เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 มกราคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไม่อยู่เสียหลายวัน มีเรื่องที่น่าพูดถึงซึ่งเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสนำมาบอกกล่าว ก็คือเรื่องราวที่วัดหนองบัว เมืองจะอีน ประเทศพม่า ที่กระผม/อาตมภาพไปบูรณะเอาไว้ แล้วตอนหลังครูบาน้อย อดีตเจ้าอาวาส ท่านก็สึกหาลาเพศไป พร้อมกับขนเอาเงินทองที่กระผม/อาตมภาพให้ไปสร้างวัด เอาไปค้าขายตามที่ตัวเองต้องการ แล้วก็ขาดทุนหมดเนื้อหมดตัวกลับมา..!

    ในช่วงที่ท่านสึกหาลาเพศไป กระผม/อาตมภาพได้ส่งพระครูน้อย (พระครูสังฆรักษ์วิฑูรย์ จนฺทวํโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) ซึ่งเป็นคนบ้านหนองบัว ไปเป็นเจ้าอาวาสแทน

    หลังจากที่ครูบาน้อย อดีตเจ้าอาวาส ไปค้าขายจนหมดเนื้อหมดตัวกลับมา ก็กลับมาบวชใหม่ ซึ่งความจริง ตรงนี้ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพเองก็จะไม่บวชให้ เพราะว่าตอนที่ท่านไปนั้น ก็น่าจะต้องอาบัติขาดความเป็นพระไปแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าช่วงปีกว่า ก่อนที่จะมีการฉลองวัดหนองบัว ท่านไม่ส่งบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนให้ กระผม/อาตมภาพทวงถามทีไร ท่านก็บอกว่า มัวแต่ยุ่งกับงานก่อสร้างแล้วไม่มีเวลาทำ แต่ก็บอกว่ามีความจำเป็นต้องจ่ายค่าแรงเท่านั้น ค่าวัสดุเท่านี้ แล้วขอเบิกเงินไปเรื่อย จนกระทั่งหลังงานฉลองวัด ซึ่งเบิกเงินก้อนสุดท้ายไปเพื่อฉลองวัดล้านกว่าบาท หลังจากนั้นท่านก็สึกหาลาเพศไป

    ทางด้านชาวบ้านก็ส่งข่าวมาว่าที่ท่านต้องสึกหาลาเพศไป เป็นเพราะโดนชาวบ้านกดดัน เนื่องจากว่าไปยืมทองคำชาวบ้านเอาไว้ ๑๐ กว่าบาท โดยอ้างว่าเพื่อนำมาใช้จ่ายในเรื่องการก่อสร้างวัด เพราะว่ากระผม/อาตมภาพหาเงินให้ไม่ทัน แล้วก็ยังไปปล่อยข่าวเรื่องที่กระผม/อาตมภาพได้แก้วอินทนิลมาว่า กระผม/อาตมภาพไปโกงเอามรกตของชาวบ้านไปทั้งก้อน..! จึงไม่กล้าเดินทางไปวัดหนองบัวอีก ทั้งที่กระผม/อาตมภาพไม่ไปเพราะถือว่าหมดหน้าที่ซึ่งครูบาอาจารย์มอบหมายให้แล้ว


    บรรดาเจ้าคณะปกครองทางด้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ใหญ่ธัมมะเสนะ ครูบาญาณ ก็เดินทางมาที่วัดตองไว ด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อขอทราบความจริงตรงนี้ กระผม/อาตมภาพจึงได้หอบเอาบัญชีรายจ่ายทั้งหมดข้ามไปเรียนถวายท่าน กางบัญชีให้ดูว่าแต่ละเดือน ๆ จ่ายไปเท่าไร

