ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันลอยกระทง วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ถ้าหากว่ากำลังใจของพวกเราทรงตัวมุ่งมั่น ง่วงแค่ไหนก็ลุกได้ เมื่อรู้ว่าหน้าที่นี้เรายังทำไม่เสร็จ ไม่ใช่ใครอยากทำก็ทำไปเถอะ หลวงพ่อสอนดีมากเลย แต่ตอนนี้ขอนอนก่อน เจริญ..! ต้องบอกว่าสมควรตาย..! ถ้าเป็นซีรี่ย์จีนเขาบอกว่า "ข้าพเจ้าสมควรตายสักหมื่นครั้ง" ใช่ไหม ? เอาเถอะ..จะอภัยให้สักครั้งหนึ่ง อีก ๙,๙๙๙ ครั้ง มึงตายไปก็แล้วกัน..!

    อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ในวันพระ วัดท่าขนุนจะมีการแสดงพระธรรมเทศนาทั้งภาคเช้าและภาคค่ำ การเทศน์ก็จะมีการบอกศักราชว่า บัดนี้พระพุทธศาสนาล่วงเลยไปแล้วกี่วัน กี่เดือน กี่ปี สมัยก่อนเขามีการบอกด้วยว่าเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็เพื่อให้พวกเราไม่ประมาท แล้วเร่งขวนขวายสร้างความดี ไม่อย่างนั้นเวลาผ่านพ้นไปก็จะเป็นอย่างที่โบราณเขาว่า

    "เวลาและวารี ไม่มีวันจะคอยใคร...เรือเมล์และรถไฟ ย่อมต้องไปตามเวลา
    โอ้เอ้และอืดอาด ย่อมจักพลาดปรารถนา...พลาดแล้วจักโศกา อนิจจาเราช้าเอง..!"

    โทษใครไม่ได้หรอก แต่ถ้าทำบุญมาดีบางทีก็ไม่พลาด มีอยู่คราวหนึ่งอาตมาอยู่สุไหงโกลก ส่งสตางค์ให้ลูกศิษย์ บอกไปว่า "วันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น ตูอยู่ที่หาดใหญ่ จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วยจองตั๋วรถด่วนทักษิณให้ด้วย" ไอ้ลูกศิษย์ก็ไปซื้อตั๋วมาอย่างดี อาจารย์ก็ไว้ใจลูกศิษย์ พกตั๋วใส่กระเป๋าได้ก็ไม่ดูเลย

    พอถึงวันนั้นก็ไปขึ้นรถไฟที่หาดใหญ่ "อ้าว..แล้วคุณมานั่งที่อาตมาได้อย่างไร ?" แล้วเจ้านั่นก็บอกว่า "ที่ผมนะครับ" อาตมาว่า "ขอดูตั๋วหน่อยได้ไหม ?" เขาหยิบให้ดู เออ..หมายเลขเดียวกันเลย แล้วของอาตมาล่ะ ? ก็ส่งให้เขาดู สองคนจึงนั่งเอ๋อทั้งคู่..!

    การ์ดรถเขามาดูให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็บอกว่า "อาจารย์ครับ ของท่านอาจารย์เป็นขบวนด่วนบัตเตอร์เวอร์ธ แต่คันนี้เป็นขบวนด่วนทักษิณ วิ่งสุไหงโกลก - หัวลำโพงครับ" ด่วนบัตเตอร์เวอร์ธมาเมื่อสองชั่วโมงครึ่งที่แล้ว..! ซึ่งถ้าวิ่งไปป่านนี้ก็คงไปได้หลายจังหวัดแล้ว แต่ปรากฏว่ารถเสีย กำลังซ่อมอยู่ที่สถานีนี้..!

    ตอนให้ลูกศิษย์ไปซื้อตั๋ว อาตมภาพอยู่สุไหงโกลก ซึ่งรถไฟขบวนด่วนทักษิณวิ่งออกจากที่นั่น ให้ลูกศิษย์ไปซื้อตั๋ว แทนที่ลูกศิษย์จะซื้อตั๋วขบวนด่วนทักษิณ ดันไปซื้อตั๋วขบวนด่วนบัตเตอร์เวอร์ธที่วิ่งมาจากสิงคโปร์ให้..!
     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เรื่องนี้เล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจลูกศิษย์" สั่งอย่างหนึ่งดันทำอีกอย่าง ตอนนั้นถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะ "โบก" ให้คว่ำเลย..! แต่เขาดันอยู่สุไหงโกลกส่วนเราอยู่หาดใหญ่ ข้ามไปหลายจังหวัดเลยไม่รู้จะ "โบก" เขาอย่างไร ? เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าประมาท วันเวลาไม่คอยใคร เร่งการปฏิบัติธรรมให้มากเข้าไว้

    เดี๋ยวอาตมาจากตรงนี้นำพวกเราสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ ก็ต้องวิ่งไปบวงสรวงรับพระบรมสารีริกธาตุให้กับทางกองทุนหลวงปู่ปานที่สุพรรณบุรี กลับมาอีกทีก็คงจะค่ำเลย ก็เป็นอันว่าพรุ่งนี้เจอกัน

    คราวนี้พรุ่งนี้ขอปรับหน่อย ขอปรับมาภาวนาพระคาถาเงินล้านตอนตีสาม แล้วจะตื่นกันทันไหม ? สักตีห้าก็น่าจะจบ เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันสอบนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก ซึ่งพระครูวิลาศกาญจนธรรมท่านเป็นกรรมการอยู่ ถ้าออกจากที่นี่ช้ามีหวังเดี้ยงแน่..! เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้ก็เลยช้าไม่ได้ ถ้าไปเริ่มสวดตอนแปดโมงแล้วเลิกสิบโมงนี่ตายแน่..! พวกเราจึงต้องสวดกันตั้งแต่ตีสามเลย แล้วตอนเช้าเราก็ปฏิบัติธรรมของเราไปสองชั่วโมง สิบโมงเลิก..กลับบ้านได้

