ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความนี้คุณ Thanyaka ขอมา พี่ใหญ่เคยบอกผมว่า หากเราเพ่งแค่เพียงกระดูกข้อมือ เพ่งมากเข้าจนจิตนิ่งจนสมาธิถึงฐานบ่อย กระดูกตรงนั้นจะกลายเป็นพระธาตุ แต่ถ้าจะให้ดีต้องเพ่งกระดูกให้ทั่วทั้งตัว ให้ใสกลายเป็นแก้ว ท่านแนะนำ ตอนที่ผมเพ่งข้อมืออยู่พอดี เพ่งแล้วติดปัญหา เลยไม่ต้องถาม เพราะท่านตอบให้เองเลยข้ามผ่านได้ บางครั้งเดี๋ยวนี้ว่างๆ ยังแอบเพ่งอยู่นิดๆ คู่กับ "จตุรารักษ์" ที่เคยนำมาลงไว้แล้ว ข้อความอาจจะดูยาวนิด ยอมเสียเวลาอ่านสักหน่อย แล้วลองทำดู หากจิตรวม หรือนิ่ง ก็จะเกิดประโยชน์ติดตัวข้ามภพชาติพออาศัยเป็นเครื่องช่วยย่นระยะทางได้ไม่มากก็น้อย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>"กระดูก 300 ท่อน" สุดยอดธรรมจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=text2 vAlign=center width="65%" height=30></TD><TD class=text2 vAlign=center align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width="100%" align=center bgColor=#f4f4ff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=300><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    *************
    กระดูก ๓๐๐ ท่อน
    *************




    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    เอ้า ตั้งใจภาวนา วันนี้ให้กำหนดอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ทำไมจิตมันหลง แค่เขาถ่ายเงาเท่านั้นก็หลง เพราะไม่ดูอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเองอันมีอยู่ในร่างกายตัวตนของเราตั้งแต่กระดูกเท้า กระดูกแข้งขา เต็มอยู่จนถึงกระโหลกศีรษะ เพราะไม่ดูอัฐิกับกระดูก ๓๐๐๐ ท่อนของตัวเอง จึงได้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาไม่ดูของจริง เมื่อของปลอมมาถึงเข้า เกิดความลุ่มหลงมัวเมา จิตไม่สงบ หลงใหลไปตามรูปตามเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
    เมื่อมันหลงไปหมดทุกอย่างทุกประการ เมื่อรู้อย่างหนึ่งได้ มันก็รู้ได้ทุกอย่างทุกประการ เวลานี้อย่าให้ใจคิดไปที่อื่น พุทโธก็ไม่ต้องว่า ฟังที่ท่านอธิบายไป จิตใจก็เพ่งดูตามที่ท่านอธิบายนั้น

    เริ่มต้นแต่กะโหลกศีรษะหรือว่ากระบอกตา ตัวคนเราทุกคนนี้ เรามองเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก แต่กระดูกอันมีอยู่ในตัวเราไม่ดู จึงได้หลงตา หลงหู หลงจมูก หลงลิ้น หลงกาย หลงใจ เพราะไม่พิจารณาดูกองกระดูกของตัวเอง

    อันนี้เป็นความประมาท จิตใจคนเรามันประมาท กระดูกมันสวยงามที่ไหน ดูกองกระดูกมันงามที่ไหน ดูกระบอกตากระบอกตานี้ก็ให้เพ่งให้เห็นเป็นกระดูก อย่าไปเพ่งเห็นเป็นลูกตา ลูกตานี้ไม่ให้เห็นเนื้อหนังมังสาไม่ให้มี เวลานี้เปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่าร่างกายของเราทุกคนนี้มันตายไปนานแล้ว ยังเหลือแต่กองกระดูกให้เพ่งใจจิตเตือนจิตนี้ว่าอย่าคิดไปที่อื่น มันตายแล้วยังเหลือแต่กระดูกอ่อนกระดูกแข็ง เพ่งดูกระบอกตาตัวเองให้ดูให้รู้ตานี้มันโหว่เข้าไป ไม่ให้จิตคิดไปอื่น เพ่งในกระบอกตานั่น มันโหว่เข้าไปเหมือนกับไข่ที่เอาไปทำอาหารทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ โหว่เข้าไปลึกเข้าไปเป็นกระดูกไม่ใช่เนื้อหนัง เพ่งดูจนเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริง ๆ โหว่เข้าไปจริง ๆ

