ขอคำแนะนำวิธีพอกกายทิพย์ด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Grid N., 2 พฤศจิกายน 2021.

  1. Grid N.

    Grid N. สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2021
    โพสต์:
    3
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10
    ผมเคยตกใจกับภาพนิมิตจนสะดุ้งออกจากสมาธิในฉับพลันทันทีเมื่อนานมาแล้ว (เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้) ปัจจุบันแม้ใจจะสงบเพียงใดจิตก็ยังไม่ดิ่งลึกลงสู่สมาธิ ประมาณว่าจิตนิ่งสงบแต่สัมผัสทั้งหมดยังเปิดรับตลอดเวลา บางครั้งแค่เสียงไม้ลั่นก็มีอาการเย็นวาบขึ้นไปถึงท้ายทอย ผมไม่ได้หวาดระแวงหรือกลัวผีนะ แต่มันเป็นของมันเอง สรุปว่าทำยังไงก็เข้าไม่ได้

    เคยอ่านเจอว่าอาการนี้ต้องรักษาด้วยการ พอกกายทิพย์ ซึ่งกรณีของผมแค่ตกใจรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นเสียสติ จึงอยากขอเมตตาจากท่านผู้รู้กรุณาให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขด้วยครับ ท่านใดส่องผมได้ก็รบกวนด้วยนะครับ อยากรู้ว่าติดขัดอะไรตรงไหน ต้องทำอย่างไร จะเป็นผลจากกรรมหรืออะไรก็ตาม จะได้เดินถูกทางครับ

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2021
  2. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    251
    ค่าพลัง:
    +23,891
    ก่อนอื่นผมขออนุญาตเรียกคุณ @Grid N ว่า “พี่กริช” นะครับ ชื่อสมมตินะครับ เพราะผมโพสต์เรียกคุณ @Grid N มันพิมพ์ยากกว่าพิมพ์ว่า พี่กริช” นะครับ (^_^) และผมขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่ ผู้รู้ นะครับ _/\_ ผมเป็นเพียงแค่ กัลยาณมิตรธรรมดา คนหนึ่งที่เด็กกว่าพี่มากซึ่งพอจะมีความรู้อยู่บ้างในทางธรรมะ และ รักษาศีลอย่างเคร่งครัด สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำและปฏิบัติธรรมตามสมควรครับ (^ ^) ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ขอให้พี่กริชลองพิจารณาอ่านอย่างช้าๆอย่างพินิจพิเคราะห์นะครับ _/\_

    ทีละประเด็นนะครับพี่: 30 กว่าปีก่อนที่พี่กริชเคยทำสมาธิจนเห็น “นิมิต” ในสมาธิเป็นครั้งแรก พี่ก็รู้สึกตกใจกับการเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยสีหมองๆ นั่งพับเพียบมองดูพี่อยู่ใกล้ๆ พี่กริชตกใจจนหลุดออกจากสมาธิในฉับพลัน หลังจากวันนั้นพี่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความสงบได้อีกเลย… พี่กลับมาเริ่มปฏิบัติจริงจังอีกครั้งเมื่อสัก 1 ปีมานี้ แต่จิตสงบได้ไม่นาน รู้สีกไม่นิ่ง… พี่กริชทำๆหยุดๆ ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง


    ผมว่าพี่กริชควรเอา “สติ” ของพี่ไปจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกครับ หายใจช้าๆ หายใจเข้ากำหนดว่า “พุท” หายใจออกกำหนดว่า “โธ” แล้วตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบลงแล้วไม่ต้องบริกรรมว่า “พุทโธ” ก็ได้ครับ แต่ขอให้ตามดูลมหายใจเฉยๆ เมื่อจิตสงบลงถึงที่สุดแล้วก็จะเกิดสมาธิครับ


    การ "เห็น" ในสมาธิซึ่งเป็นการเห็นด้วยจิตนั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเรียกว่า นิมิต” ทั้งสิ้น เห็นในรูป เรียกว่า “รูปนิมิต” เห็นในเวทนา เรียกว่า “เวทนา (นิมิต)” สัญญา สังขาร วิญญาณ (อาการรู้) ทั้งหมดนี้ล้วนเรียกว่า “นิมิต” ครับ