    เห็นกำหนดการไหม ? เขาเขียนไว้ข้างล่างว่า "กำหนดการนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม" งานนี้เปลี่ยนจริง ๆ นะ ก็แปลว่าเย็นนี้พอทำวัตรค่ำรอบสองเสร็จแล้ว พวกเราก็จัดที่เตรียมภาวนาพระคาถาเงินล้านกันเลย ไม่รอนะจ๊ะ..ตีสามใครไม่พร้อมก็ช่างมัน เจ้าอาวาสพร้อมก็เริ่มเลย ใครมาช้าก็รวยน้อยหน่อย..เพราะว่าสวดแค่ ๑๐๘ จบ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


    กล่องที่เห็นเยอะแยะไปหมดนี่เขาเอามาฝากเข้าพิธี เป็นของวัดท่ามะขาม วัดท่ามะขามจะมีกิจกรรมพิเศษอยู่ปีละครั้ง ก็คือต้องไปออกบูธในงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นพื้นที่ซึ่งการรถไฟฯ เขาแบ่งให้วัดท่ามะขามไปสร้างวิหารเล็ก ๆ ตั้งพระพุทธรูปไว้ พอถึงเวลาทางวัดก็ส่งพระไปร่วมงาน พรมน้ำมนต์ให้โยมบ้าง แจกวัตถุมงคลบ้าง ก็เลยกลายเป็นภารกิจต่อเนื่องมา ๔๐ - ๕๐ ปีแล้ว คราวนี้เจ้าอาวาสเจ้าวัดท่ามะขามก็อดีตพระวัดท่าขนุนนี่แหละ ก็เลยกลายเป็นว่าท่านเอาของที่จะแจกมาฝากเข้าพิธีก่อน

    คราวนี้คืนนี้ตอนตีสามจะมีการภาวนาพระคาถาเงินล้านและจะอธิษฐานจิตเสกให้เขาด้วย ใครต้องการอานิสงส์พระคาถาเงินล้านหรือจะอธิษฐานขออะไรตอนตั้งใจปลุกเสกก็ต้องตื่นให้ทัน เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันสอบนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก วันแรก อาตมาเองเป็นกรรมการอำนวยการสนามสอบ ถ้าหากว่าภาวนาพระคาถาเงินล้านตอนแปดโมงเวลาเดิมจะไปไม่ทัน พรุ่งนี้ไปร่วมพิธีเปิด มะรืนไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเพลผู้เข้าสอบ เฮ้อ..ได้ยินแล้วเหนื่อยไหม ?

    เรื่องของการทำความดีเราจะเหนื่อยไม่ได้ โดยเฉพาะงานคณะสงฆ์ เหมือนอย่างกับต้องทวนกระแสน้ำเพื่อที่จะสู้กับอุปสรรค อุปสรรคทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากพวกเรานี่แหละ เดี๋ยวก็ปีนเสาไฟบ้าง ดูดยาบ้าบ้าง ล่าสุดนี่เก็บกระเป๋าตังค์ชาวบ้านได้แล้วไม่คืน นั่นปาราชิกเลยนะ..!

    ถามว่าปาราชิกตอนไหน ? หยิบของเคลื่อนออกจากที่เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าหากว่าเป็นโต๊ะ สมมติว่ามีสี่ขา ยกขาขึ้น ๑ ข้างต้องอาบัติทุกกฏ ยกขึ้น ๒ หรือ ๓ ข้างต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้ายกขึ้นทั้ง ๔ ข้างนี่โดนอาบัติปาราชิก..! พระพุทธเจ้าท่านให้รายละเอียดไว้หมดแล้วว่าจะต้องตัดสินอย่างไร
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เราจะเห็นว่าพระธรรมยุตนี่จะไม่แตะของอะไรที่โยมยังไม่ประเคนให้ สมัยที่ไปอยู่ดูแลหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส ท่านจะมีการถวายสังฆทานให้หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก) ทุกวันศุกร์ เพราะว่าท่านเป็นเพื่อนกันและก็เป็นลูกศิษย์ด้วย หลวงปู่มหาอำพันท่านบวชก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ ประมาณแปดเดือน แต่ด้วยความที่หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านเก่ง หลวงปู่มหาอำพันท่านก็เลยลดตัวลงไปเป็นลูกศิษย์

    เมื่อครูบาอาจารย์มรณภาพท่านก็ทำบุญให้ทุกวันศุกร์ เพราะว่าท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพวันศุกร์ที่ ๑๔ มกราคม คราวนั้นก็นิมนต์หลวงปู่นิรันดร์ (นิรันดร์ นิรนฺตโร ป.ธ. ๙) ตอนนั้นยังเป็นเจ้าคุณพระศาสนโสภณ รองสมเด็จพระราชาคณะ ตอนหลังท่านได้รับพระราชทานเลื่อน ต้องใช้คำว่าสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่สมเด็จพระวันรัต วัดเทพศิรินทราวาส

    ตอนนั้นนิมนต์ท่านมารับสังฆทาน พอโยมประเคน ท่านถาม "ให้แน่นะ" โยมก็ "แน่เจ้าค่ะ" ท่านถามต่อ "ไม่เอาคืนนะ" โยมก็ "ไม่เอาคืนเจ้าค่ะ" ต้องถามให้แน่ใจขนาดนั้นถึงจะรับ เพราะว่าเป็นอาบัติที่โดนแล้วขาดความเป็นพระง่ายที่สุด..!

