ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ปริศนาธรรม หลวงปู่เเสน ฐานังกโร โดยหลวงพ่อสมเกียรติ ชิตมาโร วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิตร ต.ตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี

    **หลวงพ่อไขปริศนาธรรม**
    “สูงกว่าฟ้า” คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    “ตำ่กว่าดิน” คือ กิเลสตัณหาราคะโทสะโมหะของคนเรา
    “หนักกว่าหิน” คือ กรรมหนัก
    “เบากว่านุ่น” คือ พระนิพพาน

    นี้คือปริศนาธรรมของปู่แสนหรือนักปราชญ์ เป็นคำปริศนาธรรมสำหรับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ 4 อย่างนี้ถ้าใครแก้ไม่ได้ ก็ไม่พ้นจากอบายภูมิ คำว่าแก้ได้คือ ต้องปฏิบัติได้ด้วย ทำได้ด้วย ละได้ด้วย ไม่ใช่ว่าแก้ได้เฉยๆ แต่จิตใจยังไม่หลุดพ้น มันก็ไม่ได้อยู่นั้นแหละ

    พระโบราณ ครูอาจารย์ท่านจะมีปริศนาธรรมของท่านเพื่อทดลองลูกศิษย์ของท่าน นี้แหละคือคำสอนของพระปัจเจก เพราะปู่แสนท่านมีนิสัยชอบอยู่องค์เดียวเหมือนกันกับพระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาล เดี๋ยวนี่ก็ยังมีอยู่พระชอบภาวนาอยู่องค์เดียวไม่ชอบหมู่คณะ บางองค์ก็จะเป็นแบบนี้ แต่บางองค์อยากให้หมู่อยู่ด้วยแต่เพื่อนไม่ชอบนิสัยกันก็ไม่อยากอยู่ จำเป็นอยู่องค์เดียวก็ยังมี แต่ของปู่แสนเป็นความปรารถนาของท่าน

    เราจำได้ปี พ.ศ.2522 เราไปวิเวกกับท่านอาจารย์บุญลั่นวัดภูผากูด อ.หนองสูงใต้จ.มุกดาหาร ท่านก็มาวิเวกเหมือนกัน ถามท่านว่ามาจากภูกระโล้นอยู่องค์เดียวมานานแล้ว

    เหตุผลของท่านคืออยู่หมู่มาก ก็มากเรื่องมันวุ่นวาย แต่ละวันไม่สงบ อยู่องค์เดียวมีอารมณ์เดียว การภาวนาก็ง่าย อาหารมีก็ฉัน วันไหนไม่ไปบิณฑบาตรก็อด อยู่คนเดียวตายแล้วก็แล้วไป ถ้าไม่มีใครมาเห็นก็ให้ทานสัตว์ไปเลย เพราะตายแล้วไม่มีอะไรกังวลเลย นี้แหละคือคำพูดของท่านปีนั้น ได้คติธรรมดีมากสำหรับพระนักภาวนา

    “ ชิตมาโรภิกขุ”

    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎
    กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ข้อมูลนี้ ทุกๆท่าน

    เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มหาเถรานุสรณ์ https://www.facebook.com/ThammaLpMunPage

    กลุ่มพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มหาเถรานุสรณ์
    https://www.facebook.com/groups/ThammaLpMun
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ก่อนอื่นคงต้องย้อนมาพิจารณาฐานะของตนในปัจจุบันว่า สถานภาพตนในปัจจุบันนี้ว่าคือผู้ครองเรือนหรือนักบวช

    จริงอยู่ที่เรามีความสนใจในธรรมปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แต่สถานภาพที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันเป็นเครื่องชี้บ่งว่า พื้นฐานข้อธรรมที่ควรสร้างให้มีขึ้นในจิตในใจนั้นคืออะไรที่นอกเหนือจากศีลห้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2021
  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ☘️ธรรมสำหรับผู้ครองเรือน คือ ฆราวาสธรรม4☘️

    ฆราวาสธรรม ประกอบด้วย 2 คำ "ฆราวาส" แปลว่า ผู้ดำเนินชีวิตในทางโลก, ผู้ครองเรือน และ "ธรรม" แปลว่า ความถูกต้อง, ความดีงาม, นิสัยที่ดีงาม, คุณสมบัติ, ข้อปฏิบัติ