    นิมิตเกิดจาก มโนยตนะ (มานะยตนะ - ใจ) ผัสสะกับอายตนะภายใน อาการที่มีผัสสะ เรียกว่า เสพ-เข้า เสพ-เสวยอารมณ์ (เป็นต้น) ครับ

    ถ้าพี่กริชเอา “สติ” ของพี่ไปจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอย่างถูกวิธี “จิต” จะนิ่งลงโดยลำดับจนเกิดสมาธิ แต่ก่อนจะเกิดสมาธิ ถ้ามาถูกทางแล้วจะเกิดความเพลินที่เรียกว่า “ปราโมทย์” ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีความรู้สึกซาบซ่านเกิดขึ้นที่เรียกว่า “ปีติ” แล้วลมหายใจก็จะสงบลง หรือ อาการทางกายต่างๆ (อาการพอง อาการยุบ) ก็จะสงบลง เรียกว่า “ปัสสัทธิ” มันจะสงบลง โปร่ง เบา ผ่อนคลาย เมื่ออาการทางกายเป็นอย่างนี้ก็คือมีสมาธิคือจิตนิ่ง จิตนิ่งหรือจิตเป็นหนึ่ง ตัวนี้คือ “สมาธิ” เมื่อพี่กริชมีสมาธิจิตที่เข้มแข็ง สติเข้มแข็งแล้ว พี่กริชจะรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งทางกาย ทางความรู้สึก ทางความคิด และก็ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่กริชตามความเป็นจริงครับ หากพื้นฐานดีแล้วควรนำไปต่อยอดต่อไปครับ


    ถ้าพี่กริชมาถูกทางแล้วกล่าวคือ เวลาที่พี่กริชหายใจได้ถูกต้อง (ลองหายใจยาวๆ ตามลมหายใจ หายใจเข้าลึกๆ นี่คือวิธีเรียกสติที่ดีที่สุด) แล้วสติมาโดยอัตโนมัติ เมื่อสติมาสมาธิก็มา สมาธิมาเดี๋ยวปัญญา (โลกียปัญญา กับ โลกุตรปัญญา) มันก็มาครับ


    ประเด็นที่ 2 นะครับพี่: ผมว่าพี่กริชน่าจะถูก “จริต” กับการสวดมนต์นะครับ ซึ่งพี่กริชเคยสวดมนต์หลายบททั้งเช้าและค่ำ โดยเฉพาะบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ก่อนหน้านั้นพี่กริชไม่ได้สวดมนต์บทนี้แต่อย่างใด ต่อมาหลังจากสวดมนต์บทดังกล่าวพี่ก็เริ่มได้ยินเสียงสวดมนต์แผ่วเบาแว่วเข้ามาในหูบ่อยๆในทุกอิริยาบถ ทั้งที่บ้านและที่ทำงานและในขณะขับรถ และพอจะหาที่มาของเสียงดังกล่าวมันก็จะเงียบหายไปในทันที… พี่จึงลดการสวดมนต์เหลือเพียงวันละครั้ง และงดสวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกหลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้ยินเสียงดังกล่าวแว่วเข้ามาในหูอีกเลย


    การที่พี่กริชมีประสบการณ์สัมผัสกับ “นิมิต” ดังกล่าวได้นั้น ผมว่าพี่น่าจะถูก “จริต” กับการสวดมนต์นะครับ โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยสงฆ์นั้นเกิดขึ้นได้เพียง 5 โอกาสเท่านั้น และการสวดมนต์ด้วยความศรัทธาในคุณพระรัตนตรัย สวดมนต์อย่างมีสมาธิตั้งมั่นและแน่วแน่ ไม่ใช่สวดมนต์แบบนกแก้ว นกขุนทอง และไม่จำเป็นต้องสวดมนต์แปล แต่ควรจะทราบรู้และเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์หรือที่มาของบทสวดมนต์นั้นๆในขณะที่สวดมนต์อยู่ก็เป็น “เหตุ” และ “ปัจจัย” หนึ่งในการบรรลุธรรมนะครับพี่