    ดังนั้น...ข้ออ้างที่ท่านบอกว่ากระผมไปโกงทองคำของชาวบ้าน ซึ่งมีจำนวนน้อยนิดมากเมื่อเปรียบกับเงิน ๑๐ กว่าล้านบาทที่จ่ายไป จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เมื่อบรรดาพระผู้ใหญ่ทราบความจริงก็หูตาสว่าง จึงขอพระจากวัดท่าขนุนซึ่งเป็นเชื้อสายบ้านหนองบัวก็คือพระครูน้อย ไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    หลังจากนั้น ทางด้านโน้นก็ส่งข่าวมาว่า อดีตครูบาน้อยไปค้าขายพวกพลอย พวกหยก ตามความถนัดเดิมของตนเอง แต่คราวนี้ เรื่องของการค้าขายหยก เท่าที่กระผม/อาตมภาพเข้าไปดูในตลาดหยกเมืองมัณฑะเลย์แล้ว จัดว่าเป็นการพนันที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะว่าหินแต่ละก้อน เขาจะปาดหน้าให้เห็นนิดเดียวว่ามีความเขียวหรือไม่เขียวมากเท่าไร เป็นเนื้อหยกในระดับไหน เสร็จแล้วก็ให้แต่ละคนประมูลสู้ราคากัน

    ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือทางด้านลูกชายของพ่อออกสุจินต์ ที่เป็นคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทยพม่า ไปเจอหยกเข้าก้อนหนึ่ง เมื่อเล็งดูแล้วว่าคุ้มค่าแน่ ก็ซื้อมาในราคา ๓ ล้านบาทไทย มีผู้ให้ราคาต่อเดี๋ยวนั้นเลย ๕ ล้านบาท อต่ไม่ยอมขาย เอามาผ่าเองที่ด่านเจดีย์สามองค์ ปรากฏว่าหมดราคา

    กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าบรรดาเซียนหยกเขารู้ได้อย่างไรว่ามุมไหนที่ปาดออกมาแล้วคนจะเห็นว่ามีเนื้อหยกมาก หยกก้อนนั้น ความจริงถ้าเป็นไปตามที่สายตาเห็น หรือใช้แว่นขยายส่อง ใช้ไฟส่องตามที่เขาดูกัน น่าจะได้กำไรเกิน ๑๐ ล้านบาท แต่ปรากฏว่าพอผ่าออกมาแล้ว เนื้อหยกเป็นแว่น ๆ เรียงต่อกัน ไม่ใช่เนื้อเดียว แต่ว่าคนผ่านี่ผ่าเก่งมาก ก็คือปาดให้ดูด้านที่มองทะลุเห็นเนื้อหยกเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ได้เห็นด้านที่มีเนื้อแทรกเป็นแว่น ๆ อยู่ ก็ทำเอาหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ตีอกชกหัวว่ารู้อย่างนี้ ขายไปตอนเขาให้ ๕ ล้านบาท ก็กำไรตั้งเกือบครึ่งแล้ว

    อดีตครูบาน้อยไปหมดเนื้อหมดตัวตรงนั้นมา ตามที่ผู้ใหญ่บ้านส่งข่าวมาก็คือ ๒๐๐ กว่าแสนพม่า ลองคิดดูเป็นเงินไทยเท่าไร ? ๑๐ แสนเป็น ๑ ล้าน ๑๐๐ แสนก็ ๑๐ ล้าน ก็แปลว่าหมดไป ๑๐ กว่าล้านจั๊ตของพม่า ซึ่งตรงนั้นก็คือเป็นเงินที่เบียดบังไปจากที่กระผม/อาตมภาพให้ไปสร้างวัด

    คราวนี้ในส่วนที่เบียดบังนี้ ท่านเบียดบังไปตั้งแต่ตอนเป็นพระอยู่ ถ้าหากว่าเกินบาทก็น่าจะขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ว่าพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้ก็ไม่รู้ หรือถึงรู้ก็คงคิดว่าไม่เป็นไร จึงบวชให้ท่านใหม่ เมื่อท่านอยู่เมืองไทยก็มาสอบใหม่จนได้นักธรรมชั้นเอกแล้วค่อยกลับไปทางฝั่งพม่า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ด้วยความที่ท่านเห็นข้อบกพร่องของพระครูน้อย เจ้าอาวาสใหม่ ที่พอไปเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ลืมตัว ก็คือกิจวัตรอะไรที่เคยทำในระหว่างที่อยู่วัดท่าขนุน ไปที่โน่นก็ปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะเอาแต่กินแล้วนอน คราวนี้เอาแต่กินแล้วนอน ชาวบ้านก็ยังพอรับได้ แต่ถ้าท่านนอนจนเลยเพล ท่านก็ไม่ออกมาฉัน แต่วันไหนถ้าหากว่าไม่เลยเพล ท่านก็ออกมาฉัน แต่ด้วยความที่ท่านเลยเพลบ่อยมาก ชาวบ้านจึงเลิกส่งข้าว ท่านก็ไปด่าเขาอีก..!

