ฉันใด ในเมื่อจิตของเรานิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน เราก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในจิตของเราได้อย่างชัดเจน อะไรผุดขึ้นมา จิตจะกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ"

    เคล็ดวิชาดูจิต ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว บาปมันเกิดที่จิต บุญมันเกิดที่จิต ดีชั่วเกิดที่จิต สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "รู้เท่าความเป็นจริงทั้งภายในและภายนอก ภายในหมายถึงอารมณ์ที่เกิดกับใจ อารมณ์เป็นสุขทุกข์อุเบกขาต้องรู้ตนเอง ภายนอก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ชิวหาได้ลิ้มรส กายสัมผัส รู้เท่ากายใจของตนตามเป็นจริงเช่นนี้.."


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    อนึ่ง ในการเจริญสติปัฏฐานแนว"จิตตานุปัสสนา"และ"ธรรมานุปัสสนา" ซึ่งเรียกรวมว่าการ"ดูจิต" อันเป็นที่นิยมศรัทธาปฏิบัติอย่างกว้างขวางในยุคนี้ พระเดชพระคุณพระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม สุรินทร์ พระอัจฉริยเจ้าผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกสุดของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ซึ่งเป็นเอตทัคคะในการวิปัสสนวิถีส่วนนี้เป็นอย่างยิ่งได้เคยให้อรรถาธิบายเรื่อง"จิต"และการ"ดูจิต"ไว้อย่างละเอียดที่สุดดังต่อไปนี้....



    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    "ให้พยายามตรวจจิตต์ของตนอยู่เสมอๆ อย่าให้เผลอได้เลยสักขณะ ก็จะเป็นจิตต์ในอิทธิบาท 4 "
    "โดยมากไปรู้แต่สมมุติบัญญัติ เป็นเพียงแค่เปลือกและกะพี้ ยังไม่ใช่รู้ถึงแก่น ถ้าผู้ปฏิบัติ
    รู้จิตต์ของตนว่าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อิจฉาพยาบาท จิตต์ไม่ยักย้ายไปรับอารมณ์ภายนอกเข้ามาเป็นของตนโดยสร้างกุศลถือศีล 5 รับอพรหม เท่ากับทำรั้วและปิดประตูทั้ง 5 แห่ง ไม่ให้เหตุภายนอกเข้ามาแย่งจิตต์ที่เป็นกุศล...เทียบเท่ากับสมาธิลืมตา..."
    "ถ้าผู้ใดมีเพียร
    เพ่งอยู่ที่จิตต์ ให้รู้เท่าว่าว่ากายเวทนา จิตเวทนามีเพียงใด ถ้ามองดูแต่จิตต์ที่ฝึกฝนแก่กล้ามาจากศีลสมาธิลืมตาแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าจิตต์จะหนาบางสักเพียงใด..."

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม กทม.
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    หลวงปู่แหวนเนื้อเจ้าคุณนร.?!!?

    เป็นพระผงใบเสมา หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ที่อดีตพระอาจารย์ทองเจือ วัดปากน้ำได้ถอดพิมพ์มาจากพระใบเสมาที่ท่านสร้างนั่นเอง.....
    แต่ดู"เนื้อ"สิครับ...
    เนื้อ วัดวิเวกวนาราม เจ้าคุณนรรัตน์ชัดๆเลย..!!!???
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สุดยอดจริงๆ... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอดีตพระอาจารย์ทองเจือเคยได้หัวเชื้อผงไตรมาสเจ้าคุณนรรัตน์ฯ มาจากผู้สร้างพระวัดวิเวกวนารามมาเยอะมาก เลยเอามาผสมกดพิมพ์พระหลายๆรุ่นได้อย่างเหลือเฟือ
    แต่ พระเครื่องที่อดีตพระอาจารย์ทองเจือสร้าง และมีเนื้อหาสีสันวรรณะเหมือนกับ"พระวัดวิเวก เจ้าคุณนรรัตน์ฯ"เปี๊ยบแบบนี้ เพิ่งเจอในพระผงใบเสมาหลวงปู่แหวนองค์นี้เป็นองค์แรก
    ชะรอยว่า พระองค์นี้ ตอนกดพิมพ์ หากผงไตรมาส เจ้าคุณนรรัตน์ฯไม่บังเอิญ"หกใส่" คนสร้างอาจจะนึกสนุกเอาผงหัวเชื้อวัดวิเวกฯมา"กดล้วนๆ"ก็อาจะเป็นไปได้ทีเดียวเชียวนะเนี่ย.......
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สาธุ..... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์พุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นำมาลงให้ชมอีกครั้งก่อนที่จะมีการให้การศึกษาทีละพิมพ์
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 มีนาคม 2551 1:27:20 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๘ : ทรงรับสั่งให้นายฉันนะเตรียมม้า
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ 18 : ทรงรับสั่งให้นายฉันนะเตรียมม้า


    พอสิ้นพระดำรัสถามของเจ้าชายสิทธัตถะ ก็มีเสียงทูลขานรับ โดยนาย"ฉันนะ" นายฉันนะ คือ มหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะและเป็น สหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับเจ้าชายด้วย

    [​IMG]

    ถ้าจะอุปมา เรื่องราวของพระพุทธเจ้าเป็นดุจบทละคร นายฉันนะก็เป็นตัวละครที่สำคัญคนหนึ่งในเรื่อง ความสำคัญนั้น คือ เป็นผู้มีส่วนร่วมในการเสด็จออกบวชของพระพุทธเจ้า อีกอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ เมื่อภายหลังเจ้าชายได้เสด็จออกบวชและได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว นายฉันนะได้โดยเสด็จออกบวชด้วย พระฉันนะกลายเป็นพระหัวแข็ง ใครว่ากล่าวไม่ได้นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะพระฉันนะถือตัวว่าเป็นข้าเก่า เขาใช้สรรพนามเรียกเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าติดปากมาจนกระทั่งบวชเป็นพระอยู่คำเดียวว่า "พระลูกเจ้า"

