เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 มกราคม 2025 at 05:40.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๘



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรมโมเดิร์นโฮเต็ลอยู่ที่ -๒๓ องศาเซลเซียส

    ความจริงวันนี้กระผม/อาตมภาพควรที่จะอยู่ร่วมงานวันเด็กที่โรงเรียนบ้านไร่ป้า หมู่ที่ ๕ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี แต่ด้วยเหตุที่ติดการเดินทางมายังสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในขณะนี้ จึงได้มอบหมายให้ไอ้ตัวเล็ก (นางสาวพัชรีภรณ์ หยกอุบล) ประธานชมรมรักษ์ไทยรักษ์ไทย นำเอาคณะไปร่วมงานวันเด็กแทน โดยได้ทำการขนข้าวของต่าง ๆ ไปเตรียมแจกเด็ก และลงเล่นกีฬาต่าง ๆ กับเด็กอีกด้วย ซึ่งทุกปีก็เป็นอย่างนี้ เพียงแต่ว่าทุกคนอายุก็เริ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีแรงเล่นกับเด็กไปอีกนานเท่าไร ขอเจริญพรขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือด้วยดีมาทุกปี

    สำหรับเมื่อวานนี้จะบอกว่าเป็นวันสบาย ๆ ของพวกเราก็ได้ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยสบายนัก พวกเราตื่นมาทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว ตามเวลานัดหมายก็คือห้องอาหารของโรงแรมจะเปิดเวลา ๐๖.๓๐ น. ของประเทศจีน ถ้าเป็นบ้านเราก็พอดีตี ๕ ครึ่ง

    เมื่อไปถึงก็ต้องแสดงบัตรของตัวเองว่าพักอยู่ที่ห้องไหน ? พร้อมกับรับไข่ต้มมา ๑ ฟอง จากเจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าประตูห้องอาหารอยู่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าประเทศจีนต้มไข่ด้วยอะไร ถึงได้ร้อนนักร้อนหนา ร้อนจริงร้อนจังขนาดนั้น ร้อนจนกระทั่งพวกเราแทบจะแกะไข่ไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป..! อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มข้าวฟ่างและข้าวต้มไข่เยี่ยวม้า ซึ่งรสชาติดีทั้งสองอย่าง พร้อมกับหมั่นโถวและผักดองต่าง ๆ สำหรับกินกับข้าวต้ม

    พวกเรานั่งลงยังไม่ทันไร ปรากฏว่ากองทัพประชานชนจีนก็แห่แหนกันเข้ามา พักเดียวแน่นไปหมดทั้งห้องอาหาร ซึ่งคนไทยทั้งหลายก็คงจะทราบพลังทำลายล้างของกองทัพลูกหลานท่านประธานเหมาอยู่แล้ว โชคดีที่พวกเราทุกคนตักอาหารไว้เรียบร้อย จึงทำให้ไม่ต้องไปเบียด ไปกระแทก ไปโดนด่า หรือว่าโดนผลักกันในตอนที่ตักอาหารเหมือนกับที่อื่น ๆ..!

    หลังอาหาร คุณนายโย (นางสาวทัศน์วรรณ พิพัฒน์รังสรรค์) นำเอาผลไม้มาถวาย มีทั้งส้มจุก กล้วยหอม และสตอว์เบอรี่ บอกว่า "เมื่อคืนพอดีเจอซูเปอร์มาเก็ต ก็เลยซื้อเอาไว้ถวายหลวงพ่อ" กระผม/อาตมภาพไม่ทราบว่าเหมือนกันว่าคุณนายเธอหมดไปเท่าไร เนื่องเพราะว่าของที่นำมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ชั้นยอดระดับคัดเกรดมาทั้งนั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เมื่ออิ่มแล้วออกมาปรากฏว่าที่นั่งหายหมด..! โดนกองทัพประชาชนจีนยึดไปหน้าตาเฉย ไม่ว่าคุณจะวางกระเป๋า วางเสื้อโค้ตอะไรจองที่นั่งเอาไว้ บรรดาอากงอาม่าแกก็นั่งลงไปทั้งอย่างนั้น แถมยังสูบบุหรี่กันแบบไม่สนโลกอีกด้วย ทำเอาพวกเราแทบจะขาดใจตายในห้องล็อบบี้ของโรงแรม ยังโชคดีว่ายังมีผู้ที่พักอยู่ในสถานที่อื่น ๆ กำลังแห่แหนกันมาใช้ห้องอาหาร ทำให้มีการเปิดประตู แล้วอากาศเย็นไหลทะลักเข้ามา พวกเราก็เลยรอดตายจากการสำลักควันบุหรี่ไปได้..!