    B.PNG

    หากพี่กริชฝึกปฏิบัติไปจนมีกำลังสติและสมาธิถึงระดับหนึ่งที่มีความเฉียบคม และ ละเอียดมากขึ้น จนสามารถรู้เท่าทัน อาการทางกาย ความคิด อารมณ์ และ ความรู้สึกของตนเองตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะแล้ว… เกิดปัญญาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตามกฎไตรลักษณ์... เห็นการเกิด ดับ ของรูปและนาม ขันธ์ 5 (กฎไตรลักษณ์) ซึ่งตรงนี้ก็คือเอกายนมรรค และ สติปัฏฐานนั่นเองครับ

    เอกายนมรรค และ สติปัฏฐานมีความหมายเหมือนกันคือเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกำจัดกิเลส ต่างกันที่เอกายนมรรคแสดงให้เห็นถึงว่า เป็นทางเดียว ส่วนสติปัฏฐานแสดงให้เห็นถึงความมีสติมาก เพราะมีอารมณ์ให้สติระลึกมาก ต่างกันแค่พยัญชนะและตัวอักษรในการเขียนเท่านั้นครับ ซึ่งบุคคลที่อบรมเจริญสติปัฏฐานก็ชื่อว่าอบรมอริยมรรคมีองค์ 8 (วิรัทธสูตร)


    "สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งปรารภแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าปรารภอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ" อ้างอิงที่มาจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 477


    ข้อควรระวังสำหรับการปฏิบัติคือวิปัสสนูปกิเลสครับ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ตลอดสายของการปฏิบัติครับ วิปัสสนูปกิเลสนี่ทำให้นักปฏิบัติหลายๆท่านวิปลาสมาเยอะแล้วครับพี่ (หมายเหตุ: วิปลาสแปลว่าคลาดเคลื่อนไปจากธรรมดาสามัญ, ผิดปกติไปในทางเสื่อม ไม่ได้หมายถึง บ้า หรือ เสียสติ นะครับ) ขอทิ้งท้ายด้วยข้อธรรมะที่ว่า "ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของสติปัฏฐาน ๔ ... ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้เป็นเลิศ"


    … ที่ผมโพสต์ตอบพี่กริชมาทั้งหมดนี้ ผมขออนุญาตเรียนซ้ำย้ำอีกครั้งหนึ่งนะครับว่าผมนั้นไม่ใช่ ผู้รู้ นะครับ ผมเป็นเพียงแค่ กัลยาณมิตรธรรมดา คนหนึ่งที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างในทางธรรมะนะครับ (^ ^) ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ (^_^) ขอให้พี่กริชลองพิจารณาอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์โดยใช้ โยนิโสมนสิการ และ กาลามสูตร ครับ _/|\_


    พี่กริชหมั่นปฏิบัติให้ต่อเนื่องนะครับ (^ ^) ขอให้พี่กริชมีความเจริญในทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ… บุญรักษาครับ _/\_


     
  3. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    กายทิพย์ เป็นสุขุมรูป

    ลมปราณ จะเป็นตัวผสานให้สมดุล
    เชื่อมกายหยาบ และกายทิพย์ให้สมดุลย์

    จริงๆคำว่าพอกกายทิพย์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรหรอกครับ
    เป็นเพียงภาษา ของสำนักที่เข้าใจไปทางนั้น
    เข้าใจเรื่องนิมิตไปทำนองนั้น

    กรรมฐาน ของอานาปานสติ ของพระพุทธเจ้า
    หรือทุกวิธี ของพระพุทธเจ้า
    ทำจิตกับกาย สมดุลย์ไปในตัวอยู่แล้วครับ
    ไม่มีอะไรจะต้องกังวัล

    ส่วนเรื่องตกใจ ก้ไม่ใช่ปัญหาครับ
    ฝึกสมถะ เวลาจิตจะเดินเข้าความสงบ
    เกิดเสียงหรืออะไรตังๆ จะตกใจ แทบกระเจิง
    แต่หากฝึกบ่อยๆ ซ้ำๆ
    ก็จะค่อยๆรู้จังหวะและผ่านไปได้
    เสียงเป็นข้าศึก ของการทำฌาน
    ทีนี้ เวลาฝึก ก้ให้สลับ เดิน กับนั่ง


    จะผ่านไปได้คือ ฝึกบ่อยๆ ซ้ำๆ ต่อเนื่อง

    เรื่องนิมิตก้เหมือนกันครับ
    นิมิตจะเกิดตอน จิตเข้าสู่อุปจาระสมาธิ
    เรียกว่า
    ก่อนจะเข้าสู่ลำดับฌานมีปฐมฌานเป็นเบื้องต้น