    ฆราวาสธรรม แปลว่า คุณสมบัติของผู้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตทางโลก ประกอบด้วยธรรมะ 4 ประการ คือ

    ❤...สัจจะ แปลว่า จริง ตรง แท้ มีความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐาน เป็นคนจริงต่อความเป็นมนุษย์ของตน

    ...ทมะ แปลว่า ฝึกตน ข่มจิต และรักษาใจ บังคับตัวเองเพื่อลดและละกิเลส และรักษาสัจจะ

    ...ขันติ แปลว่า อดทน ไม่ใช่แพียงแต่อดทนกับคำพูดหรือการกระทำของผู้อื่นที่เราไม่พอใจ แต่หมายถึงการอดทนอดกลั้นต่อการบีบบังคับของกิเสส

    ...จาคะ แปลว่า เสียสละ บริจาคสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตน โดยเฉพาะกิเลสเพราะนั้นคือสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่กับตน ละนิสัยไม่ดีต่างๆ

    ความสำคัญของหลักธรรม 4 ประการ ที่มีต่อการสร้างตัวนี้ พระพุทธองค์ถึงกับท้าให้ไปถามผู้รู้ท่านอื่นๆ ว่า มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สร้างเกียรติยศ และความเคารพจากผู้อื่น ให้คนเราได้เท่ากับการมี "สัจจะ" หรือไม่ มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สร้างปัญญาให้คนเราได้เท่ากับการมี "ทมะ" หรือไม่ มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สร้างทรัพย์สมบัติให้คนเราได้เท่ากับการมี "ขันติ" หรือไม่ มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สร้างหมู่มิตรให้คนเราได้เท่ากับการมี "จาคะ" หรือไม่

    การที่พระพุทธองค์ทรงท้าให้ไปถามผู้รู้อื่นๆ อย่างนี้ก็หมายความว่า ไม่มีธรรมะใดๆ ที่จะใช้สร้างตัวให้ประสบความสำเร็จได้ยิ่งกว่าการสร้างสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะให้เกิดขึ้นในตนอีกแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนที่จะยืนหยัดผ่านอุปสรรคต่างๆ ในโลกนี้ไปจนกระทั่งพบความสำเร็จได้นั้น เขาต้องสร้าง "ฆราวาสธรรม" ให้เป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานประจำตนก่อนนั่นเอง เพราะฉะนั้น ความหมายที่แท้จริงของ ฆราวาสธรรม คือ คุณสมบัติของผู้ที่สามารถสร้างเกียรติยศ สร้างปัญญา สร้างทรัพย์สมบัติ และสร้างหมู่ญาติมิตรให้เกิดขึ้นได้สำเร็จด้วยกำลังความเพียรของตน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ☘️หลักธรรมคำสอนที่ช่วยให้สังคมสงบสุข☘️

    สังคหวัตถุ แปลว่า ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน, ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน หมายถึง หลักการครองใจคน, หลักยึดเหนี่ยวใจกันไว้, วิธีทำให้คนรัก, หลักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นเครื่องประสานใจและเหนี่ยวรั้งใจคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ และทำให้อยู่กันด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกัน เหมือนลิ่มสลักรถที่ตรึงตัวรถไว้มิให้ชิ้นส่วนกระจายไป ทำให้รถแล่นไปได้ตามที่ต้องการ

    สังคหวัตถุมีสี่ประการ คือ

    ทาน การให้ การเสียสละ การแบ่งปันเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น ช่วยปลูกฝังให้เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว แบ่งปันกัน (แบ่งปันไปมา)

    ปิยวาจา การพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน จริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมาะกับกาลเทศะ พูดดีต่อกัน (พูดจาจับใจ)

    อัตถจริยา ช่วยเหลือกัน (ช่วยกิจกันไป)

    สมานัตตตา การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ โดยประพฤติตัวให้มีความเสมอต้นเสมอปลาย วางตัวดีต่อกัน (นิสัยเป็นกันเอง)
     
