พุทธศาสนาถึงกับล้มละลายแน่ครับ ถ้า...

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย รักเสมอ, 8 พฤษภาคม 2008.

  1. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

    ศาสนาพุทธจะถึงความเสื่อมสูญไป ก็เพราะพุทธบริษัท ๔ นี่เอง

    คือคนอื่นแม้หวังร้ายเพียงใด ก็ไม่อาจทำลายพุทธศาสนาให้หมดสิ้นได้

    แม้จะเผาทำลายพุทธศาสนสถานให้หมดสิ้นไปก็ตาม

    ถ้าพุทธบริษัททั้ง ๔ ยังดำรงพระธรรมวินัยไว้ในใจอย่างเหนียวแน่นได้

    แต่ถ้าพระธรรมวินัยเสื่อมไปจากจิตของพุทธบริษัทแล้ว

    ศาสนาพุทธก็ต้องถึงกาลล้มละลายอย่างแน่นอน

    และอีกประการหนึ่งคือ

    ทฤษฏีความเชื่อเรื่อง "วัฏสงสาร" อันหมายรวมทั้งการมี อดีตชาติ อนาคตชาติ และภพภูมิต่าง ๆ (โดยมีตัวจักรคือ กรรม กิเลส วิบาก)

    ทฤษฏีความเชื่อเรื่อง "วัฏสงสาร" นี้ มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา เพราะมีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้เต็มไปหมด

    จุดหมายแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็เพื่อให้เข้าถึงความไม่เกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีกต่อไป
    ดังหลักธรรมใน อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งหวังผลสำเร็จคือ "นิโรธ" ความดับเหตุที่จะทำให้เกิดอีก

    ทั้งมีคำกล่าวสอนไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าใครไม่เชื่อก็จะจัดว่าเป็น "มิจฉาทิฐิ"

    ผู้ที่ปฏิเสธไม่เชื่อเรื่องนี้ จะมีค่าเท่ากับมีความเห็นว่า...

    คนเราเกิดมา มีชีวิตเพียงแค่ปัจจุบันนี้เท่านั้น ตายแล้วก็สูญ

    ซึ่งเท่ากับไม่เชื่อว่า...บุญ - บาป และ ผลบุญ - ผลบาป มีอยู่จริง

    มีคนไม่น้อยเหมือนกัน ที่เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า ไม่เชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

    แต่ผมก็อยากจะกล่าวอย่างหนักแน่นเช่นกันว่า

    แต่ก็ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้เหมือนกันว่า "วัฏสงสารไม่มีอยู่จริง"

    สมมติว่า...ถ้ามีใครที่สามารถจะพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า

    "วัฏสงสารไม่มีอยู่จริง...
    การเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิต่าง ๆ และพระนิพพาน....
    "เป็นพียงเรื่องที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น
    ไม่ควรที่ใคร ๆ จะไปเชื่อถือแต่อย่างใดเลย"

    พระพุทธศาสนาเราต้องถึงกับล้มละลายเลยทีเดียวครับ

    ทั้งนี้เพราะมีหลักคำสอนในเรื่องนี้อยู่อย่างมากมายดังกล่าว

    ดังนั้น ผมจึงได้คิดค้นหาเหตุผลต่าง ๆ ที่พอจะยืนยัน และพอจะพิสูจน์ได้ในแง่ของวิทยาศาสตร์ เพราะเรื่องนี้เป็นความจริง มิใช่เรื่องเหลวใหล หรือสมมติขึ้นมาเองแต่อย่างใด

    ผมวางหลักเหตุผลเป็นหัวข้อไว้ และอธิบายความเห็นเพียงเล็กน้อย

    เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ให้ความรู้ หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ครับ

    ๑. หลักอนุมานวิธี

    คือค้นหาเหตุผลที่น่าจะยอมรับได้ และพอจะพิสูจน์ค้นคว้าได้แม้ในด้านวิชาการ
    มาอ้างอิงเพื่อยืนยันและสนับสนุนในเรื่องนี้ คือ

    ๑.๑ เรื่องการระลึกชาติได้

    ซึ่งมีปรากฏอยู่ทั่วทุกประเทศก็ว่าได้ เคยมีผู้ทำการวิจัยในเรื่องนี้คือ ดร.เอียน สตีฟเวนสัน เขาได้เดินทางไปเกือบทั่วโลก ตามที่มีผู้ส่งข่าวให้ทราบเรื่องการระลึกชาติอดีตได้ และได้เดินทางมาที่ประเทศไทยก็หลายครั้ง เพราะมีผู้ระลึกชาติได้อยู่มาก
    ซึ่งในงานวิจัย ส่วนมากจะพิสูจน์ได้ว่า ตัวบุคคลผู้ที่ถูกระลึกได้นั้น เคยมีตัวตนอยู่จริง ๆ เหตุการณ์และสถานที่ก็ถูกต้อง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะเด็กไม่เคยรู้จักบุคคลผู้นั้นมาก่อนเลย

    อนึ่ง ในข้อนี้ หมายรวมทั้งเด็กที่มีความสามารถพิเศษ อันติดเนื่องมาจากชาติก่อน (แต่จำไม่ได้) เช่นอายุเพียงไม่กี่ขวบ ก็เก่งทางดนตรี วาดเขียนหรือศิลปะด้านอื่น เก่งทางคณิตศาสตร์การคำนวณ วรรณคดี ประวัติศาสตร์โบราณคดี และการเล่นกีฬา เป็นต้น