    ถ้าจิตปัญญาอ่อน จะเจอสารพัดนิมิต
    ถ้าจิตเป็นปัญญากล้า นิมิตจะไม่ค่อยเกิด
    เพราะงงหรือ สงสัย หรือเอะใจ ในสิ่งที่เจอในเสียงมั่ง
    ในรูปนิมิตมั่งหรือ สัมผัสทางกาย ทั้งเสียงทั้งกลิ่นมั่ง
    จิตจะตกจากอุปจาระสมาธิ
    ไม่เข้าลำดับฌาน

    แต่ทุกอย่าง ไม่ใช่ปัญหา หากฝึกบ่อยๆ
    ซ้ำๆ ต่อเนื่อง ในแบบเดิมๆ ก็จะผ่านไปได้ครับ

    ถ้าจะแนะนำเพิ่มเติม
    ก็จะแนะนำ ให้ สวดธัมจักร
    กับ กรณียเมตตาสูตร เป็นวัตรเช้าเย็นครับ
     
  4. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    เข้าไม่ได้เปิดการรับรู้บลาๆๆทางภายนอก
    ก็ฝึกสมาธิได้เหมือนกัน ไม่มีอะไรให้ซีเรียสว่าต้องเข้าได้
    ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้ สมาธิแบบลืมตารับรู้ภายนอกบลาๆๆก็มี

    ก็เหมือนตอนที่ว่าได้ยินเสียงไม้ลั่นตกใจแล้วเย็นวาบขึ้นไปถึงท้ายทอย
    ณ ขณะนั้นจิตมีอาการแบบนั้นก็รู้ไปตามจริงแบบนั้น
    ณ ขณะจิตต่อๆไปมีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ไปตามจริงแบบนั้น
    ก็มีสติตามรู้อาการบลาๆๆที่เกิดขึ้นกับจิตไปเรื่อยๆ
    รู้ตามจริงต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็เป็นสมาธิแบบลืมตา
    ยืน เดิน นั่ง นอน

    ตกใจแล้วเย็นวาบผมก็เคย จะเข้าประตูเล็กหน้าบ้าน
    กำลังจะเปิดไขประตู แล้วกล่องจดหมายที่ติดไว้กับประตูเล็ก
    ก็มีนกบินออกมาจากกล่องจดหมายระหว่างผมกำลังจะเปิดประตู
    โดยปกติอะไรที่เราเห็นว่าเป็นธรรมดาเราจะไม่ตกใจ
    อะไรที่มันผิดแปลกไปจากเดิมจากทุกทีเราก็ตกใจได้
    เพราะจิตมันยังไม่ยอมรับความจริงในความเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้น
    ไปติดสัญญาความคุ้นเคยว่ากล่องจดหมายมันไม่มีอะไรแบบนี้ออกมา
    แต่ในความเป็นจริงของความธรรมดามันไม่จำเป็นต้องเป็นในแบบ
    สัญญาที่เราคุ้นเคยว่าต้องเป็นแบบนี้สิถึงจะธรรมดา
     
  5. Grid N.

    Grid N. สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2021
    โพสต์:
    3
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอขอบคุณในไมตรีจิตจากทุกท่านนะครับที่ช่วยกันให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างมาก รวมถึงในกระทู้ก่อนหน้านี้ด้วย
    ผมตกลงว่าจะบวชครับ อายุ55แล้ว ตัวคนเดียวไม่มีห่วง ไม่รู้จะดิ้นรนหาเงินไปให้ใคร เอาเวลาที่เหลืออยู่หาความสงบ ตุนเสบียง(บุญ)ไว้น่าจะดีกว่า ไม่ใช่เพราะเคร่งเครียดกับการปฏิบัติทางจิตนะ แต่ลึกๆในใจมันอยากบวชมาพักใหญ่แล้ว และคาดว่าคงจะได้บวชภายในเดือนนี้ครับ

    อนุโมทนากับการบวชในครั้งนี้กันนะครับ
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,101
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    การเจริญกรรมฐานแบบใดก็ตามที่ไม่ทิ้งหลักสติปัฏฐานสี่ ไม่เร่งเกินกำลัง เพียรเจริญให้ทุกอิริยาบถที่ระลึกได้ จนกว่ากระแสความตั้งมั่นจะต่อเนื่อง ต่อติด แล้วก็จะรวมตัวเมื่อปัจจัยถึงพร้อม

