คำถามทดสอบภูมิธรรม แค่อยากรู้แนวคิดของแต่ละท่านเท่านั้น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พระไตรภพ, 28 มีนาคม 2008.

  1. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    หัวข้อนี้เป็นธรรมะ วิจารณ์ จากการวิจัยของท่าน ช่วยกันนะเพื่อการรู้แจ้ง ยิ่งๆขึ้น ไม่เชื่อโดยงมงาย
    อนันตริยกรรม
    กรรมหนัก, กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด
    ตัดทางสวรรค์ ตัดทางนิพพาน, กรรมที่ให้ผลคือ ความเดือดร้อนไม่เว้นระยะเลย
    มี ๕ อย่าง คือ
    ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
    ๒. ปิตุฆาตฆ่าบิดา
    ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
    ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
    ๕. สังฆเภททำสงฆ์ให้แตกกัน

    จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระธรรมปิฎก[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]โทษของอนันตริยกรรมมีดังนี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อนันตริยกรรม[/FONT][FONT=&quot] คือ ให้ผลในชาติต่อไป โดยกรรมอื่น[/FONT][FONT=&quot]
    ไม่สามารถจะขัดขวางได้ เช่น ฆ่าบิดา เมื่อจุติเคลื่อนจาก
    ความเป็นบุคคลนี้แล้ว ทำให้ปฏิสนธิในนรกในอบายภูมิ โดย
    ไม่มีกรรมอื่นมาขัดขวางจึงเป็นอนันตริยกรรม คือ กรรมที่ให้
    ผล โดยที่กรรมอื่นไม่สามารถจะขัดขวางได้ แม้ว่าจะทำบุญ
    สักเท่าไรก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางอนันตริยกรรมที่
    จะให้ผล <o>
    </o>ประเด็นคำถามที่น่าคิด [/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]1.บุคคลทั้ง5มีอะไรที่เหมือนกันจึงทำให้ผู้สร้างกรรมนั้นๆได้รับโทษที่เสมอกัน?<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. มีบางท่านกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องไปวัดไปทำบุญที่ไหนก็ได้ แค่เราเลี้ยงมารดาบิดา เราก็ได้บุญมากแล้ว เพราะมารดาบิดานั้นเปรียบดั่งพระอรหันต์ของบุตร คำกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]3.ตามรูปภาพนั้นท่านพอที่จะเข้าใจหรือไม่ว่าอาตมามีทัศนคติเช่นใดในเรื่องนี้?<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เอาเท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยวยาวเกิน เดี๋ยวค่อยมาแก้ปัญหาธรรมกันต่อไป ช่วยเข้าไปตอบในเว็บวัดให้อาตมาหน่อยนะ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o>
    </o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ช่วยกันตอบหน่อยนะเจริญธรรม

    http://watpamuntla.igetweb.com/index.php?mo=5&qid=101987






    <o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2008
  2. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    รูปภาพประกอบการพิจารณาสู่กระบวนการธรรมะวิจารณ์


    [​IMG]
    รูปภาพประกอบการพิจารณาสู่กระบวนการธรรมะวิจารณ์ตามแนว

    ของอาตมา
     
  3. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    ทุกคำตอบไม่มีถูกผิดนะ แต่ต้องอยู่ในกรอบของศีลธรรม
    อยากให้ชาวพุทธเราคิดกันว่า ทำไมถึงโทษเสมอกันได้

    ต้องมีอะไรสักอย่าง
     
  4. อกนิษฐกา

    อกนิษฐกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +117
    สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนอยู่ มีพระสงฆ์ หรือ พุทธบริษัทถามคำถามนี้หรือไม่หนอ ถ้ามีพระพุทธองค์ทรงตอบว่าอย่างไรหนอ ไม่รู้พี่อักขรสัญจรเคยค้นเจอหรือเปล่า อยู่ในไหนหนอ
     
  5. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    ช่วยกันนะช่วยกัน

    ช่วยกันนะท่าน ช่วยกัน ขอคำตอบแบบสร้่างสรรนะ อย่าเอาแบบนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แบบอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง มีแต่คำเหน็บแนมแบบนั้น ไม่ดีไม่ดี ไม่ใช่บัณฑิตนะ เราคุยกัน
    ฉันพี่น้อง ร่วมโลก ร่วมธรรมนะ เพื่อการเข้าใจกันไม่แตกแยก

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  6. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ผมไม่รู้จริงๆครับ
     
  7. jukkapongtoh

    jukkapongtoh Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +56
    1.บุคคลทั้ง5มีอะไรที่เหมือนกันจึงทำให้ผู้สร้างกรรมนั้นๆได้รับโทษที่เสมอกัน?

