เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,368
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ต้องบอกว่าโชคดีที่ฝนตกลงมาห่าใหญ่ ไฟป่าจึงได้ดับลงไป ไม่อย่างนั้นแล้วก็มีแต่ควันเต็มวัด

    เรื่องของคนมีจิตสำนึกที่จะทำเพื่อส่วนรวมมีน้อย จะว่าไปแล้วก็เกิดจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่มาจากสักกายทิฏฐิ ก็คือ "ตัวกูของกู" บุคคลประเภทนี้จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ทำอะไรต้องให้ได้อย่างใจกูเท่านั้น..! ถ้าอยู่ในแง่ของผู้ปฏิบัติธรรม ก็น่าสงสารมาก เพราะว่าบุคคลประเภทนี้ใครเตือนไม่ได้ ต่อให้เราบอกจุดบกพร่องให้ไปแก้ไข บุคคลประเภทนี้ก็จะไม่แก้ไข แต่มีข้ออ้างมาคัดค้านเสมอ ประมาณว่า "กูกลัวว่าตัวเองจะดีขึ้น..!" ก็ต้องปล่อยเขาตามเวรตามกรรมต่อไป

    ส่วนเรื่องที่ท่านจัดการที่ให้แม่ของนาคกลับไป ถือว่าทำได้ดี คนที่จะมาบวชพระอย่างน้อยก็อายุ ๒๐ ปีแล้ว ไม่ใช่ติดแม่จนเกินไป ต้องอยู่คนเดียวได้ หรือว่าแม่ติดลูกก็ไม่รู้ ? พระพุทธเจ้าถึงขนาดตรัสว่า "พวกเธอเป็นบรรพชิตแล้ว ตัดขาดจากครอบครัว ถ้าไม่ดูแลกันเองแล้วใครจะดูแล ?" เป็นเรื่องที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลที่บวชเข้ามาต้องตัดขาดจากครอบครัว ภาษาบาลีเขาใช้คำว่า อนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือนแล้ว

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ท่านทั้งหลายก็จะทำได้ยาก เพราะว่ากำลังใจของเรามักจะยึดติด ก็คืออยู่ใกล้อะไรก็เกาะอย่างนั้น ประมาณว่าเลี้ยงหมาก็หมาของกู เลี้ยงแมวก็แมวของกู เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของลูกหลานว่านเครือ หรือว่าครอบครัว เพราะว่านั่นยิ่งกว่าของกูเสียอีก ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราเองไม่สามารถที่จะตัดใจได้ แล้วคิดจะเอาดีในการปฏิบัติธรรม ก็ต้องบอกว่าเอาดีได้ยาก เพราะว่าเราแบกเอาตัวกูของกูมาด้วย แล้วยังไม่พอ ยังแบกเอาครอบครัวของกูมาด้วย ยิ่งกลายเป็นภาระเข้าไปใหญ่

    ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง ก็อาจจะเจอประสบการณ์อย่างที่กระผม/อาตมภาพเป็น ก็คือหลังจากที่บวชไปแล้ว กว่าที่จะได้ลากลับบ้านก็ผ่านไป ๘ เดือน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าที่วัดท่าซุงนั้นงานมีมาก แล้วอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องรอดูจังหวะว่าพรรคพวกพี่น้องเพื่อนฝูงมีใครเขาลากันบ้าง ? ไม่ใช่แห่ลากันพร้อม ๆ กัน หายไปทีละครึ่งวัด..! หรือไม่ก็ช่วงที่วัดจะมีงาน แต่เราดันไปลากลับบ้าน ในเมื่อต้องรอดูจังหวะ รอดูเวลาที่เหมาะสม ถึงได้ผ่านไปตั้ง ๘ เดือน ตอนช่วงนั้น
    กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่าคิดถึงบ้าน ความเป็นฆราวาสยังมีมากกว่าความเป็นพระ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,368
    แต่คราวนี้พอไปถึงบ้านแล้ว ความรู้สึกของกระผม/อาตมภาพบอกกับตัวเองอย่างชัดเจนว่า "นี่ไม่ใช่บ้านของเราแล้ว" รู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะอยู่บ้านได้ รู้สึกว่าบ้านเรือนร้อนไปหมด ท้ายที่สุดทนอยู่บ้านได้ประมาณ ๑๕ นาที ก็ต้องขอตัวไปพักอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ที่วัดเทพศิรินทราวาส สรุปว่าลากลับบ้าน ๑๐ วัน อยู่บ้านได้แค่ ๑๕ นาที เพราะใจบอกกับตัวเองอย่างชัดเจนว่า "นั่นไม่ใช่บ้านของเรา..!"

    ถ้าท่านทั้งหลายทำมาถึงตรงจุดนี้ อย่าคิดว่าผิดปกติ ขอให้รู้ว่าท่านมาถูกทางแล้ว เพราะว่าหลังจากนี้ยังมีอะไรต่อมิอะไรให้ท่านทั้งหลายได้ตัดได้ละอีกมาก

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกับหลายท่านว่า "ไปไกลบ้านได้เท่าไร ก็มีความสุขเท่านั้น" กระผม/อาตมภาพเลยไม่เข้าใจ เวลาบรรดาข้าราชการเขาขอย้ายกลับบ้านตัวเอง โดยเฉพาะพระของเรา ถ้าอยู่ใกล้บ้าน ญาติพี่น้องจะมากวนมาก

    สมัยก่อนบรรดาทิด ๒ - ๓ รายบวชอยู่วัด ท้ายที่สุดก็โดนทางบ้านกวนจนสึก เพราะว่ามาขอเงินได้ทุกเดือน พอขอได้ก็มาขอแทบทุกอาทิตย์ ยังได้อีกก็มาขอแทบทุกวัน ท้ายที่สุดลูกชายก็บวชอยู่ไม่ได้ ก็ต้องสึกหาลาเพศไป เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

    กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกกับตัวเองว่า "อยู่ไกลบ้านเท่าไร ก็มีความสุขเท่านั้น" เพราะว่า
    กระผม/อาตมภาพเองเป็นคนที่ "ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อ" ใคร ท่านทั้งหลายจะเห็นกฎระเบียบของวัดที่ระบุไว้ชัดเจนว่า "ผู้ใดมาอ้างเป็นเพื่อนพ้องพี่น้องของพระภิกษุสามเณรในวัด แล้วมาทำผิด ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าวัดอีกตลอดชีวิต" ท่านทั้งหลายจำไว้เลยว่า ถ้าเอาญาติตัวเองอยู่ ก็เอาคนอื่นอยู่หมด..!

    กระผม/อาตมภาพถึงได้ "ของขึ้น" เวลาที่เห็นเรื่องผิดระเบียบแล้วก็มีคำพูดประมาณว่า "นั่นคนของหลวงพ่อ" "นั่นเด็กของหลวงพ่อ" ก็ขนาดพี่น้องกูยังหวดซะเกือบตาย..! แล้วแค่เด็กของหลวงพ่อจะมีประโยชน์อะไร ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,368
    สิ่งสำคัญอยู่ที่เราเองว่ากำลังใจของเราเป็นอย่างไร แบบเดียวกับพวกเด็กวัดของเรา ไม่ว่าสมัยของน้องบัว มุหน่อง อะไรไล่มาจนถึง ทราย เจ้ย มายุคหลัง ๆ ก็พวกน้ำหวาน ไข่หวานอะไรพวกนั้น ปัจจุบันนี้ก็เหลือมิติอยู่คนเดียว

    กระผม/อาตมภาพบอกกับเด็กพวกนี้เสมอว่า "หลวงพ่อรักพวกแก แต่ความรักของหลวงพ่อไม่เหมือนกับคนอื่น ก็คือถ้าสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์กันไป ถ้าทำความเลวจนสงเคราะห์กันไม่ได้วันไหน หลวงพ่อก็พร้อมที่จะฟาดพวกเอ็ง..!" ก็คือถ้าอยู่ด้วยกัน ก็ต้องทำตามระเบียบเดียวกัน อย่าให้มีนอกมีใน ไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นเด็กของคนโน้น คนนี้เป็นเด็กของคนนี้ แล้วก็มัวแต่เกรงใจกันอยู่

    ตั้งแต่สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ๔ พรรษาสุดท้าย พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เรียกใช้อยู่คนเดียว เพราะว่า "ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อใคร" พระเถระผู้ใหญ่อยู่ในวัดถึงขนาดต้องออกหน้ามา "เคลียร์" แต่ขอโทษ..
    กระผม/อาตมภาพเอาระเบียบเป็นหลัก ถ้าท่านคิดว่าระเบียบนี้ออกมาไม่ถูกต้อง ท่านก็ไปพูดกับหลวงพ่อเอง..!

    ฉะนั้น..การที่จะอยู่ร่วมกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระเบียบวินัย และความปราศจากอคติ ประมาณว่าฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก นี่คนของเรา นี่โยมของเรา นี่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าอย่างนั้นไม่กี่วันพวกเขาก็จะมากร่างกันเต็มวัด..!

    โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ "มึงทำให้กูโกรธ มึงก็อย่าได้ผุดได้เกิดเลย..!" ประมาณนั้น

    ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว ไอ้นี่ลูกผู้ใหญ่บ้าน ไอ้นี่ลูกนายก อบต. แล้วก็ไม่กล้าไปแตะต้อง ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า
    กระผม/อาตมภาพฟันกระจายหมด..! ถึงขนาดว่าหลายท่าน อย่างผู้ใหญ่เกลี้ยง (นายนพดล นิ่มเนตร) โกรธกันไปหลายปี เพิ่งจะกลับมาดีกันเมื่อไม่นานนี้เอง กระผม/อาตมภาพถือว่าโกรธก็โกรธไป ที่ทำไปเพราะว่าหวังดีปรารถนาดีกับลูกของคุณ

    ในเมื่อลูกของคุณทำตามระเบียบวัดไม่ได้ ก็เอาไปอยู่วัดอื่น ไม่อย่างนั้นถ้าโดนไล่ออกแล้วเดี๋ยวเข้าวัดอีกไม่ได้ กว่าที่จะทำได้ กว่าที่จะเข้าใจก็หลายปี แล้วกระผม/อาตมภาพก็เป็นคนที่ขี้เกียจอธิบาย ปล่อยให้มึงไปคิดเอง คิดได้เร็ว ก็ถือว่าแบกภาระไว้น้อย คิดได้ช้า ก็แบกภาระไว้เยอะ ก็คือแบกกิเลสเอาไว้นั่นแหละ..!

    โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง หมาก็หมาของกู แมวก็แมวของกู ขนาดแค่ตีหมายังโกรธกันไปหลายปี..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,368
    ดังนั้น..ในเรื่องของการบวช เราเป็นอนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสลัดตัดทิ้งสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่ใจของเราจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ขาดพ่อขาดแม่ไม่ได้ แต่อยากจะมาบวช ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปเถอะ..!

    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าวถึงญาติโยมทั้งหลายทางบ้าน ก็คือกรุณาอย่าส่งวัตถุมงคลมาให้กระผม/อาตมภาพอีก เพราะส่วนใหญ่แล้วทนดูไม่ได้ อย่างสุดท้ายนี่คุณไพศาลจากชลบุรีส่งมา ๔ - ๕ ถุง ปรากฏว่าปลอมแม้กระทั่งพระ ๒๕ พุทธศตวรรษ ซึ่งเป็นของที่หาง่ายที่สุด แล้วอย่างอื่นจะไปหวังอะไรได้ นอกจากเหรียญหลวงพ่อรุ่นใหม่ ๆ ไม่กี่เหรียญที่มีอยู่..!


    ตราบใดที่เรายังไม่รู้จริง กรุณาอย่าไปยุ่งกับวัตถุมงคล ยกเว้นว่าถ้าใจรักก็ให้ซื้อของใหม่ ถือคติว่า "ใหม่วันนี้ อีกสิบปีก็เก่า" ไม่เช่นนั้นแล้วก็เสีย "ค่าหน่วยกิต" กันหนักหน่อย แล้ว "ค่าหน่วยกิต"ในวงการวัตถุมงคลนี่ก็ต้องบอกว่าแพงมาก..!


    ยิ่งประเภทไปเจอ "ตกควาย" นี่ก็สาหัสเลย ก็คือเขาไม่ตกปลาหรอก เขาตกควาย..! แล้วไอ้ควายที่โดนตกก็มักจะเป็นเรา..! ถ้าลักษณะของการเล่นวัตถุมงคลด้วยหู ใครเขาว่าอะไรดี กูตะกายไปหามาหมด ก็เตรียมตัวเจอได้เลย เพราะฉะนั้น..ขอร้องว่าอย่าส่งวัตถุมงคลมาอีก..!

    อีกรายหนึ่งที่ส่งมาเมื่อไม่นานนี้ ส่งมาด้วยความปลาบปลื้มและภูมิใจมาก ก็คือคดมะพร้าว กลัวหลวงพ่อเล็กจะไม่มี..! ส่งมาให้ตั้งหลายลูก คุณรู้ไหมว่า ไอ้คดมะพร้าวของคุณที่ส่งมา ก็คือกะลาปาล์มน้ำมัน จะเอาสักกี่ตันที่ทองผาภูมิก็มี..! ไม่รู้จักของแล้วอย่าไปแตะ เสียสตางค์เปล่า คดมะพร้าวที่แท้จริงไม่ได้มีลักษณะอย่างนั้น ศึกษาดูให้ดีก่อน อย่าได้เอาหูเล่นวัตถุมงคล เพราะถ้าเราเชื่อตามคำพูดคนอื่น ก็เสียค่าโง่อยู่ประจำ แล้วก็กลายเป็นควายให้เขาตก..!


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...