    ทางด้านคณะทัวร์ได้เตือนให้ทุกคนแต่งตัวแบบเต็มที่ ไม่ว่าจะมีอะไรที่ช่วยให้หายหนาวได้ก็ใส่ไปก่อนเลย เพราะว่าเราต้องเดินเป็นระยะทางค่อนข้างไกล ออกไปยังลานจอดรถข้างนอก เมื่อปล่อยให้กองทัพประชาชนจีนส่วนใหญ่หายออกจากที่พักไปแล้ว พวกเราถึงได้เริ่มเดินทาง อย่างที่ทางคณะทัวร์ได้เตือนเอาไว้ แม้ว่าอากาศจะอยู่ที่ประมาณ -๒๓ องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่พอไปเดินอยู่กลางแจ้งไม่นาน ก็เกิดอาการมือเท้าชาได้เช่นกัน..!

    กระผม/อาตมภาพเดินถ่ายรูปย้อนหลังไปเรื่อย จนกระทั่งถึงลานจอดรถมือเท้าก็ชาได้ที่พอดี บริเวณนี้มีตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ ไม่ทราบว่าเป็นของบริษัทขายเสื้อกันหนาวหรืออย่างไร ? เพราะว่ามีเสื้อกันหนาวติดยี่ห้อสวมเสียด้วย แถมยังมีป้ายขนาดใหญ่ว่าสถานที่นี้อุณหภูมิเคย -๕๐ องศาเซลเซียส ทำเอาผู้คนหมายมั่นปั้นมือว่าจะซื้อหาเสื้อกันหนาวยี่ห้อนี้มาใช้กันบ้าง

    เมื่อพวกเราขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่งออกมาจนถึงลานจอดรถทางด้านนอก ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลไม่น้อยเลย ลงจากรถมาปรากฏว่ารถของพวกเราไม่ได้มารอรับอยู่ทางลานจอดรถด้านนี้ หากแต่ว่ารออยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นประตูทางเข้าในวันแรก พวกเราจึงรีบตั้งวงถ่ายรูปหมู่บริเวณประตูทางออกก่อน แล้วค่อยเดินผ่านเครื่องตรวจนับจำนวนคน ย้อนออกไปเหมือนอย่างกับวันก่อนที่เดินเข้ามา เมื่อมาถึง รถของเราเตรียมพร้อมอยู่แล้ว หลุดขึ้นรถมาได้ก็รู้สึกว่ารอดตายไปที..!

    ครั้นเช็คจำนวนคนจนครบถ้วนแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทาง ซึ่งวันนี้แดดจัดจ้ามาก ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องเอาแผ่นกันแสง ซึ่งสวมทับแว่นสายตาอีกชั้นหนึ่งลงมา เพื่อจะได้ป้องกันสายตาของตนเอง จากนั้นก็นอนภาวนายาว ๆ ไปเลย เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ
    "ต้าเหนียง" และบริวารที่ตามมา ทางด้าน "ต้าเหนียง" บอกว่า "วันนี้อาจจะมีอะไรสูญเสียเล็กน้อย..!" กระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจคำว่า "สูญเสีย" จึงได้ตั้งใจที่จะภาวนาให้เต็มที่ อุทิศส่วนกุศลให้กับทุกท่าน จะได้มีกำลังเพียงพอในการที่จะดูแลรักษาพวกเรา
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ครั้นประมาณ ๑๐ โมงครึ่งของเมืองจีน พวกเราก็มาจอดเข้าห้องน้ำกัน ซึ่งเป็นร้านขายของและห้องน้ำสาธารณะ น่าจะสร้างได้ไม่นาน แต่ขอโทษเถอะ...การใช้ห้องน้ำของคนจีน ไม่ทราบเหมือนกันว่าติดสันดานมาจากไหน ? บ้างก็ไม่กดน้ำล้างชักโครก บ้างก็ปัสสาวะจนกระทั่งเลยกระจัดกระจายไปทั่วหมด ทำให้ห้องน้ำที่หรูดูดีมาก ๆ กลายเป็นห้องอุบาทว์ขึ้นมาในทันใด..!

