ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099

    ขออีกครั้ง

    1. หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในชีวิต

    เรามักมองเห็นว่า เราได้ทำผิดอะไร ทำบาป ทำกรรมอะไร

    เรามักมุ่งไปใส่บาตร ทำบุญ เพื่อปลดและปล่อยความทุกข์ในใจเราออกไป

    ซึ่งมาวันนี้ เราเองก็รู้อยู่ว่า การทำบุญแบบนั้น บุญที่ได้ก็ไม่ค่อยจะดี



    2. และมาวันนี้เราเองได้รับรู้ว่า

    ใจที่สัมผัส ความสุขใจ ความสุขของลมหายใจ

    ลมหายใจเข้าสุขใจ ลมหายใจออกสุขใจ

    ลมหายใจที่เข้าและออก ในแบบที่จิตใจไม่มีความเคลือบแคลง

    ลมหายใจ ที่ใจสะอาด ใจสงบ ใจเย็น และใจสุข + ความคิดเห็นที่ถูกต้อง

    แล้วเราทำความดี เราสร้างความดี ในแบบพื้นๆ

    เช่น ใส่บาตร ทำบุญ ถวายพระ ถวายผ้าไตร

    แล้วเราก็อุทิศส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร ในขณะที่ใจเราดีๆ นี้

    เพราะเราประสงค์ให้เขา รับรู้ได้อย่างใจเรา

    สะอาด สงบ สุข และเย็น อย่างไม่มีเคลือบแคลง



    เราเองก็รู้สึกว่า ท่านเจ้ากรรมนายเวร ก็อาจจะให้อโหสิกรรมแก่เราได้

    เพราะเราจะหมั่นทำ ค่อยๆ ทำ ทำเรื่อยๆ ทำบ่อย

    เพราะรู้ตั้งแต่เบื้องต้น 1. + 2.

    ในบางครั้งเอง เราก็ทำบุญ ทำกุศล เพื่อท่านอื่นๆ ด้วย

    เช่น พ่อแม่ บรรพบุรุษ รวมทั้งบุคคลอื่น ตามที่เราประสงค์ให้

    ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ ดีกว่าที่ไม่ได้ทำอะไร

    เพราะเราคิดในแบบพื้นๆ ให้ใจสุข ขยายความสุขใจให้ท่านอื่นๆ



    และที่สำคัญ ความคิดเห็นตรง ความคิดเห็นที่เหมาะควร

    ความคิดเห็นที่ไม่เคลือบแคลง (ระวังโลภ ระวังโกรธ ระวังหลง)

    บอกเล่าคนด้วยความสุขใจ เพราะเราทำ เราปฏิบัติ

    ที่ออกมาจากใจที่เป็นสุข + ความคิดเห็นที่ตรง



    "เมตตาเจโตวิมุติ"

    เรายังไม่รู้หรอกว่า ใจในแบบเมตตาเจโตวิมุติ คืออะไร

    มิใช่สมองคิดได้นะ แต่เป็นใจที่ทำได้ ต่างหาก

    แล้วทำจากเรา ขยายจากเรา ด้วยหัวใจเรา ไปสู่รอบข้าง ไปสู่ออกไป

    เพื่อความสงบ สุขใจ ไม่ร้อนรน ไม่เหนื่อย สบายๆ ดีกว่ามิใช่หรือ

    สาธุครับ
     
  2. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    24-04-08 Today I and family transfree money to tumboon
    500 B. Ref 110324 . code 499 .
    every bo sa tue boon with us na ka.:)

    Tanya Klyne and family :)
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เข้าไปดูกันหรือยัง ในเวบพลังจิตนี่ละ สามเณรอายุ 11 ท่านไปเห็นอะไรมา จะได้เป็นกำลังใจในการทำความดี และปฏิบัติดีกัน ปริยัติ คือ แผนที่ ปฏิบัติคือการเดินตามแผนที่ ปฏิเวธ คือ ผลจากการเดิน ปรับวิธีการเดินแผนที่ให้ตรงกับจริตของเรา อย่างน้อยก็ติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ นานเข้าๆ เราก็อาจเป็นดั่งสามเณรรูปนี้ตามผลของการปฏิบัติอย่างแน่นอน ถึงเวลามันรู้มันเห็นเอง ไปหยุดมันก็ไม่ได้ อุปมาดั่งกินข้าว กินเข้าไป ๆ ๆ ถึงเวลามันอิ่มเอง จะบอกว่า เฮ้ย..เอ็งอย่าอิ่ม จะเป็นไปได้หรือครับ



    http://palungjit.org/showthread.php?t=125112
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    น้อง chaipat ถ้าคิดว่าพอมีเวลาสัก 5-10 นาที/วัน ลองสมัครเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ดูซิ พอรู้เรื่องปรมัตถธรรมแล้ว มาประกอบกับจิตที่ได้ฝึกมา จะได้ความรู้ 2 ทางที่เป็นหลักวิชา และสภาวะธรรมตามความเป็นจริงที่ได้จากการปฏิบัติ พอจับหลักธรรมในขั้นนี้ได้แล้ว ก็เหลืออย่างเดียวคือต้องพิสูจน์ตามความเป็นจริง ว่าจิตประเภทต่างๆ นี้ต่างกันอย่างไร เจตสิกที่มากระทบกับจิต น่ะมันเป็นยังไง แล้วผลที่ได้ เป็นอย่างที่ตำราบอกไว้รึเปล่า ทีนี้ละ ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจหรือขยัน+ไตรสิกขา ที่เป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ ผลที่ได้ล่ะเป็นอย่างไร ถ้ารู้ได้ตามตำราโบกมือลาอบายภูมิได้เลยน้องรัก...
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กำลังมีอารมณ์ธรรมะบันเทิง ขอโพสท์ต่ออีกนิด หากเคยนำมาลงแล้วขออภัยด้วยจริงๆ เอามาจากห้องอภิญญา-กรรมฐานครับ
    <TABLE class=tborder id=post202011 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>[​IMG] WebSnow<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_202011", true); </SCRIPT>
    เว็ปมาสเตอร์ (วีระชัย)
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:55 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: London, England
    อายุ: 33 ปี
    ข้อความ: 6,250 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,186 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 37,385 ครั้ง ใน 3,916 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 50000 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_202011 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->"การทำสมาธิตามแนวสติปัฏฐานสี่" พระธรรมคำสอนของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    พระธรรมคำสอนของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์)


    วัดหินหมากแป้ง อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย

    [​IMG]