    ให้จิตวนเวียนในกาย เวทนา จิต ธรรม

    เพียรหล่อเลี้ยง พอกพูน ให้สติ และสัมปชัญญะ เจริญขึ้น

    ไม่เคร่งจนเครียด ไม่หย่อนจนเกียจคร้านเป็นนิวรณ์

    อาการทั้งหมดที่ท่านเจ้าของกระทู้เล่ามา จะทุเลาลง

    ถ้าสติ-สัมปชัญญะ ว่องไว ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบอายตนะทั้งหก จิตจะทันการกระทบ และไม่เกิดการเสียศูนย์อย่างรุนแรงเช่นตกใจ ใจวูบวาบ กายสั่นใจเต้นแรงเพราะตกใจเป็นต้น


    สติ-สัมปชัญญะที่เจริญแก่กล้าเพียงพอ จะทำให้จิตไวแต่ใจตั้งมั่น เหมือนน้ำในแหล่งน้ำที่ลึก ซึ่งลมและสิ่งต่างๆทำให้ผิวน้ำมีคลื่นเล็กน้อย แต่ข้างล่างลงไปกลับนิ่ง แน่น สงบ ทั้งๆที่เป็นน้ำในแหล่งน้ำเดียวกัน

    ขอให้ท่านเจริญในธรรมอันดีงามยิ่งขึ้นไปสมปราถนา อนุโมทนาสาธุ


    ?temp_hash=36b221c241921320e979e0f207605ce2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ลองขอพระผงจักรพรรดิ์มากำเวลาเข้าสมาธิครับ

    เมื่อก่อนผมก็เจอหลายแบบ ไม่กล้าเข้าสมาธิไปหลายปี

    นั่งอยู่คนเดียวโดนถีบหัวทิ่ม โดนไปหลายที โดนกดหัวมั่ง หลายอย่าง จำไม่ค่อยได้แล้ว ซัก 30 ปีที่แล้ว

    พอได้พระผงจักรพรรดิ์มากำ เข้าสมาธิสบายเลย
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อาการอย่างนี้ จะเรียกว่า กายทิพย์บอบช้ำ ครับ
    จะเป็นกันมาก แก่ ผู้ที่ฝึกถอดกายทิพย์ใหม่ๆ
    จะเกิดจากการที่ หูเราเป็นทิพย์ เมื่อตอนที่เข้า
    ญานที่สอง ก็คือ ญานวิจารณ์ นั่นเอง เมื่อถึงญานนี้
    ใจจะนิ่งมาก จนกระทั่งเริ่มต้ดอาการรับรู้สิ่งภายนอกกาย
    แค่เพียงแค่มี คนเดินผ่านมา เท่านั้น
    จิตของเราที่นิ่งๆ อยู่ จะตกใจทันที

    วิธีแก้ ก็คือ ขณะที่เข้าญาน
    อย่าทำคนเดียว ให้มีคนอยู่ใกล้ๆ คอยระวัง
    ไม่ให้มีอะไรเข้ามาทำให้เราตกใจ หรือ
    ให้เปิดเพลง ขณะที่เราฝึกเข้าญาน
    เพื่อให้ เสียงเพลง ช่วยให้ใจของเราทนต่อ
    เสียงภายนอกได้ ค่อยๆ เปิดเพลงดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งชิน
    จะทำให้ เราอยู่ในที่ที่มีเสียงดังได้ดีขึ้น
    ส่วนอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ ให้ฝึกเจริญมรณะสติ
    ในระหว่างการฝึกเข้าญาน เช่น
    เปิดธรรมะในเรื่องความตาย
    พิจารณาควบคู่ไปด้วย เป็นการตัดสักกายะทิฏฐิ อย่างหนึ่ง
     
  9. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมเคยตกใจกับภาพนิมิตจนสะดุ้งออกจากสมาธิในฉับพลันทันทีเมื่อนานมาแล้ว (เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้)
    -เป็นภาพแบบไหนครับลักษณะอย่างไรครับ

    ปัจจุบันแม้ใจจะสงบเพียงใดจิตก็ยังไม่ดิ่งลึกลงสู่สมาธิ
    - สงบแบบไหนครับ แล้วอาการที่ต้องการที่ดำลึงลงสู่สมาธิเป็นอย่างไรครับที่ต้องการ

