เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องไปยังสวนรื่นรมย์ ราฟท์วิว รีสอร์ท แต่เช้ามืด เพื่อไปร่วมงานที่ร้อยวันพันปีจะได้ไปสักครั้งหนึ่ง ก็คืองานแต่งงานของน้องออมสิน (นางสาวสมหทัย มีราศรี) ลูกสาวของครูสมควร - ครูสุจิตรา มีราศรี ซึ่งครูสมควรนั้นเป็นไวยาวัจกรของวัดท่าขนุน ส่วนครูสุก็เป็นคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน

    ส่วนน้องออมสินนั้น พวกกระผม/อาตมภาพเรียกแต่ชื่อเล่น จนกระทั่งจำไม่ได้ว่าชื่อจริงคืออะไร ท้ายที่สุดก็ต้องถามจากครูมอญ (นางพนอ จันทจิตร) ประธานชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย ในเมื่อตัวประธานชุมชนบอกกล่าวเอง จึงไม่น่าจะผิดพลาด

    การแต่งงานจัดขึ้นที่รีสอร์ต ซึ่งต่อว่ากระผม/อาตมภาพว่า "บรรดาพระสายปกครองทั้งหมด ล้วนแล้วแต่มาที่รีสอร์ทแห่งนี้แล้วทั้งสิ้น ยกเว้นหลวงพ่อวัดท่าขนุน" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำอยู่ในใจ เนื่องเพราะว่าไปเดินอยู่จนทั่วรีสอร์ทของเขาเพื่อหาข้อมูลมาแล้ว และตัวเจ้าของรีสอร์ทเอง ก็เป็นคนบอกกล่าวเองว่าแต่ละห้อง แต่ละแห่งนั้น ราคาเท่าไร ซึ่งกระผม/อาตมภาพจำเป็นจะต้องหาข้อมูล เพราะว่างานชุมชนคุณธรรมนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ต้องแนะนำที่พักสำหรับผู้ที่สนใจจะไปค้างคืนเพื่อดูงานด้วย

    การแต่งงานนั้นก็เป็นพิธีตามแบบโบราณเป็นต้นมา ก็คือมีการสวมมงคล เจิมหน้าผาก ทำบุญใส่บาตร ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ และรับน้ำพระพุทธมนต์ ส่วนน้ำสังข์นั้นต้องรอให้ผู้ใหญ่ไปรดกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของพระ..!

    เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพก็ไปนึกถึงพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่จะมีความรักต่อกันนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ซึ่งเรื่องนี้นั้นมีมาในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ คือพระสุตตันตปิฎก อยู่ในขุททกนิกายชาตก หรือที่เรียกว่าชาดก ก็คือเอกจัตตาฬีสนิบาต ก็คือตอนที่ ๔๑ หรือว่าเรื่องที่ ๔๑

    ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมหมู่ภิกษุเสด็จไปยังเมืองสาเกต เพื่อรับบิณฑบาต เมืองสาเกตนี้เป็นเมืองคู่แฝดของเมืองสาวัตถี เนื่องจากว่าเมืองสาวัตถีของแคว้นโกศลนั้น หาเศรษฐีที่มีฐานะระดับเศรษฐีจริง ๆ ไม่ค่อยได้เลย เนื่องเพราะว่าในสมัยก่อนนั้น บุคคลที่จะเป็นเศรษฐี จะต้องมีทรัพย์อย่างน้อย ๘๐ โกฏิ ถ้าหากว่าตีตามมาตราปัจจุบันก็คือ ๘๐๐ ล้านบาท แต่เราต้องเข้าใจว่า ๘๐๐ ล้านในสมัยนั้น ถ้าเป็นปัจจุบัน ๘ แสนล้านในสมัยนี้ ก็น่าจะน้อยเกินไป..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เศรษฐีท่านใดมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ถ้าหากว่าพระเจ้าแผ่นดินตรวจตราพิสูจน์แล้วว่ามีครบถ้วนจริง ก็จะพระราชทานฉัตร ๓ ชั้นสำหรับตำแหน่งเศรษฐีให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทางเมืองสาวัตถีนั้นมีเศรษฐีน้อยมาก เท่าที่ปรากฏอยู่นั้นก็แทบไม่มีเลย จึงต้องมีการไปขอจากเมืองราชคฤห์มา ทางด้านเมืองราชคฤห์ก็มอบธนัญชัยเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของนางวิสาขามหาอุบาสิกามาให้ ธนัญชัยเศรษฐีจึงต้องอพยพครอบครัวพร้อมข้าทาสบริวาร เพื่อที่จะไปอยู่ประจำที่เมืองสาวัตถี

