เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ขอพูดถึงเรื่องที่กำลังโด่งดังอยู่ในโซเชียล คือการเสียชีวิตของพระเอกร้อยล้าน คุณวินัย ไกรบุตร ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "หัฒศนัย" เพื่อสะเดาะเคราะห์ แต่ก็ต้องทนเป็นโรคร้ายอยู่ ๕ - ๖ ปี

    คราวนี้จากการที่มีหลายคนเขาวิพากษ์วิจารณ์กันก็คือว่า "ในเมื่อไปทำการแก้กรรมกับท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชยแล้ว ทำไมคุณเมฆยังตายอีก ?" สงสัยว่าคนถามเอาอะไรคิด ? ถ้าหากว่าไปหาหมอแผนโบราณ หมอแผนปัจจุบัน หมอผี หมอพระแล้วไม่ตาย คนก็ล้นโลกไปนานแล้ว..!

    การตายของคน ถ้าหากว่าเป็นไปในพระบาลีก็คือ ประการที่หนึ่ง หมดอาหาร (อาหารกฺขย) อาหารในทีนี้มีทั้งกวฬิงการาหาร อาหารก็คือข้าว น้ำ ขนม เหล่านั้นเป็นต้น ผัสสาหาร คือลมหายใจเข้าออก วิญญาณาหาร อาหารคือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์

    บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมขาดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ แล้วถึงตาย ? เนื่องเพราะว่าโดยปกติแล้วคนเราเสพเสวยในส่วนของวิญญาณาหาร อาหารของจิตวิญญาณ อย่างเช่นว่าเห็นรูปสวย ๆ ก็รู้สึกใจฟู ชื่นใจ มีกำลังใจก็อยู่ต่อได้ ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ได้กลิ่นหอม ๆ ได้อาหารรสอร่อย ได้สัมผัสที่ถูกใจ หรือว่าได้คิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ตนเองชอบ

    เราจะเห็นว่านักโทษเด็ดขาดบางคนที่โดนขังคุกมืดมัก "เฉาตาย" เพราะว่าขาดอาหารที่มาในรูปลักษณ์ของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ดังนั้น.สัตว์ทั้งหลายถ้าหากว่าขาดอาหารก็ตาย

    ประการที่สอง หมดอายุ..ตาย บาลีว่า อายุกฺขย อย่างเช่นว่ามนุษย์โลกเราในปัจจุบันมีอายุ ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ก็คือตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา

    คราวนี้อรรถกถาจารย์ท่านใช้วิธีคำนวณว่าผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยของบุคคลจะลดลง ๑ ปีดังนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อผ่านพุทธกาลมา ๒,๕๐๐ กว่าปี อายุขัยก็ลดลงไป ๒๕ ปีเศษ ถ้าหากว่าใครอยู่ถึงอายุ ๗๔ ปีครึ่งโดยประมาณ ก็ถือว่าอยู่ครบอายุ คราวนี้ก็มีเกินบ้าง มีขาดบ้าง ตามบุญตามกรรมของแต่ละคนที่ทำมา ดังนั้น..ในส่วนของการหมดอายุนี่ ถือว่าเป็นไปโดยธรรมชาติ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ประการต่อไปก็คือหมดบุญ ปุญญกฺขย ก็คือสิ่งที่เราทำมาแล้วค้ำจุนตัวเราในลักษณะของชนกกรรม พาไปให้เกิด อุปัตถัมภกกรรม สนับสนุนส่งเสริม ถ้าหากว่าหมดลงก็ตาย ดังนั้น..หลายท่านถ้าหากว่าอายุมากหน่อย สมัยก่อนพอคนตาย บางคนก็จะใช้คำว่า "หมดบุญ"

    คราวนี้ยังมีประเภทสุดท้ายคือกัมมกฺขย ตายเพราะหมดกรรม อย่างคุณเมฆ วินัย ไกรบุตร ก็คือในเมื่อได้สร้างสิ่งที่ดี ๆ ตอบแทนให้กับบรรดาเจ้ากรรมนายเวรแล้ว กรวดน้ำ ขออโหสิกรรม กรรมที่เคยผูกพันกันอยู่ ก็เป็นอันว่าคลายตัวลง หมดกรรมจึงตาย..!