    ในตอนที่กล่าวนี้ นายฉันนะนอนอยู่ที่ภายนอกห้องพระบรรทมของเจ้าชาย ศีรษะหนุนกับธรณีพระทวาร เมื่อเจ้าชายรับสั่งให้ไปเตรียมผูกม้า นายฉันนะก็รับพระบัญชารีบลงไปที่โรงม้า
    [/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]



    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>


    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

    ธรรมที่ควรมนสิการ คือ อริยสัจจ์ ๔

    "อริยสาวกนั้นย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการอยู่โดยแยบคายอย่างนี้ สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ย่อมเสื่อมสิ้นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะการเห็น"


    พุทธดำรัส



    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=985


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2008
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    คนท่านหนึ่งเข้าธรรมในวัดวา
    เป็นอาภาผุดผ่องไม่หมองศรี
    ห่างไกลเดนเวรร้ายกลายอัปปีร์
    จิตถึงที่สงบเย็นเช่นทุกครา

    แต่วันหนึ่งเกิดกาลพาไหวหวั่น
    ด้วยวันนั้นต้องออกทำธุระหนา
    โลกภายนอกเเต่งจิตที่มีมา
    ไขว่เขวพาจิตหมองลงหน่อยนึง

    ไปเจอร้านขายของช่างน่าซื้อ
    น่าหยิบถือใช้สอยเมื่อไปถึง
    ไปเจอคนหมู่มากลากตะบึง
    ไปเจอซึ่งสิ่งของที่ต้องใจ

    ความสงบถูกทำลายด้วยจิตอ่อน
    สงบจรจากหายมิสดใส
    ก็ด้วยวัตถุตามมากมายหลากหลายไป
    ดึงจิตให้หลงโอฆกันดาร

    สันโดษแหละคือสิ่งที่ดีเลิศ
    สุดประเสริฐฝึกจิตในพื้นฐาน
    ไร้ฝูงคนวุ่นวายในบ่วงมาร
    ไร้เหตุกาฬผลาญจิตให้ปรวนไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ทั้งภาพสวยๆ และคำกลอนที่ดีนี้ได้นำมาจาก
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=987
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พูดถึงพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า และพระสมเด็จปัญจสิริ ที่นำมาลงให้ดูนั้น คาดว่าจะเป็นพระที่นำมาแจกให้ฟรีในเร็วๆ นี้ ซึ่งพระสมเด็จทั้ง สองนี้ ดูเหมือนจะเป็นคู่แฝดกัน เพราะสำเร็จได้จากการขอบารมีเสกจากท่านหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเหมือนกัน แต่เพื่อความไม่ประมาททั้งที่ตรวจกันแล้ว พี่ใหญ่จึงอธิษฐาน ขอให้ท่านช่วยเสกให้เต็มที่ โดยไม่ได้อารธนาท่านองค์ใหญ่ในภัทรกัปปให้ลงมาช่วยอีก ทั้งนี้ เพราะต้องการรักษาเอกลักษณ์ขององค์ผู้อธิษฐานจิตคือท่านหลวงปู่ใหญ่ และท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)เอาไว้ซึ่งนับเวลาที่ขอบารมีนี้นานประมาณ 4-5 เดือน โดยเมื่อลองเปรียบเทียบกับพระที่เราแจกฟรีมา 2 ครั้ง ก็อยู่ราวๆ ไม่เกิน 100 องค์ คิดว่าน่าจะแจกได้สบายมาก

    ดังนั้น จึงขอให้ท่านติดตามต่อไปว่าจะแจกให้ฟรีเมื่อใด จะได้ไม่ลืมกันโดยพรุ่งนี้ 22/6 คณะกรรมการฯ ประชุมกัน ผมจะได้นำเรื่องนี้เข้าพิจารณา ด้วย และจะได้นำมาสิ่งที่ได้จากการประชุมมาประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป ก่อนจบแถมท้ายด้วย"พระสมเด็จปีระกาป่วงใหญ่"ที่เคยลงแล้วมาในกระทู้นี้แค่บางส่วนที่นับว่าน้อยมาก วันนี้ซื้อหนังสืออุณหมิลิตฉบับเดือนนี้อ่าน ได้เจอบทความนี้นิดหน่อยเหมือนกันในหมวดของ"พระสมเด็จยายขำ" พระพิมพ์นี้มีน้อยมาก โดยอาจารย์ประถม อาจสาคร ยืนยันในวันที่ผมนำพระพิมพ์นี้ให้ท่านตรวจว่า นี่ล่ะ สมเด็จแท้ อิทธิคุณไม่ต้องพูดถึง ตรวจเสร็จผมส่งให้น้องโอ๊ตเอาไว้ใช้ทันที เพราะผมมีอยู่แล้ว 3 องค์ รู้สึกตอนนี้ราคาที่หาได้ราวๆ 300-400.-บาท ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ถ้าพบเจอก็เก็บเอาไว้ให้ดีใช้แทนพระสมเด็จพิมพ์วัดระฆังได้สบายมาก วันนี้คงมีเรื่องคุยแค่นี้ก่อนหลังประชุมเสร็จค่อยมาเจอกันอีกทีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2008
  8. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันี้ดู TV เป็นเรื่องของสภากาชาดไทย ที่ต้องการเลือด อย่างต่อเนื่อง