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สังขารขันธ์ล้วนเปลี่ยนแปลง แปรปรวนไป ไม่คงที่และคงทนอยู่เช่นนั้น แม้จะเฝ้าเพียรปรุงแต่งให้วิจิตรพิสดารไปเช่นไร มันก็เปลี่ยน มันไม่เชื่อฟังใครทั้งสิ้น เพราะธรรมชาติของสังขารมีความเปลี่ยน มีความเคลื่อนไป ไม่หยุดนิ่ง วิวัฒน์ไปเรื่อยๆ

    จึงไปสำคัญมั่นหมายไม่ได้ สังขารธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
     
  6. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ
    ความเต็มรอบอยู่ที่เหตุเราสร้างไว้
     
  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    "อย่าสนใจความเป็นไปของคนอื่น แต่ละคนต่างก็มีแนวทางชีวิตของตนเอง พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมัน และปล่อยวาง ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจธรรมะได้"

    ธรรมโอวาท
    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทาประดุจเสือโคร่ง หลวงปู่ตื้อ_อจลธมฺโม วัดป่าอรัญญวิเวก_บ้านข่าอำเภอศรีสงครามจังหวัดนครพนม
    ------------------------
    พระเดชพระคุณหลวงปู่ตื้อ_อจลธมฺโม พระอริยะเจ้าชื่อดังแห่งภาคอีสาน เป็นศิษย์ที่สำคัญรูปหนึ่ง
    ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านเป็นผู้มีนิสัยรักความสงบสันโดษ

    ท่านเข้าเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษามีนิสัยตรงไปตรงมา ข้อวัตรปฏิบัติเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เอาจริงเอาจัง นิสัยโผงผาง พูดจาขวานผ่าซาก มีลีลาการแสดงธรรมแปลกกว่ารูปอื่น ๆ มีคำคมขำขันแฝงอยู่เสมอในเทศนาธรรม

    โดยส่วนมากท่านติดตามท่านพระอาจารย์มั่น บำเพ็ญภาวนาอยู่ตามท้องถ้ำในป่าลึกทางภาคเหนือ เช่น ถ้ำเชียงดาว เป็นต้น ปฏิปทาของท่านอาจหาญ สมเป็นนักรบธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น

    ลักษณะนิสัยท่านเป็นประดุจเสือโคร่ง และท่านมักปฏิบัติกรรมฐานอย่างอุกฤษฏ์ โดยถือเอาเสือโคร่งเป็นแบบอย่างในอิริยาบถ ๔ คือ

    ๑. ต้องมีน้ำจิตน้ำใจแข็งแกร่งกล้าหาญในการเที่ยวธุดงค์ล่ากิเลส ประดุจเสือตัวเปรียว เที่ยวล่าเหยื่อไม่กลัวต่อภยันตรายใด ๆ

    ๒. ต้องกล้าเที่ยวไปในค่ำคืน ประดุจเสือ ไม่เคยกลัวต่อมรณภัยในความมืด

    ๓. ต้องชอบอยู่ในท้องถ้ำที่สงัดจากผู้คน ประดุจเสือหลีกเร้นช่อนตัวอยู่ในถ้ำอันลึกลับที่ผู้คนเข้าไปไม่ถึง

    ๔. คิดทำอะไรลงไปแล้วต้องมุ่งความสำเร็จ เป็นจุดหมาย ประดุจแววตาเสือได้จ้องเขม็ง ไปที่เหยื่อรายใดแล้ว ต้องตามตะปบขย้ำจนสำเร็จ

    ท่านได้สำเร็จอภิญญาญาณ สามารถเรียกสัตว์มีเสือเป็นต้น มาขี่เป็นพาหนะในการเดินทางได้ และสามารถท่องเที่ยวนรกสวรรค์ได้ตามใจปรารถนา
    --------------
    ท่านมีหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นสหธรรมิกในการเดินทางธุดงค์ภาวนาในภาคอีสาน และภาคเหนือของประเทศไทย เมืองเวียงจันทร์ เมืองหลวงพระบางของประเทศลาว
    ---------------
    เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด ณ บ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม

    เป็นบุตรของนายปา และ นางปัตต์ ปาลิปัตต์ ปีพุทธศักราช ๒๔๕๒ อุปสมบทเมื่ออายุ๒๑ ปี ในฝ่ายมหานิกายกับพระอุปัชฌาย์คาน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นานถึง ๑๙ พรรษา ได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุต ใน ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เมื่ออายุ ๔๐ ปี ที่วัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

    โดยมี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูศรีพิสารคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูนพิสี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ท่านอาพาธด้วยโรคชรา จึงกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าอรัญญวิเวก ซึ่งเป็นบ้านเกิด ครั้นถึงกาลใกล้นิพพาน ท่านได้แสดงธรรมโปรดสานุศิษย์ด้วยบทธรรมสั้น ๆ ว่า

    "สังขารไม่เที่ยง เราเกิดมาก่อน ก็ต้องไปก่อนตามธรรมดา ลมวิปริตแล้ว ธาตุในตัวแปรปรวนแล้ว" พูดจบท่านให้พรเป็นภาษาบาลีว่า

    "พุทฺโธ สุโข ธมฺโม สุโข สงฺโฆ สุโข จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุวณฺโณ สุขํ พลํ"

    พร้อมกับยิ้มหัวเราะเยาะ ลาโลกสมมุติเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านต่ออาการที่เกิดขึ้น แล้วนอนตะแคงขวาท่าสีหไสยาสน์ ทิ้งขันธ์ถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ณวัดป่าอรัญญวิเวก ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
    ท่ามกลางสานุศิษย์ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พศ. ๒๕๑๗ เวลา ๑๙.๐๐ น.

    สิริรวมอายุได้ ๘๖ ปี ๕ เดือน ๑๖ วัน ๔๖ พรรษา
    *******************************************
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
     
  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    มีของดีมาฝากค่ะ:D
    จาก Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
    พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2531)91,52-55

    "สุนัขนรก - นรกสำหรับคนปากไม่ดี"

    ยมโลกียนรกขุมที่ 9 มีชื่อว่า "สุนขนรก" ในนรกขุมนี้เต็มไปด้วยสุนัข และสุนัขก็เป็นสุนัขของนรก ไม่ใช่สุนัขตามที่มาอาศัยวัดที่เราเลี้ยงกันอยู่ เป็นสุนัขที่ตัวใหญ่มาก มีอยู่มากเป็นหลายฝูงปริมาณนับไม่ได้ ท่านจำแนกบรรดาสุนัขหรือว่าหมานรกพวกนี้ไว้มีอยู่ 5 จำพวกด้วยกันคือ

    ▪️สุนัขนรก 5 จำพวก▪️

    1. หมานรกดำ เรียกว่าหมาสีดำ
    2. หมาสีขาว
    3. หมาสีเหลือง หมาสีเหลืองนี่หมาพระกระมัง น่ากลัวพระจะตกนรกไปเป็นหมาสีเหลือง
    4. หมาสีแดง
    5. หมาสีด่าง

    นี่ท่านจำแนกตามพระบาลีไว้อย่างนี้ ผมก็ว่าตามพระบาลี นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเอาเรื่องที่เห็นนรกมาพูดให้ฟัง นี่ผมเห็นตามหนังสือที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    บรรดาหมานรกทั้ง 5 จำพวกนี้มีรูปร่างใหญ่โตมาก และท่านบอกว่าน่าเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องกลัวแน่มันกัดไม่เลือก ก็เหมาะสมกับบุคคลที่ด่าเขาไม่เลือก ที่ว่าเขาไม่เลือก ที่นินทาไม่เลือก สงสัยไม่เลือก และไม่เลือกว่าใคร เห็นหน้าเข้าเมื่อไรคิดว่าเขาเป็นศัตรูของเราเสียหมด นี่พวกนี้เมื่อลงไปแล้วบรรดาหมาพวกนี้มันก็ไม่เลือกเหมือนกัน

