ห้องแมวยิ้ม สัพเพ เหระ อะไรก็เอามาลงกระทู้นี้ได้ครับ

มันเปนอาการหลอนไปเองของมึงไง ว่ากุมาตามเฝ้า
ถ้าวันไหนกุว่างยาวๆ กุก้อตามด่ามึงได้ทั้งวันจนกว่าเน็ตมึงจะหมดนั่นแหล่ะ

บอกคนที่มันคอยกระซิบมึงด้วยสิ ว่ารุ้ไม่จิงอย่าเสือกเดา

 

กัปนึงคงจะพิพากษาจริงๆ จังๆ ทีอะ บาปเล็กบาปน้อยเขาไม่คิด แต่ก็น่ามีผลต่อชาติต่อไปว่าจะเกิดเป็นคนแบบไหน ส่วนใหญ่เขาเอาบาปกรรมที่ฝังในความทรงจำมากๆ อะ มาตัดสิน ก่อนจะขึ้นโลกใหม่ ยุคสุดท้ายพระเจ้าใหญ่สุด ผมคงดูอนาคตไปไกลมากแล้ว ก็ระวังกันไว้ทุกคำพูดแก้ได้ก็รีบแก้ เพราะผมบาปกรรมน้อยด้วยจึงผ่านได้แบบทุลักทุเลมั้ง

 

ก็นั่นแหละ..เขาเรียกว่าเป็นเหยื่อ...ยิ่งท่านมีอารมณ์คล้อยตามในการด่าเรา...ท่านยิ่งตกเป็นเหยื่อของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...สำคัญที่สุดคือความรู้สึกทางใจนะ...อย่าให้มีก็แล้วกัน...ถ้ามีมากก็ตกนรกด้วยโทษแห่งโทสะมันเผาใจตนเอง....พึงระวังให้มาก

 

สังเกตุลมที่พัดยอดไม้วันนี้มาทางตะวันออกเฉียงใต้...ตอนกลางคืนมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ

 

กายใจกุแยกจากกัน กุจะไปนรกได้ไง มือสั่งพิมพ์แต่ใจไม่รับฟิวลิ่งนั้นมา ธรรมชั้นสูง มึงรุ้จักป่ะ กุเลยนรกมาไกลแล้วนะ

ปกติกุไม่พิมพ์อะไรแบบนี้ พวกกรรมปรามาส ไปนรก กายใจแยก... เห็นพวกมือถือสากปากถือศีลมันเล่นกันบ่อย โดนรุมหรือถูกด่าจนจนตรอกเลยต้องงัดมาใช้ กุเลยเอามาลงปลอบใจตัวเองเบาๆ มั่ง ว่าคนดีแบบกุจะไม่มีที่อยุ่ได้ไง ต้องแอ๊บคนดีปกป้องตัวเองสุดฤทธิ์มั่งสิวะ ของัดธรรมะมาใช้มั่ง อิอิ

 

มีเราคนเดียวในโลก..ที่ใช้โทสะบำรุงพระพุทธศาสนา...แต่เราไม่อยากใช้...เราอยากใช้หลักเมตตามากกว่า

 

ทุกข์โทษภัยของวจีกรรม



ในยุคที่การติดต่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆผ่านเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปมาก การกระทำทางวาจาที่เรียกว่า “วจีกรรม” เป็นกรรมที่มีโอกาสทำผิดพลาดกันได้ง่ายมากขึ้น วจีกรรมนั้นไม่ได้หมายถึงการพูดอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง การสื่อสารผ่านตัวหนังสืออีกด้วย ซึ่งพระพุทธองค์ทรงให้หลักในการพิจารณา การพูดไว้ในองค์ของวาจาสุภาษิตว่า

๑. ต้องเป็นคำจริง เป็นคำพูดที่ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่บิดเบือนจากความจริง ไม่เสริมความ ไม่อำความ ต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้น

๒. ต้องเป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดไพเราะที่กลั่นออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นคำหยาบคำด่า ประชดประชัน เสียดสี เพราะคำหยาบนั้นฟังก็ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ

๓. พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดผลดีทั้งแก่คนพูดและคนฟัง ถึงแม้คำพูดนั้นเป็นคำจริงและสุภาพ แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับทำให้เกิดโทษ ก็ไม่ควรพูด

๔. พูดด้วยจิตเมตตา พูดด้วยความปรารถนาดีอยากให้คนฟังมีความสุข มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในข้อนี้ยังหมายถึงว่า แม้พูดจริง เป็นคำสุภาพ พูดแล้วเกิดประโยชน์ก็ตาม แต่ยังต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ไม่ใช่ถือว่าเรามีความปรารถนาดีแล้ว อยากจะพูดอะไรก็พูด เพราะผู้ฟังอาจรับไม่ได้

๕. พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดีเป็นคำจริง คำสุภาพ เป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เมตตา แต่ถ้าผิดจังหวะ ไม่ถูกกาลเทศะ ผู้ฟังยังไม่พร้อมที่จะรับ ก็จะก่อให้เกิดผลเสียได้ เช่น จะกลายเป็นประจานกันหรือจับผิดไป

พูดถูกเวลา (กาล) คือ รู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าไรต้องคาดผล ที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย

พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือ รู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเช่นไร จึงสมควรที่จะพูด หากพูดไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร

การพูดหรือการสื่อสารที่ขาดสติพิจารณา พูดเอาสนุกปาก พูดหยาบคาย หรือพูดโดยปราศจากข้อมูลที่แท้จริง ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นวาจาสุภาษิต แต่ยังมีทุกข์โทษภัยแก่ผู้ พูดตามหลักกฎแห่งกรรมอีกด้วย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนได้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามกฎแห่งกรรม ก็จะเกิดโทษ ชีวิตไม่ได้รับความสุข ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่ากฎแห่งกรรมเป็นเรื่องใหญ และมีหลักกรรมเป็นกรอบในการปฏิบัติ คือ บุคคลทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว เหมือนบุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

วจีกรรมที่เป็นอกุศล เป็นทุพภาษิตโดยเฉพาะที่กระทำ การด่าบริภาษต่อเพื่อนพรหมจรรย์ คือ พระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมติเตียนพระอริยเจ้า พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า จะต้องประสบกับความฉิบหาย ๑๑ ประการดังต่อไปนี้

๑. ไม่บรรลุธรรมที่ตนยังไม่บรรลุ
๒. เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
๓. สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
๔. เป็นผู้หลงเข้าใจว่าได้บรรลุสัทธรรม
๕. เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
๗. บอกลาสิกขา คือ สึกไปเป็นฆราวาส
๘. เป็นโรคอย่างหนัก
๙. ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต
๑๐.เป็นผู้หลงทำกาละ คือ ตายอย่างขาดสติ
๑๑.เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก

เพราะฉะนั้นเมื่อจะพูดหรือจะสื่อสารสิ่งใดก็ตาม จะต้องตระหนักถึงหลักกรรมนี้เสมอ ถึงเวลาเมื่อจะต้องติดต่อสื่อสาร สิ่งสำคัญประการแรก ก็ต้องตั้งสติพิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่พูดนั้นมีข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร และเมื่อจะต้องสื่อสารก็ต้องใช้คำพูดที่สุภาพ มีจิตเมตตา ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และทำในเวลาที่เหมาะสม ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะอยู่เป็นสุขไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะวจีกรรมทุพภาษิตที่เราสร้างขึ้น และจะได้ไม่ต้องไปรับผลแห่งวจีกรรม ที่อาจจะเผลอทำผิดพลาดไปเพียงเพราะขาดสติ

"เมื่อจะต้องสื่อสาร
ก็ต้องใช้คำพูดที่สุภาพ มีจิตเมตตา
ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
และทำในเวลาที่เหมาะสม
ถ้าทำได้เช่นนี้เราก็จะอยู่เป็นสุข"

เทศนาธรรมโดย : พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย ป.ธ.๙
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐

ที่มา https://www.dmc.tv/page_print.php?p=top_of_week/ทุกข์โทษภัยของวจีกรรม.html

 

หงบ คน กท ข้างๆ เขาเล่นไปแล้วมึงโทสะบำรุงศาสนาเนี่ยะ เปลี่ยนมุกมั่งมึง

 

โลกวิบัติ! นับจาก “ดวงตาที่สาม” เปิด



ค้นหาความหมายของ “ดวงตาที่สาม” แห่งมหาเทพ เมื่อความนิ่งสงบที่ผนึกไว้กลางพระนลาฏถูกปลุกขึ้นมา ความเลวทรามต่ำช้าเป็นอันต้องดับสิ้นไป

อย่างที่ทราบกันดีว่า เทพเจ้าฮินดูจะมี “ดวงตาที่สาม” ปรากฏอยู่ตรงกลางหน้าผาก โดยเฉพาะ พระศิวะมหาเทพผู้ปกครองจักรวาล และ พระแม่กาลี พระชายาคู่ใจ โดยดวงตาที่สามของพระศิวะนั้น จะเกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ที่เป็นนิรันดร์ ในขณะที่ดวงตาขวาเป็นพระอาทิตย์ และดวงตาซ้ายเป็นพระจันทร์ เชื่อกันว่าพระศิวะใช้ดวงตาที่สามเพื่อเพ่งมองสรรพสิ่งได้ประจักษ์แจ้ง และเพื่อปกป้องคนดีจากสิ่งชั่วร้าย ความเลวทรามทั้งปวง จะถูกทำลายไปเมื่อพระองค์เปิดดวงตาที่สามขึ้นมา

ตามคัมภีร์ปุราณะกล่าวไว้ว่า ดวงตาที่สามเป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาและความรอบรู้ เมื่อคราวที่พระศิวะเบิกเนตรแล้วเผาพระกามเทพเป็นจุณนั้น สื่อถึงการทำลายความปรารถนาและราคะของบุคคล ทั้งนี้ ชาวฮินดูนิยมใช้ “มะพร้าว”บูชาเทพเจ้าฮินดูเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีสามตา และเป็นสัญลักษณ์ของการกำจัดอัตตา เมื่อกะเทาะเปลือกมะพร้าวออกจะเจอเนื้อสีขาวหวานหอมอยู่ข้างใน ซึ่งเปรียบดั่งความบริสุทธิ์อันแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวตน

ในเวลาต่อมา ดวงตาที่สามถูกนำมาใช้กับความเชื่อศาสนาพุทธเช่นกันโดยเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้ง เปรียบได้กับการมีดวงตาเห็นธรรม และใช้อ้างถึงทรรศนะภายใน โดยดวงตาที่สามเปรียบเสมือนประตูที่ใช้ผ่านเข้าไปสู่จิตสำนึก จึงไม่ใช่แค่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะมีดวงตานี้ได้ บุคคลทั่วไปก็สามารถเบิกเนตรที่สามได้เช่นกันหากเป็นผู้ตรัสรู้ซึ่งความจริงแท้แล้ว

ที่มา http://www.ch3thailand.com/news/scoop/13701

 

ห่อหมกฮวกไปฝากป้า พลิกชีวิต เต๊ะ ตระกูลตอ เด็กเกเร-คนตัดอ้อย เป็นนักร้องร้อยล้าน


https://www.msn.com/th-th/entertain...้อย-เป็นนักร้องร้อยล้าน/ar-BBSEUMV?li=BBr91nk

 

มันมีของจริง ของปลอม...ใครจริงใครหลอก..อันนี้เราไม่รู้...แต่เราจะบอกให้ว่าของจริงนั้นเจ้าตัวเขารู้อยู่...ไม่มีใครบอกก็รู้...เจ้าตัวเขารู้ของเขาเอง...ระวังจะเจอของจริงล่ะ...เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

 

เทพเจ้าทั้งหลายก็ไปจากมนุษย์เรานี้แหละ...มนุษย์สามารถประพฤติปฏิบัติตน...จากสัตว์นรกถึงอรหันต์ได้...คนที่ดูถูกดูแคลนตนเอง...เรียกว่าคนด้อยปัญญา...แต่ไม่ใช่ว่าใช้ปัญญาไปเบียดเบียนผู้อื่น...ปัญญานั้นมีไว้เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น

 

กุเหนใครเล่นเว็บนี้ ก้อจิงกันทุกคน ทุกตำแหน่งจิงหมด แต่ไปที่อื่นไม่ได้นะ เล่นได้เฉพาะเว็บนี้ ที่อื่นมันไม่ประสาทด้วย ใครจิงของมึงมั่งหล่ะ ไหนบอกสิ

 

ปุ ปุ กาด.......เสียวว้อย....

ปุ ปุ กาด.........

ขึ้น7 ลง7 พะยาตำ เริ่มแล้วขอรับ

ท้านัก อยู่กะบ้าน นะขอรับ

อย่า กินปูน .....ท้อง ไม่ทันร้อน นะ โงบะ

 

วิญญาณชั่วร้ายมาแล้วเหรอ...ยินดีต้อนรับสู่โลกมนุษย์....มีเวรมีกรรมกับใคร..หรือเขาให้มาทำอะไรเชิญตามสบายเลย...ปุกาด ปุกาด.......

 

ที่เห็นนั้นไม่จริง...ที่จริงต้องไม่เห็น...แต่เจ้าตัวเขารู้ว่าเขาคือของจริง

 

ปุ กาด

ปุ กาด

โงบะ รับสอน ทำใคร มียิงตัว ชู้ ขนาด
เท่าเหรียญ สองสลึง ไปโอ้โลม ปฏิโลม
จน..........

อย่าลืม รับเปน จำเลย ที่หนึ่ง ข้อหา บงการ
ปฏิโลม "ยิงตัว ชู้" ขนาดเท่าเหรียญ สองสลึง
นะ ขอรับ

 

บุญวาสนาเขาสร้างมา...เมื่อบุญวาสนาให้ผลก็อย่างนี้แหละ...ขรัวโตได้สอนไว้แล้ว...เมื่อบุญบารมีให้ผล..ชั่วฟ้าจบดินก็หยุดเจ้าไม่ได้ ลูกเอ๋ย...นั่นฟังซิ

 

กุก้อนึกว่าแม่งจะแน่ ก้อดีแต่แถเหมือนเดิม