ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. khunsa

    khunsa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +31
    วันนี้ได้โอนเงินร่วมทำบุญกับพระสงฆ์อาพาธ จำนวน 200.09 เมื่อเวลา 20.21 ค่ะ ขอบคุณค่ะ ส่งรายละเอียดทาง pm แล้วน่ะค่ะ คุณโสระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2008
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    คุณปราณี พฤกษ์ประเสริฐดี
    ด.ช กวีวัตฐ์ วรัทเศษรฐ์
    ได้โอนเงินทำบุญกับทุนนิธิฯสองท่านรวม 2000 บาท และวันอาทิตย์ที่27 ถ้าไม่ติดธุระก็จะไปร่วมถวายอาหารที่โรงพยาบาลสงฆ์ด้วย ทางคณะกรรมการทุนนิธิฯขอ อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 เมษายน 2008
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สงกรานต์ ไปทำบุญกันมาแล้ว เลยนำข้อคิดเรื่องบุญของท่านพ่อเฟื่อง วัดธรรมสถิตย์ จ.ระยอง ลูกศิษย์ท่านพ่อลี แห่งวัดอโศการาม มาฝาก นับเป็นข้อคิดที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมาก่อน ลองอ่านดูกันครับ..


    บุญ

    ลูกศิษย์ท่านพ่อคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่ไปพบท่าน ท่านก็ถามว่า "เคยทำบุญที่ไหนบ้าง" เขาก็ตอบว่า เคยไปช่วยสร้างพระพุทธรูปที่วัดนั้น ช่วยสร้างเมรุที่วัดนี้ ฯลฯ ท่านก็เลยถามอีกว่า "ทำไมไม่ทำที่ใจล่ะ"ฯ

    • "สร้างพระไว้ในใจของเรา ได้บุญยิ่งกว่าสร้างพระข้างนอก"ฯ
    • ครั้งหนึ่งท่านพ่อใช้ลูกศิษย์คนหนึ่งถางหญ้าที่หน้าวัด คนนั้นก็ทำไปโดยไม่เต็มใจ คิดแต่ในใจว่า "กรรมอะไรน้อ ที่ต้องทำงานอย่างนี้" พอเขาทำเสร็จ ท่านพ่อก็บอกว่า "โยมได้บุญหรอก แต่ได้ไม่ต็มที่"
    • "โฮ ท่านพ่อ ทำถึงขนาดนี้ยังไม่ได้หรือ"

      "โยมจะให้ได้เต็มที่ บุญก็ต้องถึงใจ"ฯ
      [*]เรื่องหญ้ายังมีอีก วันหนึ่งท่านพ่อชี้หญ้าที่ขึ้นรกบริเวณกุฏิให้โยมคนหนึ่งดู แล้วถามเขาว่า "หญ้าปากคอกโยมไม่เอาหรือ"


      "เป็นยังไงท่านพ่อ หญ้าปากคอก"

      "ก็บุญที่อยู่ใกล้ตัว ที่คนอื่นเขามองข้ามไป นั่นเรียกว่าหญ้าปากคอก"ฯ
      [*]อีกครั้งหนึ่งท่านพ่อพาลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปทำความสะอาดบริเวณพระเจดีย์ พอดีเจอเศษขยะที่ใครไม่ทราบทิ้งไว้บนนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งจึงบ่นขึ้นว่า "แหม ไม่น่าจะมีใครขาดความเคารพถึงขนาดนี้" แต่ท่านพ่อบอกว่า "อย่าไปว่าเขานะ ถ้าเขาไม่ทิ้งของไว้ พวกเราจะไม่มีโอกาสเอาบุญ"ฯ
      [*]วันหนึ่งโยมนำอาหารถวายท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ แต่พอดีวันนั้นท่านได้รับนิมนต์ไปฉันข้างนอก เขาก็รอจนหมดเวลา เห็นท่านไม่มา จึงเอาอาหารนั้นไปกินเสียเอง พอท่านพ่อกลับมาถึงวัด เขาก็บ่นเสียดายว่า "แหม ลูกตั้งใจเอาอาหารมาถวายท่านพ่อ แต่ท่านพ่อไม่อยู่"


      "แล้วเอาอาหารนั้นไปทำอะไร"

      "ก็รอจนหมดเวลา เลยกินเอง""แล้วจะเอาอะไรอีก บุญก็ได้ ไส้ก็อิ่ม"ฯ
      [*]ในระหว่างพ.ศ. ๒๕๒๒ มีคนกลุ่มหนึ่งมาหาท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ บ่อยๆ พอเห็นคนอื่นทำบุญกับท่านพ่อหรือเล่าเหตุการณ์ที่ปรากฏในสมาธิ เขาจะต้องยกมือไหว้แล้วว่า "สาธุ อนุโมทนา" เป็นเสียงดังๆพร้อมๆกันทุกครั้งไป ท่านพ่อจึงตั้งฉายากลุ่มนี้ว่า "พวกหุ้นลม"ฯ
      [*]"ทำดีให้มันถูกตัวดี อย่าให้มันดีแต่กิริยา"ฯ
      [*]วันหนึ่งหลังจากชื่อท่านพ่อปรากฏในวารสารฉบับหนึ่ง มีผู้ชายสามคนลางานแล้วขับรถจากกรุงเทพฯมาระยอง เพื่อกราบนมัสการท่านพ่อที่วัด พอกราบเสร็จเขาก็สนทนาสักพักหนึ่ง แล้วถามท่านว่า "พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เราพอจะกราบขอบารมีท่าน คงยังมีอยู่ในประเทศไทยเราใช่ไหมครับหลวงพ่อ"


      "มีหรอก" ท่านพ่อตอบ "แต่ถ้าเราเที่ยวไปขอบารมีจากท่านบ่อยๆ โดยไม่ได้สร้างของเราเอง ท่านเห็นว่าเราเป็นขี้ขอ ท่านคงจะขี้เกียจให้"ฯ
      [*]ครั้งหนึ่งมีโยมที่ปากน้ำ สมุทรปราการ บอกผ่านลูกศิษย์ของท่านพ่อว่า อยากถวายปัจจัยหลายหมื่นบาท เพื่อช่วยสร้างพระใหญ่ที่วัดธรรมสถิต แต่จะขอให้ท่านพ่อไปรับที่บ้านเขา พอลูกศิษย์ถวายท่านพ่อ ท่านก็ปฏิเสธทันที โดยพูดกับลูกศิษย์ว่า "คนเราต้องไปหาบุญ ไม่ใช่ว่าจะให้บุญมาหาเรา"ฯ
      [*]อีกครั้งหนึ่ง มีโยมโทรศัพท์ผ่านสำนักงานวัดมกุฏฯว่า เขาจะทำบุญที่บ้าน แล้วอยากจะนิมนต์ท่านพ่อไปฉันในงานนั้นด้วย เพราะได้ข่าวว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโน พอพระจากสำนักงานเล่าถวายท่านพ่อ ท่านก็ปฏิเสธที่จะไป แล้วต่อท้ายว่า "ข้าวของเขาจะวิเศษถึงขนาดนั้นหรือ ต้องเป็นพระอริยะเจ้าจึงจะให้กิน"ฯ
      [*]มีคนมาปรารภกับท่านพ่อว่า อยากจะทำบุญวันเกิด ท่านก็บอกว่า "ทำไมต้องทำวันเกิด ทำวันอื่นไม่เป็นบุญหรือ คิดอยากจะทำบุญเมื่อไร ก็ให้รีบทำวันนั้น อย่าไปรอวันเกิด กว่าจะถึงวันเกิด เราอาจจะถึงวันตายก่อนก็ได้"ฯ
      [*]อีกคนหนึ่งบอกกับท่านพ่อว่า จะทำบุญฉลองวันเกิด ท่านก็ตอบว่า "ฉลองมันทำไม วันเกิดก็คือวันตายนั่นแหละ"ฯ
      [*]"มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง"ฯ
      [*]"คนเราทุกคนก็อยู่ในบัญชีตาย พอเกิดมาเราก็เข้าคิวรอเขาประหารชีวิต จะถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้น เราจะประมาทไม่ได้ ต้องรีบสร้างความดีของเราให้ถึงพร้อม"ฯ
      [*]มีลูกศิษย์ต่างชาติมาขอปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อใหม่ๆ ถามถึงเรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า ว่ามีจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า "คนเราจะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างเดียว คือเชื่อเรื่องกรรม นอกจากนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ"ฯ
      [*]ท่านพ่อเคยปรารภคนที่ไม่สนใจนั่งภาวนา แต่ยินดีช่วยงานก่อสร้างในวัดว่า "บุญเบาๆ เขาไม่ชอบ ต้องหาบุญหนักๆให้เขาทำ จึงจะถึงใจเขา"ฯ
      [*]เมื่อครั้งสร้างเจดีย์เสร็จใหม่ๆ มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันชื่นชมยินดี ในผลานิสงส์ผลบุญ ที่เขาจะต้องได้รับจากการสร้างบุญในคราวนี้ เผอิญท่านพ่อเดินผ่านได้ยินเข้า จึงพูดเปรยๆว่า "อย่าไปติดอยู่ในวัตถุ ทำบุญแล้วอย่าไปติดอยู่ในบุญ มัวแต่เอาใจไปคิดว่า เจดีย์นี้ฉันสร้างมากับมือ ดีไม่ดีเป็นลมตายไปตอนนี้ แทนที่จะได้เกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์กับเขา จะต้องไปเกิดเป็นเปรตงูเหลือม เฝ้าเจดีย์ก่อนสัก ๗ วัน เพราะใจมัวแต่ไปข้องยึดอยู่ในวัตถุว่า ของฉัน ของกู อยู่นั่นแหละ พอจะตายก็เจดีย์ของกูๆ"ฯ
      [*]"คนเรา ถ้าทำดีแล้วติดดี ก็ไปไม่รอด เมื่อใจยังมีติด ภพชาติยังมีอยู่"ฯ
      [*]บางครั้งเวลาลูกศิษย์นั่งภาวนาหรือทำบุญใดๆ ท่านพ่อจะสอนให้อธิษฐานใจไว้ก่อน แต่คำที่จะสอนให้อธิษฐานนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางครั้งท่านจะสอนให้อธิษฐานตามแบบฉบับของพระเจ้าอโศกว่า "เกิดชาติหน้า ขอให้มีความสามารถในตัวของตัวเอง นั่นก็พอ"ฯ
      [*]บางครั้งท่านจะสอนว่า "อย่าไปอธิษฐานอะไรให้มากมาย เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดตามพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน"ฯ
      [*]แต่ไม่ใช่ว่าท่านพ่อจะสอนลูกศิษย์ทุกคนให้อธิษฐานใจเวลาทำบุญ ศิษย์คนหนึ่งเคยกราบเรียนท่านว่า เวลาทำบุญจิตรู้สึกเฉยๆ ไม่นึกอยากจะขออะไรทั้งสิ้น ท่านก็บอกว่า "ถ้าจิตมันเต็มแล้ว ไม่ต้องขอก็ได้ เหมือนเราทานข้าวมันก็ต้องอิ่ม ถึงจะขอหรือไม่ขอให้มันอิ่ม อย่างไรมันก็ต้องอิ่ม"ฯ

    ขอขอบคุณ

    http://www.yajai.com/000013p.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2008
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทีนี้นอกจากบุญของท่านพ่อเฟื่องแล้ว ลองมาดูในสิ่งที่ตรงข้ามกับบุญบ้างว่าเป็นอย่างไร

    เปรต : เปรตงูเหลือม
    เปรต : เปรตงูเหลือม

    กาลเมื่อพระบรมสุคตเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงเปรตงูเหลือมให้เป็นเหตุ แล้วทรงตรัสเล่าที่มาแห่งเปรตนั้น ให้แก่ภิกษุและมหาชนทั้งหลายได้สดับความว่า

    สมัยเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ออกจากที่พักพร้อมพระลักขณเถระ ในเวลาเช้าเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ระหว่างทางพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ได้แลด้วยทิพจักษุเห็นเปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ อัตภาพของเปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส

    พระมหาโมคคัลลานเถระ เห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ ด้วยคิดว่าสัตว์ผู้มีร่างกายเช่นนี้เรามิได้เคยเห็นมาก่อน

    ฝ่ายพระลักขณเถระ เดินมากับพระโมคคัลลานเถระ เห็นพระเถระยิ้มน้อยๆ ก็อดที่จะสงสัยเสียมิได้ ด้วยคิดว่าการที่พระอรหันต์ผู้ใหญ่จะยิ้มคงต้องมีเหตุ จึงเอ่ยปากถามว่า ข้าแต่พระมหาเถระผู้ใหญ่ ท่านมีเหตุอันใดทำไมถึงได้เดินยิ้ม

    พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกล่าวแก่พระลักขณเถระว่า เวลานี้มิใช่เป็นเวลาที่จะตอบปัญหา เอาไว้ถามเราต่อหน้าพระบรมสุคตเจ้า ขณะเข้าไปเฝ้าก็แล้วกัน

    กล่าวดังนั้นแล้ว ท่านก็เดินนำพระลักขณะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ หลังจากกลับบิณฑบาตฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว พระมหาโมคคัลลานเถระจึงได้ชวนพระลักขณะเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า

    พระลักขณเถระจึงได้เอ่ยปากถามปัญหาที่ค้างไว้ตอนเช้าว่า พระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยเหตุอะไร

    พระมหาโมคคัลลานะจึงตอบปัญหานั้น ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมสุคตเจ้าว่า เมื่อเช้าหลังจากเดินทางออกจากที่พักมาระหว่างทาง ข้าพเจ้าเห็นเปรตตนหนึ่งมีตัวเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นคนผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้ตั้งแต่หัวมาจดหาง ไหม้ตั้งแต่หางมาจดหัว บางขณะก็ไหม้ตั้งแต่กลางลำตัวไปหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ เปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอันแรงกล้า ข้าพเจ้ามิเคยเห็นเปรตชนิดนี้มาก่อนจึงยิ้ม

    พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว

    ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมกันในขณะนั้น จึงทูลถามถึงบุพกรรมของเปรตนั้นว่ามีที่มาอย่างไร

    องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงทรงตรัสเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น

    มีเศรษฐีคนหนึ่งมีนามว่า สุมังคลเศรษฐี เป็นผู้มีทรัพย์มาก มียศมาก มีบริวารมาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยิ่งนัก ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์สร้างวิหารถวายพระบรมศาสดาให้เป็นที่ประทับพร้อมหมู่สงฆ์ พื้นที่โดยรอบวิหารปูลาดด้วยแผ่นอิฐทองคำ กว้างคูณยาว วัดได้ 100 วา เสร็จแล้วก็จัดให้มีพิธีฉลองวิหารนั้น ด้วยกำลังทรัพย์อีกมหาศาล

    ในเวลาเช้าของวันหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปเข้าเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างทางมีศาลาพักร้อนปลูกอยู่ข้างทางหลังหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีและบริวาร คิดจะเข้าไปนั่งพักให้หายเมื่อย แต่กลับพบบุรุษผู้หนึ่ง นอนคุดคู้มีผ้าคลุมหัวอยู่กลางศาลา ที่เท้านั้นก็เปื้อนโคลน

    สุมังคลเศรษฐี จึงกล่าวแก่บริวารว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2008
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ่านก่อนนอนวางจิตให้สบาย ใจก็จะสบาย ยามนี้หน้าร้อนอย่าทำให้ใจขุ่นมัวมาก คิดมากล้มตัวลงนอนแล้วทำอย่างนี้ครับ

    นอนชื่น-ตื่นสุข

    ก่อนจะนอนสอนใจให้ไหว้พระ
    คารวะสวดมนต์ไว้ได้กุศล
    จะหลับมั่นฝันดีมีมงคล
    จะข้ามพ้นความวุ่นวายสบายพลัน

    ตื่นขึ้นมาอย่าสะสมอารมณ์บูด
    ตั้งใจพูดแต่สิ่งดีมีมิ่งขวัญ
    ยกยอยิ้มพิมพ์ใจให้แก่กัน
    จะสุขสันต์สมหวังดังใจปอง


    กับอีบทหนึ่ง

    พักกายใจทิ้งเรื่องทุกอย่างสิ้น
    ปล่อยวางสิ่งที่ค้างเคืองในใจ
    หลับตาลงปลงจิตอย่าหวั่นไหว
    ล่องลอยไปในนิทราชื่นราตรี

    ตื่นขึ้นมาวันไหม่ช่างแสนสุข
    เพราะวางทุกข์ปลดเปลื้องเรื่องวันวาน
    พร้อมจะสู้วันใหม่ด้วยใจหาญ
    สุขสราญเรืองรองทั้งกายใจ




    ขอขอบคุณ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5110
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พรุ่งนี้วันที่ 15 เม.ย. คณะทำงานของทุนนิธิฯ พร้อมครอบครัวและศิษย์รุ่นใหญ่ที่ปรึกษาของทุนนิธิฯ อีก 2-3 ท่านจะไปกราบท่าน อ.ประถม อาจสาคร ที่บ้าน จ.ชลบุรี เนื่องในวันปีใหม่ไทยหลังจากที่ไปทำบุญกันในที่อื่นๆ มาแล้ว เพื่อขอรับพรจากท่าน โดยจะได้รายงานสรุปการดำเนินการของทุนนิธิฯ ในขณะนี้ และความคืบหน้า รวมถึงโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตของทุนนิธิฯ ให้ท่านฟัง พร้อมทั้งจะขอคำแนะนำในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทุนนิธิฯ ในบางเรื่อง ซึ่งยังคงเป็นปัญหาเบ็ดเตล็ดเล็กน้อย กลับมาคงมีบทความหรือธรรมะดีๆ มาฝากในกระทู้นี้เช่นเคย ช่วงนี้อากาศร้อน ยังไงก็ขอให้ทุกท่าน รักษาสมดุลย์ของร่างกายให้ดีน๊ะครับ ลองหาข้าวแช่มาทานกันก็ได้ หอมชื่นใจดีแท้ เกือบลืมอีกเรื่องนึง อย่าลืมสรงน้ำพระที่บ้านด้วยล่ะ ทั้งพระเป็นๆ และพระบูชาครับ
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ในวันนั้นทางคณะกรรมการทุนนิธิฯ จะนำพระกรุโลกอุดรจำนวนหนึ่ง ไปฝากอาจารย์ประถม ให้ท่านไว้สำหรับแจกให้กับผู้ทำบุญกับทุนนิธิฯ ที่ทำผ่านทางท่านครับ
     
  8. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    บรรเทาปวดหลัง ดูแล"เสาหลัก"ร่างกาย




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คนในวัยผู้ใหญ่ถึงร้อยละ 80 ต้องทรมานจากการปวดหลัง โดยทั่วไปมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ แต่ในกรณีร้ายแรงก็อาจกินระยะเวลานาน และทรมานอย่างยิ่ง

    เหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาการปวดหลังนั้นหายยาก เนื่องจาก "หลัง" เปรียบเสมือน "เสาหลัก" ของร่างกาย โดยมีกล้ามเนื้อหลัง และเส้นเอ็นต่างๆ ทำหน้าที่รับน้ำหนักส่วนใหญ่เรียกว่าทุกการเคลื่อน ไหวล้วนเกี่ยวข้องกับหลังทั้งสิ้น

    น.พ.นันทเดช หิรัณยัญษฐิติ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์ เนชั่น แนล กล่าวในงาน Health Roadshow กิจกรรมการให้ความรู้เรื่องโรคเกี่ยวกับอาการปวดหลังและคอ ว่า แท่งกระดูกสันหลังประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังเรียงตัวซ้อนๆ กันมากกว่า 30 ปล้องเกิดเป็นช่อง ซึ่งล้อมรอบ และปก ป้องไขสันหลัง และมีเส้นประสาทโยงใยเข้าออกจากไขสันหลังผ่านทางช่องกระดูกสันหลัง

    กระดูกสันหลังแต่ละปล้องถูกยึดติดกันด้วยกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นต่างๆ โดยระหว่างกระดูกแต่ละปล้องนั้นจะมี "หมอนรอง" ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงกระแทกไม่ให้กระดูกแต่ละปล้องกระทบกันเมื่อเดินหรือกระโดด

    สาเหตุของโรคปวดหลังและคอ เกิดจากหลังส่วนล่างเป็นบริเวณที่รับน้ำหนักของร่างกายมากที่สุด และเกิดอาการปวดบ่อยที่สุด อาการปวดหลังโดยทั่วไปมักเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกสันหลังหรือกล้ามเนื้อที่คอยพยุงหลัง และจะปวดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ในหลายๆ กรณี อาการปวดอาจรักษาได้ภายในเวลาไม่กี่วันด้วยการรับประทานยาแก้ปวด เช่น lbuprofen ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายจากอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ ได้ภายใน 2 สัปดาห์ด้วยการบำบัดเพียงเล็กน้อย

    ในกรณีที่อาการปวดคงอยู่เป็นเวลาเกินกว่า 4 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมเพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง ส่วนมากแล้ว ประมาณร้อยละ 80 ของโรคปวดหลังจะมีสาเหตุมาจากอาการหลังตึง

    ส่วนสาเหตุอื่นๆ มีดังนี้ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือหกล้ม หมอนรองกระดูกเสื่อม อันเป็นผลมาจากกระดูกอ่อนที่หุ้มกระดูกสันหลังแต่ละปล้องเกิดการฉีกขาด ภาวะข้อเสื่อม/ช่องไขสันหลังตีบ ภาวะติดเชื้อที่กระดูกสันหลังทำให้สันหลังแข็งขาดความยืดหยุ่น กระดูกสันหลังเคลื่อน และสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง เช่น มะเร็ง นิ่วในไต หรือภาวะติดเชื้อต่างๆ

    ทั้งนี้ แพทย์จะซักถามเพื่อประเมินสาเหตุของอาการปวด ประวัติด้านความเจ็บป่วย และการผ่าตัดของทั้งคุณและสมาชิกในครอบครัว ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยถึงต้นตอของอาการปวด และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อกิจวัตรประจำวันได้ สำหรับกรณีที่มีอาการปวดรุนแรง แพทย์อาจต้องวินิจฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์ และการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการเอกซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ภาพตัดขวาง (CT Scans)
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    การรักษา โรคปวดหลังและคอส่วนใหญ่อาจรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนนัก เพียงพักผ่อนประมาณ 2-3 วัน รับประทานยาแก้อักเสบร่วมกับการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อก็จะดีขึ้นได้ภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนอาการปวดหลังเรื้อรัง แพทย์จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาที่ครอบคลุมหลายด้านมากขึ้น โดยอาจรวมการทำกายภาพบำบัด และการจัดการความปวดเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษาด้วย

    ในภาวะปกติกระดูกสันหลังจะมีความยืดหยุ่น และโค้งงอได้ แต่การบาดเจ็บที่หลัง และภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลังแข็ง ขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้ปวดรุนแรง และเรื้อรัง ซึ่งในกรณีนี้แพทย์อาจทำการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังให้ผู้ป่วย

    การป้องกัน ในกรณีที่คุณไม่มีอาการปวดหลังและคอ การบริหารร่างกายที่ช่วยยืดและสร้างความแข็งแรงให้กับหลังเป็นการดีที่สุดที่ช่วยให้หลังของคุณมีสุขภาพดี เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและปวดบริเวณหลังน้อยลง ท่าบริหารต่อไปนี้ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์พิเศษใดๆ

    การปรับท่าทางให้ถูกต้องเพื่อสุขภาพหลัง เวลายกของ ให้ย่อเข่าเพื่อยกโดยพยายามให้หลังตรงเสมอ ไม่ควรโน้มตัวลง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง แล้วยกโดยใช้กล้ามเนื้อขา ยืดเข่าขึ้น ยืนให้มั่นคง พยายามอย่ายกของหนักซึ่งตั้งอยู่สูงกว่าระดับเอว ยกของโดยให้ของอยู่ชิดตัวเพื่อกระจายน้ำหนัก และเมื่อจะวางของให้ย่อเข่าลง ใช้กล้ามเนื้อขาอย่าให้หลังงอ

    ส่วน การนอน ไม่ควรวางหมอนไว้ใต้ไหล่ วางหมอนไว้ใต้ศีรษะอย่าให้หมอนหนาเกินไป พยายามนอนในท่าที่หลังโค้งได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่านอนคุดคู้ ไม่ควรนอนคว่ำ เพราะจะทำให้คุณเมื่อยคอและหลัง เลือกที่นอนที่ดีต่อสุขภาพหลัง อย่าให้นุ่มจนเกินไป

    "การดูแลและเอาใจใส่ต่อสุขภาพที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด" น.พ.นันทเดช กล่าวทิ้งท้าย

    นำมาจาก ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2551 ขอขอบคุณด้วยค่ะ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คุณธันญ่า

    ตอนนี้ผมเหมือนคนแก่ นั่งก็โอย ลุกก็โอย ปวดเข่ากับต้นขามาก ช่วยหาบทความมาให้ได้อ่านด้วยครับ สำหรับบทความข้างบน เค้าเรียกโรคคนทำงานออฟฟิศครับ บางวันนั่งหน้าคอมพ์นานๆ ก็เป็นอย่างที่บอกนั่นล่ะ ลุกขึ้นมาทีบิดซ้าย บิดขวา กระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ หรือขับรถนาน ลงจากรถมาทีหน้าเหยเกไปหมด ต้องขอขอบคุณในบทความที่ให้ความรู้สำหรับโรคปวดหลังข้างบนด้วยครับ หนุ่มน้อย สาวน้อย ก็ยังงี้ล่ะ
    ปี๋ใหม่เมือง เที่ยวให้สนุกเน้อ อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันโต้ยล่ะ อุ้ยธันย่า..รูปพระเน้อ บ่เอารูปละอ่อนสายเดี่ยว (ถ้าน่ารักก็โอเค)

    อ้ายพันวฤทธิ์
    15/4/51
     
  10. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ในวันที่ 12 เมษายน 2551 นี้

    ผมและครอบครัว และท่านอื่นๆ

    ได้ร่วมกันถวาย

    1. พระหน้าตัก 16 นิ้ว
    2. ผ้าไตรจีวร
    3. ธูปเทียน
    4. ปัจจัย รอบแรกรวบรวมได้ 8,383.- บาท
    และก่อนถวายต่อยอดเป็น 10,099.- บาท
    5. นมถั่วเหลืองที่แฟนผมซื้อเพิ่ม 1 ลัง


    [​IMG]

    [​IMG]

    จึงเรียนมาเพื่อทราบครับ

    สาธุครับ
     
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    คณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอโมทนากับบุญที่คุณchaipat ได้ทำไว้ดีแล้วทั้งหมด

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ในวันอาทิตย์ที่27เมษายน ทางทุนนิธิฯจะทำกิจกรรม ถวายอาหารเช้าพระสงฆ์ และ บริจาคซื้อเลือด เวชภัณฑ์ต่างให้แก่โรงพยาบาลสงฆ์ ขอผู้มีจิตศรัทธาต้องการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ทำการบริจาคได้ตามเลขที่บัญชีด้านบน และ ร่วมกันไปถวายอาหารพระด้วยกันที่โรงพยาบาลสงฆ์ครับ

    งานนี้ท่านใดไปจะได้รับพระกรุโลกอุดร ที่ศิษย์ของอาจารย์ประถมเก็บสะสมมานานนับยี่สิบปี ท่านละองค์ครับ
     
  13. khongbeng

    khongbeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +657
    พระกรุโลกอุดรนี้ ยอดเยี่ยมมากครับ

    ใครยังไม่มี รีบเก็บบูชาไว้นะครับ

    ของดีๆ อย่างนี้ หายากครับ....
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวันอังคารที่15เมษายน ทางประธาน รองประธานที่ปรึกษา และ คณะกรรมการทุนนิธิฯ รวมถึงลุงวุธ ศิษย์อาวุโส ได้ไปขอพรจากอาจารย์ประถมเนื่องด้วยวันสงกรานต์ ปีใหม่แบบไทยๆ ที่บ้านชลบุรี โดยทางคณะกรรมการได้ชี้แจงเรื่องต่างๆ เช่นผลการดำเนินการของทุนนิธิฯ ยอดการบริจาคล่าสุด กำหนดการหรือโครงการต่างๆที่ทุนนิธิฯ คิดจะทำในอนาคต รวมถึงเรื่องต่างๆอีกมาก ได้พูดคุยกันอย่างมีสาระ ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องการสร้างพระ หรือการกำหนดฤกษ์ยามสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระเครื่อง ท่านถ่ายทอดให้อย่างจุใจ มาชมรูปกันครับ

    [​IMG]

    ในรูปเป็นบรรยากาศ ที่บ้านอาจารย์ประถม สงบ ร่มเย็น แบบไทยๆ รวมถึง บรรยากาศการพูดคุยสนทนา ก็เป็นไปแบบเรียบง่าย กันเอง สงบ มีสาระมากมาย

    [​IMG]

    ในภาพอาจารย์ประถม กำลังพิจารณาสมุดบัญชีเงินฝากของทุนนิธิฯ ที่ทางคณะกรรมการนำยอดล่าสุดไปแจงให้ท่านทำการ โมทนา กับทุกๆท่านที่ทำบุญมา
     
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ลุงวุธ ศิษย์อาจารย์ประถมผู้ใจบุญ นอกจากนำพระกรุโลกอุดรมาให้แจกฟรี ยังนำท่าน ท้าวเวสสุวัน มาให้ท่านประธานทุนนิธิฯ ให้เป็นกำลังใจฝ่าฟันอุปสรรค

    [​IMG]
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ส่วนพี่ปุ๊(นายสติ) ได้นำพระกรุสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับท่านหลวงปู่โลกอุดร ที่มีน้อยคนนักจะได้เห็นหรือเป็นเจ้าของ เป็นพระกรุที่ท่านอธิฐานไว้เป็นเวลานับพันปี มาถ่ายภาพไว้เพื่อจัดทำเป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อไป
    [​IMG]

    ในภาพเป็นพระกรุคูบัว เป็นพระกรุที่ท่านหลวงปู่โลกอุดรอธิษฐานไว้ชุดแรกๆก็ว่าได้ บางท่านกล่าวว่าท่านอธิษฐานไว้ตอนที่ท่านยังทรงกายเนื้อ หรือ ทรงธาตุขันธุ์อยู่ นำมาให้ชมกันครับ ไม่ต้องปิดๆบังๆ ลับๆ ล่อๆ ดูกันให้ชัดนะครับ ท่านใดเจอที่ไหน ก็เก็บไว้เถิดถือว่าเป็นผู้มีบุญ มีบารมีเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานที่คณะกรรมการทุนนิธฯ ตามรูปไปประชุมที่บ้าน อ.ประถม ก็เก็บเกี่ยวสิ่งละอันพันละน้อยได้หลายเรื่อง เอาพอสรุปดังนี้นะครับ
    1. เรื่องการดำเนินการของทุนนิธิฯ ได้รายงานให้ท่าน อ.ประถม อาจสาคร ในฐานะประธานที่ปรึกษา ทราบถึงสถานะของทุนนิธิฯ ตั้งแต่วันก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน รวมถึงโครงการที่จะขยายไปยัง รพ.สงฆ์ในต่างจังหวัด
    2. เรื่องปัญหาและอุปสรรค ท่าน อ.ประถมฯ บอกไม่ต้องกลัว เพราะทั้ง"มนุษย์"ทั้ง "ทิพย์" ท่านรู้หมด ใครทำบุญก็ย่อมได้บุญตอบแทน ตรงกันข้าม สิ่งที่ไม่ใช่บุญ ก็ไม่ควรทำ เพราะจะเกิดผลกรรมกับตนเองหรือครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับลหุกรรมหรือคุรุกรรมเท่านั้น
    3. เรื่องพระพิมพ์ที่จะแจกให้คือพระพิมพ์สกุลพระเทพโลกอุดร ท่านจำแนกให้ฟังหมด ว่าพิมพ์นั้นดี อย่างนั้น พิมพ์นี้ดีอย่างนี้ และสอนให้เรียกให้ถูกซะใหม่ พร้อมกับเล่าประสบการณ์ของบางพิมพ์ให้ฟัง ซึ่งก็คงต้องถอดจาก mp3 อีกครั้ง ถึงจะนำมาลงได้ครับ เพราะกลัวพลาด ท่านก็ยังย้ำอีกว่า พระนี้ใครได้ไป ต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะแรงมาก กลัวคนทีไม่เห็นคุณค่า จะนำไปวางไว้เฉยๆ เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว
    4. เรื่องธรรมะ ท่านอธิบายให้ฟังในสิ่งที่เราถามคือ อารมณ์ขององค์ฌาณที่เรียกว่า "ยุคล" หมายถึงอะไร รวมถึง "ปัญจมฌาณ" หรือฌาณที่ 5 สัมพันธ์กับ "ยุคล" อย่างไร
    5. เรื่องเบ็ดเตล็ด ทางด้านพระพิมพ์ต่างๆ ทั้งหมดคงต้องถอดความจาก mp3 แล้วสรุปอีกทีนึงครับ

    ทั้งหมดก็คงมีหลักๆ อยู่แค่ 5 ข้อ ส่วนเรื่องปลีกย่อยต่างๆ มีอีกเยอะ ปะติดปะต่อลำบาก เช่นเรื่องการวางฤกษ์ ในการสร้างพระวางอย่างไร ให้รวย วางอย่างไรให้เมตตา วางอย่างไรให้ค้าขายดี ฯลฯ ซึ่งคุณโสระที่เข้าใจก็ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกเยอะ ส่วนเรื่องอื่นก็ฟังพอประดับความรู้เช่นการสร้างพระท่าดอกแก้ว ฯลฯ ทั้งหมดใช้เวลาประชุม ราว 3 ชม. จบเรื่องครับ



    พันวฤทธิ์
    16/4/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2008
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระที่ทำแล้วแคล้วคลาดก็ดี คงกระพันก็ดี เมตตาจนถึงมหานิยมก็ดี แต่สมัยนี้ถ้าไม่มีตังค์ มีแต่หนี้สินล้นพ้นตัว ก็ไม่ดี อยู่แล้วหดหู่เหมือนกัน จึงเกิดความคิดว่าวางฤกษ์ใดหนอ...ให้อิทธิคุณของพระ และพลังของธรรมชาติมารวมกันแล้ว เกิดอานุภาพ เรียกทรัพย์ ดังแก้วสาระพัดนึก จะได้หมดหนี้หมดสิน ขอสิ่งใดไม่เกินกำลังวาสนาก็มีแต่คนหยิบยื่นให้ จึงเรียนถามอาจารย์ประถม ท่านก็เมตตาเล่าเรื่องฤกษ์ที่ทำแล้วเงินไหลมาเทมา แต่ต้องขยันด้วยนะครับ ให้กับข้าพเจ้าและคณะในวันนั้นฟัง

    จึงเกิดความคิดว่า.. เอาละ..ไว้มีโอกาสเหมาะสม จะปรึกษา อาจารย์ประถม และ พี่ใหญ่ รวบรวมผงสำคัญ และ สิ่งที่เป็นมงคล หรือ อาจขอบริจาคมวลสาร กับผู้มีจิตเป็นกุศลในเวบ เพื่อสร้างพระดังกล่าวซักรุ่น.. ไว้เป็นมงคลให้กับผู้ที่ทำบุญกับทุนนิธิฯ ในโอกาสต่อไป(คงต้องเป็นปีหน้าเลยครับ)เพราะเมื่อมีกุศลจากการทำบุญแล้วมีพระพิมพ์ที่ทรงอิทธิคุณ จะทำสิ่งใดท่านจึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แขวนแต่พระและไม่ทำบุญ รอแต่ปาฏิหารย์ อย่างนี้เอาเปรียบเจ้าเวรนายกรรมเก่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2008
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต่อไปจะเสนอเรื่อง "จิต" ซัก 3-4 ตอน เป็นข้อมูลที่เก็บไว้ในไฟล์คอมฯ ไว้อ่านยามว่าง เลยลืมเรื่องที่มาของบทความ จำได้แต่ผู้เขียนคือ คุณปราโมทย์ คงต้องขออภัยล่วงหน้า หากเจ้าของตัวจริงผ่านมาเจอครับ ขออนุญาตนำมาเผยแพร่เป็นธรรมทานครับ

    จิตหนึ่งของพระป่า

    เมื่อหาคำตอบจากตำราไม่ได้
    จึงต้องขอยกเรื่อง จิตแท้หรือจิตดั้งเดิมของเถรวาท
    และเรื่อง จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น ไว้ก่อน
    แล้วหันมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้
    คืออยากจะเล่าว่า พระป่าบางองค์ ท่านก็พูดถึงจิตหนึ่ง เหมือนกัน
    แต่อาจจะมีความหมายไปอีกทางหนึ่ง
    ไม่เกี่ยวกับ จิตแท้หรือจิตดั้งเดิม ของเถรวาท
    และ จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น ก็ได้

    ผมได้พบสภาพจิตชนิดหนึ่งของพ่อแม่ครูอาจารย์บางองค์
    ซึ่งบางท่านเรียกว่า [SIZE=+1]จิตหนึ่ง[/SIZE]
    บางท่านเรียกว่า ฐีติจิต ฐีติภูตํ
    บางท่านเรียกว่า จิตพุทธะ บางท่านเรียกว่า ธรรม

    ถ้าจะอธิบายถึงสภาวะของจิตชนิดนี้
    คงต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่จิตที่พวกเรารู้จักกันเสียก่อน

    พวกเราที่ทำความรู้ตัวเป็นแล้ว คงจำกันได้ว่า
    จิตของพวกเราตอนที่ยังไม่เริ่มปฏิบัตินั้น
    มันคลุกเป็นเนื้อเดียวกันกับอารมณ์เสมอ
    ดีบ้าง ชั่วบ้าง และอารมณ์ที่เป็นกลางๆ บ้าง
    เรียกว่าหลับฝันทั้งที่ลืมตาตื่นอยู่ตลอดเวลา
    ขณะใดเราสนใจในอารมณ์ใด สติจะพุ่งเข้าไปที่อารมณ์นั้น
    จิตก็เคลื่อนไปเกาะไปยึดที่อารมณ์นั้นอย่างเหนียวแน่น

    พอเริ่มปฏิบัติบ้างแล้ว เราจะพบความเปลี่ยนแปลง
    คือเวลาที่จิตสนใจสิ่งใด สติจะจดจ่อเข้าที่สิ่งนั้น
    แต่เราจะมีสัมปชัญญะคือความรู้ตัว
    เป็นเครื่องรักษาจิตเอาไว้ ไม่ให้หลงเคลื่อนเข้าไปยึดอารมณ์
    ถึงเคลื่อนเข้าไปยึดอารมณ์ ก็สามารถรู้ชัดว่าเคลื่อนแล้ว
    กล่าวได้ว่า เรามีความสำรวมระวัง รักษาจิตใจตนเองอยู่ตลอดเวลา
    เพื่อพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญาให้แก่จิตใจอย่างต่อเนื่อง

    แต่จิตของครูบาอาจารย์บางองค์ ไม่ได้เป็นเหมือน 2 อย่างแรก
    เวลาที่ท่านสนใจอารมณ์ใด สติจะจดจ่อลงที่อารมณ์นั้น
    แต่จิตไม่ได้เคลื่อนไปยึดอารมณ์ เหมือนคนที่ปฏิบัติไม่เป็น
    โดยที่ท่านก็ไม่ต้องสำรวมระวังรักษาจิต เหมือนพวกเราที่ปฏิบัติกันอยู่
    แต่จิตของท่านคงความเป็นปกติ ไม่มีกิจอะไรที่จะต้องระวังรักษาอีก

    จิตของท่านคงความเป็นหนึ่ง สงบสันติ ไม่มีจุด ไม่มีดวง หรือกลุ่มก้อน
    บางครั้งประกอบด้วยความเบิกบาน
    บางครั้งสงบสงัดมีอุเบกขาอยู่ภายใน,
    บางครั้งประกอบด้วยปัญญา บางครั้งเฉยๆ ไม่พิจารณาอะไร,
    บางครั้งสนใจรู้สิ่งภายนอกเมื่อมีเหตุอันควร บางครั้งสงบอยู่ภายใน,
    เป็นสภาพจิตดั้งเดิม เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระ
    ไม่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำชักพาให้วิ่งไปหาอารมณ์ด้วยความหิวโหย
    การกระทำทั้งปวงทางกาย และวาจา ไม่ก่อให้เกิดกรรมขึ้นอีก
    เป็นแต่เพียงกิริยาล้วนๆ ทำไปตามเหตุผลความจำเป็น
    เป็นคราวๆ ไปเท่านั้นเอง

    จิตชนิดนี้ ถ้าย้อนสติน้อมเข้ามารู้ ตัดความสนใจอารมณ์ภายนอก
    แล้วเข้ารูปฌาน อรูปฌานไปตามลำดับ
    ก็น่าเชื่อว่าจะเป็นอุบายนำไปสู่นิโรธสมาบัติโดยง่าย
    ดังที่ ท่านพระกามภูเถระ ได้กล่าวไว้
    เพราะเป็นจิตที่หมดความแส่ส่ายไปในรูปและนาม และอายตนะทั้งปวง

    ************************************

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเล่าให้ฟังเพื่อความบันเทิงใจเท่านั้นนะครับ
    ขออย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า
    "จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น"
    "จิตแท้หรือจิตดั้งเดิมของเถรวาท"
    กับ "จิตหนึ่งของพระป่า" เป็นสิ่งเดียวกัน

    หากจะหาความจริงให้มากกว่านี้
    คงต้องให้ปราชญ์ทางปริยัติที่ท่านใจกว้าง เป็นผู้ศึกษาต่อไป
    ส่วนพวกเรานักปฏิบัติ ก็ปฏิบัติรู้รูปรู้นามที่กำลังปรากฏกันต่อไป

    [SIZE=+1]ถึงจะไม่มีความรู้กว้างขวางก็ไม่เป็นไร [/SIZE]
    [SIZE=+1]ขอให้จิตพ้นจากทุกข์ก็แล้วกัน[/SIZE]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  20. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    ได้โอนเงินร่วมบุญสงเคราะห์พระภิกษุอาพาธกับทางทุนนิธิ จำนวน 319.- บาท 17/04/51 เวลา 15.36 น. ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...