    การฝึกสมาธิด้วยวิธีเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมอันลึกซึ้งและมีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    สติปัฏฐาน 4 มีอยู่พร้อมแล้วที่กายที่ใจของเราทุกๆ คน ทั้งเป็นของดีเลิศ ผู้ใดตั้งใจแลเลื่อมใสปฏิบัติตาม โดยความไม่ประมาท เต็มความสามารถของตนแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่าอย่างช้า 7 ปี อย่างเร็ว 7 วัน อย่างสูงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อย่างต่ำจะได้เป็นพระอนาคามี เป็นต้น

    พระพุทธองค์เมื่อทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่หกปี ได้ทรงนำเอาหลักวิชาที่ได้ศึกษามาทดสอบหาความจริง ก็ไม่เป็นผล มีแต่จะทำให้ฟุ้งส่ายไปมาไม่สงบ จึงทำให้พระองค์ไม่อาจตรัสรู้สัจธรรมได้ เมื่อพระองค์ทรงย้อนมาดำเนินตามแนว ฌาน-สมาธิ ที่พระองค์เคยได้เมื่อสมัยยังทรงพระเยาว์ ซึ่งไม่มีใครสอนให้ แล้วจิตของพระองค์ก็สามารถเข้าถึงองค์ฌาน ได้สำเร็จพระโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

    นี่แสดงว่าเรื่อง ฌาน-สมาธิมัคคปฏิบัติ เป็นเครื่องกำจัด ชำระกิเลสอารมณ์ เครื่องเศร้าหมองออกจากจิต จิตจึงบริสุทธิ์ ความรู้อันนี้จึงเป็นไปเพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วก็ได้ธรรมอันบริสุทธิ์ของจริงของแท้ขึ้นมา ดังคติธรรมที่ว่า "ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ และสำเร็จได้ด้วยใจ"
    แปลเป็นแบบไทยๆ หมายความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นที่ใจ รู้เฉพาะใจของตน (ปัจจัตตัง) ฉะนั้น ใจจึงประเสริฐกว่าทุกสิ่ง เพราะใจเป็นผู้ให้สำเร็จกิจทุกกรณี

    ฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงนำเอาแนวปฏิบัติที่พระองค์ได้ทรงดำเนินมาแล้วนั้น มาสอนให้พุทธบริษัทปฏิบัติตาม กายกับใจเป็นของอาศัยกันอยู่ เมื่อจะกระทำความดีหรือความชั่วจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน การที่จะฝึกฝนชำระสะสางก็ต้องทำไปพร้อมๆ กัน ต้องอาศัยศีลเป็นเครื่องชำระซักฟอก ศีลที่จะมีสมรรถภาพสามารถฟอกกายให้สะอาดได้ ก็ต้องอาศัยใจมีเจตนางดเวันในการทำความผิด ด้วยมีความรู้สึกเกิดความละอายเกรงกลัวต่อบาป
    มนุษย์เราเกิดมาด้วยอำนาจบุญบาป ตกแต่งให้มาเกิด เมื่อเกิดมาแล้วปัจจัยนิสัยเดิมมันตามมาคร่า ตามอำนาจนิสัยเดิม แล้วใจของเราก็ชอบเสียด้วยเพราะว่าติดในความเคยชินในความเป็นทาสของมัน

    ฉะนั้นเมื่อจะรักษาศีล ก็มักจะอึดอัด ลังเลใจ เพราะกิเลสเป็นผู้บัญชาการอยู่ จิตเราจึงเดือดร้อนเพราะถูกกีดกันด้วยการรักษาศีล ดังนั้นศีลจึงให้โทษเป็นบาปแก่ผู้ขอสมาทานศีล จิตก็จะคอยแต่กาลเวลาให้หมดเขตของการรักษาศีล แม้ผู้บวชเป็นเณร เป็นพระก็เข้าทำนองนี้ ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจถึงการรักษาศีล หรือการปฏิบัติธรรมต่างๆ ว่าทุกอย่างนั้นสำเร็จด้วยใจ ด้วยความตั้งใจในการรักษาธรรมนั้นๆ ก่อนจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 จึงควรมีศีลเป็นที่ตั้งเสียก่อน เพื่อให้กาย วาจา เกิดความบริสุทธิ์เสียก่อน แล้วใจจะบริสุทธิ์ตามมาอีกทีหนึ่ง จะทำให้การปฏิบัติสติปัฏฐานมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น.

    [​IMG]
    สติปัฏฐาน 4 เป็นโลกุตตรธรรมและเป็นที่อบรมสติได้อย่างดี ประกอบด้วย
    1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณากายนี้สักแต่ว่ากาย มิใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา
    2. เวทนานุสติปัฏฐาน ให้พิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้สักว่า เวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
    3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว เป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
    4. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล ที่บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่า ธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
    สติปัฏฐาน 4 ถึงแม้ท่านจะจัดเข้าเป็นโลกุตตรธรรมแล้วก็ตาม ก็ยังต้องหมายเอาตัวของเราทุกๆ คนที่เป็นโลกียอยู่นี่เอง หมายความว่า การจะปฏิบัติให้ได้ สติปัฏฐาน 4 ได้ก็จำต้องเริ่มจากที่กายใจของเรา เหมือนกับต้องมีสิ่งสมมุติก่อน แล้วจึงจะพัฒนาเป็นสู่สิ่งที่เป็นอนัตตา

    ก่อนที่จะเจริญสติปัฏฐานแต่ละข้อ ขอให้พึงกำหนดไว้ในใจก่อนว่า สติกับใจอยู่ด้วยกัน สติอยู่ตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น ใจอยู่ตรงไหนสติก็อยู่ตรงนั้น ฐานที่ตั้ง-ที่ฝึกอบรมสติ คือสติปัฏฐาน4 ได้แก่ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม นั่นเอง

    [​IMG]
    แนวปฏิบัติสติปัฏฐานภาวนา

    ผู้จะลงมือเจริญสติปัฏฐาน 4 แต่ละข้อนอกจากเป็นผู้เห็นโทษทุกข์เบื่อหน่าย คลายความยินดีเพลิดเพลินติดอยู่ในกามคุณ 5 แลทำความเลื่อมใสพอใจในการปฏิบัติตามสติปัฏฐาน เพราะเชื่อตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า เป็นทางที่ให้พ้นจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงแล้ว อย่าได้ลังเลสงสัยในสติปัฏฐานข้ออื่นอีกที่เรายังมิได้เจริญ เพราะสติปัฏฐานทั้ง 4 เมื่อเจริญข้อใดข้อหนึ่งได้แล้ว ข้ออื่นๆ ก็จะปรากฏชัดแจ้งให้หายสงสัยในข้อนั้นเอง แล้วก็อย่าไปหวังหรือปรารถนาอะไรๆ ไว้ล่วงหน้าให้มาเป็นอารมณ์ เพราะจะเป็นอุปสรรคแก่การเจริญสติปัฏฐาน