    เพราะทุกวันนี้ มีเด็กๆ ที่สภากาชาดไทย เพื่อถ่ายเลือด ดำรงชีวิตตน มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

    เรื่องของกายก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิด เวทนา

    เห็นแล้วก็ยังคงให้ร่วมบุญต่อไปครับ

    สาธุครับ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 มีนาคม 2551 2:41:04 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๙ : เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๙ : เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา เป็นนิมิตอำลาผนวช

    เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา ซึ่งกำลังบรรทมหลับสนิท
    เป็นนิมิตอำลาผนวช

    ส่วนเจ้าชายผู้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว ว่าจะเสด็จออกผนวช จึงเสด็จไปยังห้องพระบรรทมของพระนางพิมพายโสธราผู้ชายาก่อน เมื่อเสด็จไปถึง ทรงเผยบานพระทวารออก ทรงเห็นพระชายากำลังหลับสนิท พระนางทอดพระกรไว้เหนือเศียรราหุล โอรสผู้เพิ่งประสูติ พระองค์ทรงเกิดความเสน่หาอาลัยในพระชายาและพระโอรสที่เพิ่งได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นครั้งแรกอย่างหนัก

    [​IMG]

    ทรงหมายพระทัยว่า "จะทรงยกพระหัตถ์นางผู้ชนนี จะอุ้มเอาองค์โอรส
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 15 มิถุนายน 2551 19:53:15 น.-->เงิน 10 บาท


    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG]


    ผมนั่งมองเหรียญ 10 บาทในมือ
    หมุนมันไปมาทบทวนเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมัน
    เจ้าเหรียญน้อยเกือบไปอยู่ในมือ ผู้หญิงร่างเล็ก ขาพิการ
    ที่ต้องใช้ไม้ค้ำ เดินแบมือขอเงินคนแถวนี้ พร้อมกับภาษาพูดไม่ชัด
    ซึ่งจับใจความได้ว่า
    " ขอเงินหน่อย "

    ผมเกือบหย่อนเหรียญลงไปในมือแล้ว
    ถ้าไม่เจอ แกนั่งดูดบุหรี่ก้นกรอง ควันฉุย
    พ่นควันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ อย่างสบายใจ ตอนคนไม่มี
    โดยหารู้ไม่ว่า มีใครคนนึงกำลังจะเอาเงินมาให้
    พอหมดบุหรี่ แกก็ลุกขึ้น เดินไปขอตังคนแถวนี้ต่อ
    เจ้าเหรียญ 10 ยังคงอยู่



    [​IMG]


    มันก็เกือบไปอยู่ในขันพลาสติกใบหนึ่ง
    ที่ขอทานชาย ผู้ซึ่งนอนราบกับพื้น
    เอามืออีกข้างเกาะพื้นแล้ว กระเสือกกระสน
    เพื่อให้ไปข้างหน้าได้
    เป็นที่น่าสงสารแก่คนที่ผ่านไปมา
    ผมยืนลังเล อยู่พักใหญ่ เดินตามไปห่าง ตั้งใจแน่วแน่ว่า
    จะเอาใส่ขันใบนั้น
    แต่.......

    พอลับตาคน ชายร่างพิการขาขาดข้างนึง
    ข้างที่มีก็ มีแผลสด ๆ แมลงวันตอม
    เสื้อผ้ามอมแมม ขาดรุ่งริ่ง
    กลับรื้อกองถุงพลาสติกใบใหญ่
    รื้อเอาเสื้อผ้าที่ซ่อนไว้ เอาขาเทียม
    เอากระเป๋าผ้า มาใส่เศษเงิน แล้วบ่นว่า
    " แม่ง ได้น้อยชิบหาย "

    หลังจากเปลี่ยนเสร็จ ก็ลุกขึ้น
    เดินไปถนน โบกแท๊กซี่จากไป
    ปล่อยให้ คนอย่างผม ยืนอึ้ง
    คนใจบุญหลายคนยังขึ้นรถเมล์กลับเลย




    [​IMG]



    เจ้าเหรียญ 10 บาท ยังคงหมุนอยู่ในมือผมอีกครั้ง
    มันเกือบไปอยู่ในกล่องไม้สีดำใบนึง
    ที่มีผู้หญิงผู้ชายกลุ่มหนึ่ง
    ในชุดเจ้าหน้าที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เขียนด้วยตัวอักษรภาษาจีน
    ดูคล้ายแมลงสาป
    เดินเข้ามาหาผมแล้วถามว่า
    " ทำบุญโลงศพ เสริมดวง เพิ่มวันไหมครับ "

    ผมยิ้มแล้วตอบไปว่า
    " ไม่ละ ทุกวันนี้ผมก็อยากตายอยู่แล้ว "

    ชายผู้นั้น ทำสีหน้าไม่พอใจ บ่นแล้วจากไป
    ผมมองเหรียญ 10 อีกครั้ง หมุนมันต่อไป



    [​IMG]


    บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวตรงหน้า
    ทำให้ผมตัดสินใจบางอย่างลงไป
    ผมเดินไปซื้อน้ำขวดใส
    ยื่นเหรียญ 10 ให้แม่ค้าหน้าใส
    ที่ยื่นน้ำพร้อมคำหวาน ๆ ว่า "ขอบคุณค่ะ"

    ผมยิ้มตอบ รับน้ำพร้อมหยิบหลอด 2 หลอด
    เดินไปที่เด็ก 2 คน
    ผมยื่นน้ำให้แล้วบอกว่า
    " เอาน้องน้ำ กินซะ แล้วขวดพี่ให้ "