    ไอ้คนเรานี่มันแปลก ถ้าหากว่าจิตมันชั่วล่ะก็ ถ้าบางทีใครเขาไปตำหนิติเตียนเข้าว่าเราชั่ว ไอ้เราก็เลยชั่วใหญ่ คิดว่าเราทำความดีคนที่เขามีความดีน่ะไม่มีใครเขาติ ถึงแม้ว่าจะติเขาก็ไม่สะเทือน อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกด่าถูกนินทาท่านก็เฉย นี่คนดีซะแล้วก็ไม่มีอะไรชั่ว

    แต่สำหรับคนชั่วบางทีเขาไม่ติไม่ด่าไม่ว่า ก็นึกว่าเขาติเขาด่าเขาว่าตน เพราะอารมณ์จิตเป็นอกุศลทั้งหลาย พวกนี้ลงนรกไม่ต้องเรียกว่าไม่มีทางล่ะ จะทำตัวอย่างไรก็ตามไม่มีทางที่จะพ้นนรก ดูอารมณ์ของนรกให้ดีนะ
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ท่านกล่าวต่อไปว่า ย่อมถูกหมานรกไล่ขบกัดอยู่ตลอดเวลา ไอ้เจ้าหมานรกนี่มันไม่มีเวลาพัก จะไปหาเวลาที่มันนอนมันพักผ่อนน่ะไม่มี และท่านกล่าวต่อไปว่า ภาวะเหมือนกับสัตว์หมาป่าที่มันไล่กัดเนื้อ ท่านว่าอย่างนั้น และนอกจากจะมีหมานรกดังกล่าวแล้ว นรกขุมนี้ก็ยังปรากฏว่ามีฝูงแร้งฝูงกา

    ▪️แร้งกานรก▪️

    ไอ้แร้งกานรกนี้ก็มาอีกแล้ว มากเหมือนกัน แร้งกานรกพวกนี้มันก็มีลักษณะประหลาด คือว่าปากของมันเป็นปากเหล็ก แล้วที่ตีนของมันก็มีสภาพเป็นเหล็กลุกแดงเป็นไฟโชน ปากเหล็กลุกแดงโชน เหล็กร้อนเท้าก็แดงโชน เป็นเหล็กไฟร้อนแลดูน่ากลัว แหม ท่านก็เรียงไว้อย่างนี้ซะเรื่อย ไม่ต้องไปแลดูก็ได้ มันกลัวอยู่แล้ว

    เมื่อมันเห็นสัตว์นรกพวกนี้เข้าก็พากันบินมาจิกที่ลูกตาบ้าง จิกที่หูบ้าง ที่คอบ้าง ที่อกบ้าง ก็รวมความว่ามันจิกไม่เลือกก็แล้วกัน ไอ้หมาก็กัดไอ้แร้งกาก็จิก แหม...ก็แย่สิ ทำให้ร่างกายของสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นกระจัดกระจาย มันได้เนื้อมันก็เคี้ยวกินแบบเอร็ดอร่อย

    ทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเนื้อหมด เนื้อหมดไปแล้วเนื้อเกิดใหม่ มันก็เล่นแบบนั้นอีก พอเนื้อหมดมันก็แทะกระดูก กระดูกเหี้ยนไปแล้วก็เกิดใหม่ เกิดใหม่หมาก็แทะใหม่ เจ้าแร้งเจ้ากามันก็จัดการใหม่ตามเรื่อง จนกว่าจะสิ้นกฎของกรรม
     
  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ▪️กฎของกรรมเพราะเป็นคนปากร้าย▪️

    ...นรกขุมนี้ที่ถูกสุนัขบ้าง แร้งกาจิกบ้าง ท่านกล่าวว่าเพราะในชาติก่อนคือสมัยที่เป็นมนุษย์ เขาเป็นคนปากกล้าสามานย์ ปากร้าย โฉดเขลา เป็นพาล ไม่ประมาณในวาจา ระวังให้ดีนะขอรับ...วาจาเป็นของสำคัญ คือไม่มีการประมาณในวาจา อยากจะว่า อยากจะติ อยากจะด่า อยากจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ

    แล้วก็สามารถจะด่าบิดามารดาก็ได้ ด่าตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ก็ได้ ด่าปู่ย่าตายายก็ยังได้ ด่าพี่ชายพี่หญิงก็ยังได้ ว่าเสียให้เจ็บให้แสบให้เขาสะเทือนใจ หรือพอโกรธขึ้นมาก็ด่าว่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ แม้แต่ผู้ทรงศีลทรงธรรม เช่น สมณะชีพราหมณ์ ภิกษุสามเณรก็ไม่เลือก ด่าว่าตามชอบใจของตน

    และไม่ด่าอย่างเดียว บางทีคนทั้งหลายที่เขาเข้ามาก็อยากจะทำตัวเป็นคนดีเป็นคนเด่น นินทาคนโน้น แคะไค้คนนี้ ตำหนิคนโน้น ว่าคนนั้นทำไม่ดีคนนี้ทำไม่ดี เขาไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีก็บอกแล้วสอนแล้วเตือนแล้วแบบโลลุทายี เป็นอันว่าปากไม่ดีอย่างนี้ เพราะผลทุจริตอันหยาบช้า จึงบันดาลให้มาเกิดในนรกขุมนี้ ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส
     
  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ▪️ชอบด่าว่าและริษยาเป็นอาจิณณกรรม▪️

    และขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าลืมว่า พวกนี้ลงนรกขุมใหญ่มาแล้ว คนลงด่าอย่างนี้เป็นปกติ มีอารมณ์อิจฉาริษยาอย่างนี้เป็นปกติ มีความระแวงสงสัยเป็นปกติ คิดว่าคนโน้นเขาจะว่าเรา คนนี้เขาจะด่าเรา คนนั้นเขาคิดประทุษร้ายเรา อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์อกุศลเป็นอาจิณณกรรม กรรมมันก็ตาม

    ถ้าเป็นอาจิณณกรรม ท่านบุคคลผู้นั้นตายจากความเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะบวชเป็นพระตลอดกาลตลอดสมัยก็ไปอเวจีมหานรก ถ้ายิ่งเป็นพระก็ยิ่งไปง่ายสบาย ๆ
    *****************************
    #ธรรมทาน
     
  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
    ( พระสูตรว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจพาไปถึงฝั่งพระนิพพาน )

    อายาวะโลกิติซัวรา โบดิสัตจัว กรรมบิรัม ปรัชญาปารมิตาจารัม จารา มาโน วียาวะโลกิติสมา ปัญจะ สกันดา อะสัตตัสจา ซัวปาวะสูญนิยะ ปาสัตติสมา อีฮา สารีบุทรา รูปังสูญญะ สูญนิยะตา อีวารูปา รูปานา เวทะสูญนิยะตา สูญญา นายะนา เวทะ ซารูปัง ยารูปัง สา สูญนิยะตะยา สูญนียะตา ซารูปัง อีวา วีดานา สังญาสัง สการา วียานัม อีฮา สารีบุทรา ซาวาดามา สูญนิยะตะ ลักษาณา อานุภานา อานิรูตา อะมะระ อะวิมะลา อานุนา อาปาริปุนา ทัสมาต สารีบุทรา สูญนิยะตายะ นารูปัง นาวิยานา นาสังญานา สังสการานา วียานัมนา จักษุ โสตรา กรรณนา ชิวหา กายา มะนา ซานะรูปัง สัพพะ กันดา รัสสัส สปัตตะ วียา ดามานาจักษุ ดาตุ ยาวะนา มะโนวีนยะนัม ดาตุ นาวิดียา นาวิดียา เจียโยยาวัดนา จาระมา ระนัม นะจาระมา ระนัม เจียโยนาตุขา สมุดา นิโรดา มาคา นายะนัม นาประติ นาอะบิส สะมะยัง ตัสมาตนะ ปรัตติถา โพธิสัตวะนัม ปรัชญา ปารมิตา อาสริดะ วิหะรัชชะ จิตตา อะวะระนา จิตตา อะวะระนา จิตตา อะวะระนา นัสติ ตวะนะ ทรัสโส วิปาริยะซา อาติกันดา นิสทรา เนียวานัม ทรียาวะ เรียววะ สิทธะ สาวา บุดดา ปรัชญา ปารมิตา อาสวิชชะ อะนุตตะระ สัมยัก สัมโบดิม อะบิ สัมโบดา ทัสมาต เนียทาวียา ปรัชญา ปารมิตา มหามันทรา มหาวิทยะ มันทรา อะนุตตะระ มันตรา อสมา สมาธิ มันทรา สาวา ตุขา ปรัชสา มานา สังญา อามิ เจียจัว ปรัชญา ปารมิตา มุขา มันทรา ตะติติยะ "คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โบดิซัวฮา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      13.8 KB
      เปิดดู:
      35
  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    คำแปล ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
    สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วยสารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง

    ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์ และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์ และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์ ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง

    พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตาลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่ เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา

    คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา
    ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    " เวลาภาวนาจิตฟุ้งซ่าน เกิดจากอารมณ์ คิดนึกปรุงแต่งไปกับอารมณ์ เข้าใจว่าเป็นปัญญา ก็ยิ่งฟุ้งปรุงแต่งมาก เข้าใจว่าตนเฉลียวฉลาด เลยอวดตัวอวดตนว่าวิเศษวิโส อันนี้เรียกว่า " เอาเปลือกมาเป็นแก่น " "

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง(พระมหากัสสปะ)

    1.เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา บุตรที่ดีต้องเคารพเชื่อฟังบิดามารดา พระมหากัสสปะขณะเป็นปิปผลิมาณพถึงแม้ยังไม่อยากแต่งงาน แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของบิดามารดาก็พยายามปฏิบัติตาม

    2.เป็นผู้มีสัจจะ เมื่อได้ลั่นวาจาว่า ถ้าบิดามารดาสามารถหาสตรีที่สวยงามดุจรูปหล่อทองคำก็ยินยอมแต่งงานด้วย ครั้งเมื่อมีสตรีที่งดงามเช่นนั้นจริงท่านก็ปฏิบัติตามสัญญาไม่ยอมคืนคำ

    3.เป็นผู้ที่ความกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง ข้อนี้ปรากฏชัดแจ้งเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านได้ยินพระหลวงตารูปหนึ่งกล่าวดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ท่านนึกสลดใจว่าต่อไปภายหน้าจะเป็นเช่นไร เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้วท่านจึงเป็นกำลังสำคัญในการสังคายนาพระธรรมวินัย จัดการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ เป็นการตอบแทนพระคุณพระพุทธเจ้า

    4.มีชีวิตเรียบง่าย ท่านชอบปลีกตัวไปอยู่สงบตามลำพังในป่า ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่ป่าเป็นวัตร สมเป็น “สมณะ”(ผู้สงบ)อย่างแท้จริง การมีชีวิตเรียบง่าย ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นนี้ ชาวบ้านสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงได้ตามเหมาะสม

    5.เป็นตัวอย่างในทางที่ดีงาม ความเป็นคนเคร่งครัดในระเบียบวินัย การประพฤติขัดเกลาตนเองด้วยการถือธุดงค์อย่างเคร่งครัด ซึ่งความจริงแล้วท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่จำเป็นต้องขัดเกลาตนเองอีกต่อไปแล้ว แต่ที่ท่านเน้นความเคร่งครัดเป็นพิเศษ ก็เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนภายหลังแบบอย่างอีกประการหนึ่งที่ท่านวางไว้ก็คือ “ความมีวิญญาณ” แห่งการสืบทอดพระศาสนาเมื่อคราวพระพุทธศาสนามัวหมองเพราะถูกหมิ่นหรือบิดเบือนความจริง แม้ท่านเป็นผู้สงบโดยนิสัยก็นิ่งดูดาย ได้ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องทำความจริงให้ปรากฏและความเข้าใจให้กระจ่าง ดังได้เป็นการเป็นประธานในการสังคายนาพระธรรมวินัยดังกล่าวข้างต้น ซึ่งผลงานของท่านทำให้มีพระไตรปิฏกที่ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์สืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ธรรมบรรยาย หลวงพ่อชา สุภัทโท