    ผมคิดว่า สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน คือ ความหม่นหมองของจิตใจนั่นเอง ที่ทำให้ลงไปเสวยทุกข์ในอเวจีหรือภพต่างๆนั้น เนื่องจากแต่ละข้อคือการกระทำที่ผิดศิล เป็นการทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อน แล้วบุคคลในแต่ละข้อก็เป็นบุคคลที่มีความสำคัญหรืออิทธิพลทางจิตใตทั้งนั้น พ่อแม่ คณะสงฆ์ ... ยิ่งทำให้ความหม่นหมองเพิ่มขึ้นทวีคูณ<O></O>

    [FONT=&quot]2. มีบางท่านกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องไปวัดไปทำบุญที่ไหนก็ได้ แค่เราเลี้ยงมารดาบิดา เราก็ได้บุญมากแล้ว เพราะมารดาบิดานั้นเปรียบดั่งพระอรหันต์ของบุตร คำกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?[/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่า การได้บุญ กับ การเดินทางไปสู่การตัดกิเลศไม่เหมือนกัน ที่พูดว่าได้บุญ ก็คือได้จริงๆ ที่ว่าท่านเป็นอรหันต์คือ ไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่หวังก็เท่ากับไม่โลภ ไม่โกรธ แต่ไม่หลงนี่ผมไม่แน่ใจ <O></O>[/FONT]


    [FONT=&quot]3.ตามรูปภาพนั้นท่านพอที่จะเข้าใจหรือไม่ว่าอาตมามีทัศนคติเช่นใดในเรื่องนี้?<O></O>[/FONT]

    ผมคิดว่า หลวงตาน่าจะเรียงตามความประเสริฐของการเป็นที่พึ่ง พ่อแม่วงในสุดเพราะว่าเราพึ่งได้ทางโลก บางคนอาจทางธรรม ส่วนพระอรหันต์ท่านก็ให้ธรรมะแก่เราได้ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีเตโตปริยญาณ ก็อาจจจะไม่สามารถจี้ตรงจุดได้ เราก็มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางได้



    ก็ผมก็มีความรู้แค่นี้ ผิดพลาดอะไรรอท่านต่อไปมาแบ่งปันกันครับ
     
  8. wiwat911

    wiwat911 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +2
    กรรมหนัก5อย่างผู้กระทำต้องไปเกิดที่เดียวคือนรกภูมิ เมื่อยังเป็นมนุษย์จะไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆได้เลย บุคคลทั้ง5ก็เปรียบเช่นพระอรหันต์ไงคับผู้ให้อย่างเดียว ส่วนภาพรูปพระมันก็แค่วัตถุที่มนุษย์สร้างกันเอาเองมันก็แค่หินไม่กราบไม่ไหว้ มันก็ไม่ศักศิษย์ พระพุทธ คือไรพระธรรมคือไร พระสงฆ์คือไร น้อยคนนั้นที่เข้าถึง จะไหว้รูปปั้นที่เราว่าเป็นพระพุทธผมของไหว้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือผู้มีศลีดีกว่า นี้ละของแท้
     
  9. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    สงสัยกรรมจะหนัก / ขออภัย
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เจตนา ก็สำคัญครับ
     
  11. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    คนทำอนันตริยกรรมสำเร็จ ด้วยแรงเร้าของขันธ์ เหมือนคนที่สามารถทำลายกรอบแบบแผนทิ้งได้ทุกอย่าง เป็นการรื้อรูปแบบต่างๆทิ้งโดยไม่มีปัญญากำกับ มันจึงเป็นทางตรงข้ามกับทางสายกลางซึ่งเป็นทางแห่งปัญญา

    ผมรู้สึกถึงคำตอบได้เท่านี้ ผิดพลาดขออภัยและขอคำชี้แนะด้วยครับ
     
  12. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510
    คำตอบของเต้าหยินหลวงเดินดิน

    จากคำถามทั้งหมดนั้น จะตอบตามลำดับหัวข้อไม่ได้ครับเพราะจะไม่เข้าใจกัน

    แต่คำถามของท่านพระไตรภพนั้น เป็นคำถามที่ตั้งขึ้นมาเบิกทางให้เท่านั้นเอง ท่านมีคำตอบอยู่แล้ว