    นัยที่ 1-1 เมื่อเอาสติไปตั้งลงที่กาย แล้วให้เพ่งดูเฉพาะกายเฉยๆ ไม่ต้องไปแยกแยะกายให้เป็นธาตุ-อสุภ อันใดทั้งสิ้น แม้แต่คำว่า กาย หรือว่า ตน ก็ไม่ต้องไปคำนึง ให้ตั้งสติเพ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตแน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้ว อารมณ์อื่นนอกนั้นมันก็จะหายไปเอง ในขณะนั้นจิตจะไม่ส่งส่ายไปในอดีต-อนาคต แม้แต่สมมุติบัญญัติว่าอันนั้นเป็นนั่น อันนี้เป็นนี่ก็จะไม่มี กายที่จิตไปเพ่งอยู่นั้นก็จะเห็นเป็นสักแต่ว่า วัตถุธาตุอันหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรา มิใช่เขา หรือ สัตว์ ตัวตน บุคคลอะไรทั้งนั้น นี่เรียกว่า จิตเข้า เอกัคคตารมณ์ นั่นคือเข้าถึงสติปัฏฐานภาวนาโดยแท้

    เมื่อจิตไปเพ่งวัตถุอันนั้นอยู่โดยไม่ถอน สักพักหนึ่งแล้ว วัตถุอันนั้นก็หายวับไป เมื่อสติไม่มีที่หมาย สติก็หมดหน้าที่ สติก็จะหายไปพร้อมๆ กัน แล้วจิตกับวัตถุภาพนั้นก็จะรวมเข้าเป็นจิตอันเดียว ซึ่งลักษณะคล้ายๆ กับคนนอนหลับ แต่มิใช่หลับเพราะมันยังมีความรู้เฉพาะตัวมันอยู่ต่างหาก แต่จะเรียกว่าความรู้ก็ยังไม่ถูก เพราะว่ามันนอกเหนือจากความรู้ทั่วไป นี่เรียกว่า เอกัคคตาจิต การเจริญสติปัฏฐานถึงที่สุดเพียงเท่านี้ สติปัฏฐานข้ออื่นๆ ก็เหมือนกัน

    อาการของการเจริญสติปัฏฐาน 4 ถ้าหากว่า จิตไม่รวมเป็นหนึ่งแต่มีการเกิดเป็นสองหรือมากกว่า ตัวจิตจะถอนออกมา จะมีความวุ่นส่งส่ายลังเล หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การเจริญสติปัฏฐานเบื้องต้นก่อนจิตจะเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิตนั้น คืออาการของจิตทำงาน จะต้องต่อสู้หรือผจญต่างๆ เมื่อจิตได้รวมเป็นเอกัคคตาจิตแล้ว ก็จะดำเนินพักผ่อนตามพอควรแก่เวลา แล้วจิตก็ออกตรวจ-จัดระเบียบ-ชมผลงานของตน-พร้อมๆ กับเกิดความปราโมทย์ ร่าเริงบันเทิงในผลของงานนั้นๆ
    ผลของการเจริญสติปัฏฐานทุกๆ ข้อ จะมีอาการคล้ายๆ กันทั้งนี้ทั้งนั้น อาจมีผิดกันบ้าง ซึ่งเป็นเพราะบุญบารมีนิสัยไม่เหมือนกัน
    ความจริงการงานของกายกับงานของจิตก็คล้ายๆ กัน ผิดที่งานของกายทำด้วยวัตถุ ที่ยังไม่สำเร็จให้สำเร็จแล้วก็พัก ส่วนงานของจิตทำด้วยนามธรรม (ปัญญา) ที่ยังหลงไปยึดไม่รู้เท่า เข้าใจตามเป็นจริง เมื่อชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยปัญญาแล้ว ก็หมดหน้าที่แล้วก็ปล่อย วางพักเอง

    อนึ่ง ภาพนิมิตและความรู้ต่างๆ อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังเจริญอยู่นี้ โดยมิได้ตั้งใจจะใหัมันเกิด แต่หากเกิดขึ้นเอง ด้วยอำนาจของสมาธิก็ได้ ตามจังหวะกำลังการเจริญนั้นๆ มิได้หมายความว่าทุกคนที่มาเจริญแล้วจะต้องเกิดภาพนิมิตก็หาไม่ เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะบุญบารมีนิสัยวาสนาของแต่ละคน และมิใช่แต่เรื่องภาพนิมิต เรื่องอื่นๆ ก็มีอีกแยะ
    ฉะนั้นผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐานควรอยู่ใกล้กับผู้ที่ฉลาดแลชำนาญในการเจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีเรื่องแลขัดข้องจะได้ตรงไหน ท่านจะได้ขี้แนะช่องทางได้ จะทำให้การเจริญสติปัฏฐานก้าวหน้าไปได้ถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น


    นัยที่ 1-2 เมื่อเอาสติตั้งลงที่เวทนา (โดยมากเป็นทุกขเวทนา) แล้วก็ให้เพ่งดูเฉพาะเวทนาเฉยๆ ไม่ต้องไปคิดค้นว่าเวทนาเกิดตรงนั้น จากนั้น แลอยู่ ณ ที่นั้นๆ อะไรทั้งหมด แม้คำที่เรียกว่า เวทนาๆ นั้นก็อย่าได้มีในที่นั้น เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่อย่างนี้ จิตก็จะปล่อยวางความยึดถือสมมุติบัญญัติเดิมเสีย แล้วจะมีความรู้สึกสักแต่ว่า เป็นอาการของความรู้สึกอันหนึ่ง ซึ่งมิใช่อยู่นอกกายแลในกายของเรา แล้วอารมณ์อื่นๆ ก็จะหายไปหมด
    เมื่อจิตตั้งมั่นแน่วแน่อยู่เฉพาะในลักษณะนั้นดีแล้ว บางทีทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าที่เกิดอยู่ในขณะนั้นจะหายวับไปเลย หากยังไม่หายเด็ดขาดจะปรากฏอยู่บ้าง อันนั้นก็มิใช่เวทนาเสียแล้ว มันเป็นสักแต่ว่าอาการอันหนึ่งเพียงเพื่อเป็นที่เพ่งหรือที่ตั้งของสติ เรียกว่า จิตเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตไม่ถอน ละเอียดเป็นลำดับแล้ว อาการอันหนึ่งซึ่งสติไปตั้งมั่นอยู่นั้นก็จะหายไป คงเหลือแต่เอกัคคตาจิต จิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสดวงเดียว เมื่ออยู่สักพักแล้วก็จะถอนออกมา ต่อจากนั้นก็เดินตามวิถีเดิม ดังที่ได้อธิบายมาในสติปัฏฐานข้อแรก