    ประมาณว่าจิตนิ่งสงบแต่สัมผัสทั้งหมดยังเปิดรับตลอดเวลา
    - เป็นเช่นนั้นอยุ่แล้วครับ มันก้เหมือนคุณตั้งใจอ่านหนีงสือแต่คุรก้ยังได้ยินเสียงโทรทัศ หรือรู้สึกร้อนหนาวจากอากาศ หรือได้กลิ่นของอาหารไปด้วย แต่คุรก้สามารถอ่านหนังสือต่อไปได้ เพราะคุณจดจ่อในเนื้อหาและใคร่คราวตามไป

    บางครั้งแค่เสียงไม้ลั่นก็มีอาการเย็นวาบขึ้นไปถึงท้ายทอย
    - ความเงียบไม่ใช่ความสงบครับ ความสงบคือการจดจ่ออย่างต่อเนื่องแบบสบายๆ เหมือนที่ยกตัวอย่างครับในการอ่านหนังสือหรือขับรถแต่ก้ยังได้ยินเสียงและรับรุ้ทุกๆอย่าง

    ผมไม่ได้หวาดระแวงหรือกลัวผีนะ
    -ดีแล้วครับ

    แต่มันเป็นของมันเอง สรุปว่าทำยังไงก็เข้าไม่ได้
    -ดังนั้นต้องขอคำอทิบายเพิ่มครับว่าต้องการเข้าสุ้สมาทิแบบไหนครับ

    ขอแนะนำเพิ่มเตมจากที่อ่านนะครับ
    -สมาธิที่ทำควรมีอารมสบายไม่มุ่งเป้า ว่าจะต้องเงียบ ต้องไม่มีสิ่งใดรบกวน แต่ต้องเข้าใจว่ามันเหมือนเช่นตอนคุณลืมตาอยู่ ตอนนั้นเสียงและสิ่งอื่นใดก้มีอยุ่ในสถานที่นั้นปกติ แต่ใจคุรไม่ได้รุ้สึกลำคานอะไรดังนั้น ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทาง ปติคะ เป็นอุปกิเลสครับของจิต ที่ทำไห้คุนไม่มีสมาทิ เมื่อคุนไปพิจารนาถึงมันเองจิตก้ส่งออกไป จึงไม่เกิดความสงบที่ไม่ใช่เงียบ แต่จิตสงบเพราะไม่มี ปติคะครับ ความตั่งมั่นของสมาทิที่คุนต้องการคือต้องการเข้าสุ้ระดับ ณาน สมาธิระดับ ณานจะมีความแตกต่างจากก่อนที่เข้าสู่ ณาน ชัดเจน คุนจะไม่ถูกรบกวนด้วย ปติคะ จึงรุ้สึกสบายๆเพราะมี เวทนาเป็น สุข และ กลาง สลับกันไป เมื่อไม่ถุกชักจูงไปในสิ่งอื่นที่มา ปติคะ คุณก้จะสามารถที่จะตั้งจิต วิตก ถึงรูปที่ต้องการได้ อาจจะเป็น รูปลม ในอานาปานสติ หรือรุป ธาตุ ในกสิน เมื่อมีวิตกที่ตั้งมั้นไม่สัดส่ายไปด้วย ปติคะและ กามฉันทะ (เมื่อคุณตรึกนึกถึงสิ่งอื่นที่คุณพอใจ จิตก้จะส่งออกไปในกามฉันทะนั้น รุป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) เมื่อกำหนดวิตกในรุปสัญญา เละไม่ถูกรบกวนด้วยนิวร อันมีความ ฟุ้งซ่าน อุททัจจะกุกุจจะ ปติคะ กามฉันทะ ไม่มีความท้อถอยใน ถีนะมิทะ และลังเลสงสัย ก้จะเริ่มต้นเข้าสู่ปฐมณานครับ อารมจะสบายๆรุ้ทุกอย่าง แต่ไม่ได้ส่งออกไปรุ้ เพราะกำหนดรู้ในกรรมฐาน รูปสัยญาที่ วิตก จิวาร ครับด้วยอารม สุขและเอคตา เมื่อรุ้รุปสันยาอย่างไรเกิดขึ้น ก้รู้อยุ่อย่างนั้นครับเมื่อสัดส่ายไปสิ่งอื่นก้กลับมารุ้ดังเดิมไม่ต้อง ขัดข้องใจครับเป็นะธรรมดา รุ้ปิติที่เกิดขึ้นครับ และรู้ปิติที่ดับลงไป ส่วนหลังจากนี้ไปอารมในกรรมฐานจะคล้ายกันใน สุขและสงบสบาย แต่รูปสัญญาที่กำหนดจะต่างกัน ที่ปรากดครับ แต่สิ่งที่ปรากดนั้นครับไม่ตกใจครับแต่อาจจะอัศจรรแก่ใจในสิ่งที่ได้เห็น ท่าตกใจก้แปลว่าจิตนั้นไม่มีสติแต่แรกแล้วครับ อุททัจจะกุกุจจะ เป้นตัวกั้นสมาธิครับ


    เคยอ่านเจอว่าอาการนี้ต้องรักษาด้วยการ พอกกายทิพย์
    ซึ่งกรณีของผมแค่ตกใจรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นเสียสติ
    -ท่ามีอาการแปลกที่เป็นผลเสียผมว่าไม่น่าใช่สมาทินะครับ สมาทิเป็นอารมโล่งโปร่งสบายและรุ้เห็นตามจริงในสภาวะนั้นๆที่เกิดขึ้น และหลุดออกจากณานเมื่ออำนาจของนิวรเข้าคลอบงำจิตได้เช่น ถีนนะมิททะ มาทำให้เกิดความท้อแท้ต้องการเลิกทำสมาทิ หากคุรละอารมละอุปทานจิตที่คุณไม่ต้องการได้มันก้ไม่ใช่ปันหาเลยครับจะนั่งยาวไปเท่าไรห่ก้ได้ การนั่งนานนั่งสั้นไม่เกี่ยวกับการเข้าสู่อง ณานได้ครับอยู่ที่คุณละนิวรลงได้ตอนไหน เพื่อตั้งจิตในรุปสัญญาได้อย่างสงบครับ
    จึงอยากขอเมตตาจากท่านผู้รู้กรุณาให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขด้วยครับ
    -ตอบตามความรู้เท่าที่มีครับผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
    ท่านใดส่องผมได้ก็รบกวนด้วยนะครับ
    อยากรู้ว่าติดขัดอะไรตรงไหน ต้องทำอย่างไร
    -พิจารณาว่านิวรณนั้นสงบจากใจแล้วหรือยังครับ หากสงบแล้ว ก้รู้เฉยๆในรูปสัญญาที่กำหนดเท่านั้นแหละครับทุกอย่างจะเป็นไปเอง สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นนอกเหนือจากสิ่งที่คาดหวังจะเกิดขึ้นเองครับ
    จะเป็นผลจากกรรมหรืออะไรก็ตาม จะได้เดินถูกทางครับ
    - ลองทำดูครับท่านั่งแล้วรุ้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจ ให้หาว่าเพราะอะไร ความคิดความรู้สึกนั้นเพราะเราไปยึดเอาไว้ครับอะไรเกิดขึ้นเราปล่อยไปสนใจแต่สิ่งที่เราจะละลึกเท่านั้นครับ

    *** เมื่อจะไปที่ใดไม่รู้จักว่าที่นั้นเป้นเช่นไร ถึงไปถึงแล้วก้อาจไม่รู้ว่าถึงแล้วแต่ผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา *****
     