    เจ้าหนูมองหน้าผมอย่างสงสัย แต่ก็รับน้ำ
    พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ
    แล้วเดินจากไป


    ผมยืนมองเจ้าหนูทั้ง 2 คน
    ที่กำลังแบกถุงปุ๋ยที่บรรจุขวดพลาสติกเปล่าด้วยใจเบิกบาน
    อย่างน้อย ๆ เจ้าหนู 2 คนนี้
    ไม่ร้องขอเงินทองจากใคร
    แต่เลือกที่จะเอาสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการ ไปเป็นเงินให้ตนเอง
    และอย่างน้อย ๆ เค้า 2 คนช่วยคนอีกหลายคนในการคัดแยกขยะ




    [​IMG]



    ผมยิ้มอีกครั้ง อย่างน้อย ๆ 10 บาทที่ผมเสียไปมันคุ้มค่าจริง ๆ


    เก็บตกจาก[/SIZE]
    [SIZE=-1][/SIZE]
    [SIZE=-1]http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=savika&month=13-06-2008&group=2&gblog=42


    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ภัยวัฏฏา น่ากลัว ใช่ไหมเจ้า
    สิ่งที่เร้า ให้มองเห็น เป็นแก่นสาร
    อกุศลบาป หยาบช้า อีกสามานย์
    หรือเบิกบาน ด้วยกุศล มากผลบุญ

    ทั้งวิบัติ สมบัติ มาคละเคล้า
    หล่อหลอมเร้า วิญญา พาส่งหนุน
    แม้สร้างกรรม ดีไว้ ได้เป็นทุน
    ช่วยส่งหนุน ให้ชีวิต จิตพ้นพาล

    อยู่ท่านกลาง สิ่งดี ที่เป็นสุข
    ห่างไกลทุกข์ เพราะสมบัติ จัดประสาน
    ทั้ง คติ อุปธิ ปโยค กาล
    จิตชื่นบาน เพราะสมสร้าง ร่างความดี

    อีกมุมหนึ่ง กลับไม่สร้าง หมางเมินหน้า
    พอกายดับ ลับตา พาสิ้นศรี
    ถือกำเนิด เกิดใหม่ ใช่ถิ่นดี
    วิบัตินี้ พกมา พาเวียนวน

    ไม่มีใคร หรอกเจ้า จะละเลย
    ที่เมินเฉย หรือสอนลูก ให้สับสน
    ต่างสอนสั่ง ในกรรมดี กันทุกคน
    ส่วนปรากฏ คือผล ใช่ปัจจุบัน

    พรหมวิหาร มีในจิต เจ้าถูกแล้ว
    จิตที่ใส ดั่งแก้ว แพร้วสุขสันต์
    แต่เมื่อเห็น สักว่าเห็น เป็นพอกัน
    จับอารมณ์ วางให้ทัน ทิ้งอกุสลา

    อย่าตามติด เข้าชิด อกุศล
    แต่งใจตน ให้ฟุ้งไป ในมิจฉา
    สังขารขันธ์ ทำงานอยู่ คู่เวทนา
    นำสัญญา วิญญาณมา ก่อภพไป

    เมื่อจับแล้ว วางได้ ใช่ไหมเจ้า
    อย่าโลมเล้า เผาจิต ปลิดความใส
    สร้างความขุ่น ให้จิตตน ผลจิตใคร
    จะผ่องใส ขุ่นมัว เพราะตัวเอง



     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
  13. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    วันที่ 13 มิ.ย. 2551เวลา 15 นาฬิกา โดยประมาณ โอนเงินร่วมทำบุญ เป็นจำนวน 500 บาทค่ะ อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมือเช้าลืมบอกไป สมเด็จโตสิ้นชีพิตักษัยในเดือนนี้เมื่อปี พ.ศ.2415 เดือนนี้ ปีนี้ พ.ศ.2551 บวกลบดู 135-136 ปี ใครโชคดีซื้อเลขทันก็ลองดูครับ แต่อย่าลืม 22/6 นี้ทำบุญให้ท่านด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2008
  15. กุ้งมังกอน

    กุ้งมังกอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,181
    สวัสดีครับ.พี่ๆทุกคนวันนี้ 16/06/51 เวลา 11.51น.ได้โอนเงินร่วมทำบุญ ศ.ทุนนิธิรักษาพระสงฆ์อาพาธ จำนวน 500 บาท ธ.กรุงศรี 348-1-23245-9 ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทุนนิธิฯ ในเดือนนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 7 หลังจากเริ่มก่อตั้งทุนนิธิฯ เมื่อเดือน พ.ย. 50 และทำบุญครั้งแรกในเดือน ธ.ค. 50เป็นต้นมา ตลอดจนเรื่องอื่นๆ หลังจากการประชุมกรรมการฯ เมื่อวานนี้ (15/6) มาให้ทราบดังนี้