    กระผมตอบดังนี้

    ความดีหรือคุณธรรมของทั้ง5 บุคคลนั้นเสมอกันในส่วนหนึ่ง
    คือ
    มารดา มีเมตตาธรรม กรุณาธรรม มุทิตาธรรม อุเบกขาธรรมอันชอบต่อบุตรของตน
    บิดา ก็มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อบุตรของตนเช่นกัน
    พระอรหันต์ นั้น เป็นผู้ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิงแล้ว มีคุณธรรมอันโอบอุ้มจิต มีเมตตาธรรมแก่หมู่สัตว์ทุกท่วนทั่ว หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเรา หรือ บุตรของมารดาและบิดา นั่นเอง เมตตา กรุณามุ ทิดตา อุเบกขา ของพระอรหันต์ย่อมแผ่ออกไปไม่จำเพราะแก่ใครๆเพียงผู้เดียว

    บุคคลทั้งสามนั้น จึงมีคุณที่เสมอกัน ตรงส่วนที่มี ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันบริสุทธิ์ เสมอกัน
    พระอรหันต์ มีคุณธรรม ดั่งมารดา และบิดา ของเรา
    แต่มาดาและบิดาของเรา มีคุณธรรมแคบกว่า พระอรหันต์
    ผู้อาจหารฆ่าได้แม้กระทั่ง ผู้ทรงคุณธรรมถึงเพียงนี้ ย่อมตกนรกถ่ายเดียว
    ไม่มีกรรมอื่นขั้นกลางได้เลย

    พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุตสาหะเพียรบำเพ็ญตนจนพบหนทางและ
    จบกิจด้วยพระองค์เอง พระองค์ เป็นดั่งครูของหมู่สัตว์ทุกท่วนทั่ว
    เปรียบดั่งมารดา และบิดาของหมู่สัตว์ทุกท่วนทั่ว ไม่ทรงมีอคติแก่ผู้ใดเลย
    แม้ผู้ตั้งตนเป็นดั่งมารร้ายแก่ท่าน พระองค์ก็มิได้คิดจะทำร้ายเลย
    พระคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นัก

    ผู้ใดอาจหารทำร้ายพระองค์ได้ก็ผิดวิสัยคนดีมีคุณธรรมไปเสียแล้ว

    แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงตรัสถึงหมู่สงฆ์ ให้ยกสงฆ์เป็นใหญ่ มิให้ภิกษุ
    กระทำตามอำนาจความอยากของตน ต้องเชื่อฟังหมู่สงฆ์ เพื่อความสามัคคี
    ความไม่แตกแยก ความไม่แตกร้าวแห่งสงฆ์
    ดั่งเช่นการที่กล่าวถึงผลของการให้ทาน ที่กล่าวเอาไว้ดังนี้

    ลำดับอานิสงค์ของการให้ทาน มีดังนี้
    ๑. ให้ทานกับสัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับมนุษย์เลวๆ ครั้งหนึ่ง
    ๒. ให้ทานกับมนุษย์เลวๆ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีลห้าครบถ้วนครั้งหนึ่ง
    ๓. ให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีลห้าครบถ้วน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีลแปดครบถ้วนครั้งหนึ่ง
    ๔. ให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีลแปดครบถ้วน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับมนุษย์ที่มีศีลสิบครบถ้วนครั้งหนี่ง
    ๕. ให้ทานกับท่านผู้มีศีลสิบ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้ทานกับภิกษุผู้มีศีล ๒๒๗ ครบถ้วนครั้งหนึ่ง
    ๖. ให้ทานกับท่านผู้มีศีล ๒๒๗ ครบถ้วน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับมนุษย์ผู้มีจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง
    ๗. ให้ทานกับมนุษย์ที่จิดว่างจากกิเลสชั่วขณะจิดหนึ่ง ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้กับผู้ทรงฌานครั้งหนึ่ง
    ๘. ให้ทานกับผู้ทรงฌาน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้ทานกับผู้ทรงฌานแล้วเจริญวิปัสสณาญาณได้ผลแล้วครั้งหนึ่ง
    ๙. ให้ทานกับท่านผู้ได้วิปัสสนาญาณได้ผลแล้ว ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับพระโสดาบันครั้งหนึ่ง (เป็นผู้เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว)
    ๑๐. ให้ทานกับพระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับพระสกิทาคามีครั้งหนึ่ง
    ๑๑. ให้ทานกับพระสกิทาคามี ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอนาคามีครั้งหนึ่ง
    ๑๒. ให้ทานกับพระอนาคามี ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับพระอรหันต์ครั้งหนึ่ง
    ๑๓. ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้ทานกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
    ๑๔. ให้ทานกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับให้ทานกับพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
    ๑๕. ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงค์ไม่เท่ากับให้ทานกับทำสังฆทานกับหมู่ภิกษุสงฆ์ครั้งหนึ่ง (หมู่สงฆ์ตั้งแต่สี่องค์ขึ้นไป)


    ดังนั้นการทำรายสงฆ์ผู้มีความประพฤดีให้แตกแยกกันย่อมส่งผลเป็นบาปอย่างร้ายแรง

    สิ่งที่น่าสังเกตุได้อีกคือ คนที่สามารถทำร้ายบุคคลต่างๆที่ได้กล่าวเอาไว้นั้นได้ โดยส่วนมากแล้วก็จะเกิดกับผู้ที่มีความอิจฉาตาร้อน หรือถูกิเลสเข้าครอบงำหนัก จนไม่รู้ดีรู้ชั่ว พอกระทำกรรมนั่นลงไปแล้ว มักจะสำนึกผิดในทีหลัง
    จึงทำให้เกิดความทุกข์ใจเร่าร้อนใจยิ่งนัก ไม่สามารถลบรอยบาปนั้นได้
    ทั้งถูกผู้อื่น ลุมประนาม ด่าว่า ตอกย้ำให้เจ็บแสบใจอยู่เนื่องนิจ
    เป็นโลกวัชอย่างหนักเช่นกัน

    มีผลกระทบต่อจิตใจโดยตรง จึงหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ก่อไว้นั้น

    นี่คือคำตอบของกระผมครับ แต่ยังไม่ละเอียดนะครับต้องการผู้อธิบายเสริม
    สรุป

    ความรักอันบริสุทธิ์ ความดีอันบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ละหว่างกัน ของแต่ละถานะ ที่มีให้นั้นเหมือนกัน

    เอาตัวเราเป็นแกนกลางแล้วถามว่า

    มาดารักเราไหม
    บิดารักเราไหม
    พระอรหันต์รักเราไหม
    พระพุทธเจ้ารักเราไหม
    สงฆ์หมู่ใหญ่บริสุทธิ์ไหมเคยคิดร้ายต่อเราหรือไม่
    ตั้งคำถามตามนี้แล้วตอบด้วยใจที่มองเห็นธรรมแท้ๆ เราจะแจ้งในคำตอบเอง

    คำถามของครูบาจารย์

    ทั้งสามข้อกระผมตอบแล้วขอรับ

    มองด้วยจิตด้วยปัญญาที่ปราสจากอคติ แล้วทุกอย่างจะกระจ่างเอง

    ขอคุณครับ
     
  13. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สาธุ สาธุ สาธุ ดีแล้วดีแล้ว ไม่แตกแยก ไม่แตกแยก ไม่ชิงชังใครไม่เกลียดใคร วัดก็ไป บ้านก็ดูแล สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  14. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    1.ที่เหมือนกันคือมีกิเลสเหมือนกัน ทำบาปไปด้วยอวิชชาหรือความหลงเหมือนกัน ส่วนโทษนั้นผมว่าตัดมรรคผลนิพพานในชาตินั้นเหมือนกันทำดีหรือปฏิบัติธรรมมากแค่ไหนก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลในชาตินั้นได้(แม้ว่าถ้าตอนก่อนจะทำอนันตริยกรรมจะมีคุณสมบัติดีพอที่จะบรรลุมรรคผลได้ในชาตินั้นก็ตาม เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู) แต่ระยะเวลาในการรับโทษในนรกหรือเศษวิบากกรรมที่จะต้องได้รับต่อจากนั้นอาจจะไม่เท่ากัน ตามลักษณะของการกระทำกรรมนั้นๆครับ


    2.ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเป็นเพียงกุศโลบายที่จะทำให้คนเรามีความกตัญญูน่ะครับ ถ้าจะเปรียบเทียบจริงๆ ควรใช้คำว่าบิดามารดาอาจเปรียบได้กับพรหมของลูกจะเหมาะสมกว่าครับ แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบิดามารดาที่กระทำไม่ดีต่อบุตร เช่น พ่อข่มขืนลูกสาว หรือ พ่อแม่ที่ประกอบมิจฉาอาชีวะสมมติเช่นเป็นโจรแล้วใช้ลูกเพื่อการประกอบทุรกรรมของตน เช่นนี้การดูแลเลี้ยงดูหรือการคล้อยตาม การทำตามคำสั่งสอนและเชื่อฟังท่านนั้น ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณที่ดี ควรจะหาทางโน้มน้าวชักจูงท่านให้เข้าสู่ทางธรรมและเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงจะนับว่าตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแท้จริงครับ(ดังเช่นในพระพุทธพจน์) แต่ก็ไม่ควรถือโทษโกรธเคืองหรืออาศัยเหตุนี้มาเป็นข้ออ้างที่จะโกรธหรือทำร้ายบิดามารดาของตนได้ ยังคงต้องมีเมตตาต่อท่านเสมอแต่ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา

    3.ไม่ทราบเหมือนกันครับ ^ ^
     
  15. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สาธุ สาธุ สาธุ เออคุณโยม wit เห็นเล่าปังไหม อืมนะเล่าปัง ไปไหน
     
  16. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    กราบเรียนพระคุณท่าน

    ข้อที่ 1 ตามความเห็นคิดว่า น่าจะเป็นที่เจตนา เพราะการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมมีผลตามมา ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนาที่กระทำ จะได้รับผลเท่าเทียมกันหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่วาระกรรมตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ หากเป็นทางโลก ย่อมมีตัวบทกฎหมายลงโทษ ส่วนทางพุทธศาสนาถือว่า อนันตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด โดยบทลงโทษก็คือ ลงนรกอเวจีอย่างแน่นอน แต่ก็อย่าศรัธาศาสนาจนสุดโต่ง เพราะพิจารณาเป็นนัยแล้ว "การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป" เป็นเพียงแค่นามธรรมเท่านั้น เพราะสมัยนี้คงไม่ได้พบเห็นพระศาสดาที่เป็นมานุษิพุทธเจ้าหรอก

    ข้อที่ 2 สำหรับคนบางคนแล้วอาจยังไม่เห็นคุณค่าของคำว่า พุทธะ เหมือนมะม่วงที่ยังไม่สุก ไปสะกิดหรือเร่งยังไงก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก แต่สิ่งที่เขาเลี้ยงดูบิดามารดร ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้ว คุณค่าของชาวพุทธย่อมที่จะรู้ทั้งปริยัติและปฏิเวช นั้นแหละจึงจะถือได้ว่าเป็นชาวพุทธครับ

    ข้อที่ 3 ผมไม่แน่ใจจะตอบตรงประเด็นหรือเปล่า เพราะแบบจำลองที่ให้มา เป็นเพียงปริศนาที่ต้องการทราบคำตอบเท่านั้น แต่ไม่ได้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทำให้อยากแก่การตีความโดยหาเหตุปัจจัย เพราะแบบจำลองที่ดีต้องแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบย่อยที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์โดยมีนัยสำคัญที่ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า การประมวลผล และผลลัพธ์ที่ได้ (input process output) อย่างเป็นขั้นตอน จึงเห็นควรน่าจะออกแบบใหม่ให้เป็นไปตามหลักวิชาการ

    ก็ขอแสดงความคิดเห็นไว้เพียงเท่านี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คนเราจักเอามรรคผล ก็ต้องหว่านพืชไถนา
    นานั้นมีทั้งผืนเล็กผืนใหญ่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ผืนนา
    ถ้าคนเราทำร้ายผืนนาของตน ก็คงจะหว่านอะไรไม่ขึ้น
    ถ้าจะผลัดนาผืนน้อยไปผืนใหญ่ ก็ต้องให้นาผืนน้อยร้างลา


    เหมือนกัน เพราะเป็นนาบุญครับ


    เล่าปัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  18. eddy1965

    eddy1965 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +475
    ท่านเอกวีร์

    นามใหม่ของท่านเล่าปัง แท้จริงข้าน้อยทราบมานานแล้วละ เพียงแต่อยากทราบว่าท่านหายไปไหนซักนานเชียว ยังระลึกถึงอยู่ครับ
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ได้หายไปไหน แต่เลือกกระทู้อยู่เพียงสองสามอัน