    นัยที่ 1-3 เมื่อเอาสติมาตั้งลงที่จิต (จิตในที่นี้หมายเอาผู้รู้สึกนึกคิด) แล้วก็ให้เพ่งดูเฉพาะแต่จิตเฉยๆ ไม่ต้องไปคิดว่าจิตเป็นบุญ จิตเป็นบาป อย่างนั้นๆ จิตดี จิตชั่ว จิตหยาบ จิตละเอียดอย่างนั้นๆ แม้แต่ชื่อแลบัญญัติของจิตอื่นนอกจากนี้ก็อย่าให้มี ณ ที่นั้น ให้ยังเหลือแต่สติที่เข้าไปเพ่งอาการอันหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะใหัวับๆ แวบๆ แต่มิได้ออกไปยึดแลไปปรุงแต่งอะไร
    เมื่อจิตกับสติรวมกัน เป็นอันหนี่งอันเดียวแล้ว สติก็ตั้งมั่นแนวแน่อยู่เฉพาะที่จิตนั้นอย่างเดียว เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตไม่ถอน ละเอียดเข้าแล้ว จิตคืออารมณ์ของจิตนั้นก็จะหายไป สติก็จะหายไปตามกัน แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นเอกัคคตาจิต นอกจากนี้อาการเหมือนดังได้อธิบายมาในข้างต้นแล้วทุกประการ


    นัยที่ 1-4 เมื่อเอาสติมาตั้งลงที่ธรรม (คืออารมณ์ของใจที่เกิดจากอายตนะผัสสะทั้ง 6 ) แล้วให้เพ่งดูอยู่เฉพาะธรรมนั้นเฉยๆ ไม่ต้องไปแยกแยะว่า ธรรมนั้นเป็นอย่างนั้นๆ แลเกิดดับอย่างนั้นๆ แม้แต่คำว่า ธรรมๆ ก็อย่าให้มี ณ ที่นั่นเลย ให้เพ่งดูแต่เฉพาะอาการอันหนึ่งซึ่งอายตนะภายนอกภายในกระทบกันแล้ว แสดงปฏิกริยาอันหนึ่งเกิดขึ้นมาเท่านั้น หากจะมีคำถามขึ้นมาในที่นี้ว่า จิตกับธรรม ต่างกันตรงไหน ก็ขอเฉลยว่า ธรรมในที่นี้ หมายเอาอารมณ์ซึ่งเกิดจากอายตนะทั้ง 6 มีตา เป็นต้น เมื่อตาเห็นรูปสวยน่าชอบใจ แล้วจิตก็เข้าไปแวะข้องเกี่ยวอยากได้รักใคร่ ชอบใจยินดี ติดยึดมั่นเกาะเหนียวแน่นอยู่ในรูปนั้น ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ ธัมมารมณ์อย่างนี้แหล่ะที่เรียกว่า ธัมมานุสติปัฏฐาน ที่ต้องการจะฝึกอบรมสติในธรรมอันยังไม่บริสุทธิ์ ให้เกิดเป็นสภาพธรรมอันบริสุทธิ์ขึ้นมา
    เมื่อสติตั้งมั่นแน่วอยู่เฉพาะในธัมมารมณ์มั่นคงไม่เสื่อม เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตละเอียดเข้าไปจนที่ตั้งอารมณ์ของสตินั้นหายไป แล้วสติก็จะหายไปด้วยกัน เมื่อจิตอยู่ในลักษณะเช่นนั้นนานพอสมควรแก่ภาวะของตนแล้ว ก็จะถอนออกมาตามวิถี เดิมดังได้อธิบายมาแล้วในสติปัฏฐานข้อต้นๆ

    [​IMG]
    หากจะตั้งปัญหาถามขึ้นมาว่า การฝึกอบรมสติปัฏฐาน 4 เบื้องต้น จิตก็จะละเอียดลงไปโดยลำดับๆ จนเป็นเอกัคคตารมณ์แลเอกัคคตาจิต แต่แล้วทำไม จึงต้องถอนออกมาเดินอยู่ในวิถีเดิม (คืออารมณ์ทั้ง หก ) จะไม่เรียกว่า จิตเสื่อม หรือเฉลยว่า มนุษย์เรา เกิดมาในกามภพ ใช้วัตถุกาม (คือ อายตนะ) เป็นเครื่องอยู่ หลงแลมัวเมา คลุกกรุ่นเป็นทุกข์เดือดร้อนนานัปการกับการอยู่ด้วยกามกิเลส ด้วยเหตุที่มิได้ฝึกอบรมสติของตนให้มั่นคงจนได้รู้แลเห็นจิต เห็นตัวกิเลสแลที่เกิดของกิเลสตามเป็นจริง จนจิตแยกออกจากกิเลสได้

    ผู้มีปัญญามาเห็นโทษแลเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของกิเลสเหล่านั้นแล้ว จึงมาตั้งใจฝึกอบรมในสติปัฏฐาน 4 จนได้ผล ดังได้อธิบายมาแล้ว ถึงกระนั้นก็ดี เมื่ออายตนะ คือ ตัวของเรา มันเป็นวัตถุกามอยู่ แล้วก็อยู่ในกามภพ รับอารมณ์ที่เป็นของกามกิเลสอยู่ เช่นนี้ เมื่อจิตถอนออกมาจากเอกัคคตาจิต ซึ่งในที่นั้น ถือว่าจิตบริสุทธิ์ไม่มีอะไรแล้ว จิตก็จะมาจับเอาเครื่องมือเก่าใช้ต่อไปจนกว่าจะแตกดับ เมื่อจิตที่ได้ฝึกอบรมให้ชำนาญคล่องแคล่วไว้ดีแล้ว จิตนั้นจะประกอบด้วยปัญญาฉลาด สามารถใช้วัตถุกามมิให้เกิดกามกิเลสได้อย่างดี จิตนั้นได้ชื่อว่าไม่เสื่อม แลเหนือจากกามกิเลส

    สติปัฏฐาน 4 พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้อย่างเด็ดขาดว่า ผู้ใดมาเจริญซึ่งสติปัฏฐาน 4 ทำให้มากเจริญให้ยิ่งจนชำนาญแล้ว อย่างช้าเจ็ดปี อย่างเร็วก็เจ็ดวัน ต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ถึงพระอรหันต์ก็ต้องได้พระอนาคามี การเจริญสติ มิใช่เป็นของเสียหาย มีแต่จะทำให้ผู้เจริญได้ดียิ่งๆ ขึ้น เพราะสติเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกๆ คน.



    เอวํ ก็มีด้วยประการ ฉะนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419

    ไปนั่งค้นๆ ความหมายของ " เมตตาเจโตวิมุติ " ครับ ได้แต่คำที่พอเทียบเคียงกันได้ ดังนี้

    43] วิมุตติ 2 (ความหลุดพ้น : deliverance; liberation; freedom)

    1. เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ : deliverance of mind; liberation by concentration)

    2. ปัญญาวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง : deliverance through insight; liberation through wisdom)

    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=43

    เท่าที่เทียบ " เมตตาเจโตวิมุตติ " ก็น่าจะหมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต ด้วยกำลังแห่งสมาธิ จากการทำเมตตา

    การ นำเมตตา มาทำสมาธิ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ กรรมฐาน 40 กอง ว่าด้วย การทำ " เมตตากรรมฐาน " เกาะติดอาการจากเมตตานั้น

    เมตตามีอานิสงส์ ถึง ๑๑ ประการ คือ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>
    (๑) สุขํ สุปฺปติ สบายในเวลาหลับ<O:p></O:p>
    (๒) สุขํ ปฏิพุชฺฌติ สบายในเวลาตื่น<O:p></O:p>
    (๓) น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ ไม่ฝันเห็นเรื่องที่ลามก<O:p></O:p>
    (๔) มนุสฺสานํ ปิ โย โหติ เป็นที่รักของมนุษย์ทั่วไป<O:p></O:p>
    (๕) อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ เป็นที่รักของอมนุษย์<O:p></O:p>
    (๖) เทวตา รกฺขนฺติ เทวดาย่อมคุ้มกันรักษา<O:p></O:p>
    (๗) นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ก็ดีย่อมไม่กล้ำกรายต่อผู้นั้น<O:p></O:p>
    (๘) ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ จิตผู้นั้นย่อมเป็นสมาธิ คือตั้งมั่นได้เร็ว<O:p></O:p>
    (๙) มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ สีหน้าผู้นั้นย่อมผ่องใส<O:p></O:p>
    (๑๐) อสมฺมุฬฺโห กาลํ กโรติ ในเวลาใกล้มรณะ ย่อมเป็นผู้มีสติ<O:p></O:p>
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = V /><V:OVAL id=_x0000_s1035 style="MARGIN-TOP: 4.15pt; Z-INDEX: 10; LEFT: 0px; MARGIN-LEFT: 107.8pt; WIDTH: 2.3pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 2.3pt; TEXT-ALIGN: left; mso-position-horizontal-relative: text; mso-position-vertical-relative: text" filled="f" o:allowincell="f" coordsize="21600,21600"></V:OVAL>(๑๑) อุตฺตริ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต เมื่อมรณะ ย่อมเป็นผู้เข้าถึงสุคติอย่างสูงสุด ถึงพรหมโลกได้

    </O:p>
    ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านเรื่อง " เมตตากรรมฐาน " ได้จาก

    http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/047.htm

    " เมตตากรรมฐาน " เป็นกรรมฐานที่มีประโยชน์ยิ่ง สามารถใช้คู่กับการปฏิบัติวิปัสสนาได้ ในยามที่จิตเกิดอาการแห้งแล้ง การเจริญเมตตาสมาธิจะช่วยให้ผ่านสภาวะนั้นมาได้โดยไม่เลิกล้มไปก่อนครับ แม้ในชีวิตประจำวันเอง การทำเมตตาสมาธิ ก็ทำให้เรามีความสุขตลอดทั้งวันเลยทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2008
  7. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    [​IMG] [​IMG]

    คิดถึงหลวงปู่...​
     
  8. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419
    ฝากความหมายอื่นๆที่อ่านเจอในหน้านี้ครับ

    นิวรณ์, นิวรณธรรม ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี,
    สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม มี ๕ อย่าง คือ
    ๑. กามฉันท์ พอใจในกามคุณ
    ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น
    ๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา
    ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
    ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

    http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=นิวรณ์_๕


    เจตสิก ธรรมที่ประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จัดเป็น
    อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
    อกุศลเจตสิก ๑๔
    โสภณเจตสิก ๒๕

    http://84000.org/tipitaka/dic/v_line.php?A=556&Z=556
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สรุปมีทั้งหมด 9 พิมพ์ ที่จะทำการแจกมาชมรูปและขนาดโดยประมาณครับ
    [​IMG]

    พิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ใหญ่ ฐาน2.5ซม สูง 4 ซม

    [​IMG]

    พิมพ์อธิษฐานฤทธิ์เล็ก ฐาน1.5ซม สูง 2ซม
    สองพิมพ์นี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่า อธิษฐานฤทธิ์ อิทธิคุณก็ประมาณว่า ครบเครื่องเด่นเกือบทุกทาง

    [​IMG]

    พิมพ์สังกัจจายน์ใหญ่ ฐาน 2.5ซม สูง 4 ซม

    [​IMG]

    พิมพ์สังกัจจายน์เล็ก ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม
    สังกัจจายน์สองพิมพ์นี้ก็เช่นกัน รูปแบบก็พอจะบอกได้ว่าเด่น เมตตา โชคลาภ เป็นพิเศษ

    [​IMG]

    พิมพ์สังฆฏิ พิมพ์ที่1 ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม

    [​IMG]

    พิมพ์สังฆฏิ พิมพ์ที่2 ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม
    ส่วนพิมพ์สังฆฏิ ทั้งสองพิมพ์นี้ มีอิทธิคุณพิเศษที่พี่ใหญ่บอกไว้ว่า กันอาวุธ กันปืน แต่อย่าลองกันเลยไม่ดี ปรามาสพระท่านจะเป็นบาปได้

    [​IMG]

    พิมพ์ปิดตาสี่กร ฐาน 2 ซม สูง 3.5ซม
    ปิดตาสีกรก็พอจะดูออกว่า ฤทธิ์มาก เด่นด้านคุ้มครองป้องกันภัย

    [​IMG]

    พิมพ์ อรหันต์เล็ก ฐาน1.5ซม สูง 3 ซม
    อรหันต์เล็กนี้ได้ยินอาจารย์ประถมพูดกับหูเลยว่า ประสบการณ์แขวนแล้วตกเครื่องบิน ไม่เป็นไร ปลอดภัย คิดเอาเองละกันว่าดีทางไหน

    [​IMG]

    พิมพ์หลวงปู่ใหญ่ ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม เด่นครบทุกทางแล้วแต่อธิษฐาน ท่านหลวงปู่ใหญ่สุดยอดอยู่แล้วครับ

    วันนี้ได้เริ่มส่งพระกรุโลกอุดรให้กับผู้ที่pmมาขอ ในชุดแรกจำนวน 11 ท่าน ส่วนท่านอื่นๆที่ยังไม่มีชื่อใจเย็นๆนะครับไว้จะรวบรวมส่งให้อีกทีอาทิตย์หน้า และ บางท่านคงจะได้รับพระในวันอาทิตย์ที่27ที่โรงพยาบาลสงฆ์หลังจากทำการถวายอาหารเช้าแด่พระสงฆ์และบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้วครับ

    รายชื่อผู้ขอรับพระกรุโลกอุดรจากทุนนิธิฯ
    คุณนว
    คุณnewcomer
    คุณMEA
    คุณตั้งจิต
    คุณthanyaka
    คุณเทพารักษ์
    คุณteerins
    คุณactive
    คุณkhunsa
    คุณlittlelucky
    คุณnatta pea

    ส่วนอีกหลายท่านแจ้งความจำนงรับที่โรงพยาบาลสงฆ์ จะแจงรายชื่อหลังจากแจกแล้วครับ

     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ฮวงจุ้ยห้องพระ​

    [​IMG]

    ห้องพระเป็นห้องหนึ่งที่มีความสำคัญในทางฮวงจุ้ย ห้องพระเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเพื่อให้ท่านไปคุ้มครองให้คนในครอบครัวเกิดสวัสดิมงคล ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ขจัดปัดเป่าอุปสรรค แม้แต่ในยามที่ท้อแท้จากหน้าที่การงาน บางคนก็อาศัยมุมพระซึ่งเป็นสถานที่สงบสวดมนต์ทำสมาธิช่วยให้จิตใจค่อยชุ่มชื่นมีกำลังใจ ด้วยความผูกพันกับศาสนาทำให้คนไทยให้ความสำคัญกับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2008
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cols=1 cellPadding=3 width="95%" bgColor=#bd9cde border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width="80%" bgColor=#663399 height=30>เรื่อง ห้องพระ...จัดดีเป็นมงคลกับบ้าน </TD></TR><TR vAlign=top><TD width="80%" bgColor=#ffffff height=400>



    <CENTER>[​IMG]

    </CENTER>

    ห้องพระ เป็นอีกห้องหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณากัน ถ้าบ้านหลังนั้นกำหนดให้มีห้องพระ บางบ้านอาจจะไม่มีห้องพระก็ได้ อาจทำแค่หิ้งพระเล็กๆ แทน ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่ความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นหลัก
    การกำหนดห้องพระให้อยู่ส่วนไหนของบ้านนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่หลายประการทีเดียว แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า เรื่องห้องพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจใช้หลักเหตุผลอย่างเดียวมาวิเคราะห์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่หาคำอธิบายได้ยาก
    1. ห้องพระวางชั้นบนดีกว่าชั้นล่าง การกำหนดผังบ้าน พยายามเลือกวาง
    ห้องพระเอาไว้ชั้นบนสุด ไม่ว่าบ้านจะกี่ชั้นก็ตาม เพราะพระเป็นของสูง เป็นที่สักการะบูชา การวางต่ำกว่าคนในบ้าน ย่อมไม่เป็นมงคลแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะวางห้องพระชั้นล่างไม่ได้ เพียงแต่ว่า การวางห้องพระชั้นล่าง จะมีข้อจำกัดมากมาย และการหาตำแหน่งในการวางห้องพระค่อนข้างจะยาก เพราะชั้นล่าง จะเต็มไปด้วยห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องส้วม
    นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาห้องที่อยู่ชั้นบนอีกด้วยว่า ห้องชั้นบนที่ตรงกับห้อง
    พระชั้นล่าง เป็นห้องอะไร ถ้าเป็นห้องส้วม ห้องนอน ก็จะห้ามเอาไว้อีก บ้านที่เอาห้องพระไว้ชั้นล่าง ชั้นบนที่ตรงกับห้องพระจะต้องเป็นห้องว่าง ที่ไม่มีคนอยู่ถึงจะใช้ได้
    ห้องนอนตรงกับห้องพระชั้นล่าง ถ้าพระตรงกับเตียงถือเป็นข้อห้าม

    2. ห้องพระห้ามติดกับห้องส้วม เหตุผลในเชิงฮวงจุ้ยบอกว่า ห้องส้วมเป็นธาตุน้ำ ห้องพระเป็นธาตุไฟ ตามกฎเบญจธาตุ ( 5 ธาตุ) ธาตุน้ำพิฆาตธาตุไฟ


    ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องส้วม ควรหาตู้มาพิงผนังห้องส้วม แล้วหันพระไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับห้องส้วม


    บ้านที่เอาห้องพระวางติดกับห้องส้วม ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม เพราะถูกพลังของธาตุน้ำ บั่นทอน นั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงวางห้องพระติดกับห้องส้วม ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางติดกัน ก็ไม่ควรวางองค์พระพิงผนังห้องส้วม และหาตู้มาพิงด้านที่เป็นกำแพงห้องส้วมเอาไว้ ก็จะถือว่าใช้ได้


    3. ห้องพระต้องอยู่ในทำเลที่สงบ ลองพิจารณาดูพื้นที่บ้านสิว่า มีมุม

    ไหนที่ไม่พลุกพล่าน เป็นมุมสงบบ้าง ห้องพระต้องการความสงบนิ่ง ไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งที่วุ่นวาย เช่น ติดกับห้องเอนเตอร์เทน ที่มีเสียงดังจากทีวี วิทยุ ห้องครัว ซึ่งนอกจากมีเสียงทำกับข้าวแล้ว ยังมีกลิ่นมารบกวนความสงบอีกด้วย ห้องรับแขก ที่มีเสียงคุยกัน เพราะฉะนั้น การเลือกวางห้องพระเอาไว้ชั้นบน น่าจะหามุมสงบได้ง่ายกว่า เพราะจะมีแต่ห้องนอนเป็นส่วนใหญ่
    4. ห้องพระติดห้องนอน ต้องระวังเรื่องการวางเตียง กรณีที่วาง
    ตำแหน่งห้องพระติดกับห้องนอน จะต้องพิจารณาเรื่องการวางเตียงนอน เป็นประเด็นสำคัญ
    ห้ามวางเตียงในลักษณะหันปลายเท้าไปที่ห้องพระ เพราะถือเป็นการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ตำแหน่งเตียงนอน ควรวางในลักษณะที่ขวางกับห้องพระ ห้ามวางเอาปลาย เตียงหันไปที่ห้องพระ เพราะคนนอนจะเอาเท้าหันไปที่ห้องพระ ซึ่งถือว่าไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคลกับคนที่นอน
    กรณีที่เอาหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ถ้าตำแหน่งขององค์พระหรือ
    โต๊ะหมู่บูชาไม่ติดกับหัวเตียง ก็สามารถวางได้ แต่ถ้าติดกันจะถือว่าเสีย เพราะคนนอนจะได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวได้ง่าย นอนไม่ค่อยหลับ
    5. ห้องพระห้ามต่ำกว่าห้องอื่น กรณีที่เป็นบ้านเล่นระดับ ห้องพระจะต้อง
    เลือกวางในตำแหน่งที่สูงกว่าห้องอื่นๆ
    โดย อ.มาโนช ประภาษานนท์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ข้อมูลจาก http://www.deedeejang.com/zodiac/forward/00173.html

    (*) เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดพิจรณาก่อนที่จะเชื่อนะครับ(*)
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตามที่คุณโสระได้เริ่มทยอยแจกพระพิมพ์ท่านบรมครูเทพโลกอุดรให้บางท่านที่แจ้งความประสงค์มาแล้วนั้น ได้รับพระแล้วก็ขอให้รักษาพระพิมพ์นี้ให้ดี เพราะทุนนิธิฯไม่สามารถนำมาเพิ่มให้ได้อีก หมดแล้วก็หมดเลย และท่านก็ไม่ควรจะใช้สิทธินี้อีก เพราะท่านผู้บริจาค ท่านบอกไว้ว่าท่านอยากจะให้ครอบครัวละองค์เท่านั้น เพราะพระมีไม่มาก ทางทุนนิธิฯ ก็มีความเข้าใจในความต้องการของแต่ละท่านดี โดยหลังจากนี้ ก็จะมีพระชุดใหม่ ที่เตรียมมาแจกท่านอีก เพียงแต่เว้นระยะอีกสักนิดนึงครับ ซึ่งอาจจะเป็นปลายปีนี้ครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทำบุญทำกุศลไว้ครับ อย่างน้อยบุญกุศลที่ทำ ก็จะสะสมไปเรื่อยๆ ช่วยลดความตระหนี่ถี่เหนียวได้เยอะ ที่สำคัญก็คือ การรู้จักการให้ ก็เป็นเมตตาตัวนึง และเป็นต้นทางของสายธารที่ทำให้จิตใจอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง ครับ
     
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    1. วันนี้เป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้ไปร่วมกันถวายอาหาร และปัจจัย

    ได้ข่าวว่า พี่ใหญ่ ให้เตรียมปัจจัย เพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์มอบให้โรงพยาบาล

    การครั้งนี้ผมเองก็ได้โอกาสที่จะบอกบุญอีกครั้งหนึ่ง
    แต่คงจะไม่ใกล้ๆ นี้นะครับ เพราะพึ่งจะบอกบุญได้ไม่นาน

    แต่จะแจ้งให้ท่านที่ร่วมบุญทราบเป็นระยะๆ ก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมครับ


    2. สำหรับพระที่พี่ๆ มอบให้ ผมเองได้ตั้งใจไว้ก่อนว่า จะไม่รับ

    พระพิมพ์สังกัจจายน์ใหญ่ ฐาน 2.5ซม สูง 4 ซม (ผม)
    พิมพ์สังกัจจายน์เล็ก ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม (แฟน)

    ก็กลายเป็นว่ารับมาแล้ว แฟนบอกว่า ถ้าผมไม่สบายใจก็คืนสะ
    ที่ผมรับมาก็เพราะว่าอยากรู้ อยากเห็น และสัมผัส

    เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ผมตั้งใจ แล้วแปรปรวน
    ผมจึงบอกกับแฟนว่า ผมจะมอบให้กับ ท่านที่ร่วมบุญมากับผม

    เพื่อการบุญนี้ และรวมกับพระของผมบางส่วนที่จะมอบให้กับท่านผู้ร่วมบุญ
    ก็เพื่อการร่วมบุญนี้ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์ หรืออื่นๆ ใด
    ของบุญนี้ครับ

    3. พี่ๆ ท่านโปรดลงรูปใบเสร็จด้วยนะครับ
    ผมจะนำไปประชาสัมพันธ์ ให้พี่ๆ ที่ร่วมบุญกับทางผมนะครับ

    สาธุครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำเร็จลุล่วงไปอีก 1 ครั้ง สำหรับกิจกรรมทำบุญครั้งที่ 5 ของทุนนิธิฯ วันนี้มีคนไปร่วมงานบุญค่อนข้างมากประมาณว่าราวๆ 40 คน ที่น่าสนใจคือ หลายท่านพาครอบครัวมาด้วย นับว่าเป็นการปลูกฝังการทำบุญให้แก่บุคคลในครอบครัว ที่น่ายกย่องเป็นอย่างมาก เพราะน้บวันลูกหลานเหล่านี้จะโตขึ้น และจะเริ่มซาบซึ้งในพระพุทธศาสนาของเรา รวมถึงการรู้จักทำบุญให้ทาน และการรู้จักสมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีจิตใจงดงามเหล่านี้มากขึ้น ทำให้รู้จักการแยกแยะดีชั่วได้โดยปริยาย และที่คิดไม่ถึงอีกก็คือ ในงานมีผู้บริจาคปัจจัยเพิ่มเติมเข้าทุนนิธิฯ นี้อีกถึง 12,490.-บาท ซึ่งเป็นปัจจัยของผู้ที่มาในงานเอง และที่ฝากกันมา ในโอกาสนี้ ผมขอสรุปยอดบริจาคเข้า รพ.สงฆ์ สำหรับครั้งนี้ ดังนี้

    1. ค่าปัจจัยสำหรับสังฆทานอาหารถวายพระ 160 รูป เป็นเงิน 4,000.-บาท
    2. ค่าปัจจัยซื้อเลือด สำหรับถวายพระสงฆ์ที่อาพาธ และจำเป็นที่ต้องใช้เลือดในการรักษาเป็นเงิน 8,000.- บาท
    3. ค่าปัจจัยสำหรับซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทางการแพทย์ สำหรับส่วนกลางของ รพ. เป็นเงิน 8,000.- บาท
    รวมเป็นปัจจัยที่ทุนนิธิฯ ใช้ไปในกิจกรรมทั้งสิ้น 20,000.-บาท

    คณะกรรมการฯ ขอโมทนาในบุญกุศลของทุกท่านเป็นอย่างยิ่งครับ มีอีกอย่างหนึ่งที่ขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้คือ คณะกรรมการฯ มีความรู้สึกที่ยินดีมากที่ได้รู้จักหน้าค่าตาบุคคลที่เข้ามาในกระทู้เป็นประจำ แต่ไม่เคยเห็นหน้า เช่น ลุงจิ๋ว คุณประวิทย์ คุณโชค คุณเบบี้คิด ซึ่งผมต้องขอโทษด้วยที่มัวยุ่งแต่รับปัจจัยเลยไม่ได้ร่วมสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งคิดว่ายังคงมีอีกหลายท่านที่มาจากกระทู้ แต่ไม่ได้ทักทายกัน ซึ่งรายชื่ออาจจะตกหล่นจากข้างต้นได้จึงต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ งานบุญคราวหน้า หวังว่าท่านที่ไปแล้วในครั้งนี้ ในครั้งหน้าท่านคงจะมากันอีกน๊ะครับมากันเยอะๆ ยิ่งดี ส่วนรูปกิจกรรม เดี๋ยวคุณโสระจะเริ่มทยอยลงให้ดูกัน สำหรับเรื่องการประเคนเครื่องสังฆทานอาหาร คราวนี้อาจจะขลุกขลักไปบ้างเนื่องจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมเยอะ คราวหน้าจะจัดระบบให้ใหม่ ครับ ทุกท่านจะได้สะดวกขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม บุญที่เราทำ ได้ตั้งแต่ท่านตั้งใจออกจากบ้านมาที่ รพ.สงฆ์แล้ว พอท่านมาจบเครื่องสังฆทาน จริงๆ แล้วท่านทำได้ครบแล้ว การถวายหรือการประเคนให้กับมือท่านนั้น กอปรกับการได้เห็นสภาพของพระสงฆ์ที่เจ็บป่วย นั้นเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น และที่เหนือกว่านั้น ท่านได้เห็นวงจร ของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าพระ หรือฆราวาส เมื่อได้เห็น ได้คิด ได้มีส่วนช่วยเหลือท่านที่อาพาธเหล่านี้ นับว่าท่านได้ข้อกัมมัฏฐานครบถ้วน ทั้งปิติ ทั้งสังเวช สุดแต่ว่าปัญญาที่พิจารณา เราจะเลือกด้านใดพิจารณาเท่านั้นเอง ซึ่งจะเลือกด้านใดก็แล้วแต่ นับว่าดีทั้งสิ้น ร่นภพร่นชาติได้ทั้งสิ้น

    สุดท้าย คณะกรรมการฯ ทั้งหมด ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ สำหรับงานบุญคราวหน้า จะได้แจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป ส่วนเรื่องการขอรับพระพิมพ์ฯ ยังขอมาได้ครับ และหลังจากงานบุญในตอนเช้าเสร็จสิ้น คณะกรรมการฯ เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ จึงเดินทางไปที่บ้าน อ.ประถมฯ ที่ จ.ชลบุรี เพื่อถือโอกาสไปเยี่ยมท่านหลังจากที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อลอกต้อกระจก ที่ รพ.สงฆ์ เมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา และถือโอกาสรายงานผลของกิจกรรมในครั้งนี้รวมถึงยอดเงินที่บริจาคให้ท่านทราบ และให้ท่านได้ร่วมโมทนาสมุดบัญชีเงินฝากของทุนนิธิฯ ด้วย โดยผลจากการผ่าตัดของ อ.ประถมฯ ยังอยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่บ้าน สายตายังคงมองไม่ค่อยเห็นอยู่ คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง ถึงจะมองเห็นได้ตามปกติครับ


    พันวฤทธิ์
    27/4/51
     
  15. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    การได้พูดคุยกับพี่ใหญ่ในวันนี้ เรื่องการทำบุญวันนี้

    ด้วยเพราะผมได้ใส่บาตรพระ อาทิตย์ละ 2 - 3 ครั้ง

    ท่านแนะนำว่าให้เราเตรียมของที่จะใส่บาตรในวันพรุ้งนี้

    ตั้งแต่คืนนี้ และที่สำคัญก็คือ อธิฐานไว้ก่อนเลยพร้อมคาถาพระปัจเจก

    แล้วเราก็นำไปใส่บาตร ในวันรุ่งขึ้น

    เพราะช่วงค่ำ จิตเราดี บุญเป็นกำลัง

    และใส่ด้วยความสบายใจเพราะเราได้ตระเตรียมตั้งแต่เนิ้นๆ ครับ

    สาธุครับ
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ภาพกิจกรรมทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน

    ก่อนอื่นต้องขอกราบขอบพระคุณ และ โมทนากับทุกๆท่านที่ได้มาร่วมกันทำบุญใหญ่ กันอย่างล้นหลาม สิ่งใดที่ท่านคณะกรรมการทุนนิธิฯ ต้อนรับหรือทักทายอำนวยความสะดวกไม่ทั่วถึง ต้องกราบขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้ด้วยครับ มาชมภาพวันงานกันเลย

    [​IMG]

    เหมือนเช่นเคย นัดเจอกันที่โรงอาหารของทางโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อจัดเตรียมอาหารคาวหวาน ที่จะทำการถวายแด่พระสงฆ์ จำนวนประมาณ 160 รูป โดยครั้งนี้ผู้มีจิตศรัทธานำมาร่วมมากมายจริงๆ
    [​IMG]

    จากนั้นนำอาหารทั้งหมดมารวมกันหน้าตึกกัลยาณิวัฒนา เพื่อถ่ายรูปร่วมกันก่อนนำไปถวายแด่พระสงฆ์ ที่พักรักษาอยู่ ณ ตึกนี้ จำนวน 5 ชั้น ประมาณ160 รูป
     
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    นำอาหารทั้งหมดมาโมทนาก่อนที่จะนำไปถวายแด่พระอาพาธ

    [​IMG]

    พี่ปุ๊หรือนายสติ รองประธานทุนนิธิฯกราบอาราธนาพระสงฆ์ให้เป็นประธานรับอาหารทั้งหมด ให้เป็นมหาสังฆทาน แด่คณะสงฆ์ทั้งตึกนี้


    [​IMG]
    จากนั้นคณะที่มาทั้งหมดได้กล่าวถวายมหาสังฆทานนี้อย่างพร้อมเพรียง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2008
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    จากนั้นก็เริ่มถวายอาหารแด่พระสงฆ์ พร้อมกันทั้งชั้นนี้[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปนี้คือมารดาของผม นำปัจจัยใส่ซอง จำนวน100 ซอง ถวายแด่พระสงฆ์อาพาธ ไว้ให้ท่านใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็น เช่น เป็นค่าพาหนะกลับวัดเมื่อหายอาพาธครับ
     
  19. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังถวายอาหารแล้วพระสงฆ์ในชุดแรกเริ่มสวดให้พรกับคณะที่ได้มาทำบุญทั้งหมด

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นก็แยกกันไปถวายจนครบทั้งหมดของพระสงฆ์ที่พักรักษาอาการอาพาธอยู่ในตึกกัลยาณิวัฒนา

     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พี่พันวฤทธิ์ และ พี่ปุ๊ นำเงินที่ได้รับบริจาคมาทำบุญซื้อเลือด และ บำรุงทั่วไป จำนวน 16000 บาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...