อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    93220990_1876168999180731_7480501697144422400_o.jpg

    93373496_1876169049180726_2700872961270743040_o.jpg

    93308673_1876169022514062_1038565818507460608_o.jpg

    93237941_1876168945847403_6552230703222751232_o.jpg


    ส่วนต่างๆภายในวัดร่องขุ่น ก็จะงดงามอลังการ ตามสไตล์ อ.เฉลิมชัย สามารถเดินชมเดินถ่ายรูปกันได้เป็นวันๆ ภาพล่างสุดคือบ่อน้ำมนต์ เสี่ยงทาย(โดยการโยนเหรียญ)
     
  2. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    93254659_1881324591998505_2284018979007627264_o.jpg

    93613172_1881324585331839_3494114130481119232_o.jpg

    93643933_1881324748665156_9000173551533162496_o.jpg

    93776308_1881324698665161_7658519767917002752_o.jpg

    93779934_1881324691998495_6440451980321095680_o.jpg


    อุทยานพระพิฆเนศ วัดร่องขุ่น

    ‘อ.เฉลิมชัย’ เผยเรื่องจริงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ จุดเริ่มต้นของอุทยานพระพิฆเนศ

    โดยอาจารย์เฉลิมชัย เล่าว่า "...เมื่อก่อนนะไม่เชื่อหรอกพระพิฆเนศ หรืออะไร ไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วันนึงไปเจอพราหมณ์ทักว่า..เอ็งนะเป็นส่วนหนึ่งของพ่อปู่ลงมาเกิด เพื่อมาสร้างงานศิลปะให้แก่พระพุทธศาสนา เอ็งต้องวาดรูปพระพิฆเนศ เอ็งต้องวาดรูปพ่อปู่นะจะรุ่งเรือง

    เราก็ไม่คิดนะว่าจะเป็นขนาดนั้นจริงเหรอ และบังเอิญวันนั้นเขียนรูปอยู่ฝาผนังที่วัด อยู่ดีๆพู่กันร่วงหลุดมือ แล้วเจ็บแปล๊บเข้าไปที่ซีกขวาทั้งหมด แล้วไปโรงพยาบาลที่กรุงเทพ เข้าเครื่องสแกน เห็นกระดูกทับเส้นประสาท 2 ข้อ คิดว่าเป็นเรื่องปกติ หมอให้ผ่าเราก็ไม่ผ่า ก็อยู่อย่างนั้น อยู่กับความทุกข์ทรมานตลอด วาดรูปไม่ได้ตั้ง2-3 เดือน เริ่มมีความสงสัยว่าพระพิฆเนศ หรือเปล่า?

    ก็เอากระดาษมาวางแผ่นนึง แล้วเข้าสมาธิเลย ถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่ทำให้ป่วย ถ้าเป็นเรื่องจริงขอให้หายเลย หายแล้วจะวาดเลย พอออกจากสมาธิ ก็หายจริงๆ บิดท่าไหนก็ไม่ปวด ลุกขึ้นเดินก็ไม่ปวด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วกระดูก 2 ข้อนั้นก็ไม่ส่งผลอีกเลย มันแปลกที่มันปวดแล้วมันหายได้ เลยสร้างเป็นหอพระพิฆเนศ.."


    ที่มา: https://mgronline.com/local/detail/9620000100241






    94381848_1883394581791506_3016430560764493824_o.jpg

    93842494_1883394551791509_8576409520941563904_o.jpg

    ชั้นล่างของอาคารจะเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุมงคลที่ อ.เฉลิมชัย ได้เคยจัดสร้าง มีให้ชมลานตาเลย สวยๆทั้งนั้น แต่เขาห้ามถ่ายรูปมาเข้าไปชมได้อย่างเดียว
     
  3. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    93888769_1884356575028640_3394151871928074240_o.jpg

    94702519_1884356561695308_4990387179134910464_o.jpg

    94083879_1884356648361966_8009617861007900672_o.jpg


    ด้านในสุดเป็นโรงปั้น ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกงานฝึกอาชีพให้แก่ผู้ที่สนใจ ก่อกำเนิดช่างที่มีฝีมือขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นคือสล่านก นายช่างผู้เนรมิตวัดร่องเสือเต้นให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ จ.เชียงราย

    เรามายังเช้ามากอยู่ จึงยังไม่มีใครมาทำงาน ได้แต่นึกชื่นชม อ.เฉลิมชัยที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเกิด สร้างวัดร่องขุ่นไว้งดงามดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้มาเที่ยวมากมาย และยังช่วยสอนงานสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนที่สนใจที่จะเข้ามาเรียนรู้ในวิชาศิลปะงานช่างอีกด้วย



    94135794_1884356685028629_7146785431189716992_o.jpg

    ห้องน้ำยังอลังการ ไม่ธรรมดา
     
  4. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    94230018_1886567864807511_347533012537180160_o.jpg

    94360582_1886567851474179_8885029584316137472_o.jpg

    94252860_1886567951474169_7555773567397265408_o.jpg


    สิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย

    สิงห์ปาร์ค หรือ ที่หลายคนรู้จักในนาม "ไร่บุญรอด" ตั้งอยู่ริมถนนสายเด่นห้า-ดงมะดะ ห่างจากเขตชุมชนเมืองเชียงราย ประมาณ 9 กิโลเมตร ด้วยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 8,000 ไร่ ทำให้สามารถเนรมิตที่เที่ยวทางเกษตรมากมายให้ได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็น ไร่ชาอู่หลงขนาดใหญ่(600ไร่) , ไร่สตรอเบอรี่ , ฟาร์มสัตว์ , เส้นทางทางปั่นจักรยาน , ทัศนียภาพอันสวยงามของบริเวณโดยรอบร้านกาแฟและเบเกอรี่ , ร้านอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย โดยหัวใจหลักของที่นี่คือ การมุ่งเน้นทำเกษตรแบบผสมผสานรักษาสมดุลของธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกับชุมชน โดยไม่ลืมที่จะสร้างความสุขให้กับชุมชนรอบข้าง รวมทั้วผู้ที่ได้มาเยือน

    ที่มา: http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/002876/lang/th/


    สำหรับกลุ่มเราแวะมาถ่ายรูปกับสิงห์ อันเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่แค่นั้นไม่ได้เข้าไปชมด้านใน (ซึ่งก็จะเป็นสวนดอกไม้ สวนสัตว์ ใครชอบแนวนี้ก็แวะชมกันได้) เพราะยังมีเป้าหมายที่สำคัญรออยู่ข้างหน้า


    บรรยากาศสิงห์ปาร์ค หมอกยังคงลงหนามาก


     
  5. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    94517048_1888488067948824_722589365213069312_o.jpg



    ครูบาดาบส อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย

    ไฮไลท์ที่สำคัญอีกสถานที่หนึ่งที่อยากจะนำเสนอมากก็คืออาศรมไผ่มรกต ของครูบาดาบส ในอดีตช่วงปีสามกว่านั้นขื่อครูบาดาบส นั้นโด่งดังมากเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เพราะข่าวลือว่าท่านเป็น... จึงทำให้คนหลั่งไหลไปที่นี่กันมาก พ่อผมเองก็เคยไป แต่เมื่อท่านละสังขารลงในปี ๒๕๔๓ (หลวงปู่ละสังขารในปี 43 นะครับ ไม่ใช่ปี 34 อย่างตามเน็ตต่างๆลงไว้ ซึ่งคนโพสตอนแรกคงพิมพ์ผิดไว้ แล้วก็ก็อปข้อความชุดนี้ตามๆกันมา) เค้าลางความวุ่นวายภายในสำนักก็เกิดขึ้น และผู้คนก็เริ่มลดน้อยถอยลงตามหน้าเว็บต่างๆก็มีแต่ข่าวเก่าๆ ไม่มีเรื่องราวอัพเดตให้ทราบความเป็นไปภายในสำนักว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

    แม้แต่คนที่เชียงรายเองก็ไม่แน่ใจว่าสำนักปิดตัวลงไปแล้วหรือยัง เราออกจากสิงห์ปาร์คก็มุ่งหน้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมา จากถนนใหญ่ตัดเข้าไปในซอย ผ่านไร่สวนของชาวบ้านไปเรื่อยๆ สองข้างทางค่อนข้างเงียบยังมองไม่เห็นว่าที่หมายของเราจะอยู่ตรงไหน ยังอุ่นใจว่ามาไม่ผิดที่เพราะเห็นป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะ ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายแต่ยังคงมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้บรรยากาศร่มรื่นดีมาก เข้ามาสักพักเราก็ถึงลานจอดรถ เงียบมากเห็นคุณยายสองสามคนกำลังกวาดลานอยู่เราจึงเข้าไปไหว้ คุณยายยกมือรับไหว้แล้ว เราจึงสอบถามว่าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าจะต้องไปตรงไหนเราควรจะไปไหว้ที่ไหนบ้างครับ คุณยายใจดีมากบอกเดี๋ยวจะพาไป

    จุดแรกที่เราไปกราบคือกุฏิครูบา หลังจากกราบไหว้กันเสร็จคุณยายก็เปิดเทปเสียงให้พรจากครูบาดาบส พวกเราก็นั่งรับพรจากครูบาท่าน.....