    คราวนี้ในช่วงที่ท่านไปอยู่ที่นั่น กระผม/อาตมภาพก็ให้นโยบายไปว่า บ้านหนองบัวเป็นหมู่บ้านที่รวยมาก ต้องบอกว่ารวยที่สุดในประเทศพม่าก็ว่าได้ เพราะว่าหนุ่มสาวเกือบทั้งหมู่บ้านมาทำงานในประเทศไทย เนื่องจากว่าพูดภาษาเดียวกัน เพราะว่าเป็นคนไทยโบราณที่โดนกวาดต้อนไปในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    ในช่วงที่กระผม/อาตมภาพไปสร้างวัดอยู่ ถ้าไม่ใช่ช่วงที่มีเทศกาลของวัด ก็จะเหลือแต่คนแก่กับเด็ก ๆ ที่อยู่ติดบ้าน นอกนั้นพวกรุ่นหนุ่มรุ่นสาวถึงวัยกลางคนมาทำงานเมืองไทยทั้งนั้น ต้องบอกว่าเงินทองดีมาก ถ้าหากว่าพระเณรไปกิจนิมนต์บ้านอื่นอาจจะได้สักร้อยจั๊ต สองร้อยจั๊ต แต่ถ้าหากว่ามากิจนิมนต์ที่บ้านหนองบัว จะได้รับการถวายพันหรือสองพันจั๊ต ต่างกันเป็น ๑๐ เท่า จึงให้นโยบายไปว่าคนหนองบัวต้องดูแลวัดหนองบัวกันเอง

    แต่ปรากฏว่าเมื่อพระครูน้อยไปทำในส่วนที่เขาเสื่อมศรัทธา เขาจึงไม่ค่อยให้การสนับสนุน ท่านก็ต้องกลับมา ถึงเวลาวัดจะมีงาน ก็มาขอข้าวของ โดยเฉพาะข้าวสารอาหารแห้งเพื่อที่จะไปจัดงานวัด เลี้ยงพระ เลี้ยงโยม พอหลายครั้งเข้า
    กระผม/อาตมภาพก็ดุไป ท่านก็ไม่กล้าเข้าวัดอีก โดยเฉพาะถ้าเข้าวัดท่าขนุนมาก็ต้องทำตามระเบียบวัด ก็จะทำให้ท่านลำบาก เพราะว่าไม่สามารถที่จะกินนอนได้ดั่งใจตัวเอง

    ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายฟังแล้วต้องระวังให้ดี เพราะว่าทุกวันนี้เวลาที่กระผม/อาตมภาพบิณฑบาต เจอญาติโยมบางคนถามว่า "เป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้แล้ว ยังต้องบิณฑบาตอีกหรือ ? วัดอื่นพอขึ้นเป็นเจ้าอาวาสก็ให้สามเณรบิณฑบาตให้ฉันแล้ว" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "พระพุทธเจ้าบิณฑบาตจนวาระสุดท้ายของชีวิต พระองค์ท่านไม่เคยใช้สามเณรบิณฑบาตแทน..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ในเมื่อตนเองมีจุดบกพร่อง ก็ทำให้อดีตครูบาน้อยอยากจะกลับไปเป็นเจ้าอาวาสใหม่ เพื่อที่จะได้กอบโกยเงินทองจากชาวบ้านอีก จึงพยายามที่จะกระทุ้งอยู่ทุกวิถีทาง อย่างเช่นว่า "พระอาจารย์เล็กไม่ต้องการให้พระครูน้อยเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ถึงขนาดไม่ยอมให้เข้าวัดท่าขนุนเลย" หรือไม่ก็ "ผมเองยังติดต่อกับพระอาจารย์เล็กอยู่ตลอดเวลา พระอาจารย์เล็กอยากจะให้ผมกลับไปเป็นเจ้าอาวาสแทนพระครูน้อย" เป็นต้น จึงมีการหาเหตุทำเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ นานา ไปถึงเจ้าคณะปกครอง