  10. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    จิตที่ว่างจากนิวร จิตนั้นก้เป็นสมาธิครับ ถึงแม้ไม่หลับตาทำกิจตามประจำวันทุกอย่างขอให้สังเกตใจไว้ตลอดว่ามีนิวรในจิตหรือไม่ นิวรที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ต้องไปพยามดับ แต่ขอให้พิจารนาจนเข้าใจก่อนว่ามันมีประโยชอย่างไรที่เราตามดูตามรุ้สิ่งเหล่านั้นไป เมื่อพิจารณาเห็นชัดเจนในประโยชที่ไม่มีแล้ว เมื่อเกิดนิวรใดๆขึ้นตลอดเวลาก้จะไม่ไปตามสนใจมันจิตก้จะว่างครับและเป็นสมาธิ (เช่นพยาบาทเกิดขึ้น คนที่ไม่สบายใจก้คือตัวเอราเอง ยิ่งคิดไตร่ตรองในพยาบาทไปนานเท่าใดใจเราเองที่ร้อนรนไปนานเท่านั้นครับดังนั้นเม่อเรารู้ชัดในความร้อนรนนั้นเราอยากอยุ่ในความร้อนรนนั้นไหมครับท่าไม่อยากเราก้ปล่อยมันไปครับเรารุ้เมื่อมันเกิดแต่เราเปล่อยมันได้เลยในทันทีครับ และอื่นๆเช่นกันครับ ทั้งฉันทะที่เกิดขึ้นๆทุกๆอย่าง ความอยากใจเราร้อนรนอย่างไรครับเมื่ออยาก เราไม่อยากร้อนรนเราก้ทิ้งมันไปเสียครับ ฟุ้งซ่าน ท้อแท้ กังวล เช่นกันครับ เมื่อไม่ตรึกถึงสิ่งใดเมื่อจะตรึกถึงสิ่งใดสิ่งเดียวก้ง่ายครับแม้ไม่หลับตา ) มันก้เหมือนคุรใช้ชีวิตปกติที่คุรก้ไม่ได้ไปสนกับสิ่งต่างๆที่มันอยู่รอบตัว เมื่อคุรไปหยิบเอาสิ่งใดมาสิ่งนั้นก้เป็นสิ่งที่คุนเข้าไปเสพเองครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    จำเป็นต้องฝืน เริ่มด้วยการ
    เจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจริงๆ
    และก็นั่งสมาธิในระดับที่จิตสงบพอ
    พอใกล้จะถึงกิริยานั้น จำเป็นต้องฝืน
    จิตจะมีกำลังที่จะไม่กลัวได้เอง
    แก้คล้ายๆคนที่ตกใจเสียงดัง เวลานั่งสมาธินั่นหละครับ
    ประมาณ ๓ ถึง ๔ รอบก็หายถ้าทำได้ครับ

    ปล. ความเห็นส่วนตัวนะครับ
    ไม่เกี่ยวกับการฟอกกายทิพย์ครับ
    การฟอกกายทิพย์ จะทำในกรณี ที่บุคคล
    สามารถยกกายละเอียด(หรือกายอุปโลกน์ตามสภาวะธรรม ณ ช่วงเวลานั้น หรือ ตามสภาวะจิต ณ ช่วงเวลานั้น) แบบนอนๆหรือนั่งอยู่
    แล้วมีอีกกายลุกออกไปข้างนอกได้ คือถ้าหันมาจะเห็นกายตนเองในท่าทางล่าสุด ในสภาพแวดล้อมนั้นและที่สำคัญ สภาพแวดล้อมไม่ใช่เงียบๆนะครับ เรียกว่า แค่เสียงลมพัดก็รู้สึกว่า ได้ยินแบบหูแทบแตก

    แล้ว กายทิพย์นั้น ถูกนามธรรมที่ไม่ดี มาจับเส้นสายใย
    ที่มันอยู่ด้านหลังกายทิพย์(คือ ถ้าค่อยๆลุกออกมา หรือ ค่อยๆยืน มันจะรู้สึกถึงเส้นสายใยนี้ได้ชัดเจน) เค้าเรียกว่า เส้นสายใยสะเทือน บ้างก็เรียกกายทิพย์สะเทือน
    ผลคือ อย่างหนัก ถ้าถูกตัดขาด ก็จะกลับเข้ากายไม่ได้ อย่างเบา คือ ถ้ามีนามธรรมไม่ดีมาจับ บุคคลนั้นก็จะวิปลาสได้ กรณีที่วิปลาสครับ ถึงจะใช้คำว่า แก้ด้วยการพอกกายทิพย์ครับ แต่โดยปกติแล้ว บุคคลที่ทำได้ มักมีครูบาร์อาจารย์ หรือ พันธมิตรทางภพภูมิคอยดูแล ป้องกันเหตุการแบบนี้อยู่ครับ ยกเว้นบุคคลที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแล้วออกไปเที่ยวไกลบริเวณที่ตนเองนั่งหรือนอนอยู่มากเกินไปครับ

    ดังนั้น จขกท ไม่ต้องกังวัลอะไรครับเกี่ยวกับเรื่องนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...