    ถ้าดูจนเห็นมันโหว่เข้าไปลึกเข้าไปมันก็เหมือนผีหลอกในกระบอกตานั่นมันเป็นผีหลอก คือไม่ต้องให้เห็นลูกกระตาคนยังไม่ตาย เพ่งให้เห็นว่ากระบอกตานี่มันผีหลอกที่ว่าผีหลอกโหว่เข้าไปนี่แหละ ดูเดี๋ยวนี้เวลาเพ่งเดี๋ยวนี้เวลานี้ ให้มันเห็นกระบอกตาของตัวเองเมื่อไม่เห็นกระบอกตาตัวเอง อย่าได้ไปดูตาคนอื่น ตาเราก็ไม่ดู ดูกระบอกตา ดูให้มันเห็น เพ่งให้มันเห็น ระมัดระวังไม่ให้จิตมันแวบไปแวบมา

    ใจโลเลในกิเลสละให้หมด เพ่งดูกระบอกตาตัวเอง ให้มันเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ก็ยังมาสำคัญว่าเราสวยเรางาม งามที่ไหนดูกระโหลกศีรษะตัวเอง ผีหลอกทั้งเพ มาหลงมันทำไม หลงกระโหลกศรีษะ หลงกระบอกตา จึงได้มาลุ่มหลงมัวเมาเกิดมาภพชาติใด ก็มายึดเอาถือเอากองกระดูกอันนี้ไม่มีที่จบสิ้น

    เมื่อดูกระบอกตาเข้าใจแล้ว ก็ให้ดูกระโหลกศีรษะนั้นมัดจอดกันเป็นซีก ๆ เรียกว่าเข้ากันสลับกัน สมัยเมื่อยังไม่ตาย กระโหลกศีรษะนี้มันป้องกันไม่ให้สมองในศีรษะนั้นแตกไปง่าย ๆ มีอะไรมาโดนมาตำเข้าหรือเส้นประสาทภายในนั้นจะได้ไม่เสีย สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่ตาย แต่ว่าบัดนี้ใหดูเป็นกระโหลกกระดูก ข้างในก็ให้เห็นเป็นว่างไปทั้งนั้น แล้วก็ให้มองดูในกระโหลกศีรษะ จากกระบอกตาขึ้นไป เรียกว่า กระดูกหน้า กระดูกคิ้ว กระดูกหน้า กะโหลกศีรษะมันจอดกันเหมือนมะพร้าว กะโหลกศีรษะคนเราคล้ายกันกับมะพร้าวที่เขาเอาเปลือกมันออกแล้วยังเหลือแต่กะลาในนั้น กะโหลกศีรษะนี้ก็เหมือนกัน จอดกันเป็นชิ้น ๆ ดูข้างหน้ามันงามที่ไหน ยังเหลือแต่กระดูก ดูข้างหลังมันสวยงามที่ไหน ดูข้างซ้ายมันงามที่ไหนก็เป็นกระดูกเหมือนกัน ดูข้างขวาก็ให้เป็นกระดูก
    จิตอย่าไปเห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง แล้วอย่ามาเห็นว่าเป็นกระดูกของเรา มันกระดูกผีตายมานานแล้ว จิตอย่าได้มาหลงเอายึดเอากระโหลกศีรษะนี้ ดูให้มันแจ้งให้มันเห็น เอาจิตจดจ่อให้มันเข้าใจ อย่าให้มันแส่ส่ายไปที่อื่น เพ่งดูกระโหลกศีรษะ

