กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

คนบ้านเดียวแค่มองตากันก็เข้าใจอยู่~~~~
อุดีธานอน อุดรธานีคือกันจ้าพี่มล
แต่เจน หลายเชื้อทางมาก
ทางพ่อ นครพนม-ขอนแก่น-ลาว
ทางแม่ อุดร
เจนเลยเป็น ลูกผสม

 

ประวัติอันที่สอง พระนางนาคโสมาสีวิกาเทวะนาคเทวี กับ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ตำนานพระเจ้าขี้เรื้อน นางนาคสาปราชอาณาจักรขอม
ตำนานปราสาทหินนครวัดนครธม

#และที่ว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องเดินขึ้นไปหาพระนางที่ปราสาทนั้นน่ะ ต้องเสด็จไปพระองค์เดียวด้วยหนาเจ้า 555 อะไรมันจะอดทนได้ขนาดนั้น ตามรูปถ่าย ขั้นบันไดทั้งสูงทั้งชัน คือว่าต้องเดินขึ้นเดินลงทุกวัน ด้วยพระองค์เอง จนรับชายามนุษย์ไว้เลยเลิกไป และรังเกียจชายานางนาคขึ้นมาซะงั้น แต่ไม่รู้ใครจะฆ่าใครก่อนนะคะ เหอๆ"""#

มีบางบทความเขียนไว้ว่า ขณะที่พระชัยวรมันที่ 7 สังหารนางนาคเก้าเศียรนั้น เลือดของนางนาคฯ กระเด็นถูกพระองค์จนเป็นเหตุให้พระองค์เป็นโรคเรื้อนก็มี)

ตามประวัติ ที่มล ย่อให้นะเจ้าคะ พระนางนาคโสมา ท่านเป็นนาคี ที่พระฤาษีท่านปลุกเสกขึ้น
หน้าที่ :
- ควบคุมการสร้างปราสาทในพระราชวังทั้งหมดที่อยู่ในอาณาจักรขอม กลุ่มนครวัด-นครธม
- ปกครองอาณาจักรขอม
- ขยายเผ่าพันธุ์ ให้กำเนิดประชากร (ร่างเป็นมนุษย์ แต่มีอิทธิ์ฤทธิ์ พลังวิเศษจากพญานาค)
- สร้างความอุดมสมบูรณ์ทรัพยากร และแหล่งน้ำ
- สร้างอาณาจักร และความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ

- พระนางนาคโสมา จึงมีหน้าที่ ๆ ต้องร่วมบรรทมกับฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) เพื่อสร้างประชากร โดยใน 1 วัน จะจุติประชากรได้เพียง 1 ชีวิตเท่านั้น

- หลังร่วมบรรทม ประชากรของพระนางนาคโสมา จะจุติเป็นกายนิมิต แล้วกำเนิดออกจากหน้าท้องของท่านในทันที ประชากรที่กำเนิดนี้จุติเป็น 2 ลักษณะ สลับกันวันเว้นวัน ระหว่างประชากรที่เป็นพญานาค กับประชากรที่เป็นกึ่งมนุษย์-กึ่งพญานาค ตามคุณลักษณะ ดังนี้

แบบที่ 1 (ประชากรที่เป็นพญานาค) จะมีชีวิตอาศัยอยู่ในพิภพใต้ดิน หรือในบาดาลได้ตลอดเวลา แต่จะอยู่บนพื้นดินติดต่อกันได้เพียงครั้งละ 7 วัน โดยจะต้องกลับลงสู่พิภพ หรือบาดาลก่อน จึงจะขึ้นมาบนพื้นดินได้ใหม่)

แบบที่ 2 (ประชากรที่เป็นกึ่งมนุษย์-กึ่งพญานาค) จะมีชีวิตอาศัยอยู่บนพื้นดินได้ตลอดเวลา แต่จะลงไปในพิภพใต้ดิน หรือบาดาลติดต่อกันได้เพียงครั้งละ 7 วัน โดยจะต้องกลับขึ้นไปบนพื้นดินก่อน จึงจะลง ไปในพิภพใต้ดิน หรือบาดาลได้ใหม่) ประชากรทั้งสองแบบสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ และเป็นพญานาคได้ ท่านตั้งชื่ออาณาจักรแห่งนี้ว่า "อาณาจักรขอม"

- การร่วมบรรทม และการให้กำเนิดนั้น มีความสำคัญแก่อาณาจักรขอม เพราะจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ตามมาด้วยทุกครั้งไป จากคุณลักษณะพิเศษที่ประชากรของท่าน สามารถลงไปอยู่ในมิติใต้พิภพ ซึ่งด้านล่างจะเป็นทางเชื่อมต่อกันไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ ทำให้ประชากรพญานาคของท่านถูกกล่าวขานว่าเป็นพวก "ขอมดำดิน"

- พระนางนาคโสมา ได้ประทานทรัพยากรความอุดมสมบูรณ์ แหล่งน้ำ และความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ ประทานกำลังพลที่เป็นทหารนาคจากเมืองของพญานาคราชทั้ง 9 เศียร ที่ล้วนมีความเก่งกล้า และพละกำลังวิเศษในการ สู้รบ กอปรกับบารมีของฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) จึงทำให้ฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) ได้รับชัยชนะ และความสำเร็จในการยึดตีเมืองต่าง ๆ มากมาย มีการแผ่ขยายอาณาจักรออกไปอย่างยิ่งใหญ่ จนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระชัยวรมันที่ 7

- เมื่อพระชัยวรมันที่ 7 ได้รับชัยชนะในการสู้รบ อาณาจักรอื่นต่างถวายธิดาและบริวารมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ พระชัยวรมันที่ 7 ทรงรับไว้ไม่ปฏิเสธ เป็นเหตุที่ทำให้พระองค์มีมเหสีอื่นที่เป็นมนุษย์
- บริวารของพระชัยวรมันฯ และบริวารที่มาจากต่างเมืองของมเหสีต่าง ๆ ได้สืบพันธุ์ และให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นในอาณาจักรขอม

- มเหสีที่เป็นมนุษย์ เกิดความริษยาที่พระชัยวรมันฯ ต้องร่วมบรรทมกับพระนางนาคโสมาทุกคืน จึงรังเกียจ กล่าวหาพระนางนาคโสมา และประชากรของท่านว่าไม่ใช่มนุษย์ อีกทั้งพระชัยวรมันฯ ที่ไม่ทรงยึดมั่นในหน้าที่ และคำพูดที่เคยให้ไว้ต่อกัน
พระนางนาคโสมาจึงได้ชื่อว่า “รักกับกษัตริย์ที่ไม่ได้มีใจดวงเดียว”

เมื่อพระนางนาคโสมา ทราบว่าขุนสักกะกระทำการตามคำสั่งไม่สำเร็จ และหนีไปปลิดชีพตนเอง ท่านจึงปิดปราสาทวิเมียนอากาศ และสาปตนเองด้วยอาคม ให้จมลงสู่พื้นล่างใต้พิภพ ประชากรที่เป็นพญานาคจำนวนมากที่รักท่าน ทั้งหมดจมตามท่านลงไปพร้อมกันในโพรงมิติซ้อนมิติลึกลงไปใต้พื้นดิน ณ บริเวณด้านล่างใต้ปราสาทวิเมียนอากาศในประเทศกัมพูชา (อาณาจักรขอมล่มสลาย ณ บัดนั้น)

- หลังจากพระนางนาคโสมาล่มสลายอาณาจักรขอมลงสู่ใต้พิภพ พระชัยวรมันที่ 7 มเหสี และบริวารที่เป็นมนุษย์ทั้งหมดบนพื้นดิน เปลี่ยนเป็นอาณาจักรเขมร หรือประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน เมื่อความอุดมสมบูรณ์ และความเจริญต่าง ๆ เริ่มเสื่อมสลายลง ผู้คนที่เหลืออยู่บนพื้นดินโกรธแค้น ต่างสาปแช่งพระนางนาคโสมา

- ผู้คนและแผ่นดินเขมรต้องคำสาปของพระนางนาคโสมามาอย่างยาวนาน เกิดภัยสงคราม ความยากจน พระพุทธศาสนาไม่เข้าถึง คนเขมรในปัจจุบันไม่สามารถหาหลักฐาน เครื่องมือ และวิธีการสร้างปราสาทในสมัยอาณาจักรขอมได้ การสร้างปราสาทน้อยใหญ่ โดยฝีมือมนุษย์เขมรหลังสมัยอาณาจักรขอมของพระนางนาคโสมา จึงไม่มีความแข็งแรงของตัวปราสาท ปราสาทที่ถูกค้นพบล้วนแต่ผุพังลงแทบไม่เหลือโครงสร้างหลัก

อันนี้ จบก่อนคร่าวๆๆ ค่ะ ของพระนางนาคโสมา กับ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
เดี๋ยวจะ เบื่อก่อนค่ะ

เครดิตมาจากในเนต ละค่ะ
จุดประสงค์เพราะว่าเกี่ยวข้องกับพญานาค และดินแดน อารยธรรมเชื่อมยังมาบ้านเราเสียด้วย
สามเหลี่ยม อันทรงพลัง...ตามที่คุณอาจารย์นพท่านกล่าวไว้แต่ต้น ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ

 

สรุปเป้น หนูมล ทั้งลาว ทั้งดอย ทั้งหมวย ทั้งอาโนเนะ คือ บร้า 55
ออกมาอย่างที่เห็น ไม่ได้เอาที่ดีๆเด็ดๆมามั่งเล้ยยย 55555555555555555

 

โอ้ว เราคือ ลูกหลายครึ่งเลยละคะพี่มล

ใกล้จะวันที่24 แล้ว ตื่นเต้นจังเลย
จะได้บ้านแบบ สมบูรณ์แบบ

รอถึงวันนั้นไม่ไหวแล้ว
พรุ่งนี้เป็นวันที่24 เลยได้มั้ยคะ 55555

 

ต่อๆ ค่ะ กะลัง มันส์ เพราะสงสัย
ขอใคร มีความรู้มาช่วยเคลียร์ก็ดีนะคะ 555
ประวัติศาสตร์ย้อนแย้งกัน แต่ก็นะเค้าก็ว่ากันว่า งั้นใครว่า ???

คือ พอค้นอีกประวัติ ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อะค่ะ ดันไม่ใช่แบบนี้
และ ที่งง หนักคือ กล่าวความดีงามล้วนๆ
และเมียสองคน ก็ไม่ได้เป็นเชื้อสายพญานาคด้วย เออ งง 555

คหสต หรือว่า พระเจ้าชัยวรมันท่านฟีเจอริ่ง กับพระนางนาคโสมานั้นล่ะ แต่รังเกียจหรือเปล่า
บางตำนานว่า พระนางนาค เป้นสัตว์เดรัจฉาน คือ มลว่ากันแรงไปปะนั้น คือพระนางก็มีหน้าที่
นี้หว่า โรงงานผลิตลูก เมียขึ้นหิ้งบูชา ที่ประทับเบื้องบนปราสาท
ส่วนมเหสีมนุษย์อีกสองคน เป็นพี่น้องกันนะนั้น มีรูปปั้นหลักฐานเหมือนกัน แต่กลับถูกสร้างที่ปราสาทพระขรรค์ ในซอกในหลืบ คือถ้าคนไม่สังเกต ก็ไม่เห็น แต่ทั้งสองมเหสีมนุษย์นี้ ท่านกลับเป้นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนามากจริงๆ

ประวัติอันที่สาม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กับ พระมเหสีทั้งสองพระองค์

ตามประวัติศาสตร์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ด้วยฉลองพระนามหลังสวรรคตว่า “มหาบรมสุคตะ” หมายความว่า พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ประสูติเมื่อประมาณ พ.ศ.1663 หรือ พ.ศ.1668 พระนามเดิมคือเจ้าชายวรมัน ทรงเสกสมรสตั้งแต่ทรงพระเยาว์กับเจ้าหญิงชัยราชเทวี สตรีที่มีบทบาทและอิทธิพลสำคัญที่สุดเหนือพระองค์ รวมทั้งโน้มนำให้พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7



พระนางชัยราชเทวี พระมเหสีเอกผู้โศกเศร้า ขณะที่เจ้าชายชัยวรมันที่ ๗ ทรงออกรบนอกอาณาจักรกัมพูชาโดยนำกองทัพไปรบยังอาณาจักรจามปา พระนางทรงหนีความทุกข์โศกเข้าหาการบำเพ็ญตบะตามทางศาสนาพราหมณ์ และต่อมาทรงพบหนทางปลอดโปร่งในพุทธศาสนา ตามจารึกกล่าวว่า
“ทรงได้รับคำสอนจากพระเชษฐภคินีคือพระนางอินทรเทวีให้เพ่งพิจารณาพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพบูชาของนาง ทรงเลือกหนทางอันร่มรื่นของพระอริยบุคคลผู้ดำเนินอยู่ท่ามกลางไฟของความทุกข์ทรมานและทะเลแห่งความวิปโยค”



พระมเหสีเอกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือพระนางชัยราชเทวี ต่อมาภายหลังที่พระนางชัยราชเทวีได้สิ้นพระชนม์ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ทรงอภิเษกอีกครั้งกับพระนางอินทรเทวีซึ่งเป็นพระเชษฐภคินี (พี่สาว) ของพระนางชัยราชเทวี และทรงได้รับการแต่งตั้งให้พระนางเป็นพระมเหสีเอกในเวลาต่อมา

พระนางอินทรเทวีนั้นตามจารึกกล่าวว่า“ทรงมีปัญญาในวิทยายิ่งกว่านักปรัชญา”…พระนางได้ทรงช่วยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในรูปของวิชาประดุจน้ำอมฤต พระนางคือผู้แต่งจารึกที่ค้นพบในพระราชวังหลวงด้วยภาษาสันสกฤตที่หาที่ติมิได้ รูปสลักของพระนางทั้งสองถูกซากปรักหักพังอันลึกลับของปราสาทพระขรรค์ซ่อนไว้



พระเจ้าชัยวรมันที่7
พระองค์ทรงสถาปนาคติ “พระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิต” หรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขึ้นมา ซึ่งหมายถึงตัวพระองค์เอง คือพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยให้แก่ราษฎร ภาพสลักรูปใบหน้าที่ปรากฏตามปรางค์ในหลายปราสาทที่ทรงสร้างขึ้น เชื่อว่าคือใบหน้าของพระองค์ในภาคพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง

หลังจากสถาปนาศูนย์กลางอาณาจักรแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงทรงแก้แค้นศัตรูเก่าคืออาณาจักรจามปา ใน พ.ศ. 1733 กองทัพของพระองค์ก็สามารถยึดเมืองวิชัยยะ เมืองหลวงของจามปาได้ นอกเหนือจากการสงครามแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างพุทธสถานไว้มากมาย เช่น ปราสาทบันทายคดี ปราสาทตาพรม ที่สร้างถวายพระมารดา ปราสาทพระขรรค์ สร้างถวายพระบิดา ปราสาทตาโสม ปราสาทนาคพัน ปราสาทบันทายฉมาร์ ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน จารึกปราสาทพระขรรค์ระบุอีกว่า มีการสร้างโรงพยาบาล หรือที่จารึกเรียกว่า “อโรคยาศาลา” จำนวน 102 แห่ง กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นผู้บูรณะปราสาทหินพิมายและปราสาทเขาพนมรุ้ง
ให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
การประคองถือ “พระสูตรแห่งวัชรยาน” (คัมภีร์) แสดงท่ากำลังท่องสวดมนตราแห่งพุทธตันตระยานอยู่ ตามแบบของรูปเคารพในยุคเดียวกันที่มีท่าของการยก พระสูตรขึ้นเหนือพระเศียร ในความหมายของการเทินทูนคำสอนไว้เหนือเกล้า

ในรัชสมัยของพระองค์มีราชครูกว่าหนึ่งพันคนปราสาทแห่งนี้จึงใช้เป็น มหาวิทยาลัยแห่งพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ เช่นเดียวกับปราสาทตาพรหมก็เป็นปราสาทที่สร้างให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเช่น กัน

เดี๋ยวมาต่อค่ะ..... เบื่อยังนี้ 555 งง วุ้ย สรุป ขอม นี้นับถือพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายานเหรอ
เข้าใจว่าเป็นพวกพราหมณ์ฮินดูเสียตั้งนานน่ะ น่าสนใจดี ...

 

555 หัวเราะด้วย
...ขอโทษด้วย
ที่ทำให้ "นาคามณี"เข้าใจความหมายผิด

เรื่องจริง...อาจเคยเกิดขึ้นในชาติปางก่อน
...ชาตินี้ทุกอย่างสายไปแล้ว 55

"นาคามณี"
(จริงๆผมชอบชื่อนี้นะครับ)
"เข้ม ขลัง หวานเย็น"

**เหมาะเลย**
มีเวลาค่อยๆถ่ายทอดให้ฟังนะครับ
วันละตอน 2ตอน 3ตอน
...พอดีไม่เกินกำลัง
สุขภาพต้องมาก่อน

 

ไม่อะค่ะ ไม่มีกุ้กกิ้กชาติก่อนหรอก 5555
มลไม่ปฏิพัทธ์คนที่อายุมากกว่าค่ะ 555555555
นับถือได้ แต่ไม่คิดอะค่ะ รักเดียวใจเดียว
แต่ติดนิสัยอยู่กับผู้สูงอายุมากๆมา เลยคลุกคลีคุยได้อะค่ะ

เพราะมลก็ แก่ ลงไปเรื่อยๆอะ จะเอาอะไรมาก
มีแรงก็เขียนๆไป
ว่างก็โพสตามประสา ให้เป็นอรรถรส ให้น่าอ่านน่าค้นหาเท่านั้นค่ะ

อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
ตอนนี้มีลมหายใจ ก็ทำให้ดีที่สุดค่ะ
ขอบคุณคุณอาเก้าและเพื่อนๆที่เป็นห่วงกันค่ะ

 

ต่อ ยาวๆ เลยนะคะพี่มล
เดี๋ยวตอนค่ำนี้จะเข้ามาอ่าน
อ่านเวลาเปิดร้านนี้ ไม่ได้รสชาติ
แป๊บๆลูกค้ามา แป๊บ ลูกค้าสั่งน้ำ
เดี๋ยวค่ำนี้ ขอยาวๆเลยคะพี่มล
อิอิ

 

...อัญเชิญมาบันทึกภาพอีกครั้ง
เห็นชัดเจนเลยครับ ท่านอจ.นพ
(วันแรกไม่ทราบว่า"องค์ท่านอยู่ไหน"
พอนำมาบันทึกภาพใหม่เห็นง่ายๆเลย
(อย่างกับองค์ใหญ่ขึ้นนิดๆด้วยนะครับ)

วันแรกต้องก้มลงดูใกล้ๆจึงเห็น
เพราะกลมๆเล็กจิ๋วมาก
เห็นเงาๆวาวๆเหมือนเรืองแสงนิดๆ
ส่วนวันนั่น..สีค่อนข้างดูยาก
แต่ออกไปทางโซนสีตะกั่วเข้มๆ(เหมือนดำจางๆ)

...ผ่านมา 2 วันเห็นชัดเจนเลย
สีน่าจะตามที่อจ.นพบอกไว้
คือสีเปลือกมังคุดเข้ม(ตามรูปล่าง)


(รูปบน...บันทึกภาพวันแรก)





ยังจำที่อจ.นพบอกว่า...
"พระสรีระธาตุ 2 องค์...ขณะบรรจุ
...ลงกล่องหายแว๊บไปต่อหน้าต่อตา"

บ่ายวันนั่น...หลังบันทึกภาพเสร็จแล้ว
จู่ๆเห็นเพิ่มมาอีก 2 องค์กลมๆจิ๋วๆเงาๆ
ผมรู้สึกแปลกใจ...ตื่นเต้นและขนลุก

ช่วงหนึ่งผมคิดในใจว่า...
"บุญจริงๆหนอเรา...
...ที่แท้ท่านแว๊บเข้ามาอยู่ในกล่องผมเอง"

(สรุปคือผมเข้าใจผิด???)

 

ที่ว่า หายไปต่อหน้าต่อตา
เป็นสีทองครับ...
จริงๆหายวับไป ๓ องค์ครับ
หายไปตอนกำลังบรรจุลงผอบ ๒ องค์ ผอบที่ ๘ นั่นหละครับ
และทำตกลงบนโต๊ะที่บรรจุ ๑ องค์(ไม่อยากบอกเฉยๆ ๕๕)
ปล. ประมาณนี้....

 

ก๊อกๆ มีใครอยู่มั้ย เอยยยยย~~~
อิอิ พึ่งได้มีเวลาว่างคะ
มารออ่าน ตอนต่อไป

 

...รบกวนถามท่านอจ.นพครับ
"สีทองคือองค์ใหญ่ตรงกลางตามรูปใช่ไหมครับ"


2 องค์ที่หายไปเจอแล้วยังครับ
หรือเป็น 2 องค์ที่วับๆหลงเข้าไปในกล่องผม
5555...ข้อนี้ถามเล่นๆ พอขำๆครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ
สำหรับพระสรีระธาตุที่กรุณาส่งมาให้บูชา

*ผลที่เห็นชัดเจนและทันทีคือ*
ทำให้ผมมีความเมตตาเพิ่มมากขึ้น
...จากเดิมที่มีเมตตาอยู่แล้ว(ฮา)


(ตามเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยข้างล่างนี้ครับ)


...หลังจากที่ผมได้รับพระสรีระธาตุและพระธาตุ
ได้เกิดแรงศรัทธาซึ่งเดิมมีอยู่แล้ว
...เพิ่มมากขึ้นในทันที

...บ่ายวันนั่นผมรับกล่องปณ.พระธาตุ
พออัญเชิญเข้ามาในบ้าน
เดินไปที่โต๊ะอาหารใหญ่(8ที่นั่ง)
ว่าจะวางกล่องไว้บนโต๊ะก่อน
แต่ต้องชะงัก...เมื่อเห็นมดดำจำนวนมาก
กระจายหนาแน่นเต็มกว่าครึ่งโต๊ะ
และบางกลุ่มย่อยเกาะบนจานอาหาร 2 ใบ

ที่แปลกใจเพราะว่าปกติ
เมื่อทานข้าวเสร็จจะวางกับข้าวบนโต๊ะใหญ่นี้
(เพราะนิยมนั่งทานข้าวที่โต๊ะเล็กอีกมุม)

เพราะวางบนโต๊ะใหญ่เป็น "โต๊ะปลอดมด"
นานๆจะมีมดดำไม่กี่ตัวขึ้นมาสักครั้ง(คือนับตัวได้)
แม้จะวางจานอาหารทั้งวันถึงมื้อเย็นก็ตาม

ก่อนออกไปรับกล่องพระธาตุ(ประมาณบ่ายครึ่ง)
ผมทำงานอยู่ในห้องคอม
ช่วงก่อน 1 ชั่วโมง ก่อนออกไปรับพระธาตุ
ผมเดินผ่านก็ไม่เห็นมดดำบนโต๊ะ
*อันนี้ไม่แปลก*

แต่แปลกใจคือ...เท่าที่ผ่านมาหลายปี
ไม่เคยเห็นมดดำเป็นฝูงมากมายเช่นครั้งนี้
(พอรู้หล่ะว่าจานอาหารเป็นเป้าหมาย)
แต่ปกติโต๊ะนี้...วางอาหารถึงเย็น
...มดแทบไม่มารบกวนเลย
...ถ้ามดดำนานๆมาที
ก็แค่เดินมาแบบขบวนพาเหรดแถวเดียว
...บางๆ...แบบนับตัวได้

อือฮือ บ่ายนั่น เห็นทัพมดดำแล้ว
...บรรยายไม่ถูก


ช่วงที่ไล่มดดำออกจากโต๊ะ
ก็ใช้ปากเป่า...ใจเย็นๆ...เป่าออกไป
(ความจริงใช้ผ้าปัดออกไปก็ได้นะ)
แต่เกิดความเมตตาขึ้นมาฉับพลัน

...ปกติเป็นคนเมตตาสัตว์
ตั้งแต่แมลงตัวจี๊ดเดียว
มดตัวน้อยๆ สัตว์อื่น ไม่เคยทำร้ายพวกมัน
ถ้าสัตว์จิ๋วๆ ไรตัวเล็กๆนี้จะตาย
ก็เพราะไม่ตั้งใจ รวมทั้งมดตัวเล็กๆตามพื้นหญ้า

ขนาดสัตว์มีพิษร้ายแรง
เช่นงูเขียวหางไหม้ที่เกาะตามพุ่มไม้
....ก็ปล่อยให้มันอยู่
จนผมเฉียดตายเพราะพิษมันมา 2 ครั้ง
เรียกได้ว่า*เฉียดตาย* จริงๆ
(ไว้ว่างๆอาจจะเล่าให้ฟัง)

 

วันแรกที่ได้รับพระธาตุมานอนฝันว่าตัวเองกำลังหาเลขอยู่ มีผู้หญิงพูดขึ้นว่า "เลขเดิมนั้นแหล่ะ" ต้องจัดแร้ว ฝันจะต้องเป็นจริง องค์สีทองผมไม่เห็น เห็นแต่องค์สีใส หรือว่าเป็นองค์สีทองอ่อนๆ ผมดูไม่ออก

 

วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ของแม่ตัวเองบ้าง เมื่ออาทิตย์ก่อนแม่ไปวัดวังผาพญานาคราช ตอนขึ้นไปทำบุญกับพระ ตอนกำลังพนมมือ แม่มีอาการแปลกๆคือรู้สึกเหมือนมีคนกดบ่า หนักมาก ความรู้สึกเหมือนหน้าจะไปแนบกับพื้น แต่ก็สู้ไว้ พอตอนกลับเก็บสร้อยพระได้ 1 เส้น เมื่อวานเอาไปร้านทองปรากฏว่าเป็นทองจริง ตั้ง 1 สลึงแหน่ะ แลกได้ทองมา 1 วงเลย แต่พระโยนเข้าป่าไปล่ะ ตอนไปคำชะโนดก็เหมือนกัน พอไปถึงก็ร้องไห้หนักมากแบบไร้สาเหตุ อาทิตย์นี้จะกลับไปขอโชคท่านอีก

 

คาถาอัญเชิญ พญานาค

ตั้งนะโม 3 จบ

นะติตัง พญามะ นาคามะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต
ยะมะ ยะมะ

นะมามิ สาเข ปัตถะ ละปะ ธัมเม สะคะลันตี
สะเยตะนาคะ ลาเชนะยะปิสาโต

ทำทักษิณา จุดเทียนหอม วนรอบ ตนเอง เป็นเลข แปด ขอตั้งจิต อธิษฐานถึง องคนาคาธิบดีทั้งเก้า และ พญานาค ผู้รักษาทั้งแปดทิศ ให้มาสถิตมาอนุโมทนา
ในบุญกุศลที่ลูกได้ทำ อานิสงส์นี้ขอให้ลูกมีเมตตามหานิยม และเจริญด้วยโภคทรัพย์ ปลอดภัย จากภัยทั้งปวง สาธุ

 

องค์กลางใหญ่สุดที่ไม่กลมคือพระธาตุเสด็จ
องค์ใสเล็กลงมามีหลายองค์ไม่กลมคือ
พระธาตุพระโพธิสัตว์
องค์เล็กสุดวงกลม สีทองคือ
พระสรีระเสด็จ.
^_^

ปล คำว่าหายไปคือ หายไปในอากาศ
ก่อนตกถึงพื้น สีทององค์เล็ก ๒ องค์
และสีทององค์เล็กอีกองค์ตกลงที่โต๊ะ
และหายไป ประมานนี้

ส่วนใครมีมากกว่าที่ให้ไปไม่ทราบได้

ปล ส่วนตัวมีแบบที่เป็นเส้นตรงด้วย
ที่เสด็จมาเพิ่ม สีใส แต่เรียกไม่ถูก
เข้าใจว่าเป็นพระเกศาเสด็จ
แต่มีเพียงเส้นเดียว ^_^

 

เกิดเรื่อง *บังเอิญ บังเอิญ*
....อีกแล้วครับ

ตามกระทู้ข้างบนที่เพิ่งส่งไป(#896)
//ไม่ได้ใบ้หวยนะ *Max*//
//ไม่ได้ใบ้หวยนะ *เจน*//

ผมจำเป็นต้องแวะเข้ามาใหม่ 555
เพราะมีหวยจะมาบอก...เอ้อไม่ใช่

แต่...มีเรื่อง*บังเอิญ* เกิดขึ้น

(คิดลึกๆอีกที)
"ไม่แน่ใจว่าถูกทดสอบ
เรื่องความเมตตาหรือไม่"

เหตุการณ์....เกิดขึ้นขณะช่วงที่
ผมกำลังพิมพ์เรื่องเล่าที่เพิ่งส่งไป
(ช่วงนั่นเวลาประมาณ 6.30)

จู่ๆได้ยินเสียงลูกตะโกนเรียก...
"เห็นตะขาบอยู่บนพื้น(ชั้น2)
...ใกล้ๆตู้บูชาพระ"

ผมทิ้งงานพิมพ์...รีบขึ้นชั้น2ทันที
พอไปถึง...ตะขาบหายวับไปแล้ว
ลูก...บอกมันหลบอยู่ใต้ตู้พระ
เป็นตะขาบขนาดกลาง

ทำไงดี...
กลัวมันจะหนีเข้าไปในห้องนอน
กลางคืนมันอาจมานอนกับผมใกล้ๆ

(เออ ประจวบเหมาะ
...เมื่อคืนพอผมทิ้งตัวนอนหลับอึดเดียว
...โดนผีอำ ผีกดทับ ดิ้นไม่หลุด
พอเปิดตาดู(แบบครึ่งหลับครึ่งตื่น)
เห็นเป็นผู้หญิงกึ่งยุคเก่า+ใหม่
หน้าตาสะสวย...ผมยาว
ผมตกใจ...ตะโกน "ผีผู้หญิงๆๆๆ"
พร้อมกับสวดมนต์ตามสัญชาติญาณ
จากนั่น..มันก็หายแว๊บไปทันที
พอได้สติผมรีบอุทิศบุญกุศลให้ )
...ตามที่ท่านอจ.นพเคยชี้แนะไว้


**เล่าข้างบนต่อ...ครับ**
สุดท้ายผมก็จำเป็นต้องเฝ้ารอเจ้าตะขาบ
ทั้งที่อีกชั่วโมงต้องออกไปธุระ(7.30)
คือผมกะว่าจะส่งเรื่องเล่าก่อนออกไป
(จึงต้องเลื่อนส่งเป็นเมื่อกี้)

...ยืนทนรอไป 15-20 นาที
เจ้าตะขามจึงยอมออกมาจากใต้ตู้
ผมจึงใช้ไม้ขัดพื้นตามภาพให้มันขึ้นมาเกาะ
ยากตรงที่...ต้องใช้ความระมัดระวังพิเศษ
เพื่อไม่ให้มันบาดเจ็บ
...แต่มันไวมากนะ
เดี๋ยววิ่งไปซ้ายที-ขวาที
บางครั้งก็วิ่งตรงมาทางผมได้เสียว
...จับยากจริงๆ

555 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นจะๆเลยครับ

ในที่สุด...ราวกับว่าตะขาบตัวนี้
....มันรู้เรื่องแหะ
บอกว่าให้ขึ้นมาตรงโน่น(ตามภาพ)
เดี๋ยวจะพาไปส่งนอกบ้าน
เฮ้ย..สักพักมันขึ้นมาเกาะตรงนั่นนิ่งเฉยเลย


(หมายเหตุ)
(ดวงไฟกลมๆสีขาวคือ...
...โคมไฟเพดานที่สะท้อนลงมาบนพื้น
...ตะขาบแสนรู้ คงเห็นผมจะถ่ายรูป
มันจึงยืนเต๊ท่าหล่ออยู่ตรงนั่นพอดี)




**ถ้าไม่มีรูปภาพ คงเชื่อยากนะว่า...
...ทำไมมันช่างบังเอิญอย่างนี้**
(เหมือน...หนังการ์ตูนส์ แหะ)


...ระหว่างทางลงบันได
ก็นึกเสียวอยู่เหมือนกันว่า
ถ้ามันเกิดตื่นตกใจ...ขยับวิ่ง
ตกลงบนขั้นบันได
...มันต้องวิ่งจู๊ดๆหายไปตามซอก
(55 ยอมรับว่าประมาทเกินไป)


ทีนี่งานเข้าแน่นอน
คงจำเป็นต้องให้มันอาศัย
...อยู่ในบ้านแน่ๆเลย

555 แค่เล่าให้ฟังสนุกนะครับ

**บางที่สัตว์ก็มีจิตสำนึกและหัวใจเหมือนกันนะ**

 

ด้วยจิตคารวะครับ

2-3 วันนี้ผมพบเรื่องน่าทึ่ง
....หลายประการ
....ตามที่เล่าข้างบนส่วนหนึ่ง

*ขอบพระคุณมากครับ*
...ท่านอาจารย์นพ

 

ผีมาเพราะเมตตา
ดันไปตกใจ ๕๕
จะไม่อึดอัด ถ้าไม่คิดจะตะโกน
เพราะสภาวะนี้ร่างกายกับประสาท
บังคับให้กายเคลื่อนไหวมันยังไม่สัมพันธ์กัน
มองเฉยๆได้ อุทิศได้
ไม่เป็นไรหายห่วง
ที่หายเพราะเค้าเห็นว่าเรากลัว
ปล เห็นได้นะดีแล้ว ^_^ มะลิ คือชื่อเล่น

 

"มะลิคือชื่อเล่น"

ว๊าว !
>> คิดถึง นมข้น <<

นมตรามะลิ
สมัยก่อนดังมาก
คู่แข่งนมตราหมี

...นั่งคิดยืนคิด
ยังไม่รู้เลยว่า "มะลิ"
คือหญิงงามท่านใดที่มาอำเมื่อคืน

สงสัยคืนนี้จะแวะอีกหรือป่าว

ไหว้ละ...ได้โปรคเถิด "กลัวแล้วจร้า"

ปกติก็สวดมนต์ไหว้พระก่อนล้มตัวนอน
อย่างเมื่อคืนนอนตีสิบ
พอนอนหลับไม่ถึงชั่วโมง
"มะลิ...มาแล้ว"
กว่าจะดิ้นหลุดจากอ้อมกอดนางได้
...หัวใจแทบวาย

พอหันดูนาฬิกายังไม่ถึง 5 ทุ่มเลย

ไม่ได้ท้าทายหรือเชิญชวน
หรือล้อเลียน นะ "มะลิ"
แค่คุยกันขำขันในเว็ปบอร์ด

เพราะยังจำฝังใจ
ครั้งหนึ่งนอนบ้านญาติที่ตจว.
โดนผีอาบัง *อำ* ครั้งเดียว
...แล้วดันไปท้าทายมัน
"แน่จริง มรึงมาอีกสิว่ะ"
โอ้ยเข็ดเลย...ผีอาบังมันรับคำท้า
มาเยี่ยมรัวๆถึง 3 ครั้งคืนนั่น
หนำซ้ำ...เอากลิ่นเครื่องเทศมาฝาก
ถ้าเป็นโรตีสักแผ่น
..น่าจะโอชากว่านะ