    แต่ปรากฏว่าเฉพาะข้าทาสบริวารของธนัญชัยเศรษฐีก็มีถึงสองแสนกว่าคนแล้ว..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเข้าไปในตัวเมือง ก็จะสร้างความลำบากให้กับอีกฝ่ายหนึ่งมาก เมื่อกองคาราวานอพยพของธนัญชัยเศรษฐีมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีภูมิประเทศเหมาะสม อยู่ใกล้เคียงกับเมืองสาวัตถี จึงส่งทูตไปแจ้งกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ขอที่ผืนตรงนั้น เพื่อที่จะได้ตั้งบ้านแปลงเมืองกัน อาศัยอยู่ตรงนั้น ในฐานะของประชากรขึ้นอยู่กับแคว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานที่ดินให้ ธนัญชัยเศรษฐีจึงสร้างเมืองขึ้นมา ชื่อว่าเมืองสาเกต ถือว่าเป็นเมืองแฝดของเมืองสาวัตถีนั่นเอง

    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เสด็จไปประจำอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถีแล้ว ก็เสด็จบิณฑบาตอยู่ทั้งสองเมือง ปรากฏว่าเมื่อไปถึงเมืองสาเกตใหม่ ๆ มีพราหมณ์แก่ชาวเมืองสาเกตคนหนึ่ง กำลังเดินออกนอกพระนครมา พอเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบริเวณประตู ก็ตกตะลึง หมอบลง กอดพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร้องห่มร้องไห้ พร่ำกล่าวว่า "ลูกเอ๋ย..ธรรมดาลูกก็ควรจะต้องดูแลพ่อแม่ในยามแก่ชรามิใช่หรือ ? เหตุไฉนพ่อจึงไม่ได้เจอหน้าลูกมานานแสนนาน ตอนนี้เมื่อพบแล้ว ขอให้ลูกตามไปพบแม่ของลูกด้วยเถิด"

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงอนุโลมเสด็จตามพราหมณ์ผู้นั้นไป ซึ่งภายหลังพราหมณ์ผู้นั้นได้ชื่อว่านกุลปิตา ก็คือพราหมณ์ผู้เป็นพ่อของนายนกุละ เมื่อไปถึง นางพราหมณีซึ่งภายหลังมีนามว่านกุลมาตา ก็คือแม่ของนายนกุละ ได้ยินว่าลูกมาเยี่ยมบ้านแล้ว ก็ออกมาหมอบกราบองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ร้องไห้ว่า "พ่อทูนหัวของแม่ หายไปไหนมานาน ธรรมดาลูกมีหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อแม่มิใช่หรือ ?" แล้วก็ไปเรียกลูกสาวลูกชายทั้งหมดออกมา บอกว่า "เจ้าจงมาไหว้พี่ชายของพวกเจ้าเสีย"

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการถวายมหาทานจากพราหมณ์ทั้งสอง พร้อมกับหมู่ภิกษุสงฆ์ ครั้นเสวยภัตตาหารเสร็จ ก็ตรัส "ชราสูตร" แก่นกุลปิตาและนกุลมาตา เมื่อจบพระสูตร ทั้งสองได้บรรลุอนาคามิผล กลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นเอตทัคคะบุคคลฝ่ายฆราวาส ด้านผู้มีความคุ้นเคยอย่างยิ่งกับพระบรมศาสดา

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทั้งสองนั้น เคยเกิดเป็นบิดามารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ต่อเนื่องกันถึง ๕๐๐ ชาติ จึงทำให้พอเห็นหน้าเท่านั้นก็จำได้ว่าบุคคลนี้เป็นลูกของตน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แล้วองค์สมเด็จพระทศพลก็ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า สาเหตุแห่งความรักนั้น มีมาดังนี้คือ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก

    ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ก็คือความรักนั้นย่อมเกิดด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการที่ ๑ การอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน ที่ภาษาไทยเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส

    ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าปัจจุปปันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันในปัจจุบัน


    เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก ก็คือเหมือนอย่างกับดอกบัวที่เกิดขึ้นในน้ำ จะเกิดได้ก็เพราะอาศัยเหตุสองประการ คือน้ำและโคลนฉะนั้น

    ดังนั้น..ธรรมดาความรักนี้ ถ้าหากว่าเคยเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา หรือสหายกันมาในชาติก่อน ๆ ความรักนั้นก็ยังคงติดตามไปในชาติอื่น ๆ อีก ทำให้เห็นหน้าก็รู้สึกรัก รู้สึกชอบพอใจ

    ในขณะเดียวกัน ถ้าในชาติปัจจุบันนี้ มีการเกื้อกูลต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ก็ก่อให้เกิดความรักได้เช่นกัน ดังนั้น..ใครที่หมอดูบอกว่าไม่มีเนื้อคู่ โปรดอย่าเชื่อเป็นอันขาด เนื้อคู่ที่ว่านั้นคือเนื้อคู่โดยบุพเพสันนิวาส เราก็มาหาเนื้อคู่ที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันเสียก็หมดเรื่องไป..!

    ส่วนการที่เราจะอยู่ด้วยกันในฐานะคู่ครอง แล้วสามารถที่จะอยู่ได้ โดยที่ไม่ลำบากมากนัก ก็ต้องมีสมชีวิธรรม ๔ ประการ ซึ่งตรงนี้มาในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...