    95218149_1889573351173629_5167938610300715008_o.jpg


    ครูบาดาบส อาศรมไผ่มรกต
    เรื่องเล่าจากหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) จ.สระบุรี

    ครั้งหนึ่ง ตอนบวชได้พรรษา ๒ หลวงตาได้เที่ยวไปพบพระดีเข้าอีกองค์หนึ่งที่จังหวัดเชียงราย คือ หลวงปู่ดาบส สุมโน แห่งสำนักไผ่มรกต ที่กล้าเรียกท่านว่าพระดี ก็เพราะว่าท่านดีต่อหลวงตา และได้มอบความดีให้หลวงตาประมาณไม่ได้และความดีศรีสุขอันนั้นมันเกี่ยวกับ หลวงพ่อฤๅษี ฯ โดยตรงเสียด้วย

    ครั้งแรกที่ไปกราบหลวงปู่ดาบส ท่านก็ทักถูกใจเราทันทีว่า
    "อยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ฯ สอนมโนมยิทธิหรือ?"
    "ครับผม"
    "อภิญญาสมาบัติที่ทรงอยู่ คล่องดีแล้วใช่ไหม?"


    ตอนนี้หลวงตาตกใจ เพราะเข้าใจว่าเรื่องอภิญญาสมาบัติเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าตัวเองจะยอมรับว่า "ทำได้คล่อง" จึงตอบไปว่า

    "ไม่ใช่ขอรับ ผมยังไม่ได้อภิญญา ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน และแนะนำคนอื่นเท่าที่จะนึกได้"

    "นั่นแหละ เขาเรียกว่าอภิญญา พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ใช้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงใช้อย่างนี้ ใช้แบบวิธีเหมือนกันแต่ความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน ความมั่นใจไม่เท่ากัน ใจที่บริสุทธิ์มาก มั่นคงมั่นใจมาก ก็ใช้ได้คล่องแคล่วชัดเจนมาก บริสุทธิ์ถึงที่สุด มั่นคง มั่นใจไม่สงสัย ก็ใช้ได้ถึงที่สุด เป็นเรื่องธรรมดา"


    หลวงตาเข้าใจ แต่ยังไม่มั่นใจ

    แล้วหลวงปู่ดาบสก็มองหน้าหลวงตา พูดเสียงชัดเจนว่า

    "ออกจากวัดท่าซุง มาอยู่ด้วยกันไหม มาหาที่สงบซุ่มปฏิบัติธรรมให้สมใจ สมวาสนาบารมี"


    "พอสบายจบกิจแล้วจะได้ตั้งสำนักใหม่ สอนพระกรรมฐานให้มีชื่อลือลั่น ไว้ชื่อครูบาอาจารย์ ว่าเรานี่แหละลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ"


    "...................................."

    หลวงตาตกใจ เจ้าประคุณเอ๋ย ความในใจที่อุตริคิดฝังไว้ก้นบึ้งดวงใจไม่เคยเล่าสู่ใคร ไม่เคยถามไถ่แม้แต่หลวงพ่อฤๅษี ฯ คิดซ่อนเร้นไว้กว่า ๑๐ ปี ถึง ๔ ข้อ บัดนี้ได้ถูกหลวงปู่ดาบสไขออกมาไม่มีเหลือ กำลังใจขณะนั้นได้ตอบท่านไปใน ๒ ข้อแรก (และรับรู้ใน ๒ ประการหลัง ซึ่งจะไม่บอกใครจนวันตาย)

    "ไม่เอาครับ หลวงปู่ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับหลวงพ่อในวัดท่าซุงตลอดไป"

    "ดีแล้ว" ท่านยิ้มยืนยันว่า


    "ถูกต้องแล้ว อยู่ที่นั่นไม่ต้องไปที่ไหน"


    "เรื่องธุดงค์บางองค์ก็ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ท่านออกธุดงค์กันในที่ต่างๆ ก็เอาคำสอนครูบาอาจารย์ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกเหมาะกับจิตใจ เอาเป็นที่บำเพ็ญความเพียรพิจารณาธรรมอันนั้นจนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้คนแทนคุณพระศาสนา แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือ ต้นหลวงพ่อฤๅษี ฯ ร่มรื่น ร่มเงาเย็นสบาย ผลไม้อริยผลก็ออกดอกเต็มต้น ไปนั่งนอนเดินยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือเอื้อมเด็ดผลไม้ มากินให้หวานชื่นใจด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรผลได้ในชีวิตนี้"


    ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า

    "พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี
    จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน
    ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
    ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้


    จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว"

    นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..

    แล้วหลวงตาก็กลับวัด ก่อนลาหลวงปู่กลับ ก็ถ่ายรูปร่วมกับท่านมาภาพหนึ่ง กลับมาถึงก็เล่าให้พี่น้องบรรพชิตและฆราวาสฟังว่า มีหลวงปู่ดาบส แห่งสำนักไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย ท่านพูดถึงพ่อเราอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วท่านก็งามนักหนา ทั้งหน้าตามารยาท ถ้าพ่อเราเป็นพระอาทิตย์เต็มองค์ทรงกลด หลวงปู่ดาบสก็งามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง แล้วก็เอารูปของท่านออกมาอวดไปทั่ววัด

    ก็อวดมาถึงหลวงพี่วิรัช ท่านก็เอาไปเล่าอวดหลวงพ่อพร้อมรูปใบนั้น พ่อเราฟังไป ดูรูปไป ก็ส่งรูปคืนให้หลวงพี่วิรัช พร้อมกับพูดลอย ๆ ออกมาว่า

    "เออ.. ๒๐ ปีแล้วซีนะ"


    หลวงพี่วิรัชก็กลับมาบอกคืนหลวงตาว่า คงเป็นเพื่อนหลวงพ่อ ไม่ได้พบกัน ๒๐ ปีกระมัง

    พอตอนเย็น ไปทำวัตรเย็นและปฏิบัติกรรมฐาน หลวงพี่อนันต์ เรียกหลวงตาเข้าไปหาแล้วบอกว่า

    "หลวงพ่อให้บอกท่านว่า พระเจ้าของรูปนั้นได้อรหันต์มา ๒๐ ปีแล้ว"


    ที่มา:http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php…


     
  6. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    หลวงพ่อเงินปี2515 วัดท่าบัวทอง
    line_589371061652664.jpg line_589374291062126.jpg line_589386927216204.jpg line_589382916928049.jpg
     
  7. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    94360582_1887571298040501_1507530772116930560_o.jpg

    95441328_1890674911063473_7878164197865947136_o.jpg


    ประวัติครูบาดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย

    "...เดิมชื่อ สง่า นามสกุล เจริญจิตต์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๗ ปีชวด ตำบลบางกระไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวนทั้งหมด ๘ คน บิดาชื่อ “นายเถียน” มารดาชื่อ “นางเวียง”

    ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อายุได้ ๑๘ ปี “คุณป้า” ได้นำ “เด็กชายสง่า” ไปบรรพชาที่ “วัดจันทนาราม” จังหวัดจันทบุรี เพื่อเรียนปริยัติธรรมซึ่งต่อมาสามารถ สอบได้ทั้ง “นักธรรมตรี” และ “นักธรรมโท”

    พ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม จึงออกเดินธุดงค์ไป “จังหวัดเชียงใหม่” ตามเส้นทาง “อำเภอดอยสะเก็ด” สู่ “ถ้ำเชียงดาว” อำเภอเชียงดาว