    ต่อจากกระบอกตาลงมาก็เรียกว่ากระดูกดั้งจมูก ดั้งจมูกก็ไม่ให้เป็นเนื้อเป็นหนัง ให้เห็นเป็นกระดูกโหว่เข้าไป มีช่องเข้าไปสำหรับหายใจ เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้มันตายแล้ว ยังเหลือแต่กระดูกโหว่เข้าไป มันงามที่ไหน ผีหลอกทั้งนั้น คางข้างบนก็มีเขี้ยวมีฟันเป็นซี่ ๆ ดูฟันให้มันเห็นทุกซี่ที่ฝังอยู่ในคางข้างบนนั่น แล้วก็ดูคางข้างล่าง ดูฟันข้างล่างเป็นซี่ ๆ ฟันข้างล่างนี้เรียกว่าแขวนอยู่ คางข้างล่างมันแขวนอยู่ แขวนอยู่ข้างล่าง สมัยเมื่อยังไม่แตกไม่ตายมันเอาคางข้างล่างนี้ตำบดเคี้ยวอาหาร ก็เหมือนครกเหมือนสากนั่นแหละ แต่ว่าคางข้างล่างนี้เรียกว่าเป็นสากธรรมชาติ ไม่ใช่สากตำน้ำพริกคนเราไม่ใช่ตำลงข้างบน ตำข้างล่างขึ้นมา บดเคี้ยวอาหารเมื่อสมัยยังไม่ตายเดี๋ยวนี้ไม่เกี่ยวแล้ว ยัง เหลือแต่คาง ยังเหลือแต่ฟันเป็นซี่ ๆ ทีนี้ถ้ากำหนดมาถึงนี่ก็ดูซิ ดูฟันข้างบนข้างล่างประกบกันดูไปจนถึงกระบอกตาหน้าดั้งจมูกกะโหลกศีรษะทั้งหมด แค่นี้ก็เป็นผีหลอกอยู่วันยังค่ำเป็นผีหลอกอยู่คืนยังรุ่ง เป็นผีหลอกตั้งแต่เกิดมา เป็นเด็กก็มีอยู่เท่านี้มาเป็นหนุ่มก็มีอยู่อย่างนี้ ปานกลางคนมันก็มีอยู่อย่างนี้
    กระโหลกอันนี้ฟันอันนี้ คางอันนี้ ดูให้มันทั่วถึง ทำไมจิตมันจึงมาหลง มาหลงอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน หลงรักใคร่พอใจ หลงโกรธให้กัน หลงฆ่ากัน ฟันกันก็เพราะไม่ดูกองกระดูกตัวเอง กิเลสความโกรธมันจึงเกิดขึ้น กิเลสราคะตัณหามันจึงเกิดขึ้น เพราะไม่เห็นกระดูกของตัวเองให้ดูเดี๋ยวนี้ กำหนดเดี๋ยวนี้ ภาวนาเพียรเพ่งดูเดี๋ยวนี้ จิตใจดวงผู้รู้ไม่ให้มันไปคิดที่อื่นคิดที่อื่นมาตั้งแต่อเนกชาติ ไม่มีความรู้ความเข้าใจประการใด จงดูกองกระดูกคาง ไม่รู้จักผีหลอก ผีมันหลอก ผีอื่นใดมันไม่หลอก ผีตัวเองหลอกตัวเองเพราะไม่ภาวนากับอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเองดูจริง ๆ กำหนดจริง ๆ จนไม่ให้มีอะไรมาปิดบัง เหมือนกับเราลืมตาดูอย่างนั้น ตรงใดมันเป็นอย่างใด ให้มันแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้แล้วต่อไปตลอดชาติ ก็ไม่ให้มันหลงเป็นอย่างอื่นไปอีกในกระโหลกศีรษะในหน้าในตา เห็นคนเห็นเราก็ให้เห็นว่าเป็นกระบอกตา เห็นเป็นดั้งจมูกโหว่ เข้าไป ไม่งามไม่มีการสวยงามธาตุแท้มันไม่ใช่งามกระดูกจริง ๆ ไม่งาม เอาให้ใครก็ไม่เอา เห็นเข้าก็ว่าผีหลอก กระโหลกผีหลอกเห็นไหมล่ะ มันหลอกลวง ไม่ให้หลง หลงให้ติดให้ข้อง ไม่ดูกระโหลกศีรษะตัวเอง

