เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๕ (ช่วงทำบุญเช้าวันพระ)

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๕ (ช่วงทำบุญเช้าวันพระ)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2022
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งตรงกับเทศกาลของหลาย ๆ สถานที่ หลาย ๆ เชื้อชาติ

    อันดับแรกเลย ถ้าเป็นของคนไทยบ้านเรา ภาคกลางเขาถือว่าเป็นวันสารทไทย ถ้าหากว่าเป็นภาคอีสาน ก็คือ ทำบุญสารทเดือน ๑๐ ถ้าหากว่าเป็นพี่น้องภาคใต้ ก็คือ สารทเดือน ๑๐ หรือที่เขาเรียกว่า เลี้ยงหมฺรับ ก็คือมีข้าวปลาอาหาร สำหรับเลี้ยงบรรดาบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็จะมีขนมกง ขนมลา

    โดยเฉพาะขนมลาที่เป็นเส้นเล็ก ๆ เพราะความเชื่อที่ว่าเปรตมีปากเท่ารูเข็ม ทำให้ไม่สามารถที่จะกินอะไรที่เป็นชิ้นใหญ่ ๆ ได้ จึงต้องทำอาหารให้มีเส้นเล็ก ๆ ให้เปรตจะได้ใส่ปากกินได้ ต้องถือว่าพี่น้องชาวปักษ์ใต้ของเรา มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยเมตตา แม้แต่เหล่าเปรตที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็ยังถือว่าจะต้องให้การสงเคราะห์

    โดยเฉพาะบางทีเปรตนั้นก็เป็นญาติพี่น้องของเราเอง ที่ไม่รู้จักทำบุญทำกุศล หรือถึงจะรู้จักการประกอบกองบุญการกุศล ก็ยังทำน้อย และขณะเดียวกันในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ยังหนาแน่นมากอยู่ในหัวจิตหัวใจ เมื่อถึงเวลาล่วงลับดับขันธ์ไป สภาพจิตที่หนาไปด้วยกิเลส ก็พาให้ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง หรือถ้าก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากก็อาจจะต้องเกิดเป็นสัตว์นรกไปเลย

    ดังนั้น...จึงต้องมีการทำบุญเผื่อไปให้ หวังว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะโมทนาได้ ถ้าหากว่ายังกรรมหนัก ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทปรทัตตูปชีวีเปรต ไม่สามารถที่จะอนุโมทนาบุญกุศลได้ อย่างน้อย ข้าวปลาอาหารหรือว่าสำรับหมฺรับที่จัดไว้ให้นั้น ก็ยังทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีกิน ผ่อนคลายความทุกข์ยากอดอยากไปได้คราวหนึ่ง

    ทางภาคกลาง ในบุญสารทเดือน ๑๐ หรือที่เรียกกันว่า สารทไทยนั้น สิ่งของหลักเลยก็คือกระยาสารท คำว่า กระยา ในที่นี้ก็คืออาหาร อาหารสำหรับฤดูสารท ก็คือฤดูปลายฝนต้นหนาว


    ***** ขออภัยทุกท่าน ที่เข้าใจผิดแล้วพูดไปก่อนเวลา วันสารทไทยจะตรงกับวัน แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ทางทองผาภูมิเรียกกันว่า "วันสารทลาว" ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องไทยโบราณที่โดนกวาดต้อนไปพม่าคราวที่เสียกรุงครั้งที่ ๑ เมื่อกลับเข้ามาอยู่เมืองไทยก็ทำบุญกันในวันนี้ แต่ไปเข้าในผิดว่า ภาษาไทยโบราณที่ตนเองพูดนั้นเป็นภาษาลาว จึงเรียกตนเองว่า "คนลาว" *****
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เราจะเห็นว่ากระยาสารทนั้นประกอบไปด้วย ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา น้ำอ้อย บางแห่งมีสูตรพิเศษก็ใช้น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลโตนดแทน เป็นต้น หลัก ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ให้พลังงานสูงมาก ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกกันว่าให้ "แคลอรี่สูง" เหตุที่มีพลังงานสูง ก็เพื่อที่จะเตรียมเอาไว้รับลมหนาวที่จะมาถึง