    ได้ธุดงค์พลัดเข้ามาสู่เขตพื้นที่ของ “อำเภอพร้าว” ในปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๔ จึงพำนักและปฏิบัติธรรมใน “ป่าช้า” ของตำบลเวียง อำเภอพร้าว หรือ “วัดป่าเลไลย์” เป็นเวลาถึง ๔ ปี

    ณ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ตรงกับแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ เวลา ๑๗.๐๐ น. “พระภิกษุสง่า สุมโน” ตั้งสัจจะอธิษฐาน ณ ดอยพระเจ้าหล่าย ขอสละเพศบรรพชิตขอลาสิกขาบทจากการเป็น “พระภิกษุสงฆ์”

    โดยหันมาถือการครองเพศเป็น “ดาบส” ที่มีเพียงผ้าอังสะและผ้าสบง เพียงสองผืนหุ้มห่อร่างกายไว้ จากนั้นจึงครองเพศเป็น “ดาบส” และปฏิบัติธรรมอยู่บน “ดอยพระเจ้าหล่าย” โดยมิได้ฉันทั้งอาหาร และน้ำถึง “๓ วัน ๓ คืน”

    จากนั้นจึงเดินทางลงจากดอยเพื่อธุดงค์ไปจังหวัด ต่างๆ ทั้ง แพร่ ลำปาง น่าน ยะลา ชุมพร และท้ายสุดปฏิบัติธรรมที่ “อาศรมไผ่มรกต” ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย จนมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ สิริอายุได้ ๗๖ ปี

    “หลวงพ่อดาบส สุมโน” นับเป็น “ผู้บำเพ็ญเพียร” ด้วยศีลาจารวัตร บริสุทธิ์ผุดผ่องจนได้พบแสงสว่างแห่งธรรมเจิดจ้า และธรรม ที่ท่านแสดงให้บรรดาศิษย์ได้ยังความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เคยฟังธรรมจากท่าน

    นอกจากนี้ ในวันเผาสรีระของท่าน แต่หัวใจของท่าน กลับเผาไม่ไหม้ แถมยังแปรสภาพเป็น "สีเขียวมรกต" อีกด้วย

    พร้อมกันนี้ยังมีเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นอัศจรรย์ ท่ามกลางสายตาของผู้ร่วมพิธีนับพันคน นั่นก็คือมีแสงรุ้งรัศมีขึ้นบนท้องฟ้า ในขณะพิธีฌาปนกิจศพของท่านด้วย

    เหมือนกับท่านบอกว่าเป็นนัยยะว่า นับประสาอะไร..อุปสรรคเช่นนี้ที่เป็นเปลวไฟของกิเลส จะมาย่ำยีท่านได้ ผลที่สุด "หัวใจ" ท่านจึงได้กลายเป็นอมตะ หลุดพ้นจากไฟกิเลสที่เผาผลาญทั้งปวง

    จึงนับได้ว่าท่านเป็น “ประทีปธรรม” แห่งภาคเหนือที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และในจิตใจ ของประชาชนตลอดไป

    โดยเฉพาะท่านยังอยู่ในหัวใจของคณะศิษย์หลวงพ่อฯ และ "คณะตามรอยพระพุทธบาท" ตลอดมา ประทับใจที่ได้ไปฟังธรรมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ (โปรดดูคลิปวีดีโอ)

    ทุกวันนี้..หัวใจของท่าน ศิษยานุศิษย์ยังคงเก็บรักษาไว้ ณ กุฏิของท่านเพื่อเป็นที่สักการะแก่ผู้ศรัทธาโดยทั่วไป

    นอกจากหลวงพ่อดาบส แล้ว ที่ไฟไม่อาจย่อยสลาย “ดวงใจ” ของท่านได้ ยังคงมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันของภิกษุณี “หยวนจ้าว” ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศจีน และ หลวงปู่ ติช กวาง ดึ๊ก ที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนามเช่นกัน (อ่านรายละเอียดได้ที่ tnews.co.th/contents/221427)

    พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียง
    วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๑


    ที่มา:
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2611


    107960530_1967295783401385_3053375896639985513_o.jpg

    109236628_1967295753401388_7623784802380298524_o.jpg

    (กุฏิหลังเก่าครูบาดาบสอยู่ด้านหลังกุฏิหลังใหม่)


    ประวัติครูบาดาบสอย่างยาว เพื่อใครสนใจอ่านได้ที่นี่ครับ

    http://www.rabiangdoi.com/arsom/images/history3.pdf
     
  8. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    95224883_1890672444397053_5158533598290116608_o.jpg

    พระหยกเจ็ดสี

    เป็นพระพุทธรูปปางเทศนาแสดงพระธรรมจักรแบบอินเดีย นำมาประดิษฐาน ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓ จากประเทศไต้หวัน องค์พระหยกมีขนาดใหญ่ทีเดียว ประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านหน้าก่อนขึ้นกุฏิครูบา


    95945030_1891574970973467_5888706561487929344_o.jpg

    พระพรหม อาศรมไผ่มรกต

    ประดิษฐานอยู่ข้างๆวิหารพระหยกเจ็ดสี เห็นพระพรหมทีไรก็ต้องนึกถึงพรหมวิหาร ๔ อันเปรียบเสมือนรากหรือแม่แห่งพระธรรม เพราะหากคนไร้ซึ่งความ เมตตา กรุณา ... ศีลก็ขาดสะบั้น เมื่อไม่มีศีล สมาธิก็ไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ย่อมไม่เกิด ไร้ปัญญาเหมือนไร้อาวุธที่จะฟาดฟันกำกิเลสทั้งปวง

    นอกจากนี้พระพรหมยังทำให้นึกถึงครูบาอาจารย์ที่เคารพซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีคำว่าพรหม เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี) หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ รวมทั้งท่านปู่ใหญ่(ท้าวสหัมบดีพรหม)




    95526358_1892638214200476_3504527819856150528_o.jpg

    95546326_1892638260867138_3192824459589320704_o.jpg

    95567948_1892638330867131_3368190950697336832_o.jpg

    95715038_1892638310867133_873395571170213888_o.jpg


    ออกจากกุฏิครูบาดาบส ก็เดินมายังสุมโนวิมุตติเจดีย์ อันเป็นที่ประดิษฐานอัฐิ หัวใจมรกต และเครื่องอัฐบริขาร ซึ่งพระเจดีย์นี้สร้างอยู่บนเนินที่เคยใช้เผาสรีรสังขารครูบาท่าน
     
  9. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    ลูกแก้วอธิฐานครูบาดาบส
    IMG_25630712_183818.jpg
     
  10. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    95611072_1892638197533811_4042799754483073024_o.jpg

    95715866_1894600750670889_8129142372744298496_o.jpg

    95955615_1894600730670891_5071494230610804736_o.jpg

    95789943_1894600714004226_776089298918178816_o.jpg

    95804833_1894600827337548_4205219534828732416_o.jpg

    94888432_1894600887337542_2603871597336985600_o.jpg



    อัฐิธาตุหลวงปู่ครูบาดาบส สุมโน ภายใน สุมโนวิมุตติเจดีย์

    ภายหลังจากที่ครูบาดาบสท่านได้ละสังขารลงในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ สิริอายุได้ ๗๖ ปี ทางอาศรมก็ได้สร้างสุมโน วิมุตติเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บ อัฐิธาตุ หัวใจ มรกต และอัฐบริขาร ของครูบาท่าน จึงควรที่ผู้ศรัทธาจะได้มา กราบน้อมรำลึกถึงครูบา พิจารณาให้เกิดปัญญา ซึ่งความไม่เที่ยงแห่งสังขารและสิ่งทั้งปวง




    โอวาทหลวงปู่ครูบาดาบส สุมโน เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออนันต์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง นำคณะศิษยานุศิษย์วัดท่าซุงขึ้นไปกราบนมัสการยังอาศรมไผ่มรกต


    94994561_1888502024614095_5973838985162653696_n.jpg
    Cr. ภาพจากเว็บตามรอยพระพุทธบาท.คอม


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    95931959_1895615037236127_8940769858862186496_o.jpg