    เนื่องจากว่าเขาตีราคาว่า ๕ มาสกเท่ากับ ๑ บาท ไม่ใช่ขโมยหนึ่งสลึงแล้วจะไม่โดนนะ ขโมยสลึงที่ ๑ โดนอาบัติถุลลัจจัย สลึงที่ ๒ โดนอาบัติถุลลัจจัย สลึงที่ ๓ โดนอาบัติถุลลัจจัย ขโมยครั้งที่ ๔ ครบบาทโดนปาราชิกเลย..! ท่านไม่ให้พวกหัวหมอประเภทเก็บทีละนิด ไม่ต้องถึงก็ไม่รอดไปได้หรอก..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ถ้าเป็นรุ่นอาตมภาพเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมนี่ยังใช้เงินสตางค์อยู่ ก็จะมีท็อฟฟี่ใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง สีเขียว ๆ แดง ๆ เม็ดละ ๑๐ สตางค์ ถ้าซื้อ ๓ เม็ดคิดหนึ่งสลึง เขาบอกว่า "เม็ด" แต่อาตมาเรียกว่า "ลูก" เพราะว่าใหญ่มาก ก็คือเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเหรียญ ๑๐ บาทสมัยนี้ แล้วก็ยาวเกือบ ๒ นิ้ว สมัยนั้นยังใช้สตางค์อยู่ ก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเท่านั้น

    แม่ให้เงินไปครั้งแรกที่เข้าเรียนกับน้องชาย ๕๐ สตางค์ ไม่รู้ว่าเงินใหญ่แค่ไหน เพราะว่าไม่เคยใช้ พระน้องชายตอนนั้นก็เข้าเรียนชั้น ป. ๑ อาตมาอยู่ ป. ๓ น้องเขาก็บอกว่า "อยากกินข้าวเหนียวทุเรียน" ด้วยความที่ไม่เคยใช้เงินก็ไปบอกกับแม่ค้าว่า "เอาข้าวเหนียวทุเรียน" แม่ค้าถามว่า "เอาเท่าไร ?" ก็ยื่นเหรียญ ๕๐ สตางค์ให้ เหรียญใหญ่เท่าเหรียญ ๑๐ บาทสมัยนี้ เป็นเหรียญดำ ๆ รูปในหลวงรัชกาลที่ ๘

    แม่ค้าก็ทำตาโต "กินหมดหรือ ?" ก็บอกว่า "หมด" แม่ค้าก็เลยตักให้ ราดน้ำทุเรียนมาเสร็จสรรพเรียบร้อย ได้มากะละมังย่อม ๆ เลย..! มารู้ทีหลังว่าก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเดียว แล้วเราไปซื้อข้าวเหนียวทุเรียน ๕๐ สตางค์..! จนกระทั่งมาเรียนมัธยมแล้ว ก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาทเดียว ปีที่เข้าเรียนมัธยม ปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาทเดียว เกิดกันทันหรือเปล่าปี ๒๕๑๖ ?

    ก็ด้วยความที่ว่าพระเราขาดความเป็นพระได้ง่าย ก็ต้องระวังตัวสุดขีด แต่ถ้าหากว่าเป็นพระพม่านี่ขาดความเป็นพระยากหน่อย เพราะเขาตีความว่า ๕ มาสกของพระพม่าเทียบเท่าทองคำ ๑ สลึง..! โอ้พระเจ้า..สมัยนี้เทียบเป็นเงินไทยหมื่นกว่าบาท ในขณะที่ของเรายังบาทเดียวเท่าเดิม..!

    อาตมาไปอยู่พม่าหกปี ไม่ได้อยู่ยาวหรอก ก็ไปบ้างกลับบ้าง เพราะว่าไปสร้างวัด แล้วก็ไปเที่ยว ถามพระพม่าว่าเขาคิดอย่างไรถึงได้ ๕ มาสกเท่ากับทองคำหนึ่งสลึง เขาเปรียบมาตราโบราณให้ พระของเราที่เรียนนักธรรมชั้นตรี ไปดูท้ายเล่มวินัยมุขเล่มหนึ่งได้นะ มีมาตราโบราณอยู่

    ๔ เมล็ดข้าวเปลือกเท่ากับ ๑ กุญชา
    ๒ กุญชาเท่ากับ ๑ มาสก
    แปลว่า ๘ เมล็ดข้าวเปลือกเท่ากับ ๑ มาสก
    ดังนั้น ๕ มาสก ก็เท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก

    เขาเอาข้าวเปลือก ๔๐ เมล็ดไปชั่งน้ำหนัก บอกว่าเท่ากับทองคำหนึ่งสลึง..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ไปอยู่พม่าดีกว่า ศีลขาดยากกว่าเยอะเลย อยู่เมืองไทยบาทเดียว อยู่ที่โน่นปาไปหมื่นกว่าบาท..! คราวนี้ก็อยู่ที่การตีความกัน แต่อยากจะบอกว่าพม่าเขาตีความศีลเสมอกัน บ้านเราตีความศีลลักลั่นกัน