    1. งานบุญในเดือนนี้กำหนดจัดในวันอาทิตย์นี้ คือวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาเดิมคือ เริ่มจัดเครื่องสังฆทานอาหารที่ ร้านค้า เวลา 7.00-7.30 น. โดยในครั้งนี้ จะทำบุญถวายสังฆทานอาหารเฉพาะที่ตึกกัลยาณิวัฒนา เท่านั้น ส่วนจำนวนพระสงฆ์ที่จะถวายจะแจ้งจำนวนให้ทราบได้ ในวันพฤหัสนี้ครับ
    2. สำหรับอาหารที่จะทำถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) คือข้าวสวย และผัดผักบุ้งไฟแดงกับเกลือ ผม คุณโสระ และคุณสติ จะทำถวายโดยลงขันกันให้ภรรยาผมทำ คนละ 10 ชุด รวมเป็น 30 ชุด (ใส่เป็นถุง)โดยหากใครต้องการเพิ่มให้บอกมาผมจะได้ให้ภรรยาทำเพิ่มให้ ค่าใช้จ่ายเท่าใด หารเท่ากัน ไม่ใช้เงินจากทุนนิธิฯ ครับ
    3. การทำบุญในคราวนี้ จะมีการส่งปัจจัยจากบัญชีหลักของทุนนิธิฯ ไปช่วยให้ รพ.ที่มีสงฆ์อาพาธ โดยเฉพาะพ่อแม่ครูอาจารย์ทางอิสานใต้ คือ จ.อุบลฯ เป็นครั้งแรก โดยเริ่มบริจาคที่วงเงิน 2,000.-บาทก่อน โดยใช้วิธีไปรษณีย์ธนาณัติไป เพราะที่ รพ.แห่งนี้มีบัญชีเพียงบัญชีเดียวคือบัญชีของธนาคารเพื่อการเกษตร (ธกส.) ซึ่งไม่สามารถโอนจากเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ทั่วไปได้ โดยหากทำได้ต้องใช้วิธีโอนทางบาทเน็ต ซึ่งเสียค่าธรรมเนียมแพงกว่าค่าธนาณัติครับ (ค่าธนาณัติผมออกให้เอง ไม่ใช้เงินของทุนนิธิฯ)
    4. ส่วนเรื่องค่าสังฆทานอาหาร ค่าซื้อเลือดถวาย และวัสดุส่วนกลางนั้น ยังกันวงเงินไว้เช่นเดิมคือ
    4.1 ค่าสังฆทานอาหาร 5,000.- (หากมีเงินเหลือจะโอนเข้า
    บัญชีคงเดิม)
    4.2 ค่าซื้อโลหิต 10,000.-
    4.3 ค่าวัสดุอุปกรณ์ส่วนกลาง 10,000.-

    รวมเป็นเงินจากบัญชีทุนนิธิฯ ทั้งสิ้น 27,000.-บาท

    5. สำหรับพระเจ้าคุณกรมท่าฯ และพระสมเด็จปัญจสิริที่จะแจก ได้กำหนดแล้วว่าจะแจกให้ในเดือน ต.ค.-ธ.ค. โดยในช่วงนี้ นายสติ หรือ อ.ปุ๊ จะได้ทยอยให้ท่านได้ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจกันก่อน กว่าจะเสร็จ ก็ใกล้กับเวลาที่ได้พระพอดีครับ โดยทั้งหมดได้จัดทำรูปในแบบ วีซีดี ไว้แล้ว โดย อ.ปุ๊ ได้มอบให้ผมไว้แล้วเช่นกัน รับรองว่าพระชุดนี้ อิทธิคุณดีมากๆ และเป็นปัญจสิริหรือเจ้าคุณกรมท่าแท้ๆ เช่นกัน
    6. เรื่องพระที่ได้หล่อไว้แล้ว ตอนนี้เสร็จแล้ว แต่ยังไม่แจก โดยตอนนี้คณะกรรมการฯ ได้แบ่งหน้าที่กันทำงาน เพื่อเขียนบันทึก หรืออาจะทำเป็นหนังสือของพระชุดนี้ ไล่ตั้งแต่วัตถุประสงค์ มวลสาร พิธีกรรม ความพิสดารหรืออจินไตย จนสรุปส่งท้าย กะว่าเสร็จเมื่อไร ค่อยแจกกัน พร้อมหนังสือเลย จะได้เก็บไว้ให้ลูกหลานได้เชยชมเป็นสมบัติของตระกูลไป สรุปก็คือต้องการให้เกิดเป็นรูปธรรมมากที่สุด และมีหลักฐานเก็บไว้ เพราะไม่มีอีกแล้ว (รายละเอียดเป็นเช่นใด ต้องอ่านดูถึงจะรู้ว่า หาไม่ได้ และทำไม่ได้อีกแล้ว พี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า ท่านองค์....ที่มาเยี่ยมและให้พรพระที่หล่อเสร็จ (ท่านไม่กล้าอธิษฐานจิตเพิ่มเพราะบารมีน้อยกว่า) บอกว่า ในประเทศไทยนี้ มีพระที่สามารถตรวจพระนี้ ถึงที่มา และพิธีกรรมในการอธิษฐานจิตและการสร้างมีอยู่ 5 องค์เท่านั้น (ต้องขออภัยพี่ใหญ่ และพวกเราด้วยที่เอาความลับบางส่วนมาเปิดเผย) ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงต้องขอสงวนสิทธิที่จะประวิงเวลาเพื่อรอให้หนังสือเขียนจบ และมีความพร้อมแล้วเท่านั้น จึงแจกให้ แต่รับรองว่า ท่านที่ทำบุญกับทุนนิธิฯ เป็นประจำ ต้องได้แน่นอนครับ ขอให้เชื่อใจกัน