    95937046_1895614997236131_4814261956284252160_o.jpg

    95952027_1895615013902796_4438484654693023744_o.jpg

    96096822_1895615080569456_3023290448169926656_o.jpg


    หัวใจมรกต ครูบาดาบส

    แต่เดิมตั้งใจเอาไว้ว่าหากมีโอกาสขึ้นมาที่อาศรมไผ่มรกต จะได้ชื่นชมกับหัวใจมรกตของครูบาท่าน เพราะภาพที่เห็นตามเน็ตส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพเล็กดูก็ไม่ค่อยชัด แต่เมื่อสอบถามจากคุณยายแล้วท่านบอกว่าทางอาศรมได้นำเข้าบรรจุไว้ในพระเจดีย์แล้ว ซึ่งเจดีย์องค์นี้ก็อยู่ในสุมโน วิมุตติเจดีย์นั่นแหละ


    96029994_1895615107236120_3456480222579261440_o.jpg

    ภาพหัวใจมรกตเป็นภาพเก่าสีซีดไปมากแล้ว


    96084756_1895624843901813_6892564611837460480_n.jpg
    ภาพหัวใจมรกต หามาจากในเน็ตได้ชัดสุดแค่นี้


    96416938_1895618943902403_6763949196228689920_o.jpg

    “นกหัสดีลิงค์” พาหนะพาครูบาท่านสู่ฟ้ามหาเนรพาน
     
  12. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    95811049_1899567756840855_2766143802606354432_o.jpg

    95723405_1899575156840115_6637799173452201984_o.jpg

    พระอุปคุต อาศรมไผ่มรกต

    พระอุปคุต ได้รับความนิยมในการบูชากันมากทางล้านนา จะมีรูปหล่อของท่านให้เห็นกันมากมายหลายวัด องค์นี้น่าจะเป็นหินอ่อนแกะสลัก วิหารตั้งอยู่กลางสระบัว ถ้าช่วงบัวงามๆออกดอกสะพรั่งคงจะงดงามมาก

    ******************************

    ตำนานพระอุปคุต

    จากการค้นหาข้อมูลของพระอุปคุตนั้น เราทราบเพียงว่า ท่านเกิดหลัง พระพุทธเจ้า เสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบ ภูมิเดิมของท่านละเอียด ว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน

    จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ

    สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก) เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ ๆ มาแต่ครั้งโบราณ

    เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง

    เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่าง ๆ

    แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถ เป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น

    และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้

    เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร

    ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้าง ที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระ ก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสาร

    เมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้

    บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

    และในเวลานี้เอง พญามาร (พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้าย เพื่อให้พญามาร ออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระ จึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออก จากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไป จากบริเวณงานทันที

    ด้วยความอับอาย พญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสอง ต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอ และมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้) แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมา และขอความเมตตา จากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า

    พญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวน การจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตาม แต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามาร จะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามาร ไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหว และเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญามาร ไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภช พระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ (7 ปี 7 เดือน 7 วัน)

    เวลาผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภช ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ จึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่า ละพยศร้ายหรือยัง

    พญามารเอง เมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดี ในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์ โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบ แก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้า ให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอาย เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศล ที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”

    กล่าวได้ว่า การตกระกำลำบากในครั้งนี้ ทำให้พญามาร ซึ่งความจริงแล้ว ในอดีตชาติ (ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า) เคยมีจิตตั้งมั่น ที่จะบำเพ็ญเพียร ให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวาง พุทธศาสดาของพระพุทธโคดม ก็ด้วยความริษยา พระพุทธโคดม (มีมิจฉาทิฐิ) เนื่องด้วยพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้งๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมี มามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้ง ก็มิได้ล่วงเกิน ทำบาปหนักแต่ประการใด

    เมื่อพระอุปคุตเถระ ได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญามาร และบอกว่า การกระทำครั้งนี้ ก็เพื่อให้พญามาร ระลึกได้ถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนา ที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญามารก็เข้าใจด้วยดี

    ต่อจากนั้นพระเถระ ก็ได้ขอให้พญามาร เนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็น เป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่า เมื่อเห็นเขาเนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก

    ครั้นเมื่อพญามารเนรมิตกาย เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่าง ด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการ ทำเอาพญามารตกใจ รีบคืนร่างเดิม และท้วงติงว่า ทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระเถระ ก็กล่าวให้พญามารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และพญามารก็ไม่บาปหรอก จะได้กุศลมากกว่า

    จากนั้นพญามาร ก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ 6 วิมานของตน และนับแต่นั้นมา พญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมี เพื่อพุทธภูมิต่อไป

    หมายเหตุ

    เนื้อเรื่องได้กล่าวถึง พระพระกัสสปพุทธเจ้า ดังนั้นเพื่อความเข้าใจ ในการอ่าน ขอเสริมว่าตามตำนาน โลกเรานั้น แบ่งช่วงเวลาเป็นกัลป์ ซึ่งแต่ละช่วง ในแต่ละกัลป์ ก็จะมีพระพุทธเจ้า ที่มาตรัสรู้ โปรดบรรดาสัตว์โลก เป็นคราวไป ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงมีหลายพระองค์ ซึ่งเวลาหนึ่งกัลป์นั้นนานนัก (กัลป์ที่เราอยู่นี้ มีพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้แค่ 5 พระองค์ และมีหลายๆ ช่วงในแต่ละกัลป์ ที่ปราศจากพระพุทธศาสนา โดยสิ้นเชิง ดังนั้นถือว่าเราโชคดีมาก ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้


    ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน https://phuketjournal.com/upagupta.html

    ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน https://phuketjournal.com/upagupta-2.html

    ที่มา :
    https://phuketindex.com/…/ph…/other/buddha-oppakut/index.htm


    96573617_1899577366839894_2512560953401278464_o.jpg
    ใกล้ๆกันก็จะเป็นวิหารเจ้าแม่กวนอิม และยังมีพระสังกัจจายน์และพระสิวลีอีกด้วย
     
  13. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    96146460_1900719550059009_1836415002295140352_o.jpg

    96811137_1900719553392342_1876530052674355200_o.jpg

    96243959_1900719643392333_740931224914100224_o.jpg

    96116514_1900719566725674_6476765061225381888_o.jpg

    95973872_1900719633392334_1982549104172990464_o.jpg


    พระเจดีย์เกาะพญานาค อาศรมไผ่มรกต

    คุณยายเล่าให้ฟังว่า เจดีย์เกาะพญานาคนี้เพิ่งบูรณะทาสีเสร็จก่อนที่คณะเราจะมาแค่ไม่กี่วัน ตรงจุดนี้จึงดูสดใสงดงามมาก ภายในประกอบไปด้วยพระเจดีย์เหลือกินเหลือใช้ ล้อมรอบด้วยพระพุทธรูป ๔ ทิศ อันเป็นประธานของสถานที่นี้ และโดยรอบยังมี รูปปั้นพระเกจิที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย และรูปปั้น อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ อีกด้วย


    96091249_1901672633297034_3272344821297053696_o.jpg

    96026009_1901672859963678_621648476886794240_o.jpg

    96234957_1901673636630267_3129312355821813760_o.jpg





     
  14. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    116787548_1985923834871913_6391556354467020379_o.jpg

    117038691_1985923888205241_946600846562097864_o.jpg

    97154197_1903674829763481_4775176564184711168_o.jpg

    116803899_1985923964871900_9022201813413822023_o.jpg

    116335981_1985923984871898_7514075593087454197_o.jpg

    116796859_1985924044871892_8679518775813048232_o.jpg

    117237504_1985924064871890_7198017171776082570_o.jpg


    พระบรมสารีริกธาตุเจดีย์นิลปราสาท
    จำลองจากเมืองนครนาคราชสัตตจุฑาบรมรัตน์

    ออกจากเกาะพระเจดีย์มา ก็มาทางโซนเชิงเขาจากตรงนี้ไปด้วยความร่มครึ้มของสถานที่ และความชื้นทำให้เกิดตะไคร่น้ำเกาะ บวกกับสถาปัตยกรรมแบบบ้านๆที่ดูแปลกตา ช่วยขับให้บรรยากาศดูลึกลับน่าพิศวง ทรงพลังศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามยิ่งนัก ราวกับจะหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง

    หลังจากที่กราบไหว้พระธาตุเสร็จ ขณะที่เดินถ่ายรูปอยู่และจะเดินไปด้านหลังพระเจดีย์เพราะเห็นมีสิ่งก่อสร้างอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากพี่ผู้หญิงคนหนึ่งบอกให้เรารีบขึ้นไปข้างบนไปกราบพระแก้วก่อน เพราะวิหารพระแก้วนี้ปกติจะเปิดเฉพาะวันพระและวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น แต่วันนั้นมีแขกพิเศษมากราบเดี๋ยวเขากราบเสร็จก็จะปิดวิหารเลย ให้คณะเรารีบตามเข้าไป