    หรือถ้าหากว่าจะดูตัวอย่างชัด ๆ ก็พระโลสกติสสเถระ ซึ่งสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก แต่ละวันจะกินอาหารได้ไม่เกินข้าวสุก ๗ เม็ดเท่านั้น ต่อให้มีอาหารมากเท่าไรก็ตาม ถ้าหากว่ากินครบ ๗ เม็ด อาหารตรงหน้าก็จะหายหมด แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่มาได้อย่างไร จนกระทั่งอายุเกิน ๒๐ ปี ? ได้พบพระสารีบุตรมหาเถระซึ่งมีเมตตา ก็เลยชวนไปบวช ท่านก็คงเห็นว่าชีวิตนี้ทำอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่ากินได้แค่ไม่เกินข้าวสุก ๗ เม็ดเท่านั้น จึงยอมบวช

    เมื่อบวชแล้ว พระเถระพิจารณาว่าภิกษุใหม่รูปนี้สร้างกรรมเอาไว้มาก ถ้าหากให้เดินบิณฑบาตท้ายแถว น่าจะไม่ได้รับอาหาร จึงให้เดินด้านหน้า แต่ปรากฏว่าวันนั้นชาวบ้านนึกอะไรก็ไม่รู้ ? ใส่บาตรจากข้างหลังมาข้างหน้า..! กว่าจะมาถึงท่านอาหารก็หมดแล้ว เมื่อพระสารีบุตรทราบดังนั้น ก็ให้ไปอยู่ท้ายแถว วันรุ่งขึ้นออกบิณฑบาต ชาวบ้านก็พากันคิดว่า "วันก่อน เราใส่จากข้างหลังมาข้างหน้า วันนี้ก็ควรจะใส่จากข้างหน้าไปข้างหลัง" ปรากฏว่าอาหารหมดก่อนถึงพระโลสกเถระอีก..!

    พระสารีบุตรก็เลยให้ท่านเดินตรงกลาง ชาวบ้านก็คิดว่า "วันก่อนโน้น เราใส่จากท้ายมาหัว เมื่อวานนี้ใส่จากหัวมาท้าย อย่ากระนั้นเลย เราแบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งใส่จากหัวมาท้าย อีกพวกหนึ่งใส่จากท้ายมาหัวดีกว่า" อาหารหมดลงก่อนถึงตรงกลางพอดี เป็นอันว่าเวรกรรมของคุณนั่นแหละ ทำให้เป็นไปดังนั้น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    พระสารีบุตรเถระจึงให้พระโลสกเถระอยู่เจริญกรรมฐาน ไม่ต้องออกบิณฑบาต ท่านจะบิณฑบาตมาเลี้ยงเอง ครั้นได้อาหารมาเต็มบาตร กลับมาถวายให้กับพระโลสกเถระ ท่านกลับเห็นว่าเป็นบาตรเปล่า ๆ ไม่มีอะไรเลย นั่นก็คือกรรมบัง..!

    จนกระทั่งพระสารีบุตรเถระต้องเอามือจับบาตรเอาไว้ พระโลสกเถระถึงได้มองเห็นอาหาร แล้วก็สามารถที่จะฉันอาหารได้อิ่มเต็มที่ ครั้งเดียวในชีวิต ๒๐ กว่าปี ท่านจึงเห็นทุกข์เห็นโทษว่า เมื่อเกิดมาแล้ว มีเวรมีกรรมตามมาถึงขนาดนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้เราปล่อยวางซึ่งร่างกายนี้ ก็เป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง จึงถอนจิตจากการยึดเกาะในร่างกาย กลายเป็นพระอรหันต์ และนิพพานเดี๋ยวนั้นเลย..!

    เราจะเห็นว่า
    คนเราหมดบุญก็ตาย หมดกรรมก็ตาย หมดอาหารก็ตาย หมดอายุก็ตาย ความตายมาถึงเราได้ทุกเวลา ไม่ใช่ว่าต้องอายุเท่าคุณเมฆถึงจะตาย น้อยกว่านั้นก็ตายมานับไม่ถ้วนแล้ว เด็กบางคนอยู่ในท้องแม่ก็แท้งแล้ว เพราะสร้างกรรมหนักเอาไว้ บางคนเป็นเด็กเล็กแล้วก็ตาย เป็นเด็กโตแล้วก็ตาย บางคนก็อยู่จนแก่ นึกว่าจะอยู่ต่อได้อีก ปรากฏว่าโดนลูกตำรวจรุมตีตาย..! เรื่องนี้เกี่ยวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหลายต้องดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเมฆ วินัย ไกรบุตร ก็คือกรรมเก่าส่งผล ให้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักอยู่หลายปี ครั้นสิ้นกรรมแล้วก็ตาย

    ดังนั้น..คนรุ่นเก่า ๆ เวลาไปงานศพ ก็จะบอกว่า "คนโน้นหมดบุญแล้ว" "คนนี้หมดกรรมแล้ว" ก็คงต้องแล้วแต่สภาพของเขาที่เราเห็นอยู่ ถ้าหากว่าอยู่กับคุณงามความดี ถึงเวลาเสียชีวิต เขาก็บอกว่าหมดบุญ หรือว่า สิ้นบุญ ถ้าหากว่าสร้างแต่ความไม่ดีมาตลอดชีวิต ถึงเวลาตาย เขาก็เรียกว่าหมดกรรม หรือ สิ้นกรรม ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นคนที่ยังอยู่หมดกรรม ไม่ต้องมาลำบากเพราะเขาอีก..!

    เรื่องของความตายเป็นธรรมดาของทุกถ้วนทั่วตัวสัตว์ คำว่าสัตว์ในที่นี้ หมายถึงทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทนทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏฏะนี้ หาที่สุดไม่ได้ เพราะว่าเกิดมาก็ต้องมี รัก โลภ โกรธ หลง ติดมาเลย


    อย่างที่ศาสนาคริสต์ท่านใช้คำว่า บาปกำเนิด ก็คือบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความจริงแล้วติดตัวมาก่อนเกิด เนื่องเพราะว่าชาติก่อน ๆ ทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ จึงส่งผลมาถึงชาติปัจจุบันนี้ เมื่อมีกิเลส ก็สร้างกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อเกิดกรรม คือการกระทำ ผลของกรรมนั้นก็ส่งผล เรียกว่าวิบาก บาลีว่า วิปาก (วิ - ปา - กะ) ก็จะทำให้เราวนเวียนไม่รู้จบอยู่อย่างนี้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +26,376
    กระผม/อาตมภาพเคยฟังครูบาอาจารย์ของศาสนาหนึ่ง บอกว่าศาสนาของเขาไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น..ที่คุณเมฆเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเรื่องปกติของคน ไม่ใช่เป็นเพราะกรรมเก่า เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าคุณทำกรรมเก่า คุณเกิดแล้วเกิดอีกเพราะกรรม อย่างนั้น ชาติแรกที่คุณเกิด คุณทำกรรมอะไรไว้ ? ในเมื่อการกระทำก่อนชาติแรกนั้นไม่มี ดังนั้น..จึงไม่ใช่เรื่องของกรรม..!

    แต่คราวนี้ศาสนาพุทธของเราสอนให้เชื่อกรรม ท่านใดจะไม่เชื่อก็ลองดู ตายเมื่อไรแล้วก็จะรู้เอง แต่เท่าที่กระผม/อาตมภาพเจอมา ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ศาสนาใด เมื่อตายแล้ว ฉลาดทั้งนั้น แต่ความฉลาดมาถึงตอนที่แก้ตัวไม่ได้แล้ว ก็คือบุญส่งผล หรือว่ากรรมส่งผลให้แล้ว

    ดังนั้น..พอถึงเวลาเจอคนมีบุญ บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่วนเวียนหาที่ไปไม่ได้ ก็มักจะรุมล้อมกันเข้ามา เพราะตนเองตกอยู่ในห้วงกรรม เหมือนอย่างกับอยู่ในความมืด คนมีบุญมาปรากฏเหมือนแสงสว่างเกิดขึ้นท่ามกลางความมืด เขาทั้งหลายเหล่านี้รู้ว่า บุคคลนี้เป็นผู้มีบุญมีบารมี ก็อยากจะขอความช่วยเหลือบ้าง อยากให้เขาแบ่งเบาความทุกข์ของตนเองบ้างก็แห่ไปหากัน..!

    หลายท่านถ้าไปในบางถิ่นบางที่ สงสัยว่าทำไมตนเองนอนไม่หลับ ? เหมือนมีอะไรรบกวนอยู่ตลอดเวลา วิธีที่ดีที่สุดก็คือเมื่อไปถึง ให้ตั้งใจแผ่เมตตา สวดกรณียเมตตสูตร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ที่รักษาขอบเขตบริเวณนั้น ตลอดจนกระทั่งท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว จะใช่ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เราสร้างบุญสร้างบารมีอะไรเอาไว้ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอนุโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ รับความสุขเท่าไร ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้รับด้วย

    ครั้นอุทิศส่วนกุศลให้เขาเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ก็ขอความคุ้มครอง หรือขอความปลอดภัยด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า "ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว" ไม่ต้องโดนกวนจนนอนไม่หลับ แถมยังอาจจะสบายกว่าปกติ นอนลืมตื่นอีกต่างหาก..! ไปไหนถ้านอนไม่หลับ ก็ลองใช้วิธีที่กล่าวไปแล้วดู

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...