    บ้านเราไม่ฉันอาหารในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่การเข้าบ้านในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนของพม่านี่จะฉันอาหารในเวลาวิกาลหรือเข้าบ้านในเวลาวิกาล เขาก็ตีความว่าหลังพระอาทิตย์ตกดินทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ๔ - ๕ โมงเย็นพระพม่าเดินเข้าร้านอาหารเป็นปกติ เขามีมุมต่างหากให้ด้วยนะ จัดเอาไว้ลักษณะเหมือนอย่างกับห้องวีไอพี ถึงเวลาถ้าใครเขินโยม เขาก็รูดม่านปิดให้ แต่ฉันกันเป็นปกติ เพราะเขาตีความพระธรรมวินัยเสมอกัน

    อาตมาเวลาไปอยู่กับพวกเขานี่ ประมาณ ๔ โมงเย็นก็ออกจากวัดแล้ว ไปอยู่ตามพระพุทธรูปสำคัญ ตามเจดีย์สำคัญ สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน คุยกับผี คุยกับเทวดาไปเรื่อยเปื่อย ทุ่มกว่าสองทุ่มแล้วค่อยกลับวัด ถามว่าทำไม ? คือถ้าอยู่วัดแล้วเขารู้ว่าพระไทยไม่ฉันอาหารเย็น เขาก็ประดักกระเดิด เลยไป ๆ ให้พ้นหน้าเขาเถอะ ถึงเวลาก็บอกหลวงพ่อเจ้าอาวาส "ผมไปไหว้พระเจริญกรรมฐานนะครับ ประมาณสองทุ่ม ถึงจะกลับ" บอกให้ท่านสบายใจว่ากินไปเถอะ เราไม่ยุ่งด้วยหรอก..!

    อาหารตอนเช้าก็ฉันกันประมาณตอนตีสามครึ่งถึงตีสี่ เขาจะมีกำหนดที่พระเราเรียกว่า "ได้อรุณ" ฟ้าสว่างแล้วเริ่มออกบิณฑบาตได้ ของบ้านเรานี่ต้องดูยอดไม้ ดูลายมือ มองเห็นลายมือชัดถือว่าได้อรุณ มองยอดไม้แยกใบอ่อนใบแก่ได้ถือว่าได้อรุณ

    แต่คราวนี้ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาวล่ะ จะไปแยกอย่างไร ? บางทีแดดไม่มาเลย แต่พม่าเขากำหนดตายตัวเลย กลางเดือน ๕ ได้อรุณตีสามครึ่ง เดือน ๖ ตีสี่ เดือน ๗ ตีสี่ครึง เดือน ๘ ตีห้า ไล่ไปเรื่อย เขาจะกำหนดตายตัวตามนาฬิกาเลย

    อาตมาเคยโดนนิมนต์ไปฉันตอนตีสี่ พม่าส่วนใหญ่อาหารเช้าของเขาก็จะเป็นพวกเบา ๆ ขนมจีนบ้าง ข้าวผัดหนึ่งจานบ้าง ต้องบอกว่าพม่าเขาค่อนข้างที่จะลำบาก ส่วนใหญ่แล้วต่อให้เป็นคนทั่วไปก็กินแค่สองมื้อ ก็คือมื้อสาย ๆ จะเป็นขนมจีนหนึ่งจาน ไม่ก็กาแฟกับปาท่องโก๋หนึ่งตัว อย่าคิดว่าปาท่องโก๋หนึ่งตัวไม่อิ่มนะจ๊ะ ตัวหนึ่งยาวเป็นศอกเลย..! คือที่คนจีนเขาเรียกว่า "โหยวเถียว" หรือไม่ก็ข้าวผัดหนึ่งจาน แล้วอีกมื้อหนึ่งก็ไปกินตอน ๓ - ๔ โมงเย็น เพราะว่าเขาไม่ค่อยมีสตางค์กัน บ้านเมืองยากจนมาก

    คราวนี้เขานิมนต์พระไปตอนตีสี่ ทั้งวงอาหารเขาจุดเทียนเล็ก ๆ ไว้เล่มเดียว มองอะไรก็ไม่ค่อยถนัด แล้วอาตมาเป็นคนแก่ใส่แว่นด้วย ถึงเวลาก็ขนมจีน นี่ก็ผัก นี่ก็น้ำยา เห็นว่าน่าจะเป็นถั่วฝักยาวซอย หยิบเอามาทั้งขยุ้มเลย โรยลงไป ราดน้ำยาทับ ตักเข้าปาก สะดุ้งเฮือก..! ไม่ใช่ถั่วฝักยาวซอยแต่เป็นพริกขี้หนูเขียว ๆ ซอยมาทั้งชามเลย..! คายก็ไม่ได้..ขายหน้าเขา..! กัดฟันกินเข้าไป เหงื่อแตกพลั่กทั้ง ๆ ที่ตีสี่นั่นแหละ..เวรกรรม..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    สวดพระคาถาเงินล้าน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


    (ก่อนสวดพระคาถาเงินล้าน) สรุปว่าโยมมาเกือบครบ ขาดแต่พระใช่ไหม ? อุตส่าห์ตั้งใจบวชมา กำลังใจสู้โยมไม่ได้ ขายหน้าเขานะ โยมบางคนเคร่งครัดมาก ถ้าดูในพระไตรปิฎก ก็อย่างโคปกโมคคัลลานพราหมณ์ เป็นต้น

    ฝึกกรรมฐาน เราฝึกเพื่อความมีสติ มีสติรู้รอบบวกกับปัญญา ก็จะแยกแยะออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว ในตอนต้นก็ละชั่วทำดีไปเรื่อย ท้ายสุดพอดีสมบูรณ์ก็จะปล่อยดีทิ้งไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ทำความดีเพราะสิ่งนี้เขาสรรเสริญว่าเป็นความดีเราถึงทำ ละความชั่วเพราะสิ่งนี้ทุกคนเห็นว่าเป็นความชั่วเราถึงละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ท้ายสุดก็ไปสู่พระนิพพาน