    เรื่องวุ่นวายอยู่หลายปี จนกระทั่งท้ายสุด ทางฝ่ายเจ้าคณะปกครองทนไม่ไหว ก็เลยนัดพิจารณาให้จบคดีลงไป โดยส่งครูบาตานอ่อง ซึ่งเป็นคนไทยโบราณเหมือนกัน แต่ทางด้านโน้นเรียกว่าคนลาว เพราะว่าภาษาพูดคล้าย ๆ ลาว มาเป็นประธานในการตัดสินความ

    บรรดาเจ้าคณะปกครองที่ร่วมงานทุกคนก็มีความเห็นเหมือนกันว่า ให้เจ้าอาวาสทำหน้าที่เจ้าอาวาส ลูกวัดทำหน้าที่ลูกวัด ไม่ใช่มาแย่งชิงกันเป็นใหญ่แบบนี้ แต่ว่าอดีตครูบาน้อยไม่ยอม อย่างไรเสียก็ต้องงัดเจ้าอาวาสออกไปให้ได้ เพราะว่าถ้าท่านเป็นแทน ท่านมั่นใจว่าจะอาศัยข้ออ้างการบูรณะวัดใหม่ มาขอเงินจาก
    กระผม/อาตมภาพได้และชาวบ้านอีก ก็เลยทำให้กลายเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ว่ายากสอนยากในสายตาของบรรดาเจ้าคณะปกครอง

    ในเมื่อประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ๓ วาระแล้ว ท่านยืนยันว่าไม่ปฏิบัติตาม ทางคณะสงฆ์ทุกวัดในเขตอำเภอสองแควก็ประกาศคว่ำบาตรท่าน ก็คือไม่ให้คบหาสมาคมด้วย ไม่ให้ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมด้วย ทำให้อดีตครูบาน้อยไม่สามารถที่จะอยู่บ้านหนองบัวต่อไปได้ ข่าวสุดท้ายได้ยินว่าหนีไปทางบ้านหนองมัง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ทางด้านแม่สอดแทน

    ตรงจุดนี้ก็คือว่า ครูบาน้อยในระยะแรกนั้นทำงานดีมาก ละเอียดรอบคอบ แต่พอนานไป ๆ เงินที่กระผม/อาตมภาพให้ไปนั้น มากจนกระทั่งท่านเกิดความโลภขึ้นมา เพราะว่าหลายครั้งที่กระผม/อาตมภาพเอาไปเกิน ๑ ล้านบาทไทย บางทีแลกเป็นเงินพม่าแล้วก็ ๒๐ กว่าล้านจั๊ต แบกใส่กระสอบปุ๋ยกันไป

    ท่านก็เริ่มมองหาทางอนาคตของตนเอง โดยการอ้างว่าต้องจ่ายโน่นบ้าง นี่บ้าง นั่นบ้าง แล้วก็เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ พอมาปีกว่าสุดท้ายที่ไม่ยอมส่งบัญชีเลย โดยที่อ้างว่ามัวแต่ก่อสร้างอยู่ ไม่มีเวลาทำบัญชี ซึ่งตรงนี้กระผม/อาตมภาพไม่เชื่อ เพราะกระผม/อาตมภาพเคยสร้างทีละหลายวัดพร้อมกันก็ยังทำบัญชีได้ และโดยเฉพาะท่านมีเถยยจิตคิดจะยักยอกตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อทำไปก็แปลว่าขาดจากความเป็นพระไปแล้ว
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    ส่วนในเรื่องของพระครูน้อยของเรานั้น เป็นส่วนที่ต้องบอกว่า เมื่ออยู่กับพวกเรา ก็พอที่จะลากถูกันไปได้ แต่พอไปเป็นเจ้าอาวาส ถือว่าตนเองมีอำนาจเต็ม สิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝืนใจทำก็เลิกทำ ทำให้ไม่มีคุณงามความดีไว้รักษาตัวเอง ระเบียบวินัยต่าง ๆ ไม่ปฏิบัติ ชาวบ้านก็เสื่อมศรัทธา จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ต่อให้อดีตครูบาน้อยไม่อยู่ แล้วชาวบ้านจะทนพระครูน้อยได้อีกนานเท่าไร ?