    แม้เรื่องการฝึกสมาธิ เด็กบางคนเพียงเริ่มลงมือฝึก ก็สามารถทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่ฝึกฝนมานับเป็นสิบ ๆ ปี เพราะในอดีต เด็กคนนั้นได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วนั่นเอง

    อดีตของทุกคน จึงเป็นสิ่งที่มีจริง

    บุคคลผู้ที่สามารถระลึกชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดคือ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์ระลึกถึงพระชาติของพระองค์เอง และของบุคคลอื่น ได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด
    (ซึ่งหาอ่านได้ในหนังสือเรื่อง นิทานชาดก)

    ๑.๒ เรื่องการสะกดจิต

    ผู้ถูกสะกดจิต ถูกสั่งให้ถอยความจำย้อนกลับไปสู่อดีตเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงความจำในอดีตชาติของตนเอง (บางคนสามารถถอยไปได้หลายชาติ)

    เมื่อทำการตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าถูกต้อง ตรงตามที่เห็นในขณะถูกสะกดจิต เป็นจำนวนมาก

    แต่มีบ้างที่ตรวจสอบแล้วไม่ตรง เพราะความรู้นี้มิได้เกิดจากอำนาจของสมาธิจิตของตนเอง

    อนึ่ง ได้มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในทั่วโลกเช่นกัน

    นั่นก็คือ การเข้าทรง หรือ ประทับทรง

    มีการแสดงออกอย่างเปิดเผย เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางบ้าง
    และรู้กันเฉพาะในหมู่ญาติบ้าง

    ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า บุคคลผู้เป็นร่างทรงนั้น มิได้เสแสร้งแกล้งหลอกลวง แต่มี "ญาณ" คือโอปปาติกะ ผู้อยู่ในโลกทิพย์ มาในลักษณะแฝง หรือบางรายยกย่องเรียกว่า ประทับ นั้น ได้มาอาศัยร่างของผู้นั้นเป็นสื่อ ในการติดต่อกับผู้อื่นจริง

    แม้ว่าผู้เป็นร่างนั้น จะมีอาการแตกต่างกันคือ

    บางรายก็ไม่รู้สึกตัวเลย
    บางรายก็รู้สึกตัวครึ่งหนึ่ง (แต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้)

    และมาในลักษณะที่ดี คือมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง
    มาในลักษณะที่ไม่ดี คือประสงค์ร้ายต่อตัวร่างเองบ้าง (ผีเข้า)

    แต่พอจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า มีโอปปาติกะที่อยู่ในภพภูมิอื่น (มิใช่มนุษย์) มาปรากฏให้ทราบ

    ปรากฏการณ์นี้ มิใช่เกิดจากความเจ็บป่วยของร่างทรงนั้น จึงไม่ต้องไปหาหมอแต่อย่างใด เพราะเมื่อ "ญาณ" นั้น กลับไปแล้ว ร่างทรงก็กลับเป็นปกติดังเดิม

    แต่ไม่อาจจะมีความสามารถพิเศษต่าง ๆ ตามที่ทำได้ในขณะเข้าทรงนั้น

    และแน่นอนที่สุด เมื่อมีของจริง ก็ต้องมีของปลอมเกิดขึ้น

    จึงปรากฏว่ามีการเข้าทรงปลอมอยู่มากเช่นกัน

    เรื่องนี้จึงยังคงเป็นสิ่งที่รี้ลับอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง

    ๑.๓ เรื่องราวของผู้ที่ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาได้

    เราได้รับความรู้เรื่องราวชีวิตภายหลังความตาย จากคนในยุคปัจจุบันนี้เอง จำนวนมากมาย

    แม้ว่าปรากฏการณ์ที่เขาเหล่านั้นสัมผัสได้ และนำมาเล่านั้น จะแตกต่างกันไปบ้าง

    แต่สิ่งหนึ่งที่ตรงกัน คือแสดงว่า

    คนเราตายแล้วไม่ได้ดับสูญ ยังมีภพภูมิรอเราอยู่อีก และทุกคนนั้นล้วนจะกลัวบาปกรรม จะมุ่งมั่นกระทำแต่บุญกุศลโดยส่วนเดียว

    เพราะเขาได้ประสบเหตุการณ์ภายหลังความตายมาด้วยตนเอง

    ๑.๔ ปรากฏการณ์ของบุคคลผู้ที่ตายไปแล้ว

    มีบ่อยครั้ง ที่ดูเหมือนกับคนนั้นยังไม่ตาย เพราะมาปรากฏร่างให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือได้ยินเสียงของเขา

    แต่โดยทั่วไป มักจะมาปรากฏในรูปแบบที่เราเรียกว่า "ผี" หรือ " วิญญาณ" คือเห็นไม่ชัดเจนนัก และมักเป็นเวลาหลังพลบค่ำ

    เรื่องผีหรือวิญญาณนี้ มีปรากฏให้เห็นกันอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน

    ถ้าบอกว่าเป็นเพราะตาฝาด หรือเพ้อเจ้อเหลวไหลไปเอง
    ก็แสดงว่า คนตั้งครึ่งโลกเป็นคนใช้ไม่ได้ เป็นคนตาฝาดกันไปทั้งหมด

    ความจริงเคยมีผู้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย จนสามารถจะพิสูจน์ได้แล้ว (ทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ และบันทึกเสียง) แต่ผลงานไม่แพร่หลาย คนส่วนมากจึงยังไม่ทราบกัน

    ๑.๕ หลักการทางด้านโหราศาสตร์

    ตามธรรมดาเราไม่อาจจะรู้เหตุการณ์ในภายหน้า หรืออนาคตได้ เพราะว่ายังไม่ได้เกิดขึ้นนั่นเอง จะรู้ได้อย่างไรว่า วันข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น ?