    สุดท้ายนี้เช่นเดิม ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา เป็นเพียงองค์ประกอบของทุนนิธิฯ ส่วนการทำบุญให้สงฆ์อาพาธนี้ เป็นจุดประสงค์หลักของเรา การแจกพระทั้งหมดที่แจกให้ฟรีๆ ก็เป็นเพียงเพื่อให้เกิดพุทธานุสสติ และใช้คุ้มครองตัวในคราวบ่งอับบ่งรา หรือสร้างความสุขความเจริญให้กับตนเองและครอบครัวเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดที่กรรมการฯ หวังไว้ก็คืออยากให้ทุกท่านดำรงตนเป็นคนที่ดี ลดความตระหนี่ถี่เหนียวมีทาน ศีล ภาวนา เป็นเครื่องยึด มีบุญกุศลติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป กรรมจะได้ตามไม่ทัน และไม่ส่งผลแก่ท่านให้อยู่ในอบายภูมิเท่านั้นเองครับ สัปดาห์นี้ขอแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้ อยากคุยกันต่อถวายพระเสร็จลงมาที่ห้องข้างล่างของตึกครับ มาทานน้ำกัน ใครมีของว่างพวกปาท่องโก๋ ขนมปัง ไส้กรอกจะหิ้วไปด้วยไปแจกกันก็ไม่รังเกียจครับ

    พันวฤทธิ์
    22/6/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2008
  17. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ดูรายการ VIP แล้ว ก็เวทนานะครับ

    เห็นตัวเองเวทนา ก็เฮ้อ ... วางอารมณ์นั้นซะ

    ใจเราจะไม่นิ่งครับ

    ทุกวันนี้ ใครหลายคน ก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง มากๆๆๆๆๆๆ

    ตามมาด้วยข้าวของราคาแพงตามอีก ....

    ใครต่อใครหลายคนก็ลำบากน้อยหน่อย ก็มาขัดแย้งกันอีก เห็นทุกวันก็เฮ้อ...

    เพราะข่าวมันลงทุกวัน ประชาชนเดือดร้อน .... ทำมาหากินลำบาก

    คนมีมาก ก็คิดจะเอามาก คนมีน้อย ก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีจะกิน ...



    ผมก็มองในตนเองนะครับ ว่า

    มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ไม่ได้อย่างกะเขากันเลย เมื่อก่อนไกลๆมองเห็นก็ตาร้อนครับ

    ตอนนี้คิดได้ครับ ช่างมัน แต่ขอใจเราดีๆ ต่อสู้กับอุปสรรคของเราต่อไปครับ

    มีมากหน่อยก็ทำบุญของเราต่อๆ ไป

    แค่มองเห็นเขา แต่เราไม่เอากะเขา ไม่ติดอารมณ์กะเขา ทำบุญของเราดีกว่า

    สงสารประชาชนครับ ผมเองก็โดนด้วยครับ

    มีหลายสิ่งอย่างในประเทศต้องพัฒนาครับ เพื่อลูกหลาน

    ที่สำคัญหลักใจต้องมี

    1. สัมมาทิฎฐิ

    2. สัมมาสมาธิ (+ สติ)

    3. อีกสิ่ง คือ อดทน อดกลั่นครับ

    คนนะคน คน คน

    สาธุครับ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทิพย์สมบัติปรากฏทันทีที่ให้ทาน

    การทำบุญให้ทานนั้นไม่ต้องรอผลนาน บางคนอ้างว่าทำบุญแล้วสูญเปล่า ทำบุญแล้วไม่เห็นผล แท้ที่จริงแล้วการทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่ามากหรือน้อยบุญนั้นย่อมมีอานิสงส์ทันที แต่บุญนั้นไม่ได้ส่งผลหรือมีอานิสงส์แก่ผู้ทำบุญในขณะที่เป็นมนุษย์ เพราะจะกลายเป็นอานิสงส์น้อย อานิสงส์สั้นๆ เพราะมนุษย์อายุสั้นเพียงนิดเดียว แต่อานิสงส์ของบุญไปปรากฏเป็นทิพย์สมบัติในสวรรค์ รอผู้สร้างบุญไปอุบัติเพื่อเสวยผลของบุญนั้น ซึ่งให้ผลมากกว่า และให้ผลยาวนานกว่ามากนัก
    ดังเช่นผลบุญของนันทิยะมาณพก็ไปปรากฏอยู่ในเทวโลก ขณะที่นันทิยะมาณพยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์นี้เอง

    นันทิยะมาณพ (สามีของนางเรวดีที่ตกนรก) เป็นอุบาสกที่มีความศรัทธาสูงมาก เป็นผู้ชอบให้ทาน บำรุงภิกษุสงฆ์ เขาจัดอาสนะให้พระภิกษุได้ฉันที่เรือนทุกวัน จัดให้มีคนคอยดูแลรับบาตร นิมนต์ให้นั่ง กรองน้ำดื่มให้ ล้างบาตรให้เวลาพระฉันเสร็จ และยังให้ทานโดยให้หุงข้าวตั้งไว้ที่ประตูเรือนสำหรับคนยากไร้และคนเดินทาง
    นันทิยะมาณพบริจาคทรัพย์สร้างศาลา ๔ หลังที่ อิสิปตนมหาวิหาร และจัดตั้งเตียงตั่งถวายเป็นมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งทานทั้งหลายของนันทิยะมาณพก็บังเกิดผลเป็นทิพย์สมบัติในเทวโลกตั้งแต่นันทิยะมาณพยังมีชีวิตอยู่
    วันหนึ่ง พระโมคคัลลานะเถระ ขึ้นไปชมดาวดึงส์เทวโลก เห็นวิมานผุดขึ้นใหม่หลังหนึ่ง เป็นวิมานรัตนะ ๗ ประการ กว้างยาว ๑๒ โยชน์ สูง ๑๐๐ โยชน์ เอิกเกริกไปด้วยเทพธิดาพันหนึ่ง พระโมคคัลลานะจึงถามเทพบุตรที่มาไหว้ว่า วิมานนี้เป็นวิมานของใคร เทพบุตรเหล่านั้นตอบว่าเป็นวิมานของนันทิยะมาณพชาวพาราณสี มาณพนั้นสร้างศาลา ๔ หลังถวายสงฆ์ วิมานนี้จึงบังเกิดขึ้นสำหรับนันทิยะมาณพ
    เมื่อเทพธิดาพากันมาไหว้พระโมคคัลลานะ พวกนางก็บอกพระเถระว่า พวกดิฉันบังเกิดในวิมานนี้เพื่อเป็นบริจาริกาของนันทิยะ ขอพระคุณเจ้าโปรดบอกแก่เขาว่าทิพย์สมบัติในเทวโลกน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ขอให้มาณพอย่ามัวชักช้า รีบทุบหม้อดินแล้วมารับเอาภาชนะทองนี้เถิด
    พระโมคคัลลานะได้นำเรื่องนี้มากราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันว่า ทิพย์สมบัตินั้นบังเกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จริงตามที่พระโมคคัลลานะได้ประจักษ์แล้ว