    ตรงจุดนี้ที่มาบอกกล่าวไว้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายคิดเผื่อไว้ว่า ถ้าภายภาคหน้าต้องไปเป็นเจ้าอาวาสก็ดี ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินเงินทองก็ดี ส่วนหนึ่งที่ต้องตระหนักเลยก็คือว่า พระเรามีราคาแค่บาทเดียว โกงเงินถึงบาทเมื่อไร ขาดจากความเป็นพระเมื่อนั้น..!


    แล้วระยะหลัง ทั้ง ๆ ที่อดีตครูบาน้อย ต้องบอกว่ายังเป็นคนหนุ่มอยู่ แต่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหาสาเหตุไม่ได้ จนกระทั่งท้ายสุดก็ไปโทษว่าเป็นเพราะนางตะเคียนเล่นงานเอา จึงไปตัดไปเผาต้นตะเคียนที่มหากว้าง (พระมหากว้าง ญาโณ) ปลูกเอาไว้จนหมด

    โดยที่ไม่รู้ว่าบุคคลที่ล่วงละเมิดอาบัติหนัก ไม่ว่าจะปาราชิกหรือสังฆาทิเสสก็ตาม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกเอาไว้ว่า เป็นตัวดึงไสยศาสตร์ประเภทลมเพลมพัดได้ดีที่สุด เหมือนกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็ก เพราะว่าอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคล แต่ว่าความประพฤติปฏิบัตินั้นเลวร้ายมาก จึงทำให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงวิ่งเข้าใส่ ในลักษณะของสิ่งที่ดีดึงดูดความดี สิ่งที่ไม่ดีย่อมดึงดูดความไม่ดี ในเมื่อโดนในลักษณะนั้น ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องนี้ จึงกลายเป็นว่าไปเที่ยวโทษสิ่งอื่นนอกกายตนเอง


    กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกว่า ท่านทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะรับผิดชอบหน้าที่อะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษากำลังใจตนเอง อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราได้ ต่อให้ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวใจ ก็ต้องควบคุมให้อยู่ในกรอบของความดี ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะเกิดความอยากเด่น อยากดัง โลภในลาภ บ้าอำนาจ อยากมีบริวารมาก ๆ อยากเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะอยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่น แล้วก็ไปดิ้นรนทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งบางทีกิเลสล้นออกมามากเกินไป ทำให้คนที่พบเห็นเลิกคบหาสมาคมไปเลยก็มี
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,578
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,543
    ค่าพลัง:
    +26,383
    พวกเราในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมก็ดี ในฐานะของพระภิกษุสามเณร แม่ชีก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องควบคุมกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ของตัวเองให้อยู่ในกรอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขารังเกียจ เพราะว่าจะกลายเป็นคนปากร้าย ขาดความยุติธรรม โกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

    เมื่อทำนานไป ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เหมือนบาดแผลเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อบาดแผลเน่ามากเข้า ๆ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล คนก็จะรังเกียจและถอยออกห่าง หลายคนก็ใช้วิธีการประจบผู้มีอำนาจเพื่อเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป หลายคนก็คิดว่าตัวเองฉลาด หลอกคนที่มีอำนาจให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้นได้ แล้วก็มาภูมิใจว่าสามารถปั่นหัวคนอื่นเขาได้

    สำหรับคนอื่นแล้วไม่รู้ แต่กระผม/อาตมภาพนั้นต้องบอกว่า "แกล้งโง่" มาตลอด คืออยากจะรู้ว่ากิเลสของคนจะมากเท่าไร แล้วยังจะตอหลดตอแหลไปได้อีกนานเท่าไร บางทีเห็นแล้วก็สมเพชเวทนา แต่ในเมื่อไม่ถึงวาระช่วยไม่ได้ ก็ได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าปล่อยไว้นานไป ก็อาจจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมได้

    ตรงนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวให้แก่ญาติโยมได้สังวรณ์เอาไว้ว่า เรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ท้ายสุดญาติโยมชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนนั้น ยังจะให้การสนับสนุนต่อไปอีกเท่าไร ? ก็ได้แต่หวังว่าชาวบ้านจะมีความอดทนพอ ไม่เช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็คงต้องหาเจ้าอาวาสใหม่ไปให้เขาอีก วันนี้จึงขอบอกกล่าวกับทุกท่านแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...