    พวกเราถ้ามีสติ ก็จะไม่ง่วงเหงาหาวนอนกับใครหรอก เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเอง ช่วงที่ฝึกฝนตัวเองหนัก ๆ นอนอย่างเก่งคืนหนึ่งก็สองชั่วโมง หนึ่งวันมี ๒๔ ชั่วโมง ฝึกตนไป ๒๒ ชั่วโมง ก็ไม่เห็นว่าจะง่วงเหงาหาวนอนอะไร กลางวันก็ทำงานตามปกติ ประคับประคองรักษากำลังใจไว้ ตอนนั้นกิจกรรมต่าง ๆ นี่แทบจะไม่ยุ่งเลย

    มีบางท่านบวชมาแล้วก็ดูหนังฟังเพลงเป็นปกติ แบบนั้นเสียเวลาบวช ยิ่งมีเวลาน้อยก็ยิ่งต้องเร่งรัดตัวเองให้มากไว้ ไม่ใช่ว่าตั้งใจบวชน้อยแล้วรอเวลาสึก ถ้าอย่างนั้นอย่าเสียเวลาไปบวชเลย การบวชเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โอกาสขาดทุนมีมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็น ต้องระมัดระวังพยายามรักษาความดี เสริมสร้างความดีไปเรื่อย ไม่ใช่อยู่หายใจทิ้งไปวัน ๆ

    อย่าลืมสิ่งที่เรากล่าวในโบสถ์วันบวช นิพพานัสสะ สัจฉิกรณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ดูว่าสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน กับสิ่งที่เราพูดหรือปฏิญาณตนในโบสถ์ไปกันได้ไหม ? หรือลืมไปแล้วว่าตัวเองพูดอะไรไว้..!

    ครูบาอาจารย์ไม่ได้อยู่มาคอยบ่น คอยด่า คอยว่า คอยชี้ข้อบกพร่องให้เรา ถ้าใครมัวแต่รอครูบาอาจารย์ว่าแล้วค่อยทำ แถมบอกแล้วยังไม่ค่อยทำอีกต่างหาก ชาตินี้คงจะเอาดีได้ยาก อย่าไปอ้างว่าเราเรียนแล้วไม่มีเวลา อย่าไปอ้างว่าเรามีหน้าที่ประจำแล้วไม่มีเวลา ทุกอย่างที่ท่านจะเอาเป็นข้ออ้างกระผม/อาตมภาพทำมาหมดแล้ว ก็ยังเห็นมีเวลาฝึกตนเยอะเป็นปกติ..!

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าระยะหลังกระผม/อาตมภาพไม่ไปเคี่ยวเข็ญใครหรอก ปล่อยตัวใครตัวมัน ใครอยากได้ดีก็ขัดเกลาตัวเองไป ทุกอย่างทำให้ดูแล้ว บอกให้ตามแล้ว ถ้าไม่เอาก็ตัวใครตัวมัน ถ้าเป็นสมัยก่อน อย่างผู้ปฏิบัติธรรมถึงเวลาแล้วมาไม่ถึงศาลา
    กระผม/อาตมภาพก็ไล่เตลิดเปิดเปิงออกจากวัดไปเลย อยากนอนก็กลับบ้านไปนอนให้พอ สมัยนี้ถ้าอยากจะนอนยันสว่างก็เรื่องของมัน นรกสวรรค์ของใครของมัน..!
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    (หลังสวดพระคาถาเงินล้านจบ) มีใครยังไม่ตื่นอีกไหม ? เก็บเก้าอี้ ปูอาสนะ เตรียมปฏิบัติธรรมช่วงเช้า เดี๋ยวพระออกบิณฑบาตตามปกติ วันนี้วันอาทิตย์ มีโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย"

    ง่วงนอนจริง ๆ หรือว่าสมาธิดี ? หลับกันจัง ถ้าสมาธิได้แค่นี้ก็แย่มากเลยนะ..! แย่มากตรงที่ว่าสมาธิระดับนี้คือปฐมฌานหยาบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของหมู หมา กา ไก่ เหมือนกัน เราเป็นคนต้องทำให้ได้มากกว่านี้..!
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


    ไปไหนกันหมดจ๊ะ หนีกลับบ้านแล้ว ? กลับมาก่อน..! หลวงพ่อฉันเสร็จ เก็บบาตร ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัวใหม่ เก็บของขึ้นรถ แล้วค่อยมานี่ ดูสิว่าใช้เวลาไปกี่นาที ? ตอนนี้ก็พร้อมเดินทาง เดี๋ยวนำพวกเราสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ ก็วิ่งไปคุมสอบแล้ว

    นี่คือผลของการปฏิบัติธรรม เรายิ่งปฏิบัติธรรมมากขึ้น สภาพจิตจะยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ น้อยลงไปเรื่อย ถ้าศัพท์สวย ๆ เขาบอก "คายกากเหลือแต่แก่น" คราวนี้พอสิ่งรุงรังน้อยลงเรื่อย ก็จะทำอะไรเร็วขึ้นเรื่อย แต่เป็นการทำที่เร็วแบบมีสติ โอกาสผิดพลาดน้อยมาก เพราะฉะนั้น..ในเวลาที่เท่า ๆ กัน บุคคลที่ปฏิบัติธรรมมามาก สติสมบูรณ์มาก จะทำอะไรได้มากกว่าบุคคลที่สติสมบูรณ์น้อยกว่า นี่เป็นเครื่องวัดที่ชัด ๆ เลย..!