    ผมว่าก็เคยเห็นคุณพลัดหลงเข้าไปนี้

    ว่าแต่ว่า ไปถึงไหนแล้วครับ

    ตอนนี้มีความสุขมากๆ จึงดี

    หรือ

    ตอนนี้มีความทุกข์มากๆ จึงดี หนอ

    :)
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถามว่า ทำไมจึงรับผลเหมือนกัน
    ตอบว่า แรงพยาบาทที่ชั่วร้าย นั้นเองจึงจะทำให้เกิดกรรมเช่นนั้นได้
    แรงอาฆาตพยาบาทนี้ ย่อมชักนำไปสู่อนันตริยกรรม ไม่มอดลงได้เลย

    ตามธรรมดา บุตรทุกคนย่อมรักบิดามารดา เพราะบิดามารดาอุ้มชูปูฟักมาตั้งแต่เด็กๆ ผูกพันมากับพ่อกับแม่แต่เด็ก
    ความสนิท ความดี ความรักความผูกพันที่มีให้กัน ย่อมมากกว่า มีต่อบุคคลอื่น

    แต่ถ้าหากว่า อาฆาตพยาบาทจนลบล้าง ความดีนั้นจนหมดไปได้แสดงว่า ความชั่วร้ายนั้นมีมากมหาศาล อีกทั้งลงมือทำเป็น กายกรรมได้ อย่างไม่มีอำนาจความดีมาเหนี่ยวรั้งแล้ว หมายความว่า จิตของผู้นั้นไม่มีพลังแห่งความดีหยุดยั้งได้เลย จิตของบุคคลคนนั้นจึงห่อหุ้มไปด้วย เพลิงและไฟ เผาอย่างไม่มีวันดับ ตามจิตของบุคคล ข้อนี้เป็นเหตุให้ เป็นอนันตริยกรรม


    ข้อต่อมา ตามธรรมดา พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ท่านมีญาณ อภิญญาและ ปัญญาพรั่งพร้อม และมีเทวดาอารักขา และ ศิษย์อารักขา
    และ อีกทั้งท่านมี เมตตาพรั่งพร้อมต่อสัตว์โลกไม่มีประมาณ

    การที่คนๆ หนึ่งนั้นมีจิต อาฆาต จนถึงกับปองร้ายพระพุทธองค์ได้ แสดงว่าไม่ได้มีความดีอยุ่ในใจเลย มีแต่จิตอาฆาตพยาบาท
    และสามารถลงมือได้ นั่นหมายความว่า มีแรงพยาบาท แต่ฝ่ายเดียวเพียรให้เกิดกายกรรมอันถึงกับทำให้ พระพุทธองค์ ห้อเลือดได้
    นี่แสดงถึง ความชั่วร้ายปกคลุมจิตใจอย่างที่สุด
    ย่อมไม่มีแสงแห่งความดีให้ผุด ให้ต่อให้เชื่อมถึงเลย จิตดวงนั้นย่อมเข้าสู่ อนันตริยกรรมโดยไม่ต้องสงสัย

    ข้อต่อมา ตามธรรมดา สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมยึด พระวินัย พระโอวาท และมีความสามัคคีกัน เนื่องจากเป็น พระสงฆ์ ที่เข้าถึงธรรมแห่งพระพุทธองค์แล้ว การที่พระสงฆ์ผู้มีปัญญา ผู้มีความรัก ความเมตตา ได้เกิดความไม่พอใจกันขึ้น แสดงว่า บุคคลผู้ยุแยง จะต้องมีแรงพยาบาทมาก จนสามารถกระทำการนี้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ สงฆ์ในศาสนาพุทธแตกคอกัน ดังนั้น เมื่อ จิตที่จงใจต่อเนื่องโดยไม่มีแสงแห่งความดี มาหยุดยั้ง อันทำให้ความพยายามที่ชั่วร้าย กระทำการสำเร็จได้ ในใจย่อมมีแต่เพลิงเผารน


    เพราะตามธรรมดา จิตที่เคลื่อนทั้งหลาย ย่อมมีจบ แต่ความพยาบาทที่ต่อเนื่องจนไม่มีจบ ไม่มีอะไรยับยั้งนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่มีแสงแห่งความดีเหลืออยู่เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...