    แล้วเหตุใดถึงจะต้องมาทำกันในฤดูเดือน ๑๐? ก็เพราะว่าช่วงเดือน ๑๐ นั้น ข้าวเริ่มตั้งท้อง แล้วก็จับเป็นเมล็ดแล้ว บรรดาชาวนาก็จะไปเลือกเก็บเอารวงที่เริ่มแก่ มาทำการตำทั้งเปลือก ก็จะได้ข้าวเม่า ถ้าหากว่าฝัดดี ๆ ก็น่ากินมาก โดยเฉพาะข้าวเม่านึ่ง ใส่มะพร้าวขูด ใส่น้ำตาล โรยเกลือนิดหน่อย เด็กสมัยหลังไม่ค่อยจะได้กินของพวกนี้แล้ว ในเมื่อสิ่งเหล่านี้จะเริ่มหาได้ในเดือน ๑๐ จึงมีผู้ที่มีอัจฉริยภาพในการดัดแปลง หรือว่าปรุงอาหารคาวหวานต่าง ๆ จึงทำจนเป็นกระยาสารทขึ้นมา

    กระยาสารทนั้น จะว่าไปแล้วคือข้าวมธุปายาสที่ไม่ครบส่วน เหตุที่ไม่ครบส่วนนั้น เพราะว่าส่วนผสมสำคัญอย่างหนึ่งของข้าวมธุปายาสคือนมวัว และเป็นนมวัวที่ได้จากวัว ๕๐๐ ตัว ก็คือนำเอาฝูงวัว ๕๐๐ ตัวมาเลี้ยงดูอย่างดี เมื่อถึงเวลาวัวให้นมก็แบ่งฝูงวัวออกเป็นครึ่งหนึ่ง รีดนมวัวจากครึ่งแรกมาป้อนให้กับฝูงวัวครึ่งที่สอง แล้วแบ่งฝูงวัวครึ่งที่สองแบ่งเป็นอีกสองส่วน รีดนมวัวจากส่วนที่หนึ่งมาป้อนให้กับส่วนที่สอง แบ่งอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวัว ๗ ตัวสุดท้าย ซึ่งคาดว่าตอนนั้นนมวัวก็แทบจะกลายเป็นนมข้นไปแล้ว ก็รีดเอามาเป็นส่วนผสมในการทำข้าวมธุปายาส

    ดังนั้น..ข้าวมธุปายาสต้องบอกว่าเป็นข้าวของคนรวย เพราะว่าอย่างน้อยต้องมีฝูงวัว ๕๐๐ ตัวขึ้นไป ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะทำได้ โบราณของเราจึงทำข้าวมธุปายาสย่อส่วน ก็คือกระยาสารทนั่นเอง กลายเป็นขนมประจำฤดูกาล ก็คือฤดูสารท

    คำว่า สารท จะว่าไปแล้วก็คือช่วงเข้าฤดูหนาว ญาติโยมจะสังเกตว่าช่วงนี้ ตื่นเช้าขึ้นมา บางทีรู้สึกเย็นเยือกอยู่ในตัว ก็แปลว่าเริ่มเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวแล้ว

    ต้องระมัดระวังเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยให้ดี เพราะว่าช่วงการเปลี่ยนแปลงอากาศนั้น ทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะบุคคลที่อายุเริ่มเข้าเขตวัยชรา ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มบกพร่อง ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วย กระทบร้อน กระทบหนาวเมื่อไร ร่างกายต้านทานไม่ไหว ต้องถึงมือหมออยู่เรื่อย เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    อีกส่วนหนึ่งก็คือเทศกาลงานวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ นั้น ตรงกับสารทตงชิว ก็คือวันไหว้พระจันทร์ แต่ว่าของประเทศจีนนั้นนับเป็นกลางเดือน ๘ ก็แปลว่าเดือนไทยเดินเร็วกว่าเดือนจีน ๒ เดือน

    การไหว้พระจันทร์นั้น ด้วยความเชื่อที่ว่าบนพระจันทร์นั้นมีเทพธิดาชื่อว่าฉางเอ๋อ ญาติโยมอย่าเพิ่งสับสน คำว่า ตงชิว เป็นภาษาแต้จิ๋ว แต่ฉางเอ๋อเป็นภาษาจีนกลาง ถ้าแยกไม่ออก เดี๋ยวจะสับสนในชีวิต พอดีกระผม/อาตมภาพรู้จักภาษาเยอะไปหน่อย เทพธิดาฉางเอ๋อนั้น เมื่อถึงฤดูกาลนี้ก็จะเหาะไปโปรยปรายน้ำอมฤตสู่โลกมนุษย์ เพื่อช่วยให้พืชพรรณธัญญาหารงอกงามอุดมสมบูรณ์