    แล้วถามว่า "ทำไมทำอะไรเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ทำแล้วช้าลง ?" ทำแล้วช้าลงนั่นเป็นพวกเด็กฝึกหัด ที่ต้องหัดเดินเตาะแตะทีละก้าว คนที่เก่งแล้วโน่น..เขาแข่งวิ่ง ๑๐๐ เมตรโอลิมปิกโน่น..!

    เนื่องเพราะว่ากิเลสเกิดเร็วมาก ถ้าจิตของเราเร็วไม่ทัน จะต่อต้านกิเลสไม่ได้ ถามว่ากิเลสเกิดเร็วมากนั้น เร็วขนาดไหน ? มองไปเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนี่ก็เจ๊งแล้ว ไม่เหลือแล้ว เพราะว่าเริ่มปรุงแต่งไปแล้ว ถ้ามองไปสักแต่เห็นว่าเป็นรูป สักแต่เห็นว่าเป็นธาตุก็จบ มองไปเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนี่ สภาพจิตของเราเปิดให้กิเลสเข้ามาเต็ม ๆ แล้ว..!

    เพราะว่าพอเราเห็นปุ๊บก็จะเลือก เลือกสิ่งที่ชอบ ผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ ชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ กิเลสกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง..!

    สติจึงต้องสมบูรณ์และรู้เท่าทัน ทันทีที่ตาเห็นรูป ถ้าสติสมบูรณ์ ปัญญาพร้อม ก็จะแยกแยะภายในไม่ถึง ๑ วินาทีว่า ถ้าคิดแบบนี้จะก่อให้เกิดโทษเกิดกิเลสแบบไหน ตั้งแต่ต้นยันปลาย จะเห็นไปตลอดเลย

    แต่ถ้าคิดแบบนี้จะก่อให้เกิดคุณ ทำให้จิตของเราผ่องใสขึ้นได้อย่างไร จะบอกได้หมด แล้วพอถึงตอนนั้นสภาพจิตก็จะเลือกเอาในส่วนที่ดีกับตัวเอง เขาถึงได้เรียกว่ากุศล คือความฉลาด ฉลาดในการเลือกสิ่งที่ดี ๆ ให้กับตนเอง ฉลาดในการละสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของตน


    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มีหน้าที่สร้างสติให้เกิด ถามว่าต้องสร้างขนาดไหนถึงจะพอ ? จริง ๆ แล้วยิ่งมากยิ่งดี แต่ถ้าเอาระดับหลับกับตื่นรู้เท่ากันได้ก็พอที่จะเอาตัวรอดได้
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    คำว่า "หลับกับตื่นรู้เท่ากัน" ได้นี่ บางคนเข้าถึงบ้างแล้วแต่ไม่เข้าใจ ก็คือได้ยินเสียงตัวเองกรน คนกรนก็คือคนหลับ..ใช่ไหม ? แล้วทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกรนอยู่ ? นั่นก็คือสภาพจิตที่ตื่นกับหลับรับรู้เท่ากัน

    หลายคนคิดว่าตัวเองนอนไม่หลับ บังคับตัวเองให้หลับก็ยิ่งไม่หลับใหญ่เลย สภาพจิตแบบนั้นบาลีเขาบอกว่า "พุทโธ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน" ร่างกายนอนอยู่ ร่างกายได้พักเต็มที่แล้ว ถึงขนาดกรนนี่รับประกันว่าหลับลึกแน่นอน แต่สติยังตื่นอยู่

    พอถึงเวลามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว สภาพจิตก็จะกรองทันทีเลยว่า ควรจะไปปฏิสัมพันธ์ด้วยไหม ? ถ้าไม่สมควรก็จะนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเอง แต่ถ้าจำเป็นต้องไปปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะคลายจิตออกมาอย่างระมัดระวัง เหมือนหนูที่จะโผล่จากรู ต้องระวังว่าจะโดนแมวตะครุบหรือเปล่า ? เมื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ตามความจำเป็นเสร็จแล้ว ก็รีบกลับเข้าสู่จุดเดิมของตัวเอง

    ถ้าสภาพจิตถึงตรงนั้นแล้ว ให้พยายามฝึกหัดซักซ้อมไว้บ่อย ๆ แล้วเราจะรู้ว่า ขนาดตื่นยังต้องสั่งตัวเองให้ตื่นเลย นอนพอแล้ว..ตื่นเถอะ ความรู้สึกก็จะขยายออกไปสู่ปลายมือปลายเท้า พอสติสัมปชัญญะและประสาทร่างกายสมบูรณ์ เอ้า..ลืมตา พลิกตัว ลุกนั่ง เดินไปห้องน้ำ สั่งเป็นขั้น ๆ เหมือนกับนานมาก แต่ในสายตาคนนอกก็คือ เห็นเราพลิกตัวปุ๊บก็เดินอ้าวไปเลย..!

    ให้สังเกตอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าบุคคลที่ทำประเภทนี้ได้ เราปลุกตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาไม่มีการงัวเงีย รับรู้ทุกอย่างได้สมบูรณ์เหมือนอย่างกับคนที่ตื่นอยู่ ทำให้ได้นะ เอาแค่เบื้องต้นนี้ก็พอ..!
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เพราะฉะนั้น..เดี๋ยวก็ซ้ายย่างหนอ ซ้ายยังไม่ทันจะย่างเลย เหยียบปั้บลงไปแล้ว..! ถ้าอย่างนั้นคือขาดสติ

    สติก็คือกำกับการเคลื่อนไหว กำกับการเคลื่อนไหวของเราให้เป็นไปพร้อมกับคำภาวนา ซ้าย..ก็ยกเท้าขึ้น ย่าง..ก็เคลื่อนเท้าไป หนอ..ก็ลดเท้าลงแตะพื้น แบบที่ครูบาอาจารย์ท่านมักจะบอกว่า เหมือนกับแมวจ้องจับหนู ต้องจดจ่อไว้ทุกฝีก้าว ถ้าตะครุบเร็วเกินไปก็ไม่ได้อะไรจากหนูน่ะสิ หนูไม่ทันจะโผล่หัวออกมาเลย อย่างเก่งก็โดนหนวดหน่อยหนึ่ง ตะครุบช้าเกินไปหนูก็ไปลิบแล้ว อย่างเก่งก็เฉี่ยวปลายหางไปหน่อย เพราะฉะนั้น..ต้องพร้อมกัน หนูโผล่ออกมาเราตะครุบพอดี ก็ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอไปเรื่อย

    ต้องมองให้เห็นประโยชน์ของการกำหนดสติตามความเคลื่อนไหวของร่างกายให้ได้
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    พวกเราส่วนใหญ่เคยชินกับการนั่งนิ่ง ๆ ขยับปุ๊บสมาธิพังปั๊บ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ? เพราะว่าสติ สมาธิ ปัญญา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งานในชีวิตจริงได้ เพราะฉะนั้น..การที่เราเคลื่อนไหวแล้วกำหนดสติไปด้วย ถ้าสามารถทรงเอาไว้ได้ เราจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไร สติก็จะจดจ่อตั้งมั่นอยู่ตรงนั้นไม่หลุดไปไหน

    ถ้าเจริญกรรมฐานด้วยการเดิน คือการเคลื่อนไหว หรือว่าจะเคลื่อนเฉพาะมือ เฉพาะอะไรก็แล้วแต่ เราจะเคยชินกับการทรงสมาธิขณะเคลื่อนไหวได้ แล้วสมาธิจะหลุดยาก ก็แปลว่าพร้อมที่จะเผชิญโลกกว้างแล้ว หัวร้างคางแตกก็ถอยกลับมารักษาแผลใหม่ แล้วก็ยื่นหัวไปตีกับเขาใหม่ กว่าจะสำเร็จอย่างที่ตนเองต้องการ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว เย็บจนไม่รู้จะเย็บทางไหนแล้ว โบราณเขาใช้คำว่า "เข็มหลง" ไม่รู้จะออกซ้ายหรือออกขวาดี เพราะว่ามีแต่แผลทั้งนั้น..!

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องของความอดทน ความพากเพียร แต่ต้องเป็นการอดทนและพากเพียรแบบคนมีปัญญา สู้แค่ชนะ อาตมภาพแนะนำเพื่อนพระชาวพม่าว่า "ถ้าฟุ้งซ่าน ให้หยุดภาวนาไปเลย ไปทำโน่นทำนี่ก่อน พอหายบ้าแล้วค่อยกลับมานั่งภาวนาใหม่"

    เขาบอกว่าครูบาอาจารย์ของเขาสอนว่า "ถ้าฟุ้งซ่าน ให้ภาวนาสู้ไปจนกว่าจะหายฟุ้ง" อาตมาก็เลยถามไปว่า "แล้วตอนช่วงนั้นทรมานดีไหม ?" หรือเป็นพวกซาดิสต์ชอบความเจ็บปวด..! ก็ไปกวาดบ้าน ถูศาลา ตัดหญ้า อะไรก็ทำไปสิ ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่เราไปฟุ้งกับงาน ได้งานด้วย พอจิตเริ่มหายบ้า เริ่มสงบแล้ว ก็มานั่ง พุทโธ..พุทโธ ใหม่ ก็แล้วแต่ว่าครูบาอาจารย์เขาสอนมาแบบไหน ถ้าชอบความเจ็บปวดก็สู้กันไปจนกว่าจะหายฟุ้ง หายฟุ้งเสร็จ ขยับตูดออกจากที่..ฟุ้งต่อ เจริญล่ะพ่อ..คราวนี้ฟุ้งไปนานเลย..!

    พวกนี้จะเป็นเทคนิคเฉพาะตัว ถ้าเป็นการฝึกวิทยายุทธหรือการต่อสู้เขาเรียกว่า "ลูกไม้" แม่ไม้คือท่าพื้นฐาน ฝึกซ้อมแม่ไม้จนคล่องแคล่วชำนาญ แล้วจะสามารถออกเป็นลูกไม้ได้เอง ตรงจุดนี้ต้องหาลูกไม้ของแต่ละคนในการสู้กับกิเลสให้ได้ ถ้าหากว่าหาไม่เจอนี่ทำตามคนอื่นยาก
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    อาตมภาพมาสายวัดป่าธรรมยุตก่อน ครูบาอาจารย์สมัยนั้นก็ "สู้แค่ตายลูก..สู้แค่ตายลูก" ลองสู้แล้วตายฟรีทุกครั้งเลย..! เนื่องเพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไรที่จะให้ตัวเองชนะ หรือถึงไม่ชนะก็อย่าแพ้ ถ้าแพ้ก็ต้องแพ้แบบชนะใจคนดู ไม่ใช่แพ้ยับเยิน..โดนเขาโห่ลงจากเวทีแบบนั้นไม่เอา..!

    ถ้าหากว่ามาถึงระดับลูกไม้นี่ตัวใครตัวมัน ฝึกหัดกันเอาเอง แต่ตอนแม่ไม้นี่บอกได้ทุกอย่าง หรือบอกเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เราเองจะใช้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ครูบาอาจารย์เขาถนัดลูกไม้แบบนี้ เราไปลองทำดูกลับไม่ได้เรื่อง โดนเขาน็อคหามลงจากเวทีมาอีก..!

