เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรื่องราวของพระศรีฯ มีผู้คนกล่าวถึงกันมาก แต่ก็เป็นความรู้ความคิดที่ยากจะยืนยันเพราะคนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของประเพณีพุทธภูมิ ว่าท่านทำบารมีมาอย่างไร ที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ก็เพื่อคนที่สนใจจริงและลงมาเพื่อการสั่งสมบารมีเท่านั้น สำหรับท่านที่อ่านแล้วไม่เข้าใจก็ขอให้วางจิตเป็นกลางๆแล้วก็ผ่านไปครับ เท่าที่เราได้รับฟังมาจากครูบาอาจารย์นั้นเป็นดังนี้ครับ

    ในยุคพุทธกาลพระศรีฯท่านจุติลงมาเป็นพระอชิตะภิกขุ เมื่อท่านรับพุทธทำนายจากพระสมณโคดมแล้ว ท่านก็ตัดคอถวายพระพุทธเจ้า(ตรงนี้ตำราไม่บันทึกไว้) แต่ครูบาอาจารย์ท่านรับรองว่าเป็นอย่างนั้น

    ที่จริงพระศรีฯ ท่านลงมาสงเคราะห์โลก อยู่หลายวาระหลังจากสมัยพุทธกาลมา รวมทั้งชาติที่เป็นพระศรีอาริย์ วัดไลย์ นั่นก็ใช่ของท่านชาติหนึ่ง ชาตินั้นเมื่อเผาร่างของท่านแล้วก็กลายเป็นก้อนทองแดง เขาจึงนำมาผสมหล่อเป็นองค์พระศรีอาริย์ วัดไลย์ <O:p

    หลังจากชาติพระศรีอาริย์ วัดไลย์ จ.ลพบุรี แล้ว พระศรีฯท่านลงมาอีกหลายวาระ ชาติหนึ่งมาเป็นกษัตริย์ฝั่งลาว(ยุคอยุธยา) ชาตินั้นท่านจุติลงมาเป็นพระไชยเชษฐาธิราชพระมหากษัตริย์ชองลาว (ผู้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเมืองเชียงใหม่) และชาติที่เป็นกษัตริย์ทั้งฝั่งไทย(คือพระพุทธเจ้าหลวง) <O:p</O:p

    ตามตำนานแล้วพระไชยเชษฐาฯ เมื่อตอนที่บุเรงนองส่งกองทัพมาตีเมืองเวียงจันทร์ พระไชยเชษฐาฯไม่ต้องการให้ประชาชนล้มตาย ท่านเลยขี่ม้าเสด็จออกจากเมืองเวียงจันทร์ เพียงพระองค์เดียว เพื่อไปรับมือกองทัพพม่า และท่านได้ทำฤทธิ์ เขียนชื่อท่านลงบนกระดาษเป็นพันๆแผ่น แล้วก็เสกเป็นตัวพระไชยเชษฐาฯขึ้นมา เป็นพันๆคนเข้าต่อสู้กับทหารพม่า เมื่อทหารพม่าฆ่าพระไชยเชษฐาฯ(ตัวปลอม)ตายก็กลายเป็นกระดาษทั้งสิ้น แต่ตัวจริงของพระไชยเชษฐาฯ ท่านขี่ม้ามาล้มลง ณ เมืองรามลักษณ์ ปัจจุบันเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย เมื่อท่านสวรรคตแล้วร่างกายของท่านได้กลายเป็นพระพุทธรูปสามสี เทวดาเขาสวยสรงกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ณ เมืองรามลักษณ์ กลางวันมีน้ำไหลออกจากฝ่าเท้าเป็นสีทอง กลางคืนมีน้ำไหลออกจากฝ่าเท้าเป็นสีเงิน <O:p</O:p
     