    ดังนั้น ถ้าใครยังลังเลสงสัยว่าทำบุญแล้วได้อะไร ก็ตัดความสงสัยลงให้หมด ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว เพราะขณะที่ทำบุญกันอยู่นี้ วิมานบนสวรรค์หรือพรหมโลกคงจะงอกเงยใหญ่โตเพิ่มขึ้นทุกวัน ดังที่พระพุทธเจ้าและพระโมคคัลลานะยืนยันไว้แล้ว




    เรื่องนี้ ตรงกับที่พี่ใหญ่เล่าให้ฟังเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ผู้ที่ทำบุญกุศุลที่ดีและบริสุทธิ์ บนสวรรค์นั้นมีวิมานรออยู่แล้ว โดยแต่ละวิมานก็จะระบุชื่อของบุคคลเจ้าของวิมานเอาไว้เช่นกัน หากทำดีก็ได้เข้าไปอยู่ หากทำไม่ดี ชื่อก็จะค่อยๆ ลบเลือนหายไป นับว่าสอดคล้องพอดีจึงนำมาลงให้เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าได้ย่อท้อในการบุญ ดีไม่ดีชื่อหายล่ะยุ่ง แต่ถ้ายิ่งทำดีวิมานก็จะเด่นเป็นสง่าดั่งเรื่องข้างต้นนี้ครับ

    มาดูอีกเรื่องนึง
    สังฆทานมีอานิสงส์ยิ่ง

    ใกล้กรุงสาวัตถีนั้นมีพี่น้องสองสาว คนพี่ชื่อ ภัททา คนน้องชื่อ สุภัททา ทั้งสองมีสามีเดียวกัน เพราะนางภัททาไม่มีบุตรจึงบอกให้สามีไปรับน้องสาวคือนางสุภัททามาเป็นภริยาอีกคน
    เมื่อมาอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน นางภัททาได้สอนน้องสาวให้รู้จักการให้ทานและประพฤติธรรม นางสุภัททาก็ทำตามด้วยความเคารพพี่สาว
    วันหนึ่ง นางสุภัททาเตรียมอาหารมาใส่บาตรพระภิกษุ ๘ รูป นำโดยพระเรวตเถระ แต่พระเรวตะเถระหวังให้นางสุภัททาได้อานิสงส์มาก จึงพาภิกษุ ๗ รูปไปยังเรือนของนาง บอกให้นางถวายเป็นสังฆทาน เมื่อนางสุภัททาถวายสังฆทานแล้ว พระสงฆ์ก็อนุโมทนาแล้วกลับไป
    เมื่อนางสุภัททาถึงแก่กรรม นางก็ได้ไปอุบัติเป็น สุภัททาเทพธิดา อยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี นางได้หวนระลึกว่าเพราะพี่สาวสอนให้รู้จักการทำบุญ นาง จึงได้เสวยทิพย์สมบัติเช่นนี้
    สุภัททาเทพธิดาได้ตรวจดูว่าภัททาพี่สาวของเราไปเกิดที่ไหนหนอ ก็เห็นพี่สาวไปอุบัติเป็นบริจาริกาท้าวสักกเทวราชอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สุภัททาเทพธิดาจึงไปหาภัททาเทพธิดาถึงวิมาน
    ภัททาเทพธิดาจำน้องสาวไม่ได้ สงสัยว่าเทพธิดายศใหญ่นี้เป็นใครหนอ ทำบุญด้วยสิ่งใดจึงมีอานุภาพมากเช่นนี้
    สุภัททาเทพธิดาจึงบอกว่า ดิฉันคือสุภัททาน้องสาวของพี่ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ทำบุญให้ทานตามที่พี่แนะนำ
    ภัททาเทพธิดาสงสัยถามต่อว่า พี่ทำบุญให้ทานมากกว่าเธอ ใส่บาตรภิกษุมากกว่าเธอ ส่วนเธอถวายทานเพียงเล็กน้อยไม่กี่ครั้ง เหตุใดเธอจึงได้รับผลวิเศษไพบูลย์กว่าพี่มากมายเล่า
    สุภัททาเทพธิดาตอบว่า ดิฉันนิมนต์พระภิกษุ ๘ รูป มาถวายภัตตาหาร พระเรวตเถระมุ่งจะอนุเคราะห์แก่ดิฉัน จึงบอกว่าให้ดิฉันถวายสงฆ์เถิด ฉันได้ทำตามคำของท่าน ทานนั้นจึงเป็นสังฆทานอันหาค่าประมาณมิได้ ส่วนทานที่พี่ได้ถวายแก่ภิกษุเป็นรายบุคคล มีผลไม่มากเลย
    เมื่อปฏิสันถารกันแล้ว สุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่เทวโลกของตน
    นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมเราถึงเลือกทำสังฆทานอาหารตามที่พี่ใหญ่แนะนำแทนการเดินไปถวายท่านที่เตียงตามปกติ เพราะขั้นตอนของการถวายสังฆทานต้องมีการกล่าวถวาย มีการอุปโลกสงฆ์ว่าถวายไม่เฉพาะเจาะจง ผลของบุญจะต่างกันดั่งตัวอย่างข้างต้นนี้ครับ