    แต่ความรู้ทางโหราศาสตร์สามารถพยากรณ์ชะตาชีวิตของเรา แม้ในอนาคตข้างหน้าได้

    ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้น ๆ ยังไม่เกิดขึ้น สามารถจะรู้ได้ว่า เหตุการณ์นั้น ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อใด

    และสามารถรู้ได้แม้กระทั่งอายุขัย (แต่โดยหลักการแล้ว โหราจารย์จะไม่บอกให้ทราบ)

    การพยากรณ์มีหลัก ๆ อยู่ ๒ อย่าง คือ

    - การคำนวณจากดวงชะตา คือ วัน เดือน ปี เวลาเกิด (ผูกดวง)
    - อ่านจากลายมือ ในฝ่ามือทั้งสองของคนเรา บอกชะตาชีวิตไว้ค่อนข้างละเอียด ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถอ่านและทำนายได้อย่างแม่นยำ

    ฝ่ามือและลายมือของผู้มีอำนาจวาสนา กับ ของคนธรรมดาสามัญ
    ฝ่ามือและลายมือของเศรษฐี กับ ของคนยากจน
    ...ของคนเก่ง กับ คนไม่เก่ง
    ...ของคนประสบความสำเร็จ กับ ของคนล้มเหลว
    ...ของคนอายุยืน กับ ของคนอายุสั้น เป็นต้น
    ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    อะไรกันเล่า เป็นสาเหตุให้คนทั่วโลก มีรูปร่างหน้าตาและลายมือ ที่แตกต่างกัน....นั่นก็คือ....

    ๑.๖ ผล (วิบาก) แห่งกรรมในอดีต

    ตัวอย่างเรื่องกฏแห่งกรรมต่าง ๆ (ทั้งกรรมดี และชั่ว) ของบุคคลต่าง ๆ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน มีให้เราได้ศึกษาหาความรู้อย่างแพร่หลายมาช้านาน

    ศาสนาพุทธได้ชื่อว่าเป็นศาสนา "กรรมนิยม" คือ กล่าวถึงเรื่องกรรมและผลของกรรม ว่าเป็นของมีจริง และชักชวนให้คนมุ่งกระทำแต่กรรมดี

    ผล (วิบาก) แห่งกรรมของบุคคลต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ หรือเป็นไปตามอำนาจคำบัญชาของพระเจ้า หรือแม้เหล่าเทพเจ้าใด ๆ ก็ตาม

    แต่มีสาเหตุให้เกิด...นั่นก็คือ...

    การกระทำกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ในอดีตของเรานั่นเอง
    ที่ส่งผลมาให้เราได้รับในปัจจุบัน

    ผู้รู้เรื่องนี้ จึงไม่กล่าวตำหนิติโทษใคร (เมื่อเขาได้รับผลกรรม)...แต่ยอมรับว่า ผลกรรมนี้ เกิดจากการกระทำกรรมของตนเอง

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า

    กัมมัง สัตเต วิภะชะติ ยะทิทัง หีนัปปะนีตะตายะ ฯ

    กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่าง ๆ คือทั้ง เลว และ ประณีต

    ผู้กระทำดี ย่อมได้รับผลดี ผู้กระทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ฯ

    คือ ใครทำกรรมอย่างไร ย่อมได้รับผลกรรมอย่างนั้น

    กฏแห่งกรรม จึงเป็นกฏที่ยุติธรรมที่สุดในโลก

    และเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องภพชาติได้อย่างแน่นอน

    เพราะสามารถสาวโยงเรื่องราวไปสู่อดีตชาติได้ (กรรมผูกพัน)

    ถ้าปราศจากกฏแห่งกรรม โลกนี้ก็จะตกอยู่ในความมืดบอดอย่างสิ้นเชิง

    ๑.๗ เรื่องราวของพลังจิต

    พลังจิตในที่นี้หมายถึง พลังอำนาจ หรือความมหัศจรรย์ของจิต

    ปัจจุบัน วงการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ยังลงความเห็นกันว่า
    จิตก็คือ "มันสมอง" นี่เอง เพราะ...

    มันสมองเป็นศูนย์ควบคุม ความคิด และความจำ เป็นตัวสั่งการไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ให้มีความรู้สึก ให้เคลื่อนไหว ทั้งโดยการพูด และการกระทำ ได้

    ซึ่งขัดกับหลักของพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง

    ที่สอนว่า จิตเป็นนามธรรม เป็นพลังอำนาจชนิดหนึ่ง ที่มีความละเอียดมากจนไม่อาจตรวจพบได้ ด้วยอุปกรณ์ที่เป็นวัตถุ

    จิตไม่ใช่สมอง สมองไม่ใช่จิต

    ความรู้สึก ความจำ ความคิด เป็นเรื่องของจิต

    สมองเป็นเพียงเนื้อเยื่อส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น

    เพียงแต่ว่า โดยธรรมดาจิตต้องทำงานโดยผ่านสมอง ซึ่งเป็นไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกายเอง

    (ตามที่กล่าวเรื่องสะกดจิตนั้น ก็คือออกคำสั่งมายังจิต ให้รับรู้และปฏิบัติตาม ไม่ใช่สะกดหรือออกคำสั่งที่ตัวสมอง)

    ตามธรรมชาติแล้ว จิตเป็นพลังอำนาจที่มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของ กาลเวลาและสถานที่ (ไม่กินเนื้อที่) เหมือนกับร่างกาย

    แต่เนื่องจากขณะนี้ จิตมาอาศัยอยู่ในร่างกาย จึงยังไม่มีความเป็นอิสระดังกล่าว

    เมื่อความตายมาถึง ร่างกายก็เน่าเปื่อยผุพังเสื่อมสลายกลายเป็นผุยผง ไม่เหลือคงความเป็นร่างกายอีกต่อไป แต่....

    จิตของปุถุชนผู้ยังมีอาสวะกิเลส ยังมีพลังงานสืบต่ออยู่ต่อไปอีก ที่ท่านเรียกว่า ยังท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิด หรือ สืบภพชาติต่อไปได้อีก

    อันตัวโครงสร้างต่าง ๆ ของร่างกาย เราสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้

    คือสร้างหุ่นยนต์ให้มีร่างกายเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ทั้งเคลื่อนไหวได้ (จนทำงานบางอย่างแทนคนได้) พูดโต้ตอบได้ แสดงความรู้สึกได้ เป็นต้น

    แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะสร้างให้หุ่นยนต์ได้นั่นคือ "จิต"

    ถึงจะเก่งอย่างไร ก็ยังเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจอยู่นั่นเอง

    ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็เท่าที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดให้ทำเท่านั้น

    แต่จิตของมนุษย์มีความเป็นตัวของตัวเอง คือ มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง อย่างไม่มีข้อจำกัด

    จิตของมนุษย์แต่ละคน ย่อมมีความแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน และไม่อาจจะทำให้เหมือนกันได้

    และจิตของมนุษย์มีความมหัศจรรย์มากยิ่ง เช่น ใช้พลังจิตยกสิ่งของให้ลอยขึ้น หรือให้เคลื่อนที่ได้ เป็นต้น

    ใช้พลังจิตไปสอดส่องดูเหตุการณ์ในสถานที่อื่น ๆ แม้อยู่ไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งก็ได้ (โดยมิได้ใช้ตา และรวดเร็วกว่าการทำงานของดาวเทียม)

    ใช้ตรวจดูสมุฏฐานของโรคในร่างกาย และใช้พลังจิตเพ่งเผาโรคนั้นให้หายก็ได้ เป็นต้น

    ส่วนในขั้นสูงก็คือ ใช้ในการแผดเผากำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นได้

    ซึ่งทั้งหมดนี้ ตัวมันสมองที่เป็นเพียงเนื้อเยื่อธรรมดา ย่อมไม่อาจจะมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้เลย

    ดังนั้น ถ้าใครเชื่อว่าจิตก็คือสมองนี่เอง ก็เท่ากับปฏิเสธเรื่องภพชาติ นรก สวรรค์ และนิพพาน

    เพราะร่างกายเมื่อตายแล้ว ก็เน่าเปื่อยและสาบสูญไปนั่นเอง

    ๒. หลักประจักษ์สิทธิ

    แต่ข้อนี้เป็นปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตน คือพิสูจน์ได้เฉพาะทางสมาธิจิต

    บุคคลผู้ที่ได้ฌานอภิญญาแล้ว ไม่เคยมีใครกล่าวปฏิเสธในเรื่องนี้ เพราะเขารู้แจ้งชัดได้ด้วยจิตของเขาแล้วนั่นเอง

    ความจริงปฏิบัติทางสมาธิภาวนา จนได้แค่เพียง อุปจารสมาธิ ก็สามารถที่จะเห็นเทวดา หรือพวกอทิสมานกายทั้งหลายได้แล้ว

    ก็เป็นอันเข้าใจได้ชัดว่า ชีวิตภายหลังความตายยังมีอยู่จริง ๆ มิใช่สิ่งสมมติ

    ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงกล่าวโดยสรุปเท่านั้น

    ขอเพื่อนสมาชิกได้โปรดแสดงความคิดเห็น หรือส่งข้อความมาเพิ่มเติม เพื่อเสริมความรู้ให้สมบูรณ์ขึ้นอีกนะครับ

    ขอขอบคุณครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,795
    สาธุ ถูกต้องแล้วด้วยหลักเหตุและผล ชอบแล้วครับ
     
  3. Noppadol.Ve

    Noppadol.Ve เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +245
    อนุโมทนาครับ
    คุณรักเสมอเขียนข้อความกระทัดรัด แต่ก็ได้ใจความดี
    ส่วนตัวผมเอง มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องการเข้าทรงมามาก
    ยอมรับว่าเป็นความจริง ไม่หลอกลวงแน่นอน
    เพราะมีทั้งผู้เป็นญาติ และเพื่อนใกล้ชิด
    ซึ่งรู้เห็นกันมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เข้าทรงเลย
    วัฏสงสารมีจริง
    ที่สุดของวัฏสงสาร คือ พระนิพพาน ก็มีจริงแน่นอน
    สาธุ
     
  4. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ผมไม่ได้มีเจตนาที่หักล้าง-ทำลายกันนะครับ
    สำหรับคนที่มีทิฐิสูงก็ควรข้ามไปนะครับ