  2. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรื่องของพระศรีฯ

    และในยุคร่วมสมัยปัจจุบันนี้ท่านลงมาบวชเป็นพระท่านบอกว่าเป็นชาติสุดท้ายพระศรีฯท่านจุติลงมาที่บ้านพระเจ้าในราวปี2457 ที่จังหวัดร้อยเอ็ดท่านบวชเณรตั้งแต่สมัยเป็นเด็กจากนั้นก็อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในปี2477 บวชได้2 พรรษาท่านมาอยู่กับหลวงปู่เสือโก้ก(พระครูสุนทรสาธุกิจ) ที่จ. มหาสารคามในสมัยนั้นในวัดมีพระสงฆ์อยู่ประมาณ700 รูปเมื่อไปจำพรรษาที่นั่นหลวงปู่เสือโก้กให้พระสงฆ์40 พรรษามาปรนนิบัติท่านไม่ให้ท่านออกบิณฑบาตแต่ให้พระสงฆ์ในวัดบิณฑบาตมาให้ฉันเมื่อมีการชุมนุมพระสงฆ์ในวัดหลวงปู่เสือโก้กจะปูอาสนะแยกต่างหากให้ท่านนั่งเป็นประธานสงฆ์ทางขวามือของหลวงปู่เสือโก้กเสมอครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่าในสมัยนั้นพระครูลุน(สำเร็จลุน) แห่งนครจำปาศักดิ์ท่านจะนั่งรวมอยู่กับพระในแถวด้านหน้า


    จากนั้นท่านก็ธุดงค์ไปในที่ต่างๆผ่านภูทอกและภูเขาต่างๆมากมายทั้งในฝั่งไทยและลาวและเมื่อท่านข้ามไปฝั่งประเทศลาวปู่ฤษีประไลยโกฏิท่านมารับไปปฏิบัติที่ภูเขาควายท่านไปปฏิบัติอยู่ที่นั่นนานหลายปีท่านเล่าว่าท่านบำเพ็ญอดอาหารเป็นเวลา4 ปีและท่านบอกว่าบางครั้งท่านได้ลงไปโปรดสัตว์ในนรกเมื่อท่านลงไปในนรกไฟนรกจะดับลงชั่วคราว

    <O:pเมื่อสำเร็จขั้นโลกอุดรทุกประการตามบารมีแล้วท่านก็เข้าไปปฏิบัติธรรมต่อในภูเขาควายชั้นในซึ่งต้องอาศัยบารมีและฌานสมาบัติอันแก่กล้าจึงจะผ่านภูเขากระเดื่องเข้าไปได้ท่านว่าถ้าบารมีไม่ถึงไม่มีฌานสมาบัติขั้นสูงสุดก็ตายสถานเดียวมีพระสงฆ์ไทยเพียงไม่กี่รูปที่ท่านบอกว่าผ่านเข้าไปที่ภูเขาควายชั้นในได้เช่นหลวงปู่ทวดหลวงปู่สีทัตย์หลวงปู่ยีและรวมถึงพระสงฆ์บางรูปในฝั่งลาวเราจำชื่อไม่ได้แล้วครับ

    <O:pเมื่อสำเร็จธรรมขั้นของพระมหาโพธิสัตว์แล้วท่านก็ไปโปรดสัตว์อยู่ในฝั่งลาวหลายปีรวมทั้งไปอธิษฐานเปิดพิพิธภัณฑ์ที่พระธาตุหลวงประเทศลาวที่ในอดีตกษัตริย์องค์สำคัญของลาวคือพระไชยเชษฐาธิราชท่านสร้างและอธิษฐานไว้ว่าพิพิธภัณฑ์ที่ท่านสร้างซึ่งมีผนังเป็นหินนั้นห้ามผู้ใดเปิดได้ยกเว้นเมื่อผู้สร้างเขามาเกิดใหม่แล้วเขาจะเป็นผู้เดียวที่สามารถเปิดพิพิธภัณฑ์นั้นได้หลวงปู่บอกว่าท่านก็ไม่ได้ทำอะไรมากท่านแค่ยกมือยื่นมือไปขางหน้าประตูลับก็เปิดออกข้างในมีเครื่องสูงของกษัตริย์ลาวมากมาย

    <O:pก่อนปีพ.ศ. 2500 ท่านก็ข้ามมาฝั่งไทยแล้วธุดงค์โปรดสัตว์ไปเรื่อยๆจากจ.นครพนมจนมาอยู่ณที่วัดแห่งหนึ่งเมื่อปี 2500 และเป็นวัดที่ท่านใช้เป็นสถานที่ละสังขารเมื่อ7 มีนาคม2544 ท่านสั่งให้คณะของเรามีหน้าที่ดูแลรักษาสังขารของท่านไว้คณะเราได้บรรจุร่างท่านไว้ในหีบแก้วบูชาด้วยหัวน้ำหอมและเครื่องสูงอีกหลายอย่างเพื่อจะได้อานิสงส์บุญกุศลทำนองเดียวกันกับที่พ่อพระอินทร์ท่านดูแลร่างของพระมหากัสสปะไปจนถึงยุคพระศรีฯซึ่งร่างพระมหากัสสปะขณะนี้อยู่ที่เขาสามภูทางตอนใต้ของประเทศอินเดียนั่นเอง

    <O:pก่อนละสังขารท่านบอกว่าเราว่าปู่จะไปทำธุระเดี๋ยวปู่กลับมาใหม่เท่าที่เราเข้าใจครูบาอาจารย์ท่านไม่มาเกิดแบบคนทั่วไปอีกแล้วเพราะท่านสำเร็จธรรมระดับโลกอุดรเพราะฉะนั้นท่านสามารถกลับมาในร่างของโลกอุดรที่ท่านใช้อยู่ถึง12 ร่างได้ทุกเวลาที่ท่านต้องการท่านกลับจะมาแน่นอนในช่วงเวลาตั้งแต่ปี2549 - 2560 ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติรอท่านซึ่งเราคิดว่าท่านจะกลับมาเมื่อคณะของเราสร้างปราสาทพระเจ้า5 พระองค์เสร็จซึ่งประกอบด้วยปราสาท5 หลังหลังหนึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลองหน้าตัก3.80 เมตร1 องค์(เป็นสัญญลักษณ์ของพระศรีฯ) อีกสี่หลังเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลองหน้าตักองค์ละ3.50 เมตร 4 องค์(เป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าอีก4 พระองค์) ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างหอพระแม่ธรณี(หอพระจักรพรรดิ์) ตอนนี้ใกล้จะเสร็จแล้วและจะถวายเข้าเป็นสมบัติของพระศาสนาในวันออกพรรษาปีนี้หอนี้เป็นส่วนด้านหน้าของปราสาทพระเจ้า5 พระองค์ทั้งนี้เพื่อรองรับบารมีพระศรีฯที่ท่านจะลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ในไม่กี่ปีข้างหน้านี้<O:p</O:p

    </O:p
     
  3. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรื่องของพระศรีฯ

    ครูบาอาจารย์ท่านเล่าเรื่องพระเจ้าสิบชาติของพระศรีฯให้เราฟัง ก็เลยจดจำไว้ว่าท่านมาเสวยชาติเป็นใครบ้าง ท่านว่าคนทั่วไปที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงเขาไม่รู้ท่านหรอกว่าท่านลงมาเมื่อใด มาเป็นใครมา ทำอะไร เท่าที่สังเกตดูบางชาติที่ท่านลงมาจะเกี่ยวข้องกับการย้ายเมืองที่ประทับของพระแก้วมรกต(ยุคพระไชยเชษฐาฯ)บ างชาติก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกตโดยตรงท่านเล่าว่าพระแก้วมรกตนั้นเป็นสมบัติของพระศรีฯ เป็นตัวแทนของพระศรีฯ มีพระธาตุของพระพุทธเจ้าบรรจุอยู่ถึงเจ็ดองค์ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก ไม่มีชีวิตเหมือนมีชีวิต ผู้อื่นนั้นเป็นผู้ดูแลรักษาตามยุคสมัยที่เขามีอำนาจทางบ้านเมือง เมื่อถึงเวลาเขาก็จะต้องนำมาให้ครูบาอาจารย์


    สำหรับเรื่องรามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวที่พระศรีฯท่านลงมาทำบารมีเป็นพระรามในยุคนั้น(อวตารหรือแบ่งภาค)ลงมาปราบยุคเข็ญ พระพุทธยอดฟ้า(พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง)ท่านทรงญาณชั้นสูง ท่านจึงสามารถรู้เรื่องราวของพระศรีฯเป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องรามเกียรติ์นั้นลองพิจารณาดูว่าหากไม่สำคัญพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯท่านคงจะไม่นำมาแสดงไว้รอบวิหารวัดพระแก้ว ซึ่งพระโพธิ์สัตว์บารมีมากขนาดนั้นท่านทำอะไรต้องประกอบด้วยเหตุผลแน่นอนผู้ที่อ่านสัญญลักษ์ของภาษาธรรมเข้าใจก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร


    ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่าในยุครามเกียรติ์(ก่อนพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ลงมาตรัสรู้)นั้นในคราวที่พระรามเดินดง พระรามได้ไปกินไม้มณีโคตรแล้วก็กลายเป็นลิงวิเศษมีฤทธิ์มาก(ชื่อพระพาย) ขึ้นไปอาศัยอยู่บนต้นไม้มณีโคตร พระลักษณ์ก็ได้แต่ร้องให้นอนเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้มณีโคตร ขณะเดียวกันลูกสาวปู่ฤษีชื่อนางไคสีหรือสีไคนี่แหละ(จำชื่อไม่ค่อยได้) ก็ได้ไปกินลูกไม้มณีโคตรที่กิ่งเดียวกันกับพระราม นางไคสีก็กลายเป็นลิงเช่นกัน แล้วได้กันกับลิงพระพาย(พระราม) มีลูกออกมาเป็นหนุมานเมื่อหนุมานเกิดมาแล้ว เมื่อเหยียบแผ่นดินโลกจะพลิกพระพายเลยต้องให้หนุมานนั่งบนเข่าพระพายตลอดเวลา และเมื่อพระรามแก้คำสาปกลายร่างกลับเป็นพระรามได้แล้วก็ชวนพระลักษณ์ไปตามหานางสีดาต่อไป และให้หนุมานรอว่าเมื่อแก้คำสาปให้แม่ได้แล้ว ให้หนุมานตามไปสมทบกับพระรามทีหลัง และที่มาของเรื่องนอกตำราที่เราเล่านั้น เนื่องจากวันหนึ่งครูบาอาจารย์ท่านเล่าเรื่องรามเกียรติ์ให้คนเขาฟังแล้วมีคนหนึ่งเขาถ่ายรูปในขณะที่ท่านเล่าเรื่อง เมื่อล้างรูปออกมาแล้วปรากฏว่ามีรูปลิง(คล้ายหนุมาน) เป็นภาพซ้อนขึ้นมาบนรูปของครูบาอาจารย์ เขาก็นำมาถวายและถามครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าเป็นรูปของ"พระพาย" ซึ่งเป็นพ่อของหนุมานและท่านขอเก็บไว้ทั้งหมด ท่านไม่ต้องการให้เผยแพร่ออกไปท่านบอกว่าเฉพาะสำหรับองค์ท่าน "ดังบ่ดีดีบ่ดัง"</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่า หนุมานนั้นหลังจากปลีกตัวไปบำเพ็ญเพียรในป่าแล้วกาลต่อมาพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอุบัติขึ้นในโลก(เราคาดว่าน่าจะเป็นพระพุทธเจ้ากกุสันโธ) หนุมานได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วก็อธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิตัดหัวถวายพระพุทธเจ้า แล้ววนเวียนทำบารมีมาจนตราบถึงปัจจุบันนี้ แต่จะเป็นใครนั้นเจ้าตัวเขาก็ต้องปฏิบัติให้รู้ตัวเอง</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวเอาไว้ว่าพระราม พระลักษณ์ หนุมานนั้นคือสามโพธิสัตว์ที่วนเวียนทำบารมีมาตลอด(พระลักษณ์นั้นที่จริงมีฤทธิ์มากกว่าหนุมานซะอีก เป็นขุนพลอันดับหนึ่งของพระราม ส่วนหนุมานนั้นเป็นขุนพลอันดับสอง) แม้ยุคของสังข์ทอง- ศิลปชัย- สีโห(สังข์ทองเกิดออกมาเป็นสังข์
     
  4. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรื่องของพระศรีฯ

    พระเจ้า 5 พระองค์ แกะสลักด้วยหินหยก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2005
  5. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    คุณ Aunyasit ครับ เรื่องงนี้คัดลอกมาหรือเขียนจากประสบการณ์จริงครับ สนใจมากเลยครับ
     
  6. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ ปราณยาม

    เรื่องนี้มาจากประสบการณ์จริงล้วนๆครับ ผมนำเอาจากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ ปี 2540 ถึง 2544 ครับ ยังมีเรื่องที่ท่านเทศน์ไว้ในวาระต่างๆอีกมาก ส่วนใหญ่อยู่ในเทป ยังไม่ค่อยมีเวลาถอดเทปครับ เอาไว้ว่างแล้วจะถอดเทปมาให้อ่านกันครับ

    ถ้าท่านไหนรู้เรื่องของพระแก้วมรกตอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจเรื่องของพระศรีฯได้ไม่ยาก หากสังเกตจะเห็นว่าพระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องพระจักรพรรดิ์ ผู้ที่ลงมาบำเพ็ญบารมีเป็นพระสงฆ์ก็จะเป็นพระสงฆ์ทรงเครื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งมีอยู่รูปเดียวในโลกครับ ท่านบอกว่า เทวดาเขามาบอกว่าให้ท่านทรงเครื่องแบบพระแก้วมรกต เพราะเป็นบารมีของท่าน ครับ
     
  7. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ภพชาติของพระศรีฯ ยุคกาฬเกษ

    จากนิทานพื้นบ้านอีสาน "ณ เมืองพาราณสี มีกษัตริย์นามว่าสุริวงษ์ และมเหสีนามว่า กาฬ ปกครอง และท้าวสุริวงษ์มีม้ามณีกาบ ซึ่งเป็นม้าวิเศษเป็นพาหนะคู่บารมี ครั้งหนึ่งท้าวสุริวงษ์ได้ลามเหสีและชาวเมืองไปเรียนวิชาอาคม โดยมีม้ามณีกาบเป็นพาหนะไปพบกับพญาครุฑ และยักษ์กุมภัณฑ์ ต่อมาได้เป็นสหายกันและพระองค์ก็เรียนศาสตระศิลป์กับพระฤาษีจนสำเร็จแล้วกลับมาปกครองเมืองต่อไป

    เมื่อท้าวสุริวงษ์กลับมาครองเมืองแล้ว ก็ต้องการจะมีบุตรชาย เพื่อเอาไว้สืบราชสมบัติแทนพระองค์ ดังนั้นจึงทำพิธีขอลูกกับพระอินทร์ฯ ก็ได้ส่ง เทพบุตรกับเทพธิดาลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อให้เป็นคู่สามีภรรยากัน โดยเทพบุตรองค์หนึ่งมาเกิดในท้อง นางกาฬมเหสีของท้าวสุริวงษ์ เมื่อนางกาฬประสูติออกมาเป็นชาย ชื่อว่ากาฬเกษ กาฬเกษกุมารนี้ได้เจริญเติบโต มาเป็นลำดับ ครั้งหนึ่งเข้าไปเล่นในโรงม้า อันเป็นที่อยู่ของม้ามณีกาบ ได้แอบขึ้นขี่ม้าแล้วม้ามณีกาบก็พากาฬเกษกุมารเหาะไปในอากาศออกจากเมืองมุ่งเข้าป่าหิมพานต์ ขณะที่ท้าวกาฬเกษหนีออกจากเมืองนั้น ได้พบกับนกสาริกาคู่หนึ่ง จึงได้สั่งความให้กลับไปบอกท้าวสุริวงษ์ด้วยว่าจะออกไปเที่ยวในป่าถึง 3 ปี แล้วจะกลับมาเมื่อสั่งความแล้วก็เดินทางต่อไปจนเข้าเขตเมืองผีมนต์ของท้าวผีมนต์ และนางมาลีทอง ได้พักอยู่นอกเมืองพบกับชาวเมืองที่ออกมาหาฟืนแล้วได้ทราบว่าท้าวผีมนต์มีลูกสาวสวยชื่อ มาลีจันทน์ จึงพยายามจะไปพบนางในสวนดอกไม้ เมื่อนางมาลีจันทน์มาชมสวน ท้าวกาฬเกษจึงเข้าไปหาแล้วชอบพอรักใคร่กัน ดังนั้นเมื่อตอนกลางคืนจึงแอบเข้าไปหานางเป็นเวลานาน ต่อมาท้าวผีมนต์สืบได้จึงทำหอกยนต์ดักยิง ขณะที่ท้าวกาฬเกษแอบเข้าไปนั้นพระองค์ได้ถูกหอกยนต์ตายลง แต่ก่อนจะตายท้าวเธอได้สั่งว่าอย่าเผาศพ ให้เอาใส่แพลอยน้ำไป นางมาลีจันทน์ได้ปฏิบัติตามที่ท้าวกาฬเกษสั่งทุกประการ ศพของท้าวกาฬเกษลอยทวนกระแสน้ำจนไปถึงอาศรมพระฤาษีแล้วพระฤาษีมาพบเข้าจึงร่ายมนต์ชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้นมา ท้าวกาฬเกษคืนมาแล้วจึงเรียนศาสตระศิลป์อยู่กับพระฤาษีจนสำเร็จแล้วลาพระฤาษีกลับไปหานางมาลีจันทน์ใหม่ ท้าวผีมนต์ทราบข่าวอีกจึงเกิดรบกันในที่สุด ท้าวผีมนต์จึงแพ้ยกเมืองและลูกสาวคือนางมาลีจันทน์ให้แก่ท้าวกาฬเกษ ๆ อยู่ที่นั่นไม่นานก็พานางมาลีจันทน์เดินทางต่อไปอีก ในการเดินทางต่อนี้ ยักษ์หลายเมืองเช่น ยังษ์ชื่อสาระกัน, ชื่อคันธะยักษ์ และยักษ์ขีนีสาระกาย ต่างต้องการจะให้ท้าวกาฬเกษอยู่ครองเมือง แต่ท้าวกาฬเกษยังต้องการเดินทางต่อไป หลังจากเดินทางตามที่ต้องการแล้ว ในที่สุด ท้าวกาฬเกษก็รับนางมาลีจันทน์ ไปครองเมืองพาราสี สืบต่อไป"

    ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่าเรื่องกาฬเกษนี้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในยุคปลายของสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ปัจจุบันคือเขต "เขาใหญ่" นี่เอง ซึ่งม้าวิเศษสูงสุด ที่มีฤทธิ์มากกว่าม้าแก้วมณีกาบ คือ ม้าพลาหก เป็นม้าทรงที่พาเจ้าชายสิทธัตถะเหาะหนีออกไปจากเมืองเพื่อไปออกบวช ม้าพลาหกนี้มีอยู่แถวป่าหิมพานต์(ในไตรภูมิพระร่วงมีบันทึกไว้)

    ในเขตเขาใหญ่ปัจจุบันก็ยังมีสิ่งลี้ลับมากมาย สำหรับเรื่องกาฬเกษนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้เทศน์ขึ้นมาเมื่อตอนที่ท่านไปโปรดสัตว์ที่เขาใหญ่ เรื่องที่ท่านเล่าที่บันทึกไว้ในเทปนั้นสนุกมากๆครับ
     
  8. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ภพชาติพระศรีฯ ยุคจำปาสี่ต้น

    จากนิทานพื้นบ้านอีสาน
     
  9. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    รูปปั้นม้าพลาหก และ ม้าแก้วมณีกาบ

    สีฟ้าเป็นม้าพลาหก(มีพระโพธิสัตว์ขี่หลัง) สีเหลืองเป็นม้าแก้วมณีกาบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • q17.JPG
      q17.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44.5 KB
      เปิดดู:
      764
  10. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ขอบคุณมากครับ คุณAunyasit เอ..พอจะบอกได้ไหมครับว่าวัดที่ไปนี่ที่ไหนครับ เพราะผมก็มีข้ออูลของพระแก้วมรกตเหมือที่คุณมีครับ คือได้มาจากหลายๆที่นะครับ



     
  11. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ ปราณยาม

    วัดที่ผมไปกันเนี่ย ชื่อที่รู้จักกันทั่วไปคือ วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร แต่ก่อนครูบาอาจารย์ท่านใช้ชื่อ "วัดดงพิพวย" มาภายหลัง ทางภูเขาควาย เขามาบอกให้ใช้ชื่อ "วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร" แต่ชื่อที่ท่านผู้อยู่ในโลกทิพย์ท่านเรียกกันคือ "วัดป่าพระเจ้านั่งแท่น" เนื่องจากเป็นวัดสำหรับท่านที่จะเป็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปป์นี้ จะลงมาทำบารมี เพื่อรอเป็นพระพุทธเจ้าครับ ซึ่งหมายถึงว่าเป็นที่บำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ และก็เป็นวัดมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ แต่ในยุคพระพุทธเจ้ากกุสันโธ กับพระโกนาคมโน นั้นผมยังย้อนกลับไปศึกษายังไม่ได้ เนื่องจากพลังฌานยังไม่พอ ไปเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้แค่ในยุคของพระพุทธเจ้ากัสสโป ว่าที่วัดแห่งนี้ในยุคนั้นเขาสร้างสิ่งก่อสร้างอะไรไว้บ้าง มีอะไร อยู่ตรงตำแหน่งไหน มาในยุคร่วมสมัยนี้ เราก็จะได้ก่อสร้างให้ตรงตามสิ่งที่ปรากฎอยู่ในยุคนั้นและก็ตรงตำแหน่งที่สิ่งก่อสร้างนั้นๆเคยมีอยู่เดิม แต่ต่างกันที่ความอลังการ คงจะเทียบกันไม่ได้ เพราะยุคก่อนๆนั้นเขาสร้างกันได้ยิ่งใหญ่มาก ครับ

    ในสมัยรามเกียรติ์ พระราม พระลักษณ์และนางสีดา เคยมาบำเพ็ญบารมีและพำนักอยู่ที่นี่มาก่อน
     
  12. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    เป็นวัดที่น่าไปมากเลยครับ วันนึงที่ผมมีโอกาสผมจะไปครับ ถ้าไม่รบกวนผมขอที่อยู่ของวัดได้ไหมครับ ขอบคุณมากเลยครับ
     
  13. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    เข้ามาอ่านด้วยความสนใจครับ
     
  14. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    อยากทราบที่อยู่ของวัดเช่นกันค่ะ ไม่ทราบอยู่จังหวัดไหนคะ ช่วยบอกรายละเอียดด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาส อยากจะไปสักการะค่ะ
     
  15. บัว ี่ปุ่น

    บัว ี่ปุ่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +34
    อนุโมทนาในเรื่องราวทั้งหมดครับ บางสิ่งบางอย่างคนยุคเราๆท่านๆ ฟังดูอาจรู้สึกขัดกับความเชื่อเดิมๆหลายอย่าง และที่คุณ AUNYASIT เล่ามาเป็นเรื่องที่ผมไม่คิดว่างมงาย แต่มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ไว้ ซึ่งคนทุกคนที่เกิดมาล้วนมีหน้าที่ คุณ AUNYASIT ได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วครับ
     
  16. มงกุฎเพชร

    มงกุฎเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +71
    เท่าที่ทราบมา พระมหากัสปไม่ได้อยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย แต่อยู่เชียงตุงมีภูเขาสองลูกปิดไว้(รายละเอียดไปสืบดูจาก web snow เขาน่าจะรู้ หรือไม่ก้ไปอ่านถามตอบของหลวงพ่อท่าน เล่มไหนจำไม่ได้) น่าจะเทียบจากเรื่องที่หลวงพ่อเล่าเกี่ยวกับประวัติการสร้างพระศรีอาริเมตไตรยที่วัดท่าซุง น่ะเพราะตอนหลวงพ่อสร้างท่านบอกว่าพระศรีอาริยืท่านยังอยู่ดุสิตซึ่งก่อน 2544 แน่นอน (คุณไปศึกษาดูเองแล้วกันนะคบ)
    ผมขอสงวนความเห็นไว้เพียงแค่นี้
    อนุโมทนา
     
  17. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร อยู่ในเขตหมู่บ้านสังคมพัฒนา ต. สีกาย อ.เมือง จ. หนองคาย ครับ ไปทางที่จะไป อ. โพนพิสัย (ครึ่งทางก่อนถึง อ. โพนพิสัย) ประมาณ กม. ที่ 25 หลัก กม. เขียนว่า "โพนพิสัย 25" มีป้ายวัดสภาพเก่า คร่อมถนนทางเข้า เข้าตรงไปประมาณ 2 กม. เมื่อเจอทุ่งนาแล้วเลี้ยวขวา สุดทางคันนาก็ถึงวัด ครับ

    สำหรับเรื่องราวของหลวงพ่อฤษีลิงดำนั้น ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า "ฤษีลิงดำ เป็นสาวกก้ามซ้ายเฮา ปู่แหวนเป็นสาวกก้ามขวาเฮา" วิมานฤษีลิงดำอยู่ทางหน้าวัด(ท่านชี้มือไปสูงๆหน้าวัด) ปู่แหวนอยู่ทางหลังวัด(ท่านชี้มือไปสูงๆหน้าวัด)

    พระศรีฯนั้น ท่านมีพระอัครสาวก "ซ้ายแปดองค์ ขวาแปดองค์ โยมอุปัฏฐากอีกแปด(ข้างละสี่)" ครับ ที่หลวงปู่ฤษีท่านรู้มาเรื่องของพระศรีฯนั้น ท่านรู้ได้ระดับนึงตามบารมีครับ และท่านก็บอกไม่หมดในสิ่งที่ท่านรู้ ผมมั่นใจอย่างนั้นเพราะการปฏิบัติแบบพระสงฆ์เนี่ย การรู้บางอย่างในโลกภายในนี่เขาห้ามพูดกัน หากไม่ใช่เรื่องของตนเองก็บอกได้แบบปิดๆบังๆ ในยุคปัจจุบันนี้ผมก็ยังได้พบเจอหลวงปู่ฤษีลิงดำในโลกทิพย์อยู่ในบางวาระ ก็ยังสนทนากันอยู่ครับ คราวต่อไปถ้าเจอศีลธรรมหลวงพ่อฤษีลิงดำอีก ผมกะจะถามว่าท่านเคยเป็นลิงตนไหนในรามเกียรติ์ ผมลองไปพิจารณาเรื่องธงมหาชมพูของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคแล้วน่าสนใจครับ เรื่องราวของท้าวมหาชมพูนี่ก็มีอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์เช่นกันครับ

    สำหรับเรื่องจิตระดับสูงนี่ถ้าเข้าขั้นโลกอุดรแล้ว จิตท่านอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งครับ บารมีระดับพระศรีฯ อย่าว่าแต่เมืองมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดุสิตเลย ต่อให้ทุกภพภูมิในเวลาเดียวกันก็สามารถไปเห็นได้ ท่านทำได้หมดแหละครับ

    และก็เป็นการบังเอิญเหลือเกิน ที่คณะผมต้องเป็นผู้นำเอาของใช้ส่วนตัวหลายๆอย่างของหลวงพ่อฤษีลิงดำไปถวายไว้ที่วัดนี้ ไม่ว่าไม้เท้าของท่าน ก้อนธาตุเม็ดสีดำที่ท่านได้มาจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า ฯลฯ เพราะเมื่อตอนได้มาเทวดาเขาบันดาลจิตบอกให้เอาไปถวายไว้ที่วัดป่าสีดาฯ น่ะ และเมื่อปีที่แล้วหลวงพ่อฤษีลิงดำเองท่านเป็นผู้บอกให้คณะผมไปรับศีลธรรมบางอย่างที่ วิหารร้อยเมตร กับ ที่ศาลาสมเด็จองค์ปฐม ครับ ภายในเขารู้กันครับว่าใครมาหน้าที่อะไร

    ดังนั้น หากรักจะเป็นนักปฏิบัติทำบารมีก็ควรจะปฏิบัติให้ถึงทั้งภายนอกและภายในครับ อะไรที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้เราอย่าเชื่อเลยโดยทันที ต้องปฏิบัติไปดูสักระยะนึงก่อน ให้ไปรู้ด้วยตนเองได้ด้วยว่ามีหรือเป็นตามที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงหรือเปล่า "เทวดานี่เขาชอบเนรมิตเป็นพระพุทธรูปแบบนั้นแบบนี้ ให้คนหลงไหลได้ปลื้มกันบ่อยๆนะ" เรื่องร่างพระมหากัสสป ถ้าอยากรู้ก็ปฏิบัติถามพ่อพระอินทร์ดูสิครับ ท่านดูแลอยู่ อันนี้ฝากไว้สำหรับ "คุณมงกุฏเพชร" ครับ

    ที่เล่าๆมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นเนี่ย ก็เพื่อการสงเคราะห์สรรพสัตว์ที่เป็นญาติกาเท่านั้นครับ ท่านไหนที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจก็ลองนำไปพิจารณาดูครับ
     
  18. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    สัญญลักษณ์ของพระศรีฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • X9.JPG
      X9.JPG
      ขนาดไฟล์:
      47.1 KB
      เปิดดู:
      760
  19. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    ทักทาย

    สวัสดีครับคุณเจ้าของกระทู้

    เรื่องราวของคุณที่เล่า คล้ายกับคุณคนไกล ไม่ทราบเป็นคนๆเดียวกันหรือเปล่า

    สำหรับเรื่องความอัศจรรย์ ของพระศีรฯผมไม่กังขาของ

    เพราะสำหรับพระมหาโพธิ์สัตว์แล้ว มีบางสิ่งที่เกินวิสัยปถุชนหรือสาวกจะทราบได้

    เรียกว่า "อจินไตย วิมุตติ" ยังไงก้อขอขอบคุณที่นำเรื่องราวเล่านี้มาเล่า

    จะติดตามอ่านต่อไปนะครับ
     
  20. ทาโร่

    ทาโร่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +126
    ขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงที่ทำให้ได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างครับ

    ถ้ามีโอกาสผมจะไปหนองคายครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...