    ครั้นพวกเรากลับขึ้นมาทางด้านบน ปรากฏว่าทุกคนถือถุงขนมมากบ้างน้อยบ้าง ติดมือกันมาแทบทั้งสิ้น ตอนแรกก็เอามาถวาย แต่กระผม/อาตมภาพไม่ถนัด จึงได้สอบถามคุณนายโยว่าผลไม้ยังเหลืออยู่อีกหรือไม่ ? จึงได้ส้มจุกมา ๒ ผลพร้อมกับขนมซึ่งเป็นทาร์ตไข่ ๒ ชิ้น ตลอดจนกระทั่งกล้วยหอม ๑ ผล และสตอร์เบอรี่ผลใหญ่มากอีก ๔ - ๕ ผล

    ขณะที่กำลังฉันอยู่ก็สงสัยว่าสตอร์เบอรี่มีเมล็ดหรืออย่างไร ? ผลปรากฏว่าเป็นวัสดุที่อุดฟันนั้นหลุดออกมา..! กระผม/อาตมภาพตั้งใจนึกถึง
    "ต้าเหนียง" ถามว่า "นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียหรือไม่ ?" อีกฝ่ายบอกว่า "เป็นการสูญเสียที่สำคัญทีเดียว" กระผม/อาตมภาพจึงโล่งใจว่า ถ้าเสียหายแค่นี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาในส่วนอื่นอีก

    รถของเราวิ่งออกมา โดยที่น้องปูเป้ซึ่งเป็นไกด์สาวชาวลาวมาเรียนที่ฮาร์บิน ตักเตือนพวกเราว่าให้รัดเข็มขัดด้วย พูดยังไม่ทันจะขาดคำ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นตำรวจทางหลวงก็ขอหยุดรถ แล้วก็ตรวจตราพวกเรา มีการถามเสียด้วยว่า "การเดินทางสะดวกดีหรือไม่ ?" ทุกคนที่เคี้ยวขนมเต็มปาก ตอบเกือบจะพร้อมกันว่า "ห่าว" ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มแฉ่ง หน้าบานเดินลงไปโดยไม่ตรวจอะไรมาก

    ลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) เจ้าของเติมเต็มทราเวล นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว บอกว่า "ทุกคนเล่นเป็น แต่ขอให้ฟังเข้าใจจริง ๆ ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าตอบผิด ชีวิตอาจจะเปลี่ยนได้..!"

    เมื่อพวกเราวิ่งมาไม่นาน ก็เริ่มเข้าสู่เขตเมือง รถราติดหนุบติดหนับ กว่าที่จะหลุดมาได้ ถึงได้รู้ว่าทางเทศบาลเขากำลังกวาดหิมะบนถนน ซึ่งเป็นทางแคบ ๆ ลักษณะคล้าย ๆ กับสะพาน ในเมื่อโดนคุณยึดไป ๑ เลน พวกเราที่เหลือทั้งหมดก็ต้องยัดกันลงไปในเลนเดียว มิน่าล่ะ..รถถึงได้ติดสาหัสสากรรจ์ขนาดนั้น..!

    วิ่งเข้ามาภายในเมือง วิ่งผ่านมหาวิทยาลัย HIT (Harbin Institute of Technology) เป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของจีน ซึ่งน้องปูเป้มาเรียนอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายมาโดยโควต้านักศึกษาของประเทศลาว แต่ว่าทุกคนเข้าใจว่าเธอสอบเข้าได้ด้วยตนเอง เมื่อเห็นมหาวิทยาลัยนี้จึงได้ตื่นเต้นกันมาก อีกฝ่ายสารภาพอาย ๆ ว่า "เมื่อมีคนถามก็หลอกเขาเหมือนกันว่าสอบได้เอง" ทำเอาทุกคนฮากันกลิ้ง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    รถของเรามาจอดที่หน้าร้านสุกี้หม้อไฟ ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าทางด้านนี้เรียกว่าอะไร แต่ว่าเป็นร้านของชาวมองโกลแท้ ทางด้านหน้าประตูมีหมาจิ้งจอกหิมะตัวขาวผ่อง แถมยังอ้วนกลมอยู่ด้วย ครั้นพวกเราเดินเข้าไปจะเล่นด้วย เจ้านี้ก็กลัวเสียจนแทบจะขุดพื้นรถที่นอนอยู่มุดหนีลงไปเลย..! ทำเอากระผม/อาตมภาพขำก็ขำ คนไหนก็ตามที่ชาติก่อน ๆ เคยหัวขาด หรือว่าโดนลงโทษหนัก ๆ มา เมื่อเจอบุคคลเดิมที่ทำกับตนในชาตินั้น ก็มักจะกลัวจนลนลานขนาดนี้เสมอ..!