    ทีนี้กระโหลกศีรษะนี้เมื่อดูให้ทั่วถึงแล้ว ก็เอาไปตั้งไว้ที่ไหน กะโหลกศีรษะ ธรรมชาติก็เอามาก่อตั้งไว้ต่อกระดูกคอ กระดูกคอข้างบนเอามาต่อกับกระโหลกศีรษะนี้ เหมือนกับว่ากระโหลกศีรษะคนเอาไปตั้งไว้ในไม้ในโต๊ะ กะโหวกกะหวากอย่างนั้นแหละ แล้วกระดูกคนนี้เป็นกระดูกที่เลื่อนได้ เมื่อสมัยยังไม่ตายเวลาจะดูอะไรก็หมุนเอาที่คอนี่แหละ หมุนเอาที่คอนี้ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างหลัง ดูข้างหน้า เรียกว่าเลื่อนได้ กระโหลกศีรษะมันเลื่อนตามกระดูกคอไป แล้วก็ดูให้ดีกระดูกคอมันก็ต่อกันเป็นข้อ ๆ เหมือนกัน กระดูกคอข้างล่างก็ต่อ กระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็มาต่อกับกระดูกคอนี้ ดูเพียรเพ่งดู ให้รู้ให้แจ้งในจิต แล้วไม่ให้ลุ่มหลงอีกต่อไปอีก กระดูกคอ เป็นอย่างไรดูข้างหน้า ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างใน ดูข้างนอก มันว่ามันสวยงามไหมกระดูก เขาไม่ว่า จิตหลงไปว่าเขา

    ทีนี้ให้กระดูกสันหลังเป็นข้อ ๆ ขึ้นมาก็มีกระดูกเหง้าแขน ต่อจากกระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอกออกไปเป็นแขนข้างซ้ายข้างขวา ท่อนบนเป็นอย่างหนึ่งต่อกันกับแขนข้างล่าง แขนข้างล่างมีสองท่อน เพื่อไม่ให้หักง่าย ๆ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่แขนข้างบนแขนข้างล่างสองข้างเหมือนกัน ต่อลงไปก็เป็นกระดูกมือ กระดูกมือก็เป็นข้อ ๆ แล้วก็ไปต่อเป็นกระดูกนิ้วมือ กระดูกนิ้วมือก็เป็นท่อน ๆ เป็นข้อ ๆ ต่อกัน ทั้งสิบนิ้วเหมือน ๆ กัน ดูอย่าให้จิตไปที่อื่นดูกองกระดูกของตัวให้เห็นให้รู้ มีอยู่นี้ไม่รู้ไม่เห็น ไปที่ไหนจิตให้ตั้งมั่นเพียรเพ่งดู ไม่ใช่กระดูกมันดูให้จิตใจของตัวเองน่ะจิตใจดวงผู้รู้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้รู้อยู่ก็รู้อยู่นี่เพ่งดูกระดูก จนสุดกระดูกนิ้วมือดูขึ้นมาข้างบนทั้งสองข้างตามที่มันมีมันเป็นอยู่ มาถึงเหง้าแขนเหง้าแขนมันก็ต่อกับกระดูกสันหลัง กระดูกคอ กระดูกสันหลังนี้ กระดูกสันหลังก็เป็นท่อน ๆ แล้วก็มีกระดูกข้างต่อออกไปสองข้าง กระดูกข้างนั้นเป็นกระดูกป้องกันภัย อันตรายในสมัยที่ยังไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันมีแต่กระดูกหน้าอก กระดูกไหปลาร้าเราก็ว่า ถ้าเอากระดูกคอออกแล้วมันก็เหมือนไหปลาร้า กระดูกข้าง กระดูกหน้าอก กระดูกสันหลังตั้งไว้ก็เหมือนไหปลาร้านั่น กระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวไม่มีกระดูกข้างดูกระดูกสันหลัง ดูให้มันเห็น ไม่เห็นอย่าไปเคลื่อนที่ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เวลานี้ หรือเวลาเราไปนั่งคนเดียว เอาให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนในจิตของตัวเอง

    ที่แท้มันก็กองกระดูกทำไมจิตมันมาหลงยึดหลงถือหน้าของกูตาของกู ตามันไม่มี หูมันไม่มี ยึดทำไมมีเหลือแต่กระดูกเท่านี้ ใครจะมาถ่ายวิดีโอวิดