ติดตามสถานะการณ์

Clima Extremo 24

ความเป็นจริงที่อาศัยอยู่นอกฤดูหนาวขั้วโลก
ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา กับสิ่งที่ภาพยนตร์นิยาย "the day after tomorrow"

 

Clima Extremo 24

เวเนซุเอลา
ในโรงพยาบาลใน San Carlos, Edo. Cojedes, เวเนซุเอลา ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่ผิดพลาดของช่าง ทำให้เกิดการรั่วไหลของซีเมนต์ลงไปในห้องพักฟื้น

 

Clima Extremo 24

ข้อมูลถูกนำเสนอจากสื่อ-ข่าว ฉันค้นหาใน 3 สื่อที่แตกต่างกัน และที่นี่ข้อมูลออกมา ฉันได้รับข่าวโดยอัตโนมัติ และฉันค้นหาข้อมูลในหลาย ๆ ที่ตั้งแต่ 2 ถึง 3 และนี่คือสิ่งที่ฉันพบ (เพิ่มเติม จาก https://twitter.com คุณ Zayda บอกต่อว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนของความไร้ประสิทธิภาพความไร้ประสิทธิภาพและการขโมยทรัพย์สินใน 20 ปีของ #NarcoChavismo เงาสะท้อนของประเทศที่เสื่อมถอย )


https://l.facebook.com/l.php?u=http...WIDSv8nhcmzf068zg50JgvC0fPncboa5nP8hdJCUcqWeW

 

Clima Extremo 24

สหรัฐอเมริกา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดับไฟเมื่ออุณหภูมิเย็นจัด -50 ° F พวกเขาตรึงเครา!

นี่คือสิ่งที่ดูเหมือนหลังจากต่อสู้กับไฟ ลมแรง อุณหภูมิที่ -50 องศา คาเมรอนมิทช์แฮนเซ่นหัวหน้าหน่วยดับเพลิงของรัฐวิสคอนซิน ถ่ายภาพหลังจากต่อสู้ไฟไหม้บ้านในวันพุธ สเปรย์ส่วนเกินจากท่อแข็งตัว ก่อนกระทบพนักงานดับเพลิงเหมือนลูกบอลน้ำแข็งพุ่งชน (คาเมรอนหัวหน้าเจ้าหน้าที่ดับเพลิง Bilbo Gifford)

 

Clima Extremo 24
·
เปรู

Alluvium Huaico ในเขต Ciudad Nueva และ Pocollay, Tacna, Peru ต้องมีการอพยพเพื่อป้องกัน การไหลผ่านของโคลน

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


#หนึ่งในสาเหตุของการเกิด PM2.5 ในไทย คือสภาพ temperature inversion โดยก่อนหน้านี้ความกดสูงได้กดอากาศร้อนแถบหนึ่งให้ติดอยู่ระหว่างกลางชั้นบรรยากาศ ทำให้อากาศไม่เรียงจากร้อนไปเย็นตามความสูง แต่กลายเป็น เย็น-ร้อน-เย็น ทำให้ฝุ่นโดนกักอยู่กับพื้น ลักษณะแบบนี้ หากปล่อยลูกโป่งจะลอยไปถึงแถบร้อนแล้วไหลไปตามแนวข้างๆไม่ลอยขึ้นลงตามปกติ ลักษณะนี้ นักบินจากกรมฝนหลวงที่บินตรวจสอบฐานเมฆวานนี้ (ดูนาทีที่ 05:07 – 05:37) รายงานว่าพบชั้นความกดสูงที่ระดับ 10,000-12,000 ฟุต มีแถบความกดอากาศสูงบล็อกฝุ่นไม่ให้ลอยขึ้นไปสูงกว่านั้นลักษณะคล้ายเพดานห้องที่ปิดกั้นฝุ่นให้ติดอยู่ระดับต่ำ)

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี



หนึ่งในสาเหตุของการเกิด PM2.5 ในไทย คือสภาพ temperature inversion โดยก่อนหน้านี้ความกดสูงได้กดอากาศร้อนแถบหนึ่งให้ติดอยู่ระหว่างกลางชั้นบรรยากาศ ทำให้อากาศไม่เรียงจากร้อนไปเย็นตามความสูง แต่กลายเป็น เย็น-ร้อน-เย็น ทำให้ฝุ่นโดนกักอยู่กับพื้น ลักษณะแบบนี้ หากปล่อยลูกโป่งจะลอยไปถึงแถบร้อนแล้วไหลไปตามแนวข้างๆไม่ลอยขึ้นลงตามปกติ ลักษณะนี้ นักบินจากกรมฝนหลวงที่บินตรวจสอบฐานเมฆวานนี้ (ดูนาทีที่ 05:07 – 05:37) รายงานว่าพบชั้นความกดสูงที่ระดับ 10,000-12,000 ฟุต มีแถบความกดอากาศสูงบล็อกฝุ่นไม่ให้ลอยขึ้นไปสูงกว่านั้นลักษณะคล้ายเพดานห้องที่ปิดกั้นฝุ่นให้ติดอยู่ระดับต่ำ)

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


09:40 ฝนตก นครปฐม สมุทรสาคร และกทม.มีฝนตกเขตหนองแขม

 

ต่างประเทศ
แคนาดา หิมะขั้วโลกเหนือละลายจนเห็นพื้นดิน สหรัฐฯต่ำสุดติดลบ -50 องศา ดับแล้ว 12 ราย 1 กุมภาพันธ์ 2019


สื่อ ตปท. เผยภาพแคนาดา หิมะขั้วโลกเหนือละลายจนเห็นพื้นดิน เทคนิคการวิเคราะห์คาร์บอน จนพบว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้น ถูกหิมะปกคลุมมาอย่างน้อย 4 หมื่นปี ขณะที่ตอนกลางของสหรัฐฯ มีอุณหภูมิต่ำสุดติดลบ – 50 องศาเซลเซียส ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 12 คน

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสหรัฐอเมริกา ประชาชนกว่า 216 ล้านคน กำลังเผชิญหน้ากับ “กระแสลมวนจากขั้วโลก” หรือ “ปรากฏการณ์ โพลาร์ วอร์เทกซ์ (Polar vortex)” ทำให้ในหลายพื้นที่มีอุณหภูมิติดลบเกือบ – 40 องศาเซลเซียส โดยในบางพื้นที่แถบตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ มีอุณหภูมิต่ำสุดติดลบ – 50 องศาเซลเซียส ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 12 คน



แต่ปรากฎว่าในพื้นที่บริเวณขั้วโลกเหนือ ธารน้ำแข็งและหิมะกลับละลาย จนเห็นพื้นผิวของแผ่นดิน

ล่าสุด เว็บไซต์ นิวยอร์ก เดลี่ นิวส์ ของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพดังกล่าวที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน บริเวณเกาะบัฟฟินส์ ไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเอสกิโม อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแคนาดา



ในภาพเปรียบเทียบ จะเห็นว่าหิมะในพื้นที่ดังกล่าวละลายหายไป จนแผ่นดินโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งแรก

จากผลการศึกษาสรุปว่า เป็นผลมาจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยอุณหภูมิเฉลี่ยปัจจุบันนั้น สูงที่สุดในรอบ 120,000 ปีของโลก

และนักวิจัย ได้นำตัวอย่างพืชในดินที่โผล่พ้นหิมะขึ้นมา เอาไปหาอายุด้วยเทคนิคการวิเคราะห์คาร์บอน จนพบว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้น ถูกหิมะปกคลุมมาอย่างน้อย 4 หมื่นปี



นักวิจัยจากศูนย์วิจัยเขตอาร์กติกและอัลไพน์ ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในเขตอาร์กติกกำลังเพิ่มขึ้น ในอัตราเร็ว สองถึงสามเท่า เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆของโลก ส่งผลให้ปรากฎการณ์ธารน้ำแข็งและหิมะละลายหายไปอย่างรวดเร็ว




https://workpointnews.com/2019/02/01/แคนาดา-หิมะขั้วโลกเหนือ/

 

John Traczyk

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ความเร็วลมรอบสนามแม่เหล็กของโลก เกินกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อวินาที อีกครั้งที่ 1206 กม. / วินาที เป็นเวลาประมาณ 16 นาทีในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 07:39:05 น.(ไทย) (2/1/2019 เวลา 00:39:05 UTC) หลังจากความปั่นป่วนรุนแรงมากขึ้นในสนามแม่เหล็กของโลกที่เริ่มขึ้น 3 1 / 2 ชั่วโมงก่อนหน้านี้


เมื่อวานนี้ความเร็วลมรอบสนามแม่เหล็กของโลก ได้ไปถึง 900 กม. / วินาที และ 700 กม. / วินาที ในหนึ่งวันก่อนหน้าซึ่งสัมพันธ์กับวันที่สุขสงบเมื่อวันก่อน


แต่เราสามารถเพิ่มให้วันนี้ เป็นวันที่ 25 ที่ติดต่อกัน (นับรวมได้ 25 วัน) ที่ความเร็วลมรอบสนามแม่เหล็กของโลก มีความเร็วเกิน 1,000 km / s ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม


ลมสุริยะมีความเร็ว เพียง 550 กม. / s สนามแม่เหล็กของโลกยังคงประสบปัญหาอยู่กับแรงกดดันที่รุนแรง


นักวิจัยได้ตีพิมพ์วิดีโอ“ Earth กลายเป็นดาวหาง” เมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งเขากล่าวถึงทฤษฎีที่ว่าเหตุการณ์ลมความเร็วสูงภายในสนามแม่เหล็กของโลก คือโลกทำให้เกิดพลังงานสะสมในหางแม่เหล็กของมัน(โลกขับไล่พลังงานขึ้นในหางของโลก)


ฉันได้ดูกิจกรรมประจำวันเหล่านี้มาเกือบเดือนแล้วและสิ่งที่ฉันเห็น จะแนะนำว่า


โลกเชื่อมโยงการกระพริบของดวงอาทิตย์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเริ่มเมื่อสี่เดือนที่แล้ว กับการขับพลังงานทุกวันที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกันด้วยการเพิ่มความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อทางแม่เหล็กไฟฟ้าของพวกเขาและโอเวอร์โหลดเกินพิสัยของอนุภาคกัมมันตรังสีที่มีประจุสูงจาก Nemesis คู่แฝดของดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวแคระน้ำตาล มีความเป็นแม่เหล็กแรงสูงที่มีอยู่ในสเปกตรัมแสงอินฟราเรด (มองเห็นได้ด้วยกล้องอินฟาเรด)


การขับออกของการสร้างพลังงาน อย่างกระทันหันและรุนแรงของโลกจะนำมาใช้

อธิบายระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งล่าสุดเกิดขึ้นในนิวยอร์กหลุยเซียน่า, เทนเนสซี, บราซิล, เม็กซิโก และเวเนซูเอล่าพร้อมกับระบบไฟฟ้า (power grid) ที่กำลังจะดับลง ซึ่งกระทบประชากรในอเมริกากลางเป็นล้านๆคน เมื่อ 13 วันที่แล้ว


และรายงานเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ว่าแม่เหล็กขั้วโลกเหนือเกิดเคลื่อนที่ขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ว่า และจะมีการอัพเดตให้ระบบนำทางโลกเป็นปีก่อนหน้านี้ (อัพเดตรุ่นเป็นรุ่นล่าสุดเร็วขึ้น) เร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้ถึงจุดที่ กำลังเข้าใกล้กับใกล้ดาวมืด (dark star) โลกกำลังประสบกับสัญญาณมากมายของความจริงข้อนี้


การบีบอัดของบรรยากาศที่เกิดขึ้นกำลังบิดเบือนลมกรดต่างๆ (jet stream s) ของโลก นี่คือเหตุผลที่เราเห็นสภาพอากาศสุดขั้วและแปลกประหลาดทั่วทุกมุมโลก นี่มาจากอวกาศ สภาพอากาศในอวกาศเป็นสิ่งที่กำหนดสภาพอากาศโลก


คำถามหนึ่งที่ยังคงอยู่คือทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมงทุกวัน? ทฤษฎีหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือดาวเคราะห์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงภายในแกนกลางซึ่งโลกสามารถปล่อยพลังงานจำนวนมากนี้ให้เป็นสนามแม่เหล็กในช่วงการเปลี่ยนแนวแกนทุกวันกับพื้นที่ที่เกิดขึ้นใหม่นี้


ทฤษฎีหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือดาวเคราะห์ได้มีการเปลี่ยนแปลงภายในแกนกลางหลักของโลกที่ซึ่งโลกสามารถปล่อยพลังงานจำนวนมากนี้เข้าไปใน magnetotail ในช่วงการเปลี่ยนแนวแกนทุกวัน กับพื้นที่ที่เกิดขึ้นใหม่นี้


แต่ อะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ คือโลก หลุดออกมา (เคลื่อนตัวออกจาก) ทั่วทั้งดาวเคราะห์ (เขาใช่คำว่า ทั้งหมด ทั้งหมด ดาวเคราะห์ ผมเลยแปลไปว่าทั่วทั้งดาวเคราะห์ - whole entire planet) หลายร้อยหลายพันไมล์ สู่อวกาศ ทั่วหมด อะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มโหฬาร

But, what's happening is global. It's coming off the whole entire planet hundreds of thousands of miles into space. From top to bottom. What's happening is huge.

----


February 1, 2019. Wind speeds surrounding Earth's magnetic field broke 1000 km/s again at 1206 km/s for approximately 16 minutes on 2/1/2019 at 00:39:05 UTC after more extreme turbulence in Earth's magnetotail that began 3 1/2 hours earlier.


Yesterday they reached into the 900's and 700's the day prior with some relative calm the day before.


But, we can add today to the string of 25 days of breaking 1000 km/s since January 5th


Solar winds only reached 550 km/s. Earth's magnetospause continues to buckle from the extreme pressure.


A researcher recently published a video, “Earth Turns Into A Comet,” where he puts forth the theory that these high speed wind events within Earth's magnetosphere is the Earth expelling a build up energy into its tail-stream, the magnetotail.


I've been watching these daily events for almost a month now and what I am seeing would suggest that.


He connected the Sun's recent flashing that began four months ago with the Earth's recent daily expulsion of energy that began almost a month ago. These I believe are both connected by the increase of strength in their electromagnetic connection to and an overload of a range of highly charged radioactive particles from Nemesis, the Sun's binary twin, a highly magnetic brown dwarf star that exists in the infrared light spectrum.


The Earth's sudden and violent expulsion of a build of energy would explain the recent transformer explosions in New York, Louisiana, Tennessee, Brazil, Mexico and Venezuela along with the power grid going down to millions of people in Central America 13 days ago.


And the report two weeks ago that the magnetic north pole shift is occurring faster than expected prompting an update to the world navigation systems a year earlier than expected points to an ever nearing proximity of this dark star. The planet is suffering a multitude of signs of this fact.


The atmospheric compression that is taking place is distorting the Earth's jet streams. This is why we are seeing the unprecedented extreme and bizarre weather all over the world. This is coming from space. Space weather is what dictates Earth weather.


One question that remains is why is this happening on a daily 24 hour cycle? One theory that could be a possibility is that the planet has undergone an inner transformation within its core where the Earth is most easily able to release the bulk of this energy into its magnetotail during its daily axial realignment with this newly formed area.


But, what's happening is global. It's coming off the whole entire planet hundreds of thousands of miles into space. From top to bottom. What's happening is huge.

 

คมชัดลึก


หวั่นเป็นลางบอกเหตุภัยพิบัติ พบออร์ฟิช หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าปลาพญานาค 3 ตัวแล้วในเวลาไล่เลี่ย #คมชัดลึก

 

Señales Apocalípticos De Los Tiempos Finales

Senamhi เตือนว่าอุณหภูมิจะสูงถึง 36 ° C บนชายฝั่งเปรู

ตามระดับของระดับอันตรายสุดสัปดาห์นี้จะอยู่ที่ระดับ 2 ดังนั้นจึงควรให้คำแนะนำอย่างรอบคอบเกี่ยวกับกิจกรรมกลางแจ้ง


กรมอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาแห่งชาติ (Senamhi) ประกาศว่าตั้งแต่วันนี้พฤหัสบดี 31 มกราคมจนถึงวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์อุณหภูมิสูงจะถูกลงทะเบียนในชายฝั่งเปรู


ในชายฝั่งทางเหนือจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 36 ° C ในขณะที่บริเวณชายฝั่งตอนกลางจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 31 ° C ตามคำแถลงของสถาบันอุตุนิยมวิทยา


ในลิมาอุณหภูมิสูงสุดจะถึง 31 ° C ในขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดคือ 21 ° C คาดว่าจะมีท้องฟ้ามีเมฆมากในท้องฟ้าแจ่มใสในตอนเช้าและมีแนวโน้มที่จะมีท้องฟ้าเมฆบางส่วนตอนพระอาทิตย์ตก


Senamhi ยังเตือนด้วยว่าการแผ่รังสีแสงอาทิตย์ในลิมาจะสูงมากโดยเฉพาะในช่วงเที่ยง


คำเตือนของอุณหภูมิสูงมีผลตั้งแต่วันนี้เวลา 6:00 น. จนถึง 18:00 น. ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์


ในอีกทางหนึ่งการคาดการณ์ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมระบุว่าในระดับอันตรายของ Senamhi (1-4) การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอยู่ที่ระดับ 2 ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง กับกิจกรรมที่เกิดขึ้นกลางแจ้ง


โฆษกของหน่วยงานแนะนำให้ประชาชนใช้ครีมกันแดด, แว่นตา, หมวกปีกกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10 โมงเช้าและ 3 โมงในตอนบ่ายเมื่อแสงอัลตราไวโอเลตรุนแรงขึ้นและสร้างความเสียหายต่อ ผิว


https://movistarplus.pe/mundo-plus/...tura-llegaran-a-36c-en-la-costa-peruana-14877

 

Impacto noticias

ชายในชิคาโกจ่ายค่าพักโรงแรมให้กับผู้ไร้บ้านจำนวน 70 คน เข้าพัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ประสบกับความหนาวเย็น

 

Jeerachart Jongsomchai


... “วิศวกรรมภูมิอากาศ Climate engineering, การแทรกแซงภูมิอากาศ ช่วยหรือซ้ำเติมโลก”


... “วิศวกรรมภูมิอากาศ” หรือ Climate engineering หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การแทรกแซงภูมิอากาศ” climate intervention ได้พูดถึงในหมู่นักวิทยาศาสตร์มาหลาบสิบปีแล้ว โดยอ้างว่ามีวัตถุประสงค์ในการลด “บรรเทาภาวะโลกร้อน” โดยมีสองวิธีที่สามารถทำงานร่วมกันคือ การระบายแก๊สในภาวะเรือนกระจก โดยการระบายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศโลกไป โดยทำงานร่วมกับการลดการดูดซับรังสีของแสงแดดจากดวงอาทิตย์ให้ส่องสาดโลกน้อยลง


... โดยโครงการนี้เป็น “การแทรกแซงภาวะภูมิอากาศของโลก” ในขนาดมหภาค แต่นักวิทยาศาสตร์หมู่มากก็เห็นร่วมกันว่าวิธีการ “วิศวกรรมภูมิอากาศ” หรือ “การแทรกแซงภูมิอากาศ” นี้ไม่สามารถทดแทนการป้องกันแบบการลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศได้ ( ป้องกันดีกว่าแก้ โดยลดการปล่อย การเผาผลาญ เผาไหม้ในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ในรถ ยานพาหนะ เรือขนส่ง เครื่องบิน ลดผลิตโฟม สารทำความเย็น ต้นทางจะดีกว่า ) และยังมีข้อจำกัดเรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องการเมืองและเรื่องเศรษฐกิจ และผลกระทบจากความเสี่ยงอีก


... การวิจัยเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ผลประโยชน์ ความเสี่ยงในหลายรูปแบบของวิธีการนี้ยังอยู่ในแค่ระยะเริ่มต้นและยังต้องมีการปรับปรุงเรื่องความเข้าใจ เพื่อจะตัดสินใจเรื่องความพอดีและเป็นไปได้ของโครงการ


... งานวิจัยเกี่ยวกับ “การจัดการรังสีดวงอาทิตย์” เกือบทั้งหมดประกอบด้วยการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์หรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการและความพยายามที่จะย้ายไปยังการทดลองกลางแจ้ง ยังมีการโต้เถียงอยู่ แนวทางปฏิบัติใน “การกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บางอย่าง” เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูระบบนิเวศและ การใช้พลังงานชีวภาพ เช่น โครงการกักเก็บคาร์บอนกำลังดำเนินไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ตามความสามารถในการปรับขยายขนาดของการทดลองของพวกเขาเพื่อจะส่งผลกระทบต่อ “สภาพภูมิอากาศทั่วโลก” ในขนาดมหภาคนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เช่น โครงการ “การปฏิสนธิของธาตุเหล็กในมหาสมุทร” ได้รับการตรวจสอบในงานวิจัยขนาดเล็ก กองทุนสัตว์ป่าโลกโลกได้วิจารณ์กิจกรรมเหล่านี้ในทางที่ไม่ดี


... “การปฏิสนธิของธาตุเหล็กในมหาสมุทร” คือการตั้งใจเพิ่มธาตุเหล็กในพื้นที่ที่มีธาตุเหล็กต่ำบนพื้นผิวมหาสมุทรเพื่อกระตุ้นการผลิตแพลงก์ตอนพืช ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตทางชีวภาพและ หรือเร่งการลดการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกจากชั้นบรรยากาศของโลก ที่ก็จะมีผลต่อระบบนิเวศวิทยาของโลกด้วยเช่นกัน


... “การปฏิสนธิของธาตุเหล็ก” นี้มีเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อสิ่งที่อยู่ในน้ำได้นำเอาน้ำที่อุดมด้วยสารอาหารมาโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อกระแสน้ำในมหาสมุทรมาบรรจบพบกับชายฝั่งและภูเขาผา การปฏิสนธิในรูปแบบนี้ทำให้เกิดแหล่งอาศัยทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก การปฏิสนธิอาจเกิดขึ้นได้เมื่อสภาพอากาศมีฝุ่นพัดปลิวไปไกลในมหาสมุทรหรือแร่ธาตุที่อุดมด้วยธาตุเหล็กถูกพาไปยังมหาสมุทรโดยธารน้ำแข็ง แม่น้ำและภูเขาน้ำแข็ง


... ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศและผลรายงานส่วนใหญ่บอกว่าผลกระทบที่อ้างจากการทดลอง “วิศวกรรมภูมิอากาศ” หรือ “การแทรกแซงภูมิอากาศ” นั้นไม่คงที่สม่ำเสมอและความเสี่ยงนั้นจะมีผลกระทบด้านร้ายที่กว้างขวางมากมายด้วยเช่นกัน


... หลายคนบอกว่าเรื่องนี้มันเป็น "อันตรายทางศีลธรรม" เพราะความเสี่ยงในการแทรกแซงภูมิอากาศแบบนั้น ที่อาจจะทำให้ภูมิอากาศแย่ลงกว่าเดิมได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกฝ่ายก็บอกว่า ควรจะลดการทดลองนอกห้องทดลอง ที่ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อโลกภายนอกจริงๆ และควรจะเน้น “การลดการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์” หรือ solar radiation management (SRM).มากขึ้นแทน


... ส่วน “การลดการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์” (SRM). นั้นก็คือการสร้างแผงบัง กรองแดด หรือ รังสีจากดวงอาทิตย์ให้ฉายลงมาสู่โลกน้อยลง โดยการฉีดสาร sulfate aerosols หรือ calcium carbonate จากบัลลูนที่ลอยสูงในชั้นบรรยากาศ สตราโตสเฟียร์ เพื่อจะลดความร้อนให้ฉาบทาโลกให้ลดลง ( โลกอาจจะเย็นลง หนาวขึ้น ) และก็ถือเป็นวิธีการบรรเทาภาวะโลกร้อนอย่างชั่วคราวเท่านั้นเอง หรืออีกวิธีคือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการควบแน่นของไอน้ำให้เป็นเม็ดน้ำของเหลวให้เร็วขึ้นทำให้ฝนตกเร็วขึ้น ( คล้ายฝนเทียมของในหลวงที่ทรงประดิษฐ์ขึ้น )


... “ภาวะโลกร้อน” เกิดจากการที่แก๊สหลายอย่างที่ปล่อยจากการพัฒนาแบบไม่สมดุลของโลกที่ทำให้แก๊สเหล่านั้นลอยตัวเหนือชั้นบรรยากาศแล้วไปสกัดการกระจายออกของรังสีอินฟราเรดที่สะท้อนออกจากดูดซับที่ผิวโลก เลยทำให้โลกอบอ้าวและร้อนเหมือนเรือนกระจก โดยสารหลักที่แขวนลอยเหนือบรรยากาศนั้น ร้อยละ 80 เป็น “แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์” ที่เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมัน ถ่านหิน โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไม้ทำลายป่า, ตามมาด้วย “แก๊สมีเทน” ที่เกิดจากการถมขยะ การบำบัดน้ำเสีย การย่อยสลายของจุลินทรีย์ การทำปศุสัตว์ บ่อหมักมูลสัตว์ , “ไนตรัสออกไซด์” จากการผลิตปุ๋ยเคมี การผลิตไนล่อน การผลิตพลาสติก, เช่น ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเลคโทรนิค “ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน คลอโรฟลูออโรคาร์บอน R22 เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน” ในสารทำความเย็น และการผลิตโฟม และ “ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์” จากการถลุงแร่อลูมิเนียม ที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 22,000 เท่า


... “มหาสมุทรเป็นกรด” หรือ Ocean acidification เป็นผลที่ต่อเนื่องจาก ภาวะเรือนกระจก โลกร้อน โดย ร้อยละ 30 – 40 ของคาร์บอนไดออกไซค์จากโลกร้อนจะละลายผสมกับน้ำในโลก ทั้งแม่น้ำ ทะเลสาบ มหาสมุทร ทำให้น้ำทะเลที่โดยเฉพาะมีค่าพีเอชที่ 7 – 8 จะกลายเป็นกรดมากขึ้น สร้าง “กรดคาร์บอนิก” โมเลกุลของกรดคาร์บอนิกบางส่วนจะแยกตัวออกเป็นไอออนไบคาร์บอเนตและไฮโดรเจนไอออน และเมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีทางทะเลอื่น ๆ ของมหาสมุทรอาจ “ทำลายระบบการทำงานของระบบนิเวศทางทะเล”



... นักเขียนบางคนได้โต้แย้งว่า การพยายามสนับสนุนโครงการ “วิศวกรรมภูมิอากาศ” หรือ Climate engineering หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การแทรกแซงภูมิอากาศ นั้นยิ่งจะทำให้การพยายามทำให้ทั่วโลกลดการปล่อยแก๊สที่ทำให้โลกร้อนยากขึ้นเรื่อยๆ ( เช่น ในอเมริกาก็ไม่ลงนามร่วมกับทั่วโลกในการจะลดการปล่อยสารที่ทำให้โลกร้อน แบบไม่สนใจความโลกเลย )


... มีข่าวออกมาว่าจะมีความพยายามทดลองนอกห้องทดลองกับคนหมู่มากจริงๆ ภูมิอากาศจริงๆในปี 2019 นี้ หรือที่เรียกว่า “โครงการฉีดสารทำให้แสงอาทิตย์ลดความร้อนลง” stratospheric aerosol injection (SAI) โดยนักวิทยาศาสตร์จากฮาร์วาร์ด


… Harvard scientists will attempt to replicate the climate-cooling effect of volcanic eruptions with a world-first solar geoengineering experiment set for early 2019.


.

.


.


… Research on costs, benefits, and various types of risks of most climate engineering approaches is at an early stage and their understanding needs to improve to judge their adequacy and feasibility.


… Some have suggested that the concept of engineering the climate presents a so-called "moral hazard" because it could reduce political and public pressure for emissions reduction, which could exacerbate overall climate risks; others assert that the threat of climate engineering could spur emissions cuts. Some are in favour of a moratorium on out-of-doors testing and deployment of solar radiation management (SRM).[20]

... Iron fertilization is the intentional introduction of iron to iron-poor areas of the ocean surface to stimulate phytoplankton production. This is intended to enhance biological productivity and/or accelerate carbon dioxide (CO2) sequestration from the atmosphere.

... Ocean acidification is the ongoing decrease in the pH of the Earth's oceans, caused by the uptake of carbon dioxide (CO2) from the atmosphere.[2] Seawater is slightly basic (meaning pH > 7), and ocean acidification involves a shift towards pH-neutral conditions rather than a transition to acidic conditions (pH < 7).[3] An estimated 30–40% of the carbon dioxide from human activity released into the atmosphere dissolves into oceans, rivers and lakes.[4][5] To achieve chemical equilibrium, some of it reacts with the water to form carbonic acid. Some of the resulting carbonic acid molecules dissociate into a bicarbonate ion and a hydrogen ion, thus increasing ocean acidity (H+ ion concentration).


.


.


https://www.dezeen.com/2018/12/11/first-solar-geoengineering-experiment/

https://en.wikipedia.org/wiki/Climate_engineering

https://en.wikipedia.org/wiki/Ocean_acidification

https://en.wikipedia.org/wiki/Iron_fertilization

https://en.wikipedia.org/wiki/Cloud_condensation_nuclei

 

Huracán alerta

ข่าวของช่วงเวลาสุดท้าย !!!

30 นาทีที่แล้ว ภูเขาไฟ #planchonpeteroa ได้ปะทุขึ้น ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาค #Maule ใน #chile ซึ่งสถานการณ์ปกติของ การเตือนภัย ยังคงเตือนทางเทคนิคสีเหลือง

 

ดาวตกระเบิด ทำลายหน้าต่างบ้านในคิวบาตะวันตก - หลังจากที่ Florida Keys ได้เผยแพร่(รูปถ่าย, วิดีโอ) ที่น่าตกใจ

เวลาเผยแพร่: 1 ก.พ. 2019 20:05

แก้ไข: 1 ก.พ. 2019 21:29

อุกกาบาตได้เขย่าท้องฟ้าของคิวบาตะวันตก โดยได้ระเบิดกลางอากาศ ทำให้หน้าต่างบ้านแตก และฝนหินอุกกาบาตตกบนบ้านของผู้คน ก่อนที่มันจะสลายไปอย่างน่าประหลาดใจ หินอวกาศลอยอยู่เหนือฟลอริดา


อุกกาบาตระเบิดใกล้เมืองวีนาเลส ในจังหวัดพินาร์เดลริโอ เมื่อวันศุกร์ โดยมีพยานรายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดดังสองครั้งเมื่อมันแตกตัวลง ได้ทิ้งควันขนาดใหญ่บนท้องฟ้าและผสมไปด้วยหินก้อนเล็ก ๆ


เหตุการณ์บนท้องฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวนี้ เกิดขึ้นในเวลากลางวันและชาวเมืองสามารถจับภาพท้องฟ้าบนโทรศัพท์มือถือของพวกเขาได้


Fátima Rivera Amador นักข่าวท้องถิ่นของ TelePinar เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่โพสต์สิ่งที่ดูเหมือนอุกกาบาต ภาพโคลสอัพของเธอที่ถือหินเกรียมด้วยวัสดุสีขาวด้านในได้ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดีย


ก่อนเกิดเหตุระเบิดขึ้นเหนือคิวบาดาวตกถูกพบเห็นจากสหรัฐอเมริกา กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติในคีย์เวสต์ รายงานว่ามีการพบเห็นในฟลอริดา(ก่อน)....

The terrifying celestial event took place in the clear light of day, and locals managed to catch the sky spectacle on their mobile phones.



ภาพบน twitter ของ Rolando Segura


https://www.rt.com/news/450362-mete...notifications&utm_campaign=push_notifications

 

NationTV 22


"บิ๊กแดง" ลั่น วิกฤติฝุ่นทุกคนต้องรับผิดชอบ

อากาศไม่ใช่ของ "รัฐบาล" แต่เป็นของประชาชน!!! #NationTV

 

Prachachat - ประชาชาติ


“วิษณุ” ติว ป.ป.ช. ชี้ไม่ยื่นทรัพย์สิน ปมนาฬิกาหรู ไม่ใช่ทุจริต แค่ผิดที่ไม่ยื่น

 

J Lynn Cole

แผ่นดินไหว ขนาด 5.7 - หมู่เกาะ Tonga - วันเสาร์ที่, 2 กุมภาพันธ์ 2462 เวลา 08:11:35 น. (ไทย)



Earthquake M5.7 - Tonga Islands - Sat, 2 Feb 2019 01:11:35 UTC (20:11 EST) - 18 minutes ago

more info: https://www.volcanodiscovery.com/earthquakes/quake-info/2231668/info.html

via Volcanoes & Erthquakes App - https://play.google.com/store/apps/details?id=com.volcanodiscovery.volcanodiscovery

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว ช็อกตาแตก!!! เมื่อล่าสุด กระทรวงการคลังกางตัวเลข #หนี้สาธารณะ สิ้นปี 2561 พบเฉียด 7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.80% ของ GDP โดยเป็นหนี้รัฐบาล 5.5 ล้านล้านบาท กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,600 ล้านบาท


โดยเรื่องนี้ นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ แจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2561 มีจำนวน 6,833,645.93 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 6,578,857.80 ล้านบาท หรือ 96.27% และหนี้ต่างประเทศ 254,788.13 ล้านบาท (ประมาณ 7,778.38 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือ 3.73% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,970,360.85 ล้านบาท หรือ 87.37% และหนี้ระยะสั้น 863,285.08 ล้านบาท หรือ 12.63% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด


และแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,551,356.52 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 937,778.13 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 336,643.42 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,867.86 ล้านบาท

-------------------------------------

อ่านต่อ : https://www.khaosod.co.th/economics/news_2159200