    ทางด้านในมีการตกแต่งสไตล์มองโกลแท้ โดยเฉพาะรูปขนาดใหญ่ของเจงกีสข่าน ซึ่งเป็นกษัตริย์มองโกลที่ยิ่งใหญ่ระดับมหาราช และบรรดาพระรูปกษัตริย์ราชวงศ์ชิงซึ่งเรียงรายเป็นลำดับไป จนกระทั่งไปถึงชั้นบนที่แบ่งเป็นห้อง ๆ ก็ยังตกแต่งสไตล์กระโจมมองโกลที่เรียกว่า "เกอร์" อีกด้วย

    พวกเราแบ่งออกเป็นสองห้องกันด้วยกัน เนื่องเพราะว่าห้องแรกประกาศอย่างชัดเจนว่า "แพะแกะไม่กินอย่างเด็ดขาด..!" เนื่องเพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะมากินชาบูกัน พวกเราซึ่งกลายเป็น "สายแข็ง" อยู่ห้องที่สอง ก็เลยรับมาทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ลูกชิ้น เนื้อแพะ เนื้อแกะ แล้วก็จัดการกินกันกระจาย อย่างชนิดที่ไม่มีอะไรเหลือติดจานเลย..! ทำเอาเจ้าของร้านยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจ แต่มาสอบถามด้วยความงงว่า "พระไทยกินเนื้อด้วยหรือ ?"

    อีกฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจว่าพระที่กินเจนั้นเป็นพระภิกษุฝ่ายมหายาน แต่ว่าเขามีการฉันอาหารมื้อเย็นด้วย เนื่องเพราะว่าอาหารเจนั้นให้สารอาหารไม่เพียงพอต่อร่างกาย โดยที่ถือคติว่าถ้าไม่ตีระฆังไม่ถือว่าเป็นมื้ออาหาร คล้าย ๆ กับทางพม่าที่ฉันก่อนค่ำ ถือว่าไม่ใช่การฉันอาหารในเวลาวิกาล แต่พระเถรวาทของเรานอกจากเนื้อ ๑๐ อย่างที่ต้องห้าม ก็คือเนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมา เนื้อหมี เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อราชสีห์ เหล่านี้แล้ว เราก็ไม่ได้เว้นเนื้ออื่น ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ไม่ได้รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา และไม่รู้เขาฆ่าเพื่อเรา ถือว่าฉันได้ เนื่องเพราะว่าไม่ต้องการสร้างความลำบากให้กับผู้ถวาย ในการจัดหาอาหารที่ต่างจากตนกินออกไป

    พวกเราซัดทุกอย่างที่ขวางหน้าบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือนอกจากน้ำชาบูที่ติดหม้ออยู่ แล้วก็เดินเหงื่อแตกพลั่กออกมาตากลมอยู่หน้าร้านเป็นเพื่อน "ไอ้อ้วน" ดูหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองแล้ว อากาศอยู่ที่ -๑๗ องศาเซลเซียส แต่ขอโทษเถอะ..พวกเราเหงื่อแตกพลั่กไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะลูกกิฟท์ยังเอาเนื้อแกะย่างไม้เบ้อเริ่มมาให้ บอกว่าไม้นี้หนักครึ่งจิน ก็คือประมาณครึ่งตำลึงของทางด้านประเทศจีน ตกราว ๆ ๓ ขีดของบ้านเรา ซึ่งโดนกวาดเรียบไปตามเคย และผงเครื่องเทศที่ติดอยู่รวมทั้งหมาล่า ก็ทำให้พวกเราร้อนหนักยิ่งขึ้นไปอีก..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ครั้นขึ้นรถมาแล้ว น้องปูเป้ก็ตักเตือนพวกเราทั้งหมดว่าให้จัดเต็มเลย เนื่องเพราะว่าในลานนิทรรศการน้ำแข็งนั้นหนาวมาก ผู้ที่ไม่สามารถจะทนได้ เดินอยู่ ๑๐ กว่านาทีก็ให้หนีเข้าไปอยู่ในห้องพัก ซึ่งให้ความอบอุ่น ไม่เช่นนั้นแล้วจะแย่..! กระผม/อาตมภาพก็เลยมีคนช่วยแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็นแผ่นรองเท้าช่วยให้เท้าอุ่น ตลอดจนกระทั่งแผ่นเคมีแปะตัวเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แต่งตัวเสร็จแล้วก็เหงื่อแตกพลั่กอยู่ข้างใน เนื่องเพราะว่ารถติดมากเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่ระยะทางไม่ไกล เจ้าหน้าที่จราจรให้พวกเราวิ่งเลยไปจนกระทั่งถึงวงเวียนที่อยู่ไกลลิบ แล้วค่อยกลับรถย้อนกลับมาหน้างานอีกครั้งหนึ่ง

