เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราต้องใช้ระบบ ๕ - ๖ - ๗ คือตื่นนอนตั้งแต่ตี ๕ เวลา ๖ โมงส่งกระเป๋าให้ทางมัคคุเทศก์นำไปจัดการโหลดขึ้นรถ และ ๗ โมงออกเดินทาง

    ในช่วงระหว่างที่โหลดกระเป๋านั้น พวกเราก็รับประทานอาหารเช้า ซึ่งทางห้องอาหารของทาง The Vissai Hotel นั้น ถือว่าน่ารักสุด ๆ เพราะว่าพวกเราเข้าไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะ ๖ โมง เขาก็พยายามที่จะบริการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอาหลันนั้น ตอนนี้แปลงตัวเป็น FC วัดท่าขนุนเต็มตัวแล้ว ก็คือนอกจากนำเอาผลไม้มาถวาย ยังมีการถวายเงินทำบุญตอนเช้าเหมือนกับคนอื่น ๆ อีกด้วย

    เมื่อพวกเราอิ่มเรียบร้อย ตรวจสอบกระเป๋าแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังวัดตามจุ๊ก (Tam Chuc) ซึ่งการเดินทางนั้นไม่ไกล แต่ว่าสถานที่จอดรถแล้วไปยังสถานที่ซื้อตั๋วนั้นไกลมาก ปกติแล้วก็ต้องเดินไป แต่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ทางวัดส่งรถรางมารับพวกเราจนถึงลานจอดรถ วิ่งไปรออยู่ทางด้านหน้าสถานที่ซึ่งจะตรวจตั๋วตอนขาเข้า พวกเราส่วนใหญ่มาถึงก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำกัน ครั้นได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามมัคคุเทศก์ของเราไป ผ่านการตรวจทีละชั้น เมื่อตรวจแล้วยังต้องเก็บตั๋วติดตัวไว้รอให้เขาตรวจอีก

    เมื่อเดินออกจากอาคารหลังใหญ่แล้วก็จะเป็นสนามที่กว้างขวาง และมีต้นไม้ปลูกอยู่เป็นระยะไป ไปจนกระทั่งถึงหน้าอาคารใหญ่มหึมาหลังหนึ่ง พวกเราได้ทำการถ่ายรูปหมู่ก่อน และเพิ่งจะรู้ว่าทางคณะเติมเต็มทราเวลนั้น นำเอาโดรนมาด้วย ถ่ายรูปเสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราเดินเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ ปรากฏว่าไม่ได้เดินเข้าไปชมอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาจัดสถานที่ไว้สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะโคมไฟหลากสีเหล่านั้น แต่เป็นการให้พวกเราเดินผ่านช่องตรวจตั๋วอีก ๑ รอบ

    หลังจากนั้นก็ไปขึ้นเรือ ๒ ชั้น ซึ่งงานนี้ก็ได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ยกเรือให้พวกเราไปเลย ๑ ลำ ต้องขอบคุณท่านผู้มีจิตเมตตาอย่างมาก ๆ เพราะว่าปกติคณะทัวร์ก็มักจะโดนคณะอื่นแทรกไปด้วยเสมอ แต่คณะของเราถือว่าพิเศษ นั่งเรือผ่านทะเลสาบที่มีลมหนาว ๑๘ องศาเซลเซียสแบบสะท้านไปตลอดทาง แต่ก็สนุกเฮฮากับการถ่ายรูปหมู่บ้าง รูปเดี่ยวบ้าง

    โดยเฉพาะนางสาวลัดดา ไกด์ของบัสที่สองนั้น พยายามที่จะเข้ามาทำบุญ บอกว่า "หลวงพ่ออวยพรให้หนูรวย ๆ แล้วลืมสาธุ..!" กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องทำบุญใหม่อีกรอบหนึ่ง..!" จึงได้สนุกสนานเฮฮากันจนไปถึงฝั่งซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก เพราะว่าทะเลสาบนั้นกว้างถึง ๓,๐๐๐ ไร่..!

    เมื่อข้ามฝั่งไปแล้ว พวกเราถ่ายรูปหมู่หน้า "ประตูสวรรค์" จากนั้นเข้าไปภายในศาลาประตูสวรรค์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางไสยาสน์อยู่ ด้านซ้าย - ขวามีเทพพิทักษ์องค์มหึมา มัคคุเทศก์ของเรานัดแนะวันและสถานที่นัดพบแล้ว พวกเรากราบพระเรียบร้อย และทำบุญหยอดตู้กันเสร็จ ก็เดินออกไปทางซ้ายมือของศาลาประตูสวรรค์ เดินเลาะขวาไปจนกระทั่งเห็นอาคารหลังใหญ่อยู่ทางด้านขวา อันนี้จะเป็น "ศาลาดิน" ซึ่งทางด้านของมหายานเขามีความเชื่อเกี่ยวกับ ฟ้า ดิน มนุษย์ ถ้าหากว่าสัมพันธ์กันอย่างดีเมื่อไร ก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    พวกเราเข้าไปในศาลาดินที่มีรูปหล่อองค์เจ้าแม่กวนอิมด้วยสำริด ขนาดมหึมามโหฬารเป็นประธานอยู่ กระผม/อาตมภาพถ่ายรูปแล้วก็เดินหยอดตู้ทำบุญ ตอนนี้ขอทำตัวเป็น "องจู๋เหี่ยว(มหาเศรษฐี)" คือหยอดเงินทำบุญไปอย่างน้อยตู้ละ ๕๐,๐๐๐ ด่อง

    เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราเดินออกมาก็ต้องขึ้นบันไดต่อไป บรรดาท่านที่ได้รับคำสั่งให้คอยดูแลกระผม/อาตมภาพอย่างทิดแจ๊ค (กรชัย บันดาลศิริกุล) ก็ดี หรือว่า "มัคคุเทศก์เนตร" จากเติมเต็มทราเวลก็ตาม ต้องวิ่งตามกันชนิดลิ้นห้อย เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อเล่นขึ้นบันไดทีละ ๒ ขั้น แล้วเจ้าประคุณรุนช่องเถอะ วัดนี้มีพื้นที่ตั้งแสนไร่..! เขาก็เลยสร้างบันไดกันแบบไม่ยั้ง

    จนกระทั่งพวกเรามาถึง "ศาลามนุษย์" เข้าไปข้างในอาคารแล้ว ก็มีรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ตรงกลาง ทางซ้ายขวาก็ยังมีพระสงฆ์ ซึ่งถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่หล่อได้ใหญ่โตมหึมาทั้งสิ้น พวกเรากราบพระ ทำบุญกันเรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นเขากันต่อไป

    ปรากฏว่าศาลาถัดไปนั้นก็คือ "ศาลาสวรรค์" เมื่อพวกเราเข้าไปภายใน ก็ได้เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ภายในศาลาเหมือนเดิม แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กลับติดใจรูปเศษไม้ที่อยู่ด้านหน้าศาลามากกว่า ไม่น่าเชื่อว่าธรรมชาติจะจัดสรรให้รูปร่างหน้าตาออกมาดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในนิยายก็ไม่ปาน

    หมดธุระจากตรงนี้แล้ว พวกเราก็เดินขึ้นต่อไปยัง "แดนสุขาวดีพุทธเกษตร" แต่ว่าทางซ้ายมือนั้น มีหอระฆังสูงลิบ ๆ ซึ่งเขาบอกว่าขึ้นไปแล้วจะสามารถเห็นวิวหมดทั้งวัดนี้เลย กระผม/อาตมภาพจึงขอขึ้นหอระฆังเสียก่อน เดินขึ้นไปชนิดที่ผู้ติดตามอยากจะร้องไห้ แต่ก็พยายามที่จะตามหลวงพ่อให้ทัน เนื่องเพราะว่าความแก่ไม่พอ ก็เลยทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง..!

    กระผม/อาตมภาพขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด เมื่อมองออกไปรอบด้านแล้ว เห็นมีฝั่งหนึ่งที่กำลังทำการก่อสร้างอยู่อย่างขะมักเขม้น ก็แปลว่าวัดตามจุ๊กแห่งนี้ ยังมีโอกาสที่จะขยายให้ใหญ่โตมากไปกว่านี้อีก ซึ่งได้ยินว่าทางด้านผู้มีจิตศรัทธานั้น ได้จ้างบริษัทให้มาออกแบบเป็นวัดท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็ให้มีส่วนของการปฏิบัติธรรมด้วย แถมยังออกแบบระบบการท่องเที่ยวให้อีก ว่าต้องใช้คนในจุดไหน แต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง

    ต้องขออนุโมทนากับเขาทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าแม้แต่เสาที่ปักเอาไว้แทนต้นธูปแต่ละต้นนั้น ก็สลักขึ้นมาจากหินแกรนิตสีเขียว น้ำหนักต้นละสามสี่สิบตันทั้งสิ้น ถ้าบอกว่าธูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คงจะอยู่ที่เวียดนามนี่เอง..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เมื่อพวกเราส่วนหนึ่งตามขึ้นไปถึง ถ่ายรูปหมู่กันแล้ว ก็กลับลงมาชั้นที่ ๒ ของหอระฆัง ซึ่งมีระฆังใบใหญ่มหึมาให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอีกวาระหนึ่ง เสร็จแล้วก็ค่อยเดินย้อนกลับไปยังศาลาสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งทางด้านหน้าศาลานั้น มีราชรถของพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ในปัจจุบันกาล และในอนาคตกาลอยู่ ๓ คัน

    "น้องเจด้า" ขวัญใจประจำทริปได้ทำการถ่ายรูปมาอวดหลวงตาเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพเข้าไปกราบพระ ทำบุญด้านใน เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย จึงทราบว่ายังมีวัดอยู่ทางด้านบนอีก โดยเฉพาะวัดเก่า ที่ต้องนั่งรถรางออกไปถึง ๑๒ กิโลเมตร จึงขอสละสิทธิ์ เดินทางกลับลงมา

    ครั้นมานั่งรออยู่ตรงบริเวณที่เป็นที่พักและห้องน้ำ ก็ได้ข่าวว่า โดรนที่ทางเติมเต็มทราเวลนำมาเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ นั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าบินพลาดอีท่าไหน จึงไปติดอยู่บนต้นไม้ที่บริเวณใกล้กับหอระฆัง แล้วก็ไม่สามารถที่จะกู้คืนมาได้ เพราะว่าป่าบริเวณนั้นรกทึบมาก จำเป็นต้องตัดใจ สละทิ้งไปโดยปริยาย..!

    เมื่อพวกเรามากันครบถ้วน ผ่านการตรวจตั๋ว ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าเจ้าหน้าที่ยึดตั๋วไปเลย ครั้นออกมาทางด้านนอก ก็มีรถรางมารอรับอยู่ แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อพาพวกเราวิ่งออกไป
    กระผม/อาตมภาพถึงได้รู้ว่าหนทางไกลได้ขนาดนี้ เพราะว่าเป็นการวิ่งอ้อมไปครึ่งทะเลสาบทีเดียว ตอนที่เรานั่งเรือตรงเข้ามาก็ยังไม่รู้ว่าทะเลสาบใหญ่แค่ไหน แต่ตอนนั่งรถรางออกไปนั้น เห็นอย่างชัด ๆ ว่าใหญ่โตมโหฬารมาก..!

    ทางด้านรถรางนำพวกเรามาลงจอดบริเวณที่เป็นทางเข้าร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ ซึ่งกระผม/อาตมภาพติดใจที่สุดก็คือรองเท้ายางรถยนต์ ที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้มาตั้งแต่สมัยลุงโฮ หรือว่าท่านโฮจิมินห์ เขามีการทำรองเท้ายางขนาดยักษ์เอาไว้ด้วย กระผม/อาตมภาพสองเท้ายัดเข้าไปข้างเดียวยังได้แค่มุมเล็ก ๆ ของรองเท้าข้างหนึ่งเท่านั้นเอง..!

    พวกเราเดินต่อมาจนกระทั่งข้ามสะพาน ซึ่งขาเข้าไม่ได้ข้าม เพราะว่าเขาเอารถรางมารับ แล้วก็เลาะออกไปทางด้านลานจอดรถที่อยู่ไกลมาก อาหลันผู้เป็นมัคคุเทศก์บอกว่า ดูจากยอดเข้าออกที่บันทึกเอาไว้แล้ว มีคนมาก่อนเรา ๖,๐๐๐ กว่าคน..! ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่วันหยุด เพราะฉะนั้น..เขาจึงต้องจัดที่จอดรถเอาไว้ไกลหน่อย เพื่อที่จะได้เพียงพอกับรถที่มาถึง แต่ว่าเขาก็ทำได้ดีมาก เพราะว่ามีห้องน้ำอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    พวกเราจึงได้ทดลองการเดินข้ามถนนในกรุงฮานอย ซึ่งมีกฎเกณฑ์กติกาว่า ห้ามหยุดกลางคัน ห้ามถอยหลัง ให้เดินหน้าอย่างเดียว แล้วเราจะปลอดภัย ก็ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยจริง ๆ แต่ต้องยอมรับว่ารถในฮานอยนี้เยอะมาก ๆ พวกเรารอจนกระทั่งรถยนต์มารับแล้วก็พาฝ่ารถติดไป แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนเดิม เพราะว่าด้านหน้าของเราประมาณ ๕๐ เมตร หรือว่า ๑๐๐ เมตรจะว่างอยู่ตลอด ให้รถของเราวิ่งได้โดยไม่ติดขัด

    มัคคุเทศก์พาพวกเรามาลงที่หน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งมีการแสดงหลายรอบ แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปดู หากแต่มัคคุเทศก์แนะนำว่า จะต้องไปช็อปปิ้งที่ไหน ? มีของดีที่ใดบ้าง ? ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ไปชมทะเลสาบคืนกระบี่ ซึ่งคำว่า "หว่านเกี๊ยม" ของทางด้านเวียดนามนั้น แปลว่า "คืนกระบี่" แต่คนไทยมักจะเรียกว่าทะเลสาบคืนดาบ แล้วซื้อตั๋วข้ามสะพานแสงอาทิตย์ ซึ่งก่อนที่จะได้ตั๋วนั้น ก็ดูสิ่งต่าง ๆ ที่มีคนทำมือขึ้นมาขายบริเวณนั้น เป็นข้าวของแปลก ๆ อย่างเช่นว่าไม้สลัก ไม้ไผ่สาน หรือว่าการตัดกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น

    ครั้นเข้าไปข้างในแล้ว ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปบนสะพานได้ เพราะคนเยอะมาก จึงเดินเข้าไปขอถ่ายรูปทะเลสาบด้านใน ซึ่งความจริงแล้ว จะมีเจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นหมุดเมืองของทางด้านฮานอยนี้ แต่เสียดายว่าในรูปนั้นมองเห็นไม่ชัด แล้วก็เข้าไปชมศาลยอดขุนพลเจิ่นฮึงด่าว เจ้าเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ของประเทศเวียดนาม ซึ่งคล้าย ๆ กับเทพเจ้ากวนอูของประเทศจีนนั่นเอง

    ในที่นี้เขาห้ามถ่ายรูป แต่กระผม/อาตมภาพเดินวนถ่ายจนรอบแล้วจึงออกมา แล้วค่อยไปเยี่ยมสหาย ก็คือตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตัวสุดท้ายของโลกที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยรู้จักกันโดยทางใจมานาน แต่ว่าเพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเยียน เพื่อนฝูงก็ไม่อยู่ ชิงตายไปก่อนหลายปี..!

    แถมใกล้ ๆ นั้น ยังมีซากตะพาบเซียนซึ่งเป็นผู้มาทวงกระบี่คืนจากกษัตริย์เวียดนามอีกต่างหาก แต่ว่าซากของตะพาบเซียนนั้น เป็นการสตัฟฟ์ไว้ด้วยเทคนิครุ่นเก่า จึงมีการหดเล็กลง ทั้ง ๆ ที่หนักถึง ๒๕๐ กิโลกรัม ทำให้ซากที่ใช้เทคนิคการสตัฟฟ์แบบใหม่ของตะพาบยักษ์แยงซีเกียง สหายของกระผม/อาตมภาพนั้น ดูใหญ่กว่า ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักแค่ ๑๕๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น

    เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราก็ต้องมากันตรงจุดนัดพบหน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งต้องรอกันนานมาก เพราะว่ารถบัสทุกคันจะต้องมารับผู้โดยสารที่นี่ จนกระทั่งรถมาถึงแล้ว พวกเราก็ต้องรีบขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะว่าข้างหลังรถติดมาก แล้วก็วิ่งฝ่าจราจรที่ติดขัดมายังสนามบินนานาชาตินอยไบ หรือสนามบินนานาชาติกรุงฮานอย ซึ่งตลอดทางนั้น แม้ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนก็ตาม เหมือนกับมีคนเคลียร์ทางข้างหน้าให้ตลอด เมื่อเข้ามาถึงภายในสนามบินแล้ว ต้องรอให้ทางคณะทัวร์ไปจัดการเคลียร์เรื่องข้าวของต่าง ๆ และแลกเงินด่องเป็นเงินไทยให้ กระผม/อาตมภาพจึงมานั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนสำหรับท่านทั้งหลาย ลำดับต่อไปก็เป็นการรอเดินทางกลับสู่เมืองไทย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...