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ถ้าเป็นไปได้ก็คือ ทุกวินาทีต้องรักษาอารมณ์ใจของเราไว้ให้ได้ ต่อเนื่องตามกันอย่าให้ขาด เพราะทันทีที่ขาด รัก โลภ โกรธ หลง จะแทรกเข้ามา แล้วถ้าแทรกเข้ามาได้เมื่อไร คราวนี้ก็ฟุ้งซ่านเป็นนาน นักปฏิบัติธรรมมีประสบการณ์โหดตรงนี้กันทุกคน จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก แล้วแต่จะเรียกไป อาการเดียวกันนั่นแหละ ตอนแรกทำตัวเหมือนอย่างกับเป็นเทวดา พลาดตกลงมาก็หมาขี้เรื้อนดี ๆ นี่เอง หน้าคนอื่นยังไม่อยากจะมองเลย ทำไมกูเลวได้ขนาดนี้ ? ทำไมกูชั่วได้ขนาดนี้ ?

    ตอนนี้ไปประณามตัวเองมีประโยชน์อะไร ? ต้องประณามตอนตัวเองจะทำสิ ด่าให้มันรู้ตัวจะได้ไม่ไปทำ ไม่ใช่ทำไปแล้วค่อยมาด่าตัวเอง มีประโยชน์อะไร ? โดนกิเลสลากไปหลายกิโลเมตรแล้ว..!

    ดังนั้น..
    ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระ สิ่งสำคัญที่อยากเตือนก็คือ อย่าฝากชีวิตไว้กับครูบาอาจารย์ พระเรานี่แหละตัวดีเลย "เราทำตรงนี้เป็นอาบัติหนักหรือเปล่า ? ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเตือนแปลว่าใช่ ถ้าท่านไม่เตือนแปลว่ายังไม่เป็น" โถ..มึงโดนอาบัติขาดความเป็นพระไปตั้งนานแล้ว ยังจะให้ครูบาอาจารย์เตือนอีก..!

    ญาติโยมก็เหมือนกัน อธิษฐานมาตั้งแต่บ้านเลย "ถ้าหลวงพ่อเก่งจริง หนูคิดอย่างนี้ต้องบอกได้" เสียเวลาไปดู..กิเลสของกูยังตามไม่ค่อยจะทันเลย..! เพราะฉะนั้น..อย่าฝากชีวิตไว้กับครูบาอาจารย์
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เราทำอะไรเรารู้ เมื่อรู้ว่าดีเราก็เร่งทำให้มากไว้ รู้ว่าชั่วเราก็เร่งละเอาไว้ ท้ายที่สุดเมื่อละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ ดีจะมีมากกว่าชั่ว ตอนนั้นคุณงามความดีทุกอย่างจะมารวมตัวกัน แล้วอะไรก็ขวางเราไม่ได้

    แต่ถ้าตอนดีชั่วก้ำกึ่งกันนี่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเลย ไอ้โน่นก็ซ้ายหันมาทางนี้ ไอ้นี่ก็ขวาหันไปทางโน้น แทบจะโดนฉีกแบ่งเป็นสองซีก บางคนอยากจะเอาหัวโขกข้างฝา กูจะเลี้ยวไปทางไหนดี ? ไปไหนไม่ได้ก็นั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นแหละ..! อย่างน้อย ๆ ตอนนั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ไปทำชั่วที่ไหนหรอก อย่างดีก็แค่คิดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ไปตามกิเลสสั่ง..!

    สมัยวัยรุ่นอาตมภาพเจอมาเยอะแล้ว อยากชั่วมากใช่ไหม ? นั่งอยู่หน้าพระประธานนั่นแหละ อย่างเก่งมึงก็ให้กูคิดชั่วได้ แต่ให้กูพูดไม่ได้หรอก เพราะว่ากูไม่ยอมพูด มาให้กูทำยิ่งไม่ไปใหญ่เลย ลองดูสิว่าใครจะแน่กว่ากัน..! ทิพจักขุญาณเราไม่ต้อง อตีตังสญาณรู้อดีตไม่ต้อง อนาคตังสญาณรู้อนาคตไม่ต้อง ปัจจุปปันนังสญาณนี่แหละดีที่สุด กูจะนั่งมองพระอยู่ตรงนี้ แน่จริงมึงลากกูไปให้ได้สิ..! คือถ้าไม่บ้าขนาดนั้นนี่สู้กิเลสไม่ได้หรอก

    โดยเฉพาะท่านใดที่มาปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเพื่อนฝูงหรือว่าพี่น้องตัวเองยังไม่ได้บอกว่า "บ้า" นี่ยังเอาดีไม่ได้หรอก ต้องทำให้คนรอบข้างเขาเห็นว่าเราบ้านั่นแหละถึงจะพอที่จะเอาตัวรอดได้ เพราะว่าสิ่งที่เราทำ ไปฝืนความต้องการของคนทั่วไป คนอื่นเขาไหลตามน้ำสบาย ๆ เราไปทวนน้ำเหนื่อยแทบตายอยู่คนเดียว เขาก็ว่าเราบ้า เพราะฉะนั้น..จงรักษาความบ้าเอาไว้ให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม อันนี้ไม่ใช่พุทธภาษิตและไม่ใช่เถรภาษิต มาสมาทานพระกรรมฐานกันดีกว่า..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันลอยกระทง ๒๕๖๗ ณ วัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน- วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...