    เมื่อเข้าไปทางด้านในก็เจอบรรดาเจ้าหน้าที่ช่วยจัดการจราจร ซึ่งสวมเสื้อโค้ตกันหนาว มีคำว่า "เป่าอัน" ติดอยู่ด้วยทุกคน พวกเราเข้าที่จอดรถแล้ว น้องปูเป้ก็นำเดินเข้าไปยังหน้างาน บริเวณหอนาฬิกาซึ่งแกะสลักจากน้ำแข็ง ด้านหนึ่งเป็นนาฬิกา อีกด้านหนึ่งเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิ ที่บอกอุณหภูมิแท้จริงของงาน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ -๑๗ องศาเซลเซียส

    เมื่อถ่ายรูปหมู่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางคณะเติมเต็มทราเวลก็นำพวกเราเข้าไปสู่ภายใน ซึ่งต้องผ่านด่านชั้นแล้วชั้นเล่า โดยเฉพาะมีการสแกนตัวด้วย ถ้าหากว่ากระเป๋าใครน่าสงสัย เจ้าหน้าที่ก็จะชี้ขอตรวจค้น กว่าจะหลุดเข้าไปรอตั๋วอยู่ด้านในได้ก็แทบแย่..!

    ครั้นได้ตั๋วมาแล้ว กระผม/อาตมภาพกับป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) ซึ่งอายุ ๖๖ ปีเท่ากัน โดนน้องปูเป้กันออกมาจากคณะ บอกว่า "ผู้อาวุโสเกิน ๖๐ ปีต้องใช้ตั๋วครึ่งราคา เดี๋ยวมากับปูเป้ก็แล้วกันนะคะ" พวกเราก็เลยต้องผ่านไปให้อีกฝ่ายหนึ่งตรวจพาสปอร์ต ว่าหน้าตาตรงกับตัวเองหรือเปล่า ? ครั้นผ่านหลุดออกมาทางด้านนอกได้ ก็เป็นลานนิทรรศการใหญ่ ตรงหน้าของเราก็คือรูปของ "ปินปิน" และ "นีนี่" ซึ่งเป็นเสือโคร่งไซบีเรีย มาสค็อตของงาน Asian Winter Games ๒๐๒๕

    พวกเราถ่ายรูปหมู่กันตรงนี้ แล้วน้องปูเป้ชี้ให้ดูทางออก ซึ่งเป็นทางช่อง C ที่เราเข้ามา บอกว่าถ้าหากว่าเดินดูกันจนครบแล้ว ให้เวลาไม่เกิน ๕ โมงเย็น ต้องมาออกประตูตรงนี้ ให้มองหาหอนาฬิกา ซึ่งพวกเราถ่ายรูปหมู่ก่อนจะเข้ามา เดินออกทางข้างหอนาฬิกาไปก็จะเป็นลานจอดรถ เดินตรง ๆ ไปจนกว่าจะเจอรถยนต์ของเรา แล้วก็ปล่อยพวกเราฟรีสไตล์ได้เลย

    จุดที่พวกเราเข้ามานั้นเป็นด้านโซนเอเซีย ซึ่งจะมีน้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปสถาปัตยกรรมสำคัญ ๆ ของแต่ละประเทศ ทางด้านประเทศไทยของเรานั้นก็คือ Grand Palace หรือพระบรมมหาราชวัง ซึ่งได้รับรางวัลที่ ๑ ของการแกะสลักด้วย กระผม/อาตมภาพไล่ถ่ายรูปไปเรื่อย แล้วก็ยังสงสัยว่าทำไม Grand Palace ของเราหน้าตาเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ หน้าตาก็ออกมาเหมือนกับพระมหาเจดีย์มหามิงกะลา ที่พุกาม ประเทศเมียนมาร์เลย
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ครั้นมาสอบถามน้องปูเป้ก็บอกว่า พวกนี้เป็นช่างชาวจีนที่แกะสลักขึ้นมา เพื่อให้แต่ละประเทศซึ่งมีนักท่องเที่ยวมานั้น จะได้ถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญของประเทศตัวเอง กระผม/อาตมภาพจึงได้โล่งใจ สอบถามต่อไปว่า แล้วที่คนไทยของเรามาแกะสลักได้รางวัลที่ ๑ ไปทุกปีเป็นเวลา ๒๐ ปีเห็นจะได้นั้นคือที่ไหน ? น้องปูเป้บอกว่าที่ริมแม่น้ำซงฮวาเจียง ซึ่งพรุ่งนี้เราจะไปดู นั่นเป็นการแกะสลักหิมะ แต่บริเวณนี้เป็นการแกะสลักน้ำแข็ง

    พวกเราเดินดูบริเวณซึ่งมีคนมาก ๆ ปรากฏว่าเป็นลานสไลเดอร์ ที่พวกเราไม่มีปัญญาจะต่อคิวแย่งกับกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ เนื่องจากว่าคิวยาวมาก อีกด้านหนึ่งก็คือทางด้านชิงช้าสวรรค์ที่คิวยาวสุด ๆ เช่นกัน และได้คำแนะนำว่าอย่าได้ไปต่อคิวให้เสียเวลา เนื่องเพราะว่าต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงยังไม่พอ ด้านบนยังหนาวมากเป็นพิเศษอีกด้วย..!

    กระผม/อาตมภาพเดินไปเดินมาก็พลัดหลงกับคณะใหญ่ มีแต่น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) เท่านั้นที่ตามมา ครั้นเมื่อเดินเข้ามาถึงด้านใน จึงได้รู้ว่าตอนที่เราจอดรถ แล้วมีผู้คนเข้ามาเสนอขายตัวติดรองเท้ากันลื่นในราคาอันหนึ่งตั้ง ๒๐ หยวนนั้น เป็นของที่ฟุ่มเฟือยและเสียเวลาซื้อโดยใช่เหตุ เพราะว่าถ้าเดินระมัดระวังหน่อย ก็แทบจะไม่ลื่นอะไรเลย กระผม/อาตมภาพบอกกับน้องเล็กว่า "ปล่อยให้เป็นภาระของ "ต้าเหนียง" และบริวารไปก็แล้วกัน" เล่นเอาอีกฝ่ายหนึ่งบ่นว่า "ไม่คิดจะลดภาระของคนอื่นเขาบ้างเลยหรือ ?"

    ปรากฏว่าถ่ายรูปกันได้ไม่กี่ครั้ง ปากกาสำหรับทัชหน้าจอแทนนิ้วมือของน้องเล็กก็หล่นหาย กระผม/อาตมภาพช่วยเดินวนหาอยู่สองรอบก็ไม่เจอ
    "ต้าเหนียง" บอกว่าถือว่าเป็นการสูญเสียฟาดเคราะห์ไปเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันว่าเราสามารถที่จะรอดจากตรงนี้ไปได้อย่างแน่นอน แต่เดินไปเดินมา ดูท่าสภาพร่างกายจะไม่ไหว เนื่องเพราะว่าเกิดอาการปวดท้องเหมือนกับมาลาเรียลงกระเพาะ แต่น่าจะเป็นฝีมือของ "ต้าเหนียง" กับคณะที่ทำให้ไม่มีอาการไข้จับ แถมยังยิ่งเดินก็ยิ่งร้อน จนกระทั่งเหงื่อออกอีกด้วย..!

    พวกเราเดินวนจนกระทั่งแน่ใจว่าภายในไม่มีห้องน้ำ จึงได้วนออกมาทางประตูทางออก น้องเล็กบอกว่า "ทางด้านนั้นเห็นมีคนเดินเข้าไป น่าจะมีห้องน้ำ" เมื่อพวกเราเข้าไป ปรากฏว่าเป็นจุดที่เขาหนีเข้ามาพักจากอากาศหนาวกัน น้องเล็กพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งเขาเปิดประตูให้เดินเข้าไป ปรากฏว่าเป็นห้องน้ำที่พวกเราส่วนหนึ่งเคยใช้ในการที่เข้าตอนขาเข้านั่นเอง เจ้าหน้าที่ใจดีเมื่อเห็นว่าเป็นเหตุฉุกเฉินก็อนุญาตให้เข้าไปใช้ได้
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    กระผม/อาตมภาพนั้นต้องถอดเสื้อโค้ตออกเสียก่อน เนื่องเพราะว่าเหมือนกับใส่เกราะ จะลุกจะนั่งก็ลำบากไปหมด ครั้นถ่ายจนหมดท้องตัวเบาหวิวดีแล้ว ก็กลับออกมาทางด้านเดิม แล้วก็ต้องมาทุลักทุเลกับการใส่เสื้อโค้ตเสียใหม่ แต่การออกมาครั้งนี้ดีตรงที่ว่า จากแสงตะวันธรรมดา เราก็ได้เห็นแสงสีของทางด้านนี้ซึ่งจัดเต็มเอาไว้ ครั้นเดินถ่ายรูปไปไม่นาน ก็เจอกับคณะของเรา รวมตัวกันถ่ายรูปหมู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจและจะเป็นไปตามเวลานัดก็คือ ๕ โมงเย็นของเมืองจีนแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ชวนทุกคนเดินออกมาจนกระทั่งไปถึงรถ

    โชเฟอร์ของเรานั้นใส่ใจดีมาก ครั้นเห็นน้องเล็กไปเคาะประตู ก็เดินตามมาทางด้านหลัง และกดรีโมตเปิดประตูอัตโนมัติให้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโชเฟอร์คันอื่นจะเอาใจใส่กับผู้โดยสารขนาดนี้หรือไม่ ? เนื่องเพราะว่าในลานจอดรถนั้น อากาศค่อนข้างจะหนาวทีเดียว แต่วันนี้พวกเราถือว่าโชคดีมาก เพราะว่าไม่มีลม ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นความกรุณาของ
    "ต้าเหนียง" กับบริวารหรือเปล่า ? ไม่เช่นนั้นแล้วน้องปูเป้บอกว่าพาคณะอื่นมา อากาศก็ประมาณแค่ -๑๐ องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ว่าอยู่กันได้แค่ ๑๐ กว่า ๒๐ นาทีก็วิ่งหนีกันหมดแล้ว ถือว่าพวกเราโชคดีได้สัมผัสบรรยากาศอย่างเต็มที่ แถมยังรู้สึกร้อนมากกว่าอีกด้วย..!

    เมื่อขึ้นรถมาจึงจัดการแกะเครื่องกันหนาวที่พะรุงพะรังออกกันหมดเสียก่อน แล้วก็ฝ่ารถติดไป ซึ่งทางด้านแสงสีเสียงที่ปรากฏขึ้นมาในยามค่ำคืนนั้น ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมืองฮาร์บินนี้เจริญสุด ๆ ถ้าหากว่าให้เปรียบกับเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนจิน หรือว่าฉงชิ่ง ก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่ากันเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวขนาดนี้ แปลว่าเศรษฐกิจดีมาก ๆ แต่เศรษฐกิจยิ่งดีมาก รถก็ยิ่งติดหนักมาก..!

    พวกเราที่จะไปยัง "โบสถ์เซนต์โซเฟีย" จึงได้รับคำแนะนำจากโชเฟอร์ว่าไปที่นั่นอาจจะจอดรถไม่ได้ ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปที่ "สะพานปินโจว" ซึ่งเป็นสะพานรถไฟเก่าอายุ ๑๐๐ กว่าปีมาแล้วแทน กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงก็เสียเวลาไปเนิ่นนานมาก แต่พอลงไปพวกเราก็ถึงกับสะดุ้ง อากาศ -๑๗ องศาเซลเซียสเท่ากัน แต่ทางด้านนี้มีลม จึงได้รู้ว่าความหนาวที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร..!? พวกเราขึ้นไปบนสะพานปินโจวแล้ว ก็ได้ถ่ายรูปหมู่ และแยกย้ายหามุมกันถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย

    สะพานเก่าแห่งนี้เป็นสะพานคู่บ้านคู่เมืองข้ามแม่น้ำซงฮวาเจียงมาแต่ดั้งเดิม อายุ ๑๐๐ กว่าปีแล้ว แต่ว่าทางด้านข้างนั้นมีสะพานใหม่ ที่สร้างขึ้นมารองรับทางรถไฟความเร็วสูง จึงทำให้มีสะพานคู่กัน อีกจุดหนึ่งที่อยู่ด้านล่างสะพานนั้นก็กลายเป็นลานสไลเดอร์ให้บรรดาลูกหลานมังกรได้มาเล่นสไลเดอร์กันโครมครามสนุกสนาน ผู้คนแน่นขนัดไปหมด จนอยากจะบอกว่าคนครึ่งประเทศจีนมารวมกันอยู่ที่นี่กระมัง !?
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,443
    พวกเราทนสู้ลมหนาวได้ไม่นานก็ต้องหนีกลับขึ้นรถกันหมด และฝ่ารถติดกันต่อไปจนกระทั่งถึง "อนุสาวรีย์น้ำท่วม" ซึ่งน้ำท่วมใหญ่ในปี ๒๕๐๐ นั้น ท่วมสูงถึงขนาดเกือบถึงฐานอนุสาวรีย์ด้านบน กระผม/อาตมภาพดูด้วยสายตาแล้ว น่าจะอยู่ประมาณ ๖ - ๗ เมตรเห็นจะได้ การที่ทุกคนร่วมกันต่อสู้กับน้ำท่วมครั้งนั้น จึงทำให้ทางการจีนสร้างอนุสาวรีย์นี้เอาไว้เพื่อเชิดชูเกียรติ และกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองไปอีกจุดหนึ่ง รอบบริเวณนั้นมีทั้งสะพานรถไฟ มีทั้งรูปแกะสลัก Asian Winter Games ๒๐๒๕ รูปแกะสลักของ "ปินปิน" และ "นีนี่" ให้พวกเราหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย

    จากนั้นน้องปูเป้ก็พาพวกเราเดินตรงไปยัง "ถนนจงยาง" ซึ่งเป็นถนนสายช็อปปิ้งของเขา ผู้คน "ล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสน" อยู่ทางด้านนี้ บอกว่าพวกเราจะเดินกลับไปยังโรงแรมที่พัก ก็คือโรงแรมโมเดิร์นโฮเต็ลเลย ปล่อยให้รถยนต์วิ่งอ้อมไปอีกด้านหนึ่งเอากระเป๋าไปส่งให้

    ถนนสายนี้นั้นเป็นถนนที่มีร้านค้าอยู่ในลักษณะที่สร้างเป็นบล็อกแบบทางยุโรป ก็คือจะมีสี่แยกเป็นระยะ ๆ ไป มีข้าวของเครื่องใช้สารพัดจำหน่ายอยู่ แต่กระผม/อาตมภาพซึ่งหมดสภาพเต็มทีแล้ว เนื่องเพราะว่าออกอาการมาลาเรียอย่างชัดเจน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรถึงไม่มีไข้ขึ้น เพียงแต่รู้สึกป้อแป้หมดสภาพเท่านั้นเอง ครั้นเดินไปจนกระทั่งถึงโรงแรม เข้าไปเบิกกระเป๋ากันแล้ว ย้อนออกมารออยู่หน้าโรงแรมพักใหญ่ กว่าที่รถของเราจะฝ่ารถติดอ้อมมาถึง แปลว่าการเดินนั้น เราเดินได้เร็วกว่ารถยนต์ที่ต้องไปตามเส้นทางจริง ๆ ด้วย..!

    วันนี้กระผม/อาตมภาพได้รับกุญแจห้องมา แต่หาห้องไม่เจอ ต้องไปถามรูมเมดซึ่งทำความสะอาดอยู่ อีกฝ่ายจึงชี้ทางลับให้ว่า เหตุที่ไม่มีป้ายบอกเพราะว่าเป็นห้องพิเศษ ห้องหลังใหญ่โดยเฉพาะ เข้ามาข้างในที่เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องรีบปิดในทันใด แทบจะรื้อเอาทุกชิ้นส่วนของสิ่งของกันหนาวในตัวเองออกมาจนหมด รีบเปิดหน้าต่างให้ความเย็นไหลเข้ามาโดยด่วน ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะเป็นลมเพราะความร้อนไปก็ได้ ไม่นึกเลยว่าอากาศ -๑๗ องศาเซลเซียส แล้วเราจะร้อนเหงื่อแตกได้ขนาดนี้..!

    เมื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็รีบส่งรูปต่าง ๆ เข้ากลุ่มไลน์จนกระทั่งครบถ้วน ก็จัดแจงปิดไฟ นอนภาวนาส่งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับ
    "ต้าเหนียง" และบริวาร ตลอดจนกระทั่งเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ซึ่งได้ช่วยดูแลอนุเคราะห์สงเคราะห์มาโดยตลอด เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ฉันยา จึงลุกขึ้นมาฉันยาป้องกันไข้เอาไว้ก่อน แล้วนอนภาวนาส่งใจขึ้นสู่พระนิพพาน หลับไปในเวลาอันรวดเร็ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...