    และสุดท้ายสำหรับท่านที่ไม่ได้มาร่วมกับเรา แต่ส่งเงินบริจาคมา และได้ดูรูปถ่าย ที่เราตั้งใจให้ท่านเห็นรูปที่เราได้ทำกิจกรรมในแต่ละครั้ง เพื่อให้ท่านได้โมทนา ดูผลจากการโมทนาตามตัวอย่างข้างล่างนี้ก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร


    บุญจากการอนุโมทนา

    ผลของบุญนั้นมีความมหัศจรรย์มาก เพราะบุคคลบางคนไม่ได้สละทรัพย์เป็นเจ้าของวัตถุทานและไม่ได้เป็นผู้ถวายทานนั้นด้วยมือ แต่เป็นผู้มีความยินดีเลื่อมใสในการทำบุญของบุคคลอื่น บุคคลนั้นก็จะได้รับผลของบุญประหนึ่งเป็นเจ้าของวัตถุทานหรือเป็นผู้ถวายทานนั้นเอง ดังเช่นผลบุญที่เกิดกับเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา

    ครั้งหนึ่ง พระอนุรุทธะเถระจาริกไปในดาวดึงส์เทวโลก เห็นทิพย์วิมานหลังใหญ่ กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ แวดล้อมด้วยอุทยานและสระโบกขรณี ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปไกลถึงร้อยโยชน์ เจ้าของวิมานนั้นเป็นเทพธิดาวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ มีกลิ่นทิพย์หอมยวนใจฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อยามเยื้องกรายหรือร่ายรำก็มีเสียงทิพย์อันไพเราะ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ พระอนุรุทธะเถระจึงถามเทพธิดานั้นว่าเธอทำบุญด้วยอะไร ทิพย์สมบัตินี้จึงเกิดขึ้นแก่เธอ
    นางเทพธิดาตอบพระเถระว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง ๒๗ โกฏิ สร้างบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและสหายอีก ๕๐๐ คน ไปเที่ยวชมปราสาท ดิฉันได้เห็นสมบัติปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใส จึงอนุโมทนาบุญกับเธอว่า สาธุ สาธุ
    ด้วยอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญนี้ ทิพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดแก่ดิฉัน




    ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณ

    http://larndham.net/index.php?showtopic=27369&st=5
     
  19. ถังไม้

    ถังไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +167
    วันนี้ โอนเงินร่วมทำบุญ เป็นจำนวน 500 บาท และขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
    <!-- / message -->
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๐ : เสด็จประทับม้ากัณฐกะออกบรรพชา
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๐ : เสด็จประทับม้ากัณฐกะออกบรรพชา

    ทรงปลุกนายฉันนะให้ผูกม้ากัณฐกะ เพื่อประทับเป็นพาหนะ
    เสด็จออกบรรพชา

    ม้าพระที่นั่งที่เจ้าชายสิทธัตถะขึ้นทรง เพื่อเสด็จออกบวชครั้งนี้ มีชื่อว่า "กัณฐกะ" เป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับเจ้าชาย ม้ากัณฐกะนั้นสูงใหญ่ มีสีขาวเหมือนม้าทรงของจอมจักรพรรดิ เมื่อเจ้าชายเสด็จเข้าใกล้ม้า ทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบหลังกัณฐกะ จากนั้นก็เสด็จขึ้นหลังกัณฐกะ บ่ายพระพักตร์ออกไปทางประตูเมืองที่ชื่อ "พระยาบาลทวาร" โดยมีนายฉันนะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปข้างหลัง วันที่เสด็จออกบวชนั้น หนังสือปฐมสมโพธิบอกว่าเป็นวันเพ็ญเดือน ๘ ท่านว่า "พระจันทร์แจ่มในท่ามกลางคัดนาคลประเทศ (ท้องฟ้า) ปราศจากเมฆ ภายในห้องจักรวาลก็ขาวผ่องโอภาสด้วยนิศากรรังสี" นิศากรรังสี คือ แสงจันทร์ในวันเพ็ญ.

    [​IMG]

    * หนังสือปฐมสมโพธิ อธิบายรายละเอียดของม้า "กัณฐกะ" นี้ไว้ว่า "ยาวตั้งแต่คอจดท้ายมีประมาณ ๑๘ ศอก" แต่ส่วนสูงกี่ศอกไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่า "โดยสูงก็สมควรกับกายอันยาว" และแจ้งถึงลักษณะอย่างอื่นไว้ว่า "สีขาวบริสุทธิ์ดุจสังข์อันขัดใหม่ ศีรษะนั้นดำดุจสีแห่งกา มีเกศาในขุมประเทศ(หน้า) ขาวผ่องดุจไส้หญ้าปล้องงามสะอาด กอปรด้วยพละกำลังมาก แลยืนประดิษฐานอยู่บนแท่นแก้วมณี" ความที่ว่านั้นเป็นม้าในวรรณคดีที่กวีพรรณนาให้เขื่อง และให้เห็นเป็นม้าพิเศษกว่าม้าสามัญ

    [​IMG]
    [/SIZE]
     

แชร์หน้านี้

Loading...