    เราจึงรีบไปกราบพระแก้วก่อนกะว่าเสร็จแล้วจะลงมาถ่ายรูปตรงนี้อีกที สุดท้ายมัวแต่คุยกับเจ้าหน้าที่จนลืม เดินมาถึงด้านล่างแล้ว ไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันอีกทีเพราะเท่าที่ดูยังมีอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    97996321_1911667482297549_5892980741142216704_o.jpg

    99130366_1911667492297548_7403268057629458432_o.jpg

    98359071_1910728339058130_1864974722337341440_o.jpg

    97734621_1910727622391535_435369938463490048_o.jpg


    ก่อนขึ้นไปกราบพระแก้วอาณาบริเวณนี้ บวกกับรูปปั้นสัตว์หิมพานต์ต่างๆ ยิ่งถ้าเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศครึ้มๆ เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ บรรยากาศจะดูลึกลับยิ่งนัก




     
  16. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    96737069_1905657816231849_4622071000241012736_o.jpg

    96679908_1905657862898511_2387074241079017472_o.jpg

    96377515_1905657826231848_2351018407240925184_o.jpg


    วิหารถ้ำ(วิหารพระแก้ว)

    "มาอาศรมไผ่มรกตแล้วได้ได้เข้ามากราบพระแก้วถือว่ายังมาไม่ถึง"

    นี้เป็นคำกล่าวของผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ คณะของเราได้ไปยังอาศรมไผ่มรกตเป็นวันสิ้นปี ๒๕๖๒ พอดี เป็นวันจันทร์ ซึ่งตามปกติแล้ววิหารถ้ำแห่งนี้จะเปิด เฉพาะวันพระ และวันเสาร์อาทิตย์ เท่านั้น แต่ด้วยวันนั้นจะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบทางอาศรมเปิดวิหารเป็นกรณีพิเศษ คณะของเราเลยพลอยฟ้าพลอยฝนได้เข้ามากราบพระแก้วด้วย คงเป็นด้วยแรงศรัทธาต่อครูบาท่านจึงได้รับโอกาสพิเศษเช่นนี้ ทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัวถูกที่ถูกเวลาพอดี ถ้าเรามาถึงอาศรมเร็วหรือช้ากว่านี้ก็คงจะคลาดเคลื่อน และคงไม่ได้เข้ากราบพระแก้ว เพราะลำพังคณะเราเขาคงไม่เปิดวิหารให้เราแน่ และพอคณะเราคนสุดท้ายออกจากวิหารเจ้าหน้าที่ก็ปิดล็อกประตูทันที เป็นอันว่าใครมาหลังจากนี้ก็เข้าไม่ได้แล้วจึงนับเป็นเมตตาของครูบาอาจารย์เหมือนท่านรับรู้การมากราบสักการะของคณะเรา ผมเชื่อเช่นนั้น เพราะตลอดหลายสิบปีที่ตระเวณกราบไหว้ครูบาอาจารย์มักจะมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง

    พระแก้วองค์นี้ต้องเป็นพระที่มีความสำคัญมากๆ เพราะนอกจากจะไม่ได้เปิดวิหารทุกวันแล้ว การเข้ากราบก็ต้องสวมชุดขาวทับ(ทางอาศรมมีจัดเตรียมไว้ให้ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ)และ มีระเบียบวิธีการด้วยดังรายละเอียดด้านล่างนี้ และห้ามถ่ายรูปพระแก้วจึงไม่มีภาพมาให้ชมนะครับ


    *******************

    ระเบียบการเข้ากราบพระแก้ว

    วันพระ วันเสาร์ วันอาทิตย์ เปิดพระวิหารถ้ำให้ผู้ประสงค์จะเข้าไป
    ท่านผู้ประสงค์จะเข้าไปนมัสการกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรแก้วเขียวโบราณองค์นี้ควรปฏิบัติดังนี้

    ๑. ให้นึกน้อมทำใจให้เลื่อมใส แด่องค์พระพุทธเจ้า ผู้มาบังเกิดยากในโลก ผู้เป็นทักขิเณยอันเลิศ เป็นนาบุญยิ่งกว่านาทั้งหลาย เราจึงควรนุ่งห่มให้สุภาพถูกต้องตามประเพณีเหมือนดังพืชที่จะหว่านลงในนาดี(คือพืชดีนาดี) โดยยิ่งถ้าทำได้ จงสวมใส่ผ้าชุดขาวเข้าไปพร้อมเครื่องสักการะที่จะบูชา ด้วยประการนี้ บุญที่เลิศของเราก็ย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ ความสุขและกำลังย่อมถึงความเป็นเลิศ ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมจะบันเทิงในสวรรค์

    ๒. ห้ามนำน้ำส้มป่อย น้ำหอม ที่จะทำให้เปียก เปื้อน เข้าไปอาบ สรง รดองค์พระและภายใน น้ำมันหอมระเหยใช้ประพรมหรือบูชาตั้งไว้และเครื่องหอมอื่นๆนั้นได้

    ๓. ควรสำรวมตน ไม่ควรใส่เกือก สวมหมวก เคี้ยวหมากเมี่ยง สูบบุหรี่ หรือพกพาศาสตราวุธเข้าไป และห้ามถ่ายรูปภายในพระวิหารถ้ำ ภายนอกไม่ห้ามฯ

    ผู้ที่ไม่ได้เตรียมผ้าชุดขาวมาจากบ้าน ประสงค์จะเข้าไปในพระวิหารถ้ำฯ ทางอาศรมมีไว้ให้ยืม ทั้งหญิงและชาย ถามได้ที่หน่วยบริการผ้าฯ



    96754696_1906658299465134_3369370473270870016_o.jpg

    96754696_1906658299465134_3369370473270870016_o.jpg

    ใกล้ๆ วิหารถ้ำจะเป็นตึกรูปทรงสะดุดตามาก ถามเจ้าหน้าที่ไว้เหมือนกันว่าเอาไว้ทำอะไรแต่ผมลืมซะแล้ว



    97045157_1906658276131803_596558562138783744_o.jpg

    พระปางเสด็จลงจากดาวดึงส์


    บรรยากาศบริเวณวิหารถ้ำ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    1596876043058.jpg 1596876041680.jpg 1596876040266.jpg IMG_25630808_160816.JPG
     
  18. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    FB_IMG_1593522640789.jpg FB_IMG_1593522643181.jpg Screenshot_25630708_065340.jpg Screenshot_25630708_065328.jpg Screenshot_25630708_065317.jpg IMG_25630630_202206.JPG Screenshot_25630708_065306.jpg Screenshot_25630708_065255.jpg Screenshot_25630708_065224.jpg
     
  19. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    99427588_1913517968779167_9204336917892562944_o.jpg


    ยอดธรรม ยอดคาถา

    พระคุณเจ้าหลวงปู่ครูบาดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย

    เวลาจะภาวนา ให้ว่ายอดธรรม ยอดคาถานี้ก่อน
    ถ้าหลายคนว่าพร้อมกัน


    "ยโขธมฺมํ วรํตสฺส เยชนาเต ชนาวรํ โกจิตฺตํสํ ขตํมุตโต
    เอโสปารโม ทุกฺขํขโย"


    (ยะโขธัมมัง วรังตัสสะ เยชะนาเต ชะนาวะรัง โกจิตตังสัง ขะตังมุตโต เอโสปาระโม ทุกขังขะโย)...

    ยโขธมฺมํ ธรรมใดแล, เป็นธรรมไม่มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, เป็นธรรมกวมทั่ว (คงที่), ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่าง ๆ อันจักพึงติดต้อง, เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ

    วรํตสฺส ธรรมนั้นแล, เป็นธรรมพึงประจักษ์เฉพาะตน, อันบุคคลจักพึงเห็นเอง, คือพระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด, ที่เรียกว่าฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก. เป็นธรรมธรรมประเสริฐ, อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ

    เยชนาเต บรรดามนุษย์ทั้งหลาย, ชนเหล่าใดที่เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย, ส่วนหมู่สัตว์คือ ชนนอกจากนี้ , ยอมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง, คือไปแล้วในอารมณ์ต่าง ๆ, ตามเห็นรูป รส โผฎฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่นั่นแหละเหมือนหลับอยู่, ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดประพฤติตามธรรม, ในธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว, ชนทั้งหลายเหล่านั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบคคลข้ามได้ยากแสนยากนั้น ฯ

    ชนาวรํ ก็ชนใดทำจิตของตน, ไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่าง ๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่าง ๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ, ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ หรือมิฉะนั้นชนใด, เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ, ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่าง ๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

    โกจิตฺตํสํ ก็จิตของเรานี้เล่า, มันเพลินเที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่าง ๆ, ตามเห็นรูป รส โผฎฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่เหมือนหลับอยู่,

    ขตํมตฺโต ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์, จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ

    เอโสปารโม เหตุนั้นกาลบัดนี้, เราจักทำจิตของเราไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่าง ๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่าง ๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ

    ทุกขํขโย เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ หรือมิฉะนั้น, เราจักกำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ, เพื่อประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่าง ๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น, ซึ่งเป็นธรรมประเสริฐ, คือพระนิพพานเป็นที่หลุดรอด, ตามที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว...นั้น นั่นแล. ฯ

    "บุคคลใดแม้มาเจริญ คือ สาธยายยอดธรรมยอดคาถานี้อยู่เนือง ๆ บุคคลนั้นจักสบประโยชน์ใหญ่หลวง เป็นผู้มีโชคใหญ่จักไม่เข้าถึงความตาย ความตายจักไม่แลเห็นผู้นั้น จักบรรลุคุณวิเศษอันหาค่ามิได้"

    พระดาบส สุมโน
    อาศรมไผ่มรกต อ.เมือง จ.เชียงราย

    ภาคที่ ๑


    ความเป็นมาแห่งยอดธรรมยอดคาถา


    พระคณเจ้าดาบส สุมโน ได้แสดงธรรมคาถาเทศนา ณ ที่ถ้ำเจดีย์แก้ว หรือที่อาศรมวิเวกเจดีย์แก้ว (ถ้ำผาตบ) จังหวัดน่าน ในพรรษาศีลที่ ๖ เดือน ๑๑ เหนือ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ปีมะโรง มีความสำคัญดังต่อไปนี้...
    ก่อนที่จะกำเนิดมาเป็นพระคาถา ยอดธรรม ยอดคาถานี้ขึ้นมาได้นั้น มีสาเหตุเกิดขึ้นจาก ณ บนสวรรค์คือในกาลนั้น ได้มีเทพบุตร ๒ ตน คือ
    ตนหนึ่งมีเครื่องทรงเศร้าหมอง อีกตนหนึ่งมีทิพย์อาสน์ร้อนเพราะใกล้จะถึงเวลาจุติ (เคลื่อน) ก็ให้บังเกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่อยากจุติจากทิพย์สมบัติในสวรรค์ ภายหลังได้รับอนุเคราะห์จาก "ธรรมโฆษเทพบุตร" ธรรมโฆษเทพบุตร จึงได้เล่าประวัติความเป็นมาแห่งตนจากการได้ดำรงไว้ซึ่งยอดธรรม ยอดคาถา ให้เทพบุตรเหล่านั้นฟัง มีความว่าดังนี้...
    เมื่อก่อนธรรมโฆษตนนี้ชื่อว่า "อุโปสถะเทพบุตร" เมื่อใกล้จะจุติจากสวรรค์ (เรียกว่าหมดบุญ) จึงระลึกได้ว่า เมื่อตนจะหมดบุญแล้ว จะต้องลงไปเกิดยังยมโลก เป็นสัตว์นรกอยู่ถึง ๘ แสน ๔ หมื่นกัปล์จากนรกแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอีก ๙ จำพวก ๆ ละ ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นวิบากจากการเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานแล้วก็จะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์พิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ง่อยเปลี้ย เสียขา ไม่ครบอาการ ๓๒ อีก ๕๐๐ ชาติ เพราะกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้แล้ว ความชั่วในปางก่อนติดตามทัน เมื่ออุโบสถะระลึกได้ดังนั้นก็ตกใจมีความกลัวเป็นกำลัง ขณะนั้นพอได้ทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าขึ้นมาโปรดสัตว์ชั้นดาวดึงส์ ทรงประทับอยู่ใต้ต้นปริชาติ อุโปสถะจึงน้อมเกล้าเข้าไปขอธรรมะ เพื่อให้ระงับการจุติเสียในขณะนั้น เพื่อจะได้บำเพ็ญกุศลสืบต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เทศนายอดธรรม ยอดคาถา โปรดอุโปสถะเทพบุตร เมื่ออุโปสถะเทพบุตรได้ยอดธรรม ยอดคาถา โปรดอุโบสถะเทพบุตร เมื่ออุโปสถะเทพบุตรได้ยอดธรรม ยอดคาถา มาดำรงไว้ในตนจึงบันดาลให้อุโปสถะเทพบุตรกลับมีสภาพใหม่และได้นามว่า "ธรรมโฆษเทพบุตร" แต่นั้นมาและมีอายุยืน ไม่ได้จุติลงไปยังยมโลกและโลกมนุษย์ตราบเท่าทุกวันนี้.

    ยอดธรรม ยอดคาถา มี ๑๖ คำ ดังนี้...
    "ยโขธมฺมํ วรํตสฺส เยชนาเต ชนาวรํ"

    ยอดธรรม ยอดคาถาแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ๆ ละ ๔ บท ท่านแสดงว่าไว้
    ยะโขธัมมัง ประกอบไปด้วยพยัญชนะบทความ ๖๔ คำ
    วะรังตัสสะ " ๖๔ คำ
    เยชะนาเต " ๑๓๕ คำ
    ชะนาวะรัง " ๔๗๒ คำ
    รวมเป็นพยัญชนะบทความ ๗๓๕ คำ

    ความเป็นมาแห่งยอดธรรม ยอดคาถา

    วรรคที่ ๒ คือ "เยชนาเต ชนาวรํ"

    สมเด็จพระอริยะเมตตรัยเจ้าให้ยอดธรรม ยอดคาถา วรรคที่ ๒ แก่ธรรมโฆษเทพบุตรในชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงเล่าชาติกำเนิดของพระองค์
    ปางเมื่อเกิดเป็นกษัตริย์ชื่อว่า "สังขะจักร" มีปราสทาทประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปรินายกแก้ว มณีแก้ว มาในวันหนึ่งจึงใคร่ได้ยินคำว่า "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" เมื่อผู้ใดบอกข่าวคำนี้ให้ทราบข้าพเจ้าจะยกราชสมบัติทั้ง ๔ ชมภูทวีปให้ครอบครอง มีวันหนึ่งได้มีเณรน้อยองค์หนึ่งเดินเข้ามาในพระราชวังที่กษัตริยสังขะจักรประทับอยู่ระหว่างทางมีชาวเมืองทั้งหลายกล่าวร้ายหาว่า เป็นบ้าบ้าง เป็นยักษ์บ้าง เป็นอมนุษย์บ้าง และตามที่กล่าวร้าย เณรน้อยเข้าไปในพระราชฐาน กษัตริย์สังขะจักรจึงได้ห้ามไว้แล้ว จึงไต่ถามเณรว่า
    กษัตริย์สังขะจักร เณรเป็นยักษ์จริงหรือ หรือเป็นมนุษย์เราชาวเมืองไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
    เณร ตอบว่า เป็นมนุษย์
    กษัตริย์สังขะจักร ถามว่า เป็นลูกเต้าเหล่าใคร
    เณร ตอบว่า เป็นลูกของพระสงฆ์
    กษัตริย์สังขะจักร ได้ฟังคำที่ต้องการมานั้น จึงบังเกิดความปิติยินดี สลบไปนาน เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงไต่ถามเณรต่อไปว่า พระสงฆ์เป็นลูกของใคร
    เณร ตอบว่า เป็นลูกของพระพุทธ
    กษัตริย์สังขะจักร เมื่อได้ยินคำนี้อีกก็บังเกิดความปิติยินดียิ่งขึ้น จึงสลบไปอีกเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ถามต่อไปว่า พระพุทธเป็นลูกของผู้ใด
    เณร ตอบว่า พระพุทธเป็นองค์สัมพพัญญูตรัสรู้ด้วยตนเอง
    กษัตริย์สังขะจักร ได้ยินดังนั้นก็สลบไปเป็นครั้งที่ ๓ เพราะได้ยินคำที่กล่าวจริงของเณรน้อย เป็นความต้องการตามที่ตนปรารถนา อยากจะได้ยินได้ฟังมาครบถ้วน เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วก็ขอยกเอาราชสมบัติให้เณรน้อยครอบครอง

    ตัวกษัตริย์สังขะจักรก็ออกเดินทางด้วยเท้าเข้าป่า เพื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ปุพผารามวิหาร เป็นระยะทาง ๖๐ โยชน์ จนเท้าแตกเดินไม่ได้ จึงคลานไปด้วยเข่าต่อไป จนเข่าและเนื้อแตกสุก คลานไม่ได้ จึงกลิ้งไป ถัดไป จนหน้าอกแตกเป็นเลือด จึงร้อนไปถึงเทวราช พระเทวราชจึงได้นิมิตรแปลงตัวลงมาขับข้อสวนทางมา แล้วคนขับล้อก็บอกให้กษัตริย์สังขะจักรหลีกทางไป กษัตริย์สังขะจักรก็ไม่ยอมหลีกกลับบอกให้คนขับล้อว่า ท่านจงหลีกไปเถิด คนขับล้อก็ไม่ยอมหลีกแล้วก็ถามว่า ท่านจะไป ณ ที่ใด คนที่คลานก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อคนขับล้อได้ยินดังนั้น จึงบอกให้กษัตริย์ผู้คลานและเลือดเต็มตัวนั้นขึ้นล้อไปด้วย จะไปส่งถึงที่ ๆ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ระหว่างทาง มีผู้หญิงนำเอาอาหารมาให้บริโภคเมื่อบริโภคแล้วแผลตามเนื้อตามตัวก็กลัวหาย โดยผู้ขับล้อคือ พระอินทร์ ผู้ที่นำเอาอาหารที่เป็นทิพย์มาให้บริโภคก็คือ พระนางสุชาดา พระมเหสีของพระอินทร์นั่นเอง ซึ่งจากนั้นได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ชื่อ " พระศิริมามิ่งโมรี" พระพุทธเจ้าศิริมามิ่งโมรี จึงเทศนาธรรมอันมีชื่อว่า "ยอดธรรม ยอดคาถา" มีเนื้อความว่า

    ยโขธมฺมํ วรํตสฺส ซึ่งแปลเป็นภาษามนุษย์ว่าดังนี้
    ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล เป็นธรรมที่ไม่มีภายใน ๑
    และที่ภายนอก ๑ ไม่มีที่ล่วงมาแล้ว ๑
    และที่ยังไม่มาถึง ๑ ไม่มีกำลังเป็นอยู่ ๑
    เป็นธรรมกวมทั่ว ๑ ผ่องใสปราศจากอารม์ต่าง ๆ
    กอันจักถึงติดต้อง ๑ เป็นธรรมว่างเปล่า จากปวงสังขตะที่เกิดดับ ๑
    วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแลเป็นธรรม จักพึงประจักษ์เฉพาะตน ๑
    อันบุคคลจักพึงเห็นเอง ๑ เป็นธรรมประเสริฐ ๑
    อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ๑
    วรรค ๔ ตัวแรก ยะโขธัมมัง แปลได้ ๖๔ คำ
    วรรค ๔ ตัวที่สอง วะรังตัสสะ แปลได้ ๖๔ คำ

    ภาคที่ ๒


    เมื่อกษัตริย์สังขะจักรได้ฟังและได้นำยอดธรรม ยอดคาถา นี้มาคิดทบทวนดูคำแปลดังนี้แล้ว ก็ได้มาคิดคำนึงถึงยอดธรรม ยอดคาถาที่พระพุทธเจ้าเทศนามานี้เป็นยอดธรรม ยอดคาถา อันหาค่ามิได้จึงคิดว่าจะหาสิ่งใดมาถวายเป็นพุทธบูชายิ่งกว่านี้มิได้ อันธรรมนี้สูงสุดยิ่งกว่าศีรษะของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบศีรษะกับยอดธรรม ยอดคาถานี้แล้ว ศีรษะของตนไม่มีอะไรจะมีค่าเทียบได้ จึงสละตัดศีรษะของตนเองถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าในกาลนั้น
    เมื่อกษัตริย์สังขะจักรสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรโพธิสัตว์อริยเมตตรัย สถิตย์อยู่ในชั้นดุสิตสัคคาลัยพิภพ ขณะที่เล่าให้ธรรมโฆษเทพบุตรฟัง ณ บัดนั้น พระโพธิสัตว์อริยเมตตรัยจึงได้ต่อพระคาถาให้อีก ๘ คำ คือ เยชะนาวะรัง รวมเป็น ๑๖ คำ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้ท่องบ่นในธรรมคาถาที่เพิ่มอีก ๘ คำหลังนี้ ก็จะได้ถึงความหลุดพ้นจากทุกข์นานาประการ หรือมิฉะนั้นจะได้ไปเกิดในศาสนาที่ท่านลงมาตรัสเป็นพระอริยเมตตรัยเจ้า (ศรีอารย์) นั่นเอง (รวมความยอดธรรม ยอดคาถา ๑๖ คำนี้ ทั้งหมดได้ ๗๓๕ คำ ซึ่งรวมอยู่ในหนังสือยอดธรรม ยอดคาถา ที่ท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน ได้จัดให้ศรัทธา ณ ที่ถ้ำจักรพรรดิ์ (ผากั๊บ) บ้านอิม ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ นั้นแล้ว หรือทีได้นำมาจัดพิมพ์รวมไว้อยู่ในข้างหน้าเล่มนี้แล้ว

    ภาคที่ ๓


    พระศรีอริยเมตตรัยเล่าให้ธรรมโฆษเทพบุตร ตอนที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    ธรรมโฆษเทพบุตรได้นำเทพบุตรทั้งหลาย เข้าไปหาพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ ณ ลานพระเจดีย์เกษแก้วจุฬามณี เพื่อสังสรรค์สนทนาในพระธรรมคาถาอยู่เสมอ จึงในวันพระหนึ่งธรรมโฆษเทพบุตรได้ถามถึงการตัดศีรษะถวายพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นพุทธบูชานั้นคงจะมีแต่พระศรีอริยเมตตรัยพระองค์เดียวไม่มีผู้ใดอีกหรืออย่างไร พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตตรัย จึงตอบว่าหามิได้ สุระคิระสุทธิเทพบุตรก็ได้ตัดศีรษะถวายพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า "กกุสันโธ" ด้วยเหมือนกัน
    ธรรมโฆษเทพบุตรจึงใคร่ได้ฟังเรื่องราวของสุระศิระสุทธิเทพบุตร พระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์จึงได้เล่าความเป็นมาแห่งเทพบุตรสุระศิระสุทธิเทพบุตรให้ธรรมโฆษเทพบุตรฟังดังนี้
    ปางเมื่อพระสุระศิระสุทธิเทพบุตรเป็นกษัตริย์ครองชมภูทวีปทั้ง ๔ และกอรปไปด้วยทวีปน้อยใหญ่ ๒,๐๐๐ (สองพัน) ทวีป ทรงพระนามว่ามหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ มีรัตนะ ๗ ประการคือ มี จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว (เบญจกัลนาณี) ทรงโฉมอันเลอเลิศ ปรินายกแก้ว คฤหบดีแก้ว มณีแก้ว
    วันหนึ่งมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ได้สั่งให้ จักรแก้วไปนำมณีแก้วยังท้องสมุทรมาพันหนึ่ง และแก้วอื่น ๆ ไปนำเอาแก้วชนิดนั้น ๆ แต่ละอย่างจากที่ต่าง ๆ มาเช่นเดียวกัน ได้มาทุกอย่างทุกแห่ง เว้นแต่ขุนคลังแก้วได้ไปพบพระพุทธเจ้า ซึ่งพระนามว่า "กกุสันโธ" เมื่อขุนคลังแก้วได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ก็เห็นลักษณะรปร่าง ผิวพรรณ สง่าผ่องใส น่าเคารพรักใคร่นับถือ จึงถามว่า "มา น เว" ท่านเป็นใครจึงได้มีลักษณะผิวพรรณงดงามอย่างนี้ พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็ทรงตอบว่า เราคือ กกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้ามีคุณวิเศษอย่างไร กกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตอบว่ามี "พุทธคุณ" แล้วก็ทรงแสดงพระพุทธคณคือว่า "อิติปิโส ภควาติ" ขุนคลังได้ยินดังนั้นจึงได้จารึกพระพุทธคุณลงในแผ่นทอง พร้อมด้วยรูปของกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาถวายพระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ พระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงมอบราชสมบัติพร้อมทั้งรัตนะ ๗ ประการ และทวีปใหญ่น้อยให้ขุนคลังครอบครองต่อไป แล้วมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ก็ออกเดินทางด้วยเท้า ไปเฝ้าพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเดินทางเข้าป่าไปถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งจึงได้พักอย่ ณ ที่นั่นทรงตั้งสัตย์อธิฐานเป็นพระภิกษุ เพื่อเข้าไปเฝ้าพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า และอธิฐานขอให้มีเครื่องบริขารพร้อม เครื่องบริขารก็ตกลงมาจึงได้กระทำการบวชตนเองเป็นพระภิกษุ ปฎิบัติธรรม ภาวนา มหาสติปัฎฐาน ๔ จนได้สำเร็จญาณเหาะได้เหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง "พระพุทธคุณ" ตามที่ขุนคลังได้จารึกไปให้นั้นตรงกัน และรูปที่จารึกนั้นก็เหมือนกัน จึงเกิดความปิติเห็นคุณประโยชน์ยอดยิ่ง จึงได้ตัดศีรษะถวายเป็นพุทธบูชา และเมื่อพระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์สิ้นชีพก็ได้มาเกิดเป็นสุระศิระ สุทธิเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิตนี้เช่นเดียวกันกับพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ ด้วยองค์หนึ่ง

    ภาคที่ ๔


    ธรรมโฆษเทพบุตร เห็นว่าพระศรีอริยเมตตรัยมีพระบารมียอดยิ่ง จึงมีความเคารพสักการะยิ่ง และในวันพระต่อมาก็ได้นำเทพบุตรทั้งหลายเพื่อเข้าไปสังสรรค์สนทนาธรรม โดยธรรมโฆษเทพบุตรถามว่า เมื่อใดพระองค์จึงตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตตรัยตอบว่า ยังอีกนานคือ จะต้องสร้างบารมีนับอสงไขย คือว่า เมื่อใดเมืองพาราณสี เปลี่ยนชื่อเป็น "มัณฑนคร" และมัณฑนครเปลี่ยนชื่อเป็น "เกตุมลดีศรีมหานคร" แล้วจึงบำเพ็ญพระองค์ให้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอริยเมตตรัย
    ธรรมโฆษเทพบุตร ถามต่อไปว่าจะเสด็จลงไปเกิดในตระกูลไหน พระศรีอริยเมตตรัยตอบว่า จะกำเนิดในตระกูลพราหมณ์คือ "สุพรหมพราหมณ์" เป็นพระราชบิดา และ "พรหมวดีพราหมมณี" เป็นพระราชมารดา พระองค์จะสร้างบารมีโดยการครองคฤหัสถ์ ๔ หมื่นปีก่อน จึงจะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์จะมีพระชนมายุ ๘ (แปด) หมื่นปี จึงจะได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ประชาชนก็มีอายุ ๘ หมื่นปีเหมือนกัน
    (สมัยของกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุ ๔ หมื่นปี)
    พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี
    "พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแสดงปรารถให้พระอานนท์เห็นว่า จะปลงสังขาร ๑๖ ครั้ง ๑๖ แห่ง แต่พระอานนท์ไม่เห็นใจ จึงไม่ได้ขออาราธนาให้อยู่ต่อไปเพื่อสั่งสอนสัตว์โลก มาขอตอนใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงปลงสังขารเสียแล้ว

    อานิสงส์
    ยอดธรรม ยอดคาถา มีอานิสงส์ อันกล่าวไว้ในกาลก่อนดังนี้


    ๑. ผู้ใดศรัทธา ดำรงไว้ในตนโดยเคารพ ไม่ไปอบายภูมิ คือ ไม่ไปนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
    ๒. มีอายุยืน มีความสุข ถึงแม้เป็นเทวดาแล้ว ก็ไม่พลันจุติ
    ๓. ตายจากมนุษย์ ย่อมไปเกิดสวรรค์ เสวยความสุข เลิศล้ำนักหนา
    ๔. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน มิฉะนั้นจะได้สดับธรรมในสำนักพระอริยเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในศาสนาของพระองค์

    อีกประการหนึ่งว่า ผู้ปฎิบัติตามแนวยอดธรรม ยอดคาถา
    ๑. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน
    ๒. ถ้าชาติปัจจุบันยังไม่บรรลุเป็นอริยบุคคล ตายจากชาตินี้จะไปเกิดในแดนสวรรค์ เสวยสุขอยู่จนกว่าพระเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสจึงจะจุติลงมาเกิด แล้วได้สำเร็จมรรคผลในพระศาสนานั้น
    ๓. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ รู้ความหมาย เจริญอย่เนือง ๆ จะมีความสุขสวัสดีมีอายุยืน
    ๔. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ดำรงไว้ในตนด้วยศรัทธาเคารพ จะไม่ไปอบายฯ

    ข้อเปรียบเทียบอานิสงส์ยอดธรรม ยอดคาถา

    ยอดพระกัณฑ์ไตรอานิสงส์ มากไม่เท่ากับ สุนันทราชอานิสงส์
    สุนันทราชอานิสงส์ มากไม่เท่ากับ อาการวตสูตรอานิสงส์
    อาการวตสูตรอานิสงส์ มากไม่เท่ากับ สการวิชาสูตรอานิสงส์
    สการวิชาสูตรอานิสงส์ มากไม่เท่ากับ ทางเดินแห่งหญิง ชายใหญ่น้อยอานิสงส์
    ทางเดินแห่งหญิง ชายใหญ่ มากไม่เท่ากับ ยอดธรรม ยอดคาถาสูตรอานิสงส์


    (คัดลอกจากหนังสือ ยอดธรรม ยอดคาถา และความเป็นหาแห่งยอดธรรม ยอดคาถา โดยท่านพระคุณเจ้าหลวงพ่อดาบส สมโน สถานปฎิบัติธรรมบุญแจ่มฟ้า ต.ตะกาศเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ที่ประดิษฐานพระบรมธาตเจดีย์ บุญแจ่มฟ้าจุฬาภาพรรณรังสี)

    ที่มา: http://forums.apinya.com/…/589-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%…


    ชมต้นฉบับได้ที่นี่: http://www.rabiangdoi.com/arsom/images/ebook/yodtham.pdf
     
  20. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +1,153
    98504905_1914646395332991_7372801445122277376_o.jpg

    98365826_1914646358666328_5524171414103392256_o.jpg

    99117282_1914646375332993_3468542616755240960_o.jpg


    วัดพระแก้ว จ.เชียงราย

    ออกจากอาศรมไผ่มรกตก็สายแล้ว หมอกที่ลงหนาเมื่อตอนเช้าสลายตัวไปหมด ท้องฟ้าแจ่มใสมากเราเดินทางมายังวัดพระแก้ว พระอารามที่สำคัญของ จ.เชียงราย ที่ซึ่งครั้งหนึ่งพระแก้วมรกต เคยประดิษฐานอยู่ที่นี่ เรื่องราวการเดินทางของพระแก้วมรกตจะเป็นอย่างไร ก็ติดตามกันต่อไป

    วัดพระแก้ว จ.เชียงราย เดิมชื่อวัดป่าญะ หรือป่าเยียะ (ป่าไผ่ชนิดหนึ่ง) ในปี พ.ศ. ๑๙๗๗ เกิดฟ้าผ่าลงที่องค์พระเจดีย์จนพังทลายลง ทำให้พบพระแก้วมรกตซ่อนไว้ในพระเจดีย์ จึงได้ชื่อใหม่ว่า “วัดพระแก้ว” หลังจากนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ เมืองต่างๆ คือ ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ ต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนองค์พระเจดีย์ เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ และได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑


    หอพระหยก

    อาคารทรงล้านนาโบราณ เป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล" หรือ "พระหยกเชียงราย" บนผนังอาคาร แสดงกิจกรรม จากตำนานพระแก้วมรกต และภาพวาดการสร้าง และพิธีอัญเชิญพระหยกเชียงรายสู่พระอารามในวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๔
     

แชร์หน้านี้

Loading...