    จิตที่ตื่นรู้ เบิกบาน เป็นพุทธะ

    นี่เรื่องอัตโนมัติของจิตที่เป็นอยู่ ไม่ได้แต่งมัน หัดเบื้องแรกมันเป็นเลย ถ้าเราทำอยู่อย่างนี้ ท่านมหาจะมีอาการอย่างหนึ่งแปลกขึ้นมา คือ เวลาไปนอน ตั้งใจแล้วนอน เคยนอนกรนหรือนอนละเมอ กัดฟัน หรือนอนดิ้น นอนขวาง ถ้าจิตเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ฉิบหายหมด ถึงจะหลับสนิทตื่นขึ้นมาแล้ว มีอาการคล้ายกับไม่ได้นอน เหมือนไม่ได้หลับ แต่ไม่ง่วง เมื่อก่อนเราเคยนอนกรน ถ้าเราทำจิตให้ตื่นแล้วไม่กรนหรอก จะกรนอย่างไร คนไม่ได้นอน กายมันไประงับเฉยๆ ตัวนี้ตื่นอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตื่นอยู่ทุกกาลเวลา คือพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้แจ้ง ผู้สว่าง ตัวนี้ไม่ได้นอนมันเป็นของมันอยู่ ไม่รู้สึกง่วง ถ้าเราทำจิตของเราอย่างนี้ไม่นอนตลอด 2 - 3 วัน บางทีมันง่วง ร่างกายมันเพลีย พอง่วงเรามากำหนดเข้าสมาธิทันทีสัก 5 นาที หรือ 10 นาทีแล้วลืมตาตื่นขึ้น จะรู้สึกเท่ากับได้นอนตลอดคืนและวัน

    เรื่องการนอนหลับนี่ ถ้าไม่คิดถึงสังขารแล้วไม่เป็นไร แต่ว่าเอาแต่พอควร เมื่อนึกถึงสภาวะสังขารความเป็นไปแล้ว ก็ให้ตามเรื่องของมัน ถ้ามันถึงตรงนั้นแล้ว ไม่ต้องนำไปบอกหรอก มันบอกเอง มันจะมีผู้จี้ผู้จด ถึงขี้เกียจก็มีผู้บอกให้เราขยันอยู่เสมอ อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าถึงจุดมันจะเป็นของมันเอง ดูเอาสิ อบรมมานานแล้ว อบรมตัวเองดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    กายวิเวกสำคัญมาก

    แต่ว่าเบื้องแรกกายวิเวกสำคัญนะ เมื่อเรามาอยู่กายวิเวกแล้ว จะนึกถึงคำพระสารีบุตรเทศน์ไว้เกี่ยวกับ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก (อุปธิวิเวก = สงัดจากกิเลส-นิพพาน) กายวิเวกเป็นเหตุให้เกิดจิตวิเวก จิตวิเวกเป็นเหตุเกิดอุปธิวิเวก แต่บางคนพูดว่าไม่สำคัญหรอก ถ้าใจเราสงบแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ จริงอยู่ แต่เบื้องแรกให้เห็นว่ากายวิเวกเป็นที่หนึ่ง ให้คิดอย่างนี้ วันนี้หรือวันไหนก็ตาม ท่านมหาเข้าไปนั่งอยู่ในป่าช้าไกลๆบ้าน ลองดู ให้อยู่คนเดียว หรือท่านมหาจะไปอยู่ยอดเขายอดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หวาดสะดุ้ง ให้อยู่คนเดียวนะ เอาให้สนุกตลอดคืน แล้วจึงจะรู้จักว่ามันเป็นอย่างไร

    เรื่องกายวิเวกนี่ แม้เมื่อก่อนอาตมาเองก็นึกว่าไม่สำคัญเท่าไร คิดเอาแต่เวลาไปทำดูแล้ว จึงนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์สอนให้ไปหากายวิเวกเป็นเบื้องแรก เป็นเหตุให้จิตวิเวก ถ้าจิตวิเวกก็เป็นเหตุเกิดอุปธิวิเวก เช่นเรายังครองเรือน กายวิเวกเป็นอย่างไร พอกลับถึงบ้านเท่านั้นต้องวุ่นวายยุ่งเหยิง เพราะกายไม่วิเวก ถ้าออกจากบ้านมาสู่สถานที่วิเวก ก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...