    เทพธิดาฉางเอ๋อมีวิมาน คือดวงจันทร์เป็นที่อาศัย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าในความเป็นจริงนั้น บริเวณปริมณฑล คือแสงสว่างของดวงจันทร์ก็มีเทวดาอาศัยอยู่จริง ๆ เพียงแต่แกบอกให้เรียกแกง่าย ๆ ว่าจันทรเทพบุตร แต่ของเมืองจีนดันเป็นจันทราเทวี สรุปว่าพ่อเจ้าประคุณหล่อเกิน จนกระทั่งคนเห็นเป็นผู้หญิง..! ก็แล้ว ๆ กันไป

    คราวนี้การที่คนจีนทำการไหว้บูชาเซ่นสรวงพระจันทร์ ก็เพราะว่าต้องการจะให้เป็นที่โปรดปรานของเทพธิดาฉางเอ๋อ จะได้นำเอาน้ำอมฤตมาโปรยปรายในไร่นาของตน ทำให้พืชพรรณธัญญาหารงอกงาม จึงต้องมีการเซ่นไหว้ในลักษณะการเอาใจกันหน่อย

    เทพธิดาฉางเอ๋อนั้น ก่อนหน้านี้เป็นภรรยาของโฮ่วอี้ ซึ่งเป็นขุนพลนักรบคนสำคัญ ในยุคนั้นสมัยนั้น เกิดมีอีกา ๓ ขาขึ้นมา ๙ ตัว อีกา ๓ ขานี้เป็นอีกาไฟ เมื่อบินขึ้นสู่ท้องฟ้าก็แผ่รัศมีแรงกล้า จนกระทั่งเผาผลาญสิ่งต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ย่อยยับไปมากต่อมากด้วยกัน แม้ว่าจะมีผู้พยายามที่จะเข่นฆ่าทำลาย แต่อีกา ๓ ขาบินอยู่บนท้องฟ้า ทำให้ยากที่จะจัดการได้

    เจ้าแม่ซีหวังหมู่ ถ้าหากว่าเป็นภาษาแต้จิ๋วก็คือไซอ้วงบ้อ ประกาศให้รางวัลว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำลายอีกา ๓ ขาได้ ก็จะให้รางวัล จึงมีโฮ่วอี้ที่เป็นยอดขุนพลนักรบอาสาไป ใช้เกาทัณฑ์ยิงทำลายอีก ๓ ขาไป ๘ ตัว ซึ่งจะว่าไปแล้ว อานุภาพเกาทัณฑ์ของโฮ่วอี้ ถ้าเทียบกับสมัยนี้น่าจะรุนแรงกว่าขีปนาวุธข้ามทวีปเสียอีก..! เพราะเราต้องไม่ลืมว่าอีกา ๓ ขาบินอยู่ในอวกาศโน่น ไม่ใช่อากาศ แต่บินอยู่ในอวกาศ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ปรากฏว่าบรรดาเทวดาทั้งหลายเห็นว่า ถ้ามีอีกา ๓ ขาบินอยู่ตัวหนึ่ง ฤดูกาลต่าง ๆ ก็จะเป็นไปด้วยดี มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิ เป็นต้น จึงได้ขอเอาไว้ว่าให้อีกา ๓ ขารอดชีวิตไว้สัก ๑ ตัว

    แต่ว่าบังคับให้ทำหน้าที่ในการบินวนรอบโลกเป็นประจำทุกวัน ก็คือให้บินวนทางด้านนี้ ๑๒ ชั่วโมง ทางด้านโน้น ๑๒ ชั่วโมง จะว่าไปแล้วก็คือบินอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้พักนั่นเอง อีกา ๓ ขาก็รับปากว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ เพราะว่าดีกว่าโดนยิงตาย จึงกลายเป็นพระอาทิตย์ขึ้นมา

    โฮ่วอี้ได้รับน้ำอมฤตเป็นรางวัลจากเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ก็นำกลับบ้านไป ขณะที่กลับไปถึงบ้านก็ตั้งใจจะอาบน้ำชำระกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วทำการดื่มน้ำอมฤต เพื่อที่จะได้สำเร็จเป็นเซียนขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในระหว่างนั้นก็ได้กำชับกำชาฉางเอ๋อที่เป็นภรรยาว่า "ดูแลให้ดี แล้วอย่าเปิด หรืออย่าแตะต้องเป็นอันขาด"

    ฉางเอ๋อเป็นผู้หญิงขี้สงสัย เมื่อสามีไปอาบน้ำอยู่ ด้วยความสนใจ หักห้ามใจไม่ได้ จึงเปิดขวดน้ำอมฤตดู ได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจ จนทนไม่ไหว จึงยกขึ้นดื่มไปเลย ทำให้ร่างกายปรับเปลี่ยนเป็นเบา ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยความตกใจ ฉางเอ๋อพยายามไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตนเอง ก็คว้าได้แค่หูกระต่ายที่เลี้ยงเอาไว้ จึงลอยติดมือตามกันขึ้นไป ติดอยู่บนดวงจันทร์

    เขาบอกว่าดวงจันทร์มีต้นอู๋ถงใหญ่ ฉางเอ๋อลอยไปติดอยู่ที่ต้นอู๋ถงบนดวงจันทร์ จึงได้อาศัยอยู่บนนั้นสืบมา

    กว่าที่โฮ่วอี้จะรู้ ก็ได้แต่มาคร่ำครวญอยู่คนเดียว เพราะว่าภรรยากลายเป็นนางเทพธิดา ลอยไปอยู่ดวงจันทร์ด้วยอำนาจของน้ำอมฤตเสียแล้ว ในเมื่อฉางเอ๋อทำเช่นนั้น ก็เลยโดนเจ้าแม่ซีหวังหมู่บังคับว่า ให้มีหน้าที่คอยไปโปรยปรายน้ำอมฤตให้กับผู้คน เป็นการลงโทษที่ไปขโมยกินน้ำอมฤตของสามี ฉางเอ๋อก็ทำหน้าที่นี้มาด้วยดี เป็นที่เคารพของหมู่มนุษย์ ถึงขนาดจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์ขึ้นมาเพื่อนาง
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ตรงนี้ไม่ขอกล่าวถึง ที่จะกล่าวถึงก็คืออัคคัญญสูตร เป็นพระสูตรในทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก ก็คือมีอยู่ในพระไตรปิฏก ที่กล่าวถึงกำเนิดโลกมนุษย์ และกล่าวถึงการปรากฏขึ้นของพระอาทิตย์ ๗ ดวง ทำไมถึงไปตรงกับตำนานความเชื่อของคนจีนที่ว่าโลกนี้เคยมีพระอาทิตย์ ๙ ดวง แต่เป็นอีกาไฟ

    เราจะเห็นได้ว่า บรรดาบุคคลที่มีทิพจักขุญาณ สามารถรู้เห็นเรื่องราวในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบันได้นั้น ส่วนใหญ่ก็จะรู้เห็นคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ว่าการรู้เห็น ใครจะชัดเจนกว่ากันเท่านั้น

    อย่างเช่นว่าบ้านเรามีพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ มีพระแก้วมรกต เป็นต้น ประเทศอื่น ๆ บ้านเมืองอื่น ๆ อย่างพม่า เขมร ลาว ก็มีเหมือนกัน ประเทศจีนก็มี เพียงแต่ว่าเครื่องทรงนั้นเกิดจากอุปาทานของมนุษย์ว่า การทรงเครื่องแบบนี้คือบุคคลที่มีฤทธิ์มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน จึงทำไปถวายเป็นเครื่องทรงของพระพุทธรูป

    แล้วปรากฏว่าบุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณบางท่าน ที่สามารถนำมาบอกกล่าวได้ ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานนั้นมีเครื่องทรง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายที่ได้ทิพจักขุญาณ ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด ก็รับรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านื้เหมือน ๆ กัน เพียงแต่อุปาทาน คือสิ่งที่ยึดมั่น ถือมั่น โดยเฉพาะธรรมเนียมความเชื่อต่าง ๆ ของแต่ละชนชาติไม่เหมือนกัน จึงทำให้ความเชื่อต่างกันไป เครื่องทรงก็แตกต่างกันไป แต่เราจะเห็นว่าเป็นเครื่องทรงกษัตริย์เช่นเดียวกัน

    สำหรับวันนี้ก็รบกวนเวลาของท่านทั้งหลายมามากพอแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...