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้
    ตอนนั้นมีความเชื่อเรื่องการตายแล้วไปเกิดใหม่อยู่ก่อนแล้ว
    พระพุทธองค์ก็ได้รำเรียนกับพราหมที่เป็นอาจารย์จนรู้หมด
    เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการทรมาณร่างกายเพื่อฝึกตน
    พระพุทธองค์ก็ปฎิบัติตาม
    แต่ก็ไม่พบคำตอบที่ค้นหาว่าชีวิตควรดำเนินไปทางใหน
    ระหว่าง 1.ทางความสุขด้วยการเสพสุข ยินดีกับสุขที่ได้รับ
    2.ทางความทุกข์ด้วยการทรมาณร่างกายเพื่อฝึกตน
    จากนั้นพระพุทธองค์จึงปลีกตัวเพื่อหาคำตอบด้วยตนเองด้วยวิธีทางความทุกข์(อดอาหาร ทรมาณกาย)
    จนในที่สุดสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ก็คือทางสายกลาง

    คือ
    1.ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง-ไม่มั่นคง-ไม่ถาวร-ไม่แน่นอน
    2.หนทางทั้งสองที่กล่าวมานั้นล้วนเกิดจากความอยากทั้งปวง(กิเลส)
    3.เวียนว่ายใน
    วัฏสงสารก็คือการไม่จบไม่สิ้นของการเกิดกิเลส
    4.เรื่องวิบากกรรมก็คือผลจากกรรม

    แค่นี้ก็พอแล้วครับไม่ต้องรู้ว่าตายแล้วไปใหน
    สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นหานั้นไม่ใช่ตายแล้วไปใหน
    แต่เป็นจะดำเนินชีวิตอย่างไร

    ลองมาพิสูจน์กัน

    ลองดูความรู้สึกตัวเองตอนนี้ครับ

    เป็นสุขหรือทุกข์ครับ

    ถ้าเป็นสุขแสดงว่ายินดีกับข้อความนี้
    ความยินดีนี้เกิดจากความอยากให้ข้อความตรงกับความคิดของตัวเอง

    ถ้าทุกข์แสดงว่าไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้้
    ความทุกข์ี้เกิดจากความอยากให้ข้อความตรงกับความคิดของตัวเอง

    เป็นกิเลสตัวเดียวกัน

    จาก1.ทุกสิ่งล้วนอนิจจังไม่มั่นคง-ไม่ถาวร-ไม่แน่นอน

    ข้อความนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน

    อาจจะเป็นดั่งใจหรือไม่เป็นดังใจ

    พอกิเลส+อนิจจังเข้ากลายเป็นหนทางสองหนทางก็คือสุขกับทุกข์

    สำหรับคนที่ไม่มีกิเลสถึงความเห็นจะขัดแย้งกับข้อความนี้ก็ไม่เป็นทุกข์
    แต่สามารถแสดงออกถึงเหตุและผลได้ตามความเหมาะสม
    เพื่อให้เกิดการพัฒนากันต่อไป

     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ทุกอย่างมีเดิด และมีดับ
    แม้แต่พระพุทธองค์เองยังหนีไม่พ้นกฎนี้

    ศาสนาพุทธมีอายุแค่ 5,000 ปีเท่านั้น เราควรดีใจที่ได้เกิดมาในช่วงนี้ครับ ดีกว่าไปเกิดตอนไม่มีศาสนาพุทธครับ

    โมทนากับกระทู้ครับ
     
  6. imfd

    imfd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +335
    อีกแค่ประมาณ 25 ชั่วคนเท่านั้นเอง...ช่างสั้นนัก น่าใจหายจริง ๆ
    เพราะทุกสิ่งจะกลายเป็นศูนย์ สิ่งที่พระองค์สร้างมา ผมอ่านพระพุทธ
    ทำนายแล้วหดหู่และสงสารคนรุ่นหลังยิ่งนัก
     
  7. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    ขอขอบคุณ คุณ babifun มากครับ

    ที่กล่าวมานั้น ถูกต้องครับ ตามสัจจะที่ ๒

    ตามหลักท่านบอกว่า สัจจะ มี ๒ อย่าง คือ

    สมมติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ

    ในขั้นสมมติสัจจะ ต้องถือว่ามี ภพภูมิต่าง ๆ มี นรก สวรรค์ และมีสังสารวัฏอยู่จริง

    ที่คุณกล่าวว่า

    แค่นี้ก็พอแล้วครับไม่ต้องรู้ว่าตายแล้วไปใหน
    สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นหานั้นไม่ใช่ตายแล้วไปใหน
    แต่เป็นจะดำเนินชีวิตอย่างไร

    นั่นน่ะซีครับ แล้วจะดำเนินชีวิตอย่างไรเล่า ?

    คนที่ไม่เชื่อเรื่อง บุญ - บาป จะมีอะไรเป็นหลักประกันในการทำความดี

    ลำพังตัวบทกฏหมายอย่างเดียว คงไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้คนทำผิดบาปนะครับ (เพราะถ้าไม่มีใครเห็น ก็ไม่ผิด)

    บุญ - บาป และ ผลบุญ - ผลบาป ในอดีตที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน มีจริง

    ถ้าเราไม่พูดถึง แล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนล่ะครับ

    และเท่ากับปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ

    ดังคำสอนเรื่องที่พระองค์เคยทรงบำเพ็ญบารมีมาในอดีตชาติเป็นอันมาก

    ผมอยากจะกล่าวเสริมอีกว่า

    ปรากฏการณ์ความเป็นไป หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น - เป็นไป ในโลกเรานี้

    ยังมีอีกมากมายทีเดียว ที่ไม่ได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ หรือตำราใด ๆ

    มิใช่ว่า ถ้าไม่มีในตำรา ก็เป็นอันเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด

    เหมือนกับแผนที่ประเทศไทย ต่อให้ใหญ่เพียงไรก็ตาม

    ก็ไม่อาจบรรจุรายละเอียดตามความเป็นจริงลงไว้ทั้งหมดได้หรอกครับ

    ที่ท่านสอนเรื่องสังสารวัฏ เพราะต้องการให้เราเห็นภัยในชาติ คือ การเกิด

    และมุ่งปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา

    ถ้าไม่มีชาติภพข้างหน้า และไม่มีพระนิพพาน

    เราจะปฏิบัติธรรมกันให้เมื่อยทำไมล่ะครับ

    และนี่ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของผมอีกเช่นกันครับ




     
  8. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    พระพุทธองค์ทรงสอนแต่ความจริงครับ
    เฉพาะอะไรที่สามารถพิสูจน์ได้
    แต่ หลังจากตายแล้วไปใหนอันนี้พระพุทธองค์ไม่สอน

    เพราะเหตุว่า นั่นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่เงื่อนต้นของพรหมจรรย์, ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่งความรู้พร้อม และนิพพาน


    พระพุทธองค์ทรงสอนว่าความอยากเป็นกิเลสไม่ควรยึดถือ
    เพราะฉะนั้นลองถามตัวเองว่าเรากำลังอยากให้สังคมดีอยู่ใช่หรือไม่

    ในทางสายกลางนั้นเชื่อว่าสังคมที่ดีเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ได้มาด้วยกิเลส


    ลองดูนี่ครับ http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=18&A=9328&Z=9475
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2008
  9. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510
    หุหุหุ หากคุณเป็นดั่งที่คุณกล่าวมา แล้วคุณจะมาชวนเขาให้เชื่อคุณไปทำไม ทั่แท้สิ่งที่คุณกล่าวมาทั้งหมดนั้น มันก็แคการคาดคะเนเอา และตีความเอาตามใจของคุณเอง
    แต่จิตคุณหาได้เป็นดั่งที่คุณกล่าวมาไม่
     
  10. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510
    เรื่องที่ไม่ทรงพยากรณ์๑

    มาลุงกยบุตร! ได้ยินเธอว่า (เอง) ว่า ตถาคตมิได้พูดไว้กะเธอว่า`ท่านจงมาประพฤติ พรหมจรรย์ ในสำนักเราเถิด เราจะพยากรณ์ทิฎฐิ ๑๐ ประการแก่ท่าน'; อนึ่ง เธอก็มิได้พูดว่า `ข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักพยากรณ์ทิฎฐิ ๑๐ ประการ แก่ข้าพระองค์' ดังนี้เลย. ดูก่อนโมฆบุรุษ! เมื่อเป็นดังนี้ จักบอกคืนพรหมจรรย์กะใครเล่า.

    มาลุงกยบุตร! ถึงผู้ใดจะกล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงพยากรณ์ทิฎฐิ ๑๐ ประการ แก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว เรา จึงจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค' ดังนี้ก็ตาม ทิฎฐิ ๑๐ ประการ ก็ยังเป็นสิ่งที่ตถาคตไม่ พยากรณ์อยู่นั่นเองและผู้นั้นก็ตายเปล่า.

    มาลุงกยบุตร! เปรียบเหมือนบุรุษ ต้องศรอันอาบด้วยยาพิษอย่างแก่.มิตร อมาตย์ ญาติ สายโลหิตของเขา ก็ตระเตรียมศัลยแพทย์สำหรับการผ่าตัด,บุรุษนั้นกล่าวเสียอย่างนี้ว่า `เราจักไม่ให้ผ่า ลูกศรออก จนกว่าเราจะรู้จักตัวบุรุษผู้ยิงเสียก่อน ว่าเป็นกษัตริย์ หรือ พราหมณ์, เวสส์, สูทท์, เป็นผู้มี ชื่ออย่างนี้ ๆ มีสกุลอย่างนี้ ๆ, รูปร่างสูงต่ำหรือปานกลางอย่างไร, มีผิวดำขาวหรือเรื่ออย่างไร, อยู่ ในหมู่บ้าน, นิคม, หรือนครไหน, และคันศรที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นหน้าไม้ หรือเกาทัณฑ์, สายทำด้วยปอ, เอ็น, ไม้ไผ่, หรือป่านอย่างไร, ฯลฯ' ดังนี้ มงลุงกยบุตร! เรื่องเหล่านี้ อันบุรุษนั้นยังไม่ทราบได้เลยเขาก็ทำกาละเสียก่อน, นี้ฉันใด; บุคคลผู้กล่าวว่า `พระผู้มีพระภาคยังไม่พยากรณ์ทิฎฐิ ๑๐ ประการแก่ เราเพียงใด, เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ฯลฯ' ดังนี้ ทิฎฐิ ๑๐ ประการ ก็ยังเป็นเรื่องที่ตถาคตไม่พยากรณ์อยู่นั่นเอง, และบุคคลนั้น ก็ตายเปล่าเป็นแท้.

    มาลุงกยบุตร! ต่อเมื่อมีทิฎฐิเที่ยงแท้ลงไปว่า "โลกเที่ยง" (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งลง ไปแล้วในบรรดาทิฎฐิทั้งสิบ) หรือ, คนเราจึงจักประพฤติพรหมจรรย์ได้?

    มาลุงกยบุตร! ต่อเมื่อมีทิฎฐิเที่ยงแท้ลงไปว่า "โลกเที่ยง" (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป แล้วในบรรดาทิฎฐิทั้งสิบ) หรือ, คนเราจึงจักประพฤติพรหมจรรย์ได้?

    "หามิได้ พระองค์!"

    มาลุงกยบุตร! ในเมื่อมีทิฎฐิว่า `โลกเที่ยง' (เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาทิฎฐิสิบ) อยู่, ก็ยังมีความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความแห้ง ผากในใจ อันเป็นความทุกข์ซึ่งเราบัญญัติการกำจัดเสียได้ ในภพที่ตนเห็นแล้วนี้ อยู่นั่นเอง. มาลุงกยบุตร! เพราะฉะนั้น พวกเธอจงจำสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์,และจำสิ่งที่เรา พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์แล้ว.

    มาลุงกยบุตร! ก็อะไรเล่า ที่เราไม่พยากรณ์? สิ่งที่เราไม่พยากรณ์คือ (ทิฎฐิข้อใดข้อหนึ่งใน บรรดาทิฏฐิทั้งสิบ) ว่า

    โลกเที่ยง,
    โลกไม่เที่ยง,
    โลกมีที่สิ้นสุด,
    โลกไม่มีที่สิ้นสุด,
    ชีวะก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้น,
    ชีวะก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่น,
    ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก,
    ตายแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้ อีก,
    ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็มี ไม่เป็นก็มี,
    ตายแล้ว ย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนี้อีกก็ไม่ใช่ ไม่เป็นก็ไม่ใช่.

    เพราะเหตุไร เราจึงไม่พยากรณ์? มาลุงกยบุตร! เพราะเหตุว่า นั่นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ เงื่อนต้นของพรหมจรรย์, ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่งความรู้พร้อม และนิพพาน, เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์.

    ๑. บาลี จูฬมาลุงกโยวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๔๗/๑๔๙. ตรัสแก่พระภิกษุมาลุงกยะ ที่เชตวัน.

    ooนี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ผู้ถึงคำสอนแล้ว ใยต้องเดืดดานอีกเล่า
     
  11. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ทางสายกลางนั้น
    จะต้องเป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาเพื่อแก้ปัญหา
    แต่ไม่ใช่มองเห็นปัญหาเพื่อทุกข์หรือแกล้งมองไม่เห็นปัญหาเพื่อปล่อยวางจะได้มีความสุข

    ความจริงพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติไม่ใช่ด้วยการคิดไปเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2008
  12. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    ขอขอบคุณ คุณเราไม่ต่างกัน ที่ได้น้อมนำ จูฬมาลุงกโยวาทสูตร

    มาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ

    และขอขอบคุณ คุณ
    babifun ที่กรุณาแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากทีเดียวครับ

    ทางสายกลางนั้น
    จะต้องเป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาเพื่อแก้ปัญหา
    แต่ไม่ใช่มองเห็นปัญหาเพื่อทุกข์หรือแกล้งมองไม่เห็นปัญหาเพื่อปล่อยวางจะได้มีความสุข

    ความจริงพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติไม่ใช่ด้วยการคิดไปเอง

    ข้อความนี้กล่าวได้ดีจริง ๆ ครับ

    ก็คงจริงดังที่ผมกล่าวไว้นั่นแหละครับว่า

    ผู้ที่ปฏิบัติจนได้ฌานสมาบัติแล้ว ไม่เคยมีใครปฏิเสธเรื่องสังสารวัฏ

    เพราะเขาแจ้งประจักษ์ด้วยจิตของเขาแล้วนั่นเอง

    จึงไม่ต้อง "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" ใคร

    และที่คุณกล่าวว่า

    แต่
    หลังจากตายแล้วไปใหนอันนี้พระพุทธองค์ไม่สอน


    ถูกต้องครับ.....คือจะไม่ทรงพยากรณ์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะกลายเป็นลัทธิสัสสตทิฐิไป

    แต่เรื่องภพภูมิต่าง ๆ ในสังสารวัฏ มีกล่าวสอนไว้มากมายครับ

    คือ สุคติโลกสวรรค์ สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น

    เรื่องเทวดาและพรหม มีปรากฏโดยทั่วไป

    (พุทธกิจ ๕ ข้อที่ ๔ คือ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหํ...เวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรมแก่เทดา)

    พร้อมทั้งในส่วนทุคติภูมิ หรืออบายภูมิ อันประกอบด้วย สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน

    ในพุทธาปทาน ขุททกนิกาย อปทาน ว่าด้วยเรื่อง ปุพพกรรมปิโลติ ที่

    ๑๐ พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าเรื่องอดีตกรรมของพระองค์เอง ที่ได้ทรง

    กระทำไว้ในอดีตชาติ รวมทั้งหมด ๑๔ เรื่อง

    เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่เป็นปวัตติกาลของพระองค์อย่างแน่นอน

    เพราะพระองค์ตรัสว่า "ในกาลก่อน"

    แลเะเป็นเรื่องราวการทำบาปกรรมถึง ๑๓ เรื่อง จึงไม่ใช่เหตุการณ์ในพระชาติสุดท้ายอย่างแน่นอน

    พระไตรปิฎกเชื่อถือได้หรือไม่ล่ะครับ ?


     
  13. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    เข้าใจมากขึ้นค่ะ ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้และทุกๆๆท่านค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ

    ^-^
     
  14. ธรรมทิพย์

    ธรรมทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +433
    ขออนุโมทนาค่ะ

    แน่นอนที่สุด พุทธศาสนาอยู่ได้เพราะพุทธบริษัทสี่ช่วยกันเข็นกงล้อพระธรรมจักร ข้อสำคัญผู้ที่ช่วยกันเข็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในปริยัติ ปฏิบัติ จึงจะเกิดปฏิเวธ มีศีล มีทิฏฐิ ที่ถูกต้องเสมอกัน จะได้ไม่ทะเลาะกันในระหว่างเข็นกงล้อพระธรรมจักรไงคะ

    ส่วนทฤษฎีความเชื่อเรื่องวัฏสงสาร การอธิบายทั้งยกตัวอย่างประกอบได้อย่างชัดเจน มีเหตุผล น่าเชื่อถือ ขอชื่นชมค่ะ

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ ไม่จำกัดกาลเวลา ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตนเอง

    การเชื่อกฎแห่งกรรม ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาจากชาติปัจจุบันก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องของ กฎแห่งการกระทำ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่ทุกคนเป็นอยู่ล้วนเกิดจากผลกรรมที่เรากระทำทั้งสิ้น เชื่อมโยงเป็นเกลียวสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสูญจากกัน

    ดังนั้นความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ อย่างได้ผล มากกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใด ๆ ทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2008
  15. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    ดังนั้นความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ อย่างได้ผล มากกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใด ๆ ทั้งสิ้น

    สาธุ สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ

    กฏหมายแข็งแรงหรือดีเยี่ยมเพียงใด

    ถ้าคนไม่เคารพละก้อ สามารถแหกกฏ หรือหาทางหลบเลี่ยงจนได้เสมอ

    และขึ้นอยู่กับพลังอำนาจและความสามารถ ของผู้รักษากฏหมายนั้น

    ด้วย (ถ้าอ่อนแอ กฏหมายก็ไร้ผล)

    แต่ถ้าคนเราเชื่อกฏแห่งกรรม กลัวบาป กลัวตกนรก แต่ปรารถนาสุคติ

    โลกสวรรค์เป็นที่ตั้ง

    ออกกฏหมายอันเป็นระเบียบของบ้านเมืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ

    เพราะศีล ๕, ๘ , ๑๐, และ ๒๒๗ ของพระพุทธศาสนา

    ก็ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไปแล้วละครับ <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  16. Noppadol.Ve

    Noppadol.Ve เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +245
    ผมเห็นด้วยครับ....

    ศีล 5 เป็นแม่บทของกฏหมายทั้งปวง

    รายละเอียดของกฏหมายต่าง ๆ ก็ขยายออกมาจากศีล 5 นั่นเอง

    ถ้าหากคนรักษาศีล 5 กันได้ทั้งโลกละก้อ

    โลกนี้ก็คือสวรรค์ดี ๆ นี่เองครับ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  17. atomdekst

    atomdekst Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +79
    ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    อนุโมทนาสาธุ ครับ
     
  18. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    อนุโมทนา สาธุครับ
     
  19. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +189
    ขออนุโมทาสาธุ กับกระทู้ดีดี (rose) (rose) (rose)
    ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ถ้าศาสนาเราจะล้มขอให้ล้มไปพร้อมกับโลกของเราเพราะอีกไม่กี่100ปีก็โลกจะแตกแล้ว เรามาเร่งปฎิบัติกันดีกว่า แผ่เมตตาให้ทุกคนให้มีความสุข สุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้น จากทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ
    ***************************************************
    (rose) (rose) (rose)
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ลองนั่งตรอง นั่งคิดดูแล้ว....

    พวกเราทุกคน ทุกคณะฯ
    ต่างคน ต่างฝ่าย ต่างคณะฯ ก็เพียรสร้าง
    สะสมบุญ ในทาน
    รักษาศีล เร่งราศี
    หนุนบารมี ในเจริญภาวนา

    เพื่อเร่งรัด เพื่อยกตนเอง ให้พ้นวิสัยในโลภ โกรธ และหลง
    สู่แดนอนันตบรมสุข คือ พระนิพพาน ตามบุญบารมีแห่งตนเอง

    ลองคิดดูว่า....

    1. ในเมื่อทุกคนก็ทราบว่า พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ ความเป็นธรรมดาของ ความตาย ในที่สุด.. ทุก ๆ วินาที ทุก ๆ ลมหายใจ ต่างก็เร่งใกล้สู่ความตาย กันทั้งนั้น.. ข้อนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องพื้นฐาน ใช่ไหม....

    2. จะมีสักกี่คน ที่สามารถรู้ว่า วินาที หรือลมหายใจที่เข้า หรือออก สุดท้ายนั้น
    จะเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อใด วันไหน เดือนอะไร ปีเมื่อไร ชั่วโมงไหน นาทีที่เท่าไร
    และวินาทีไหนกันแน่ ที่เราจะต้องขาดลมหายใจไป ในที่สุด

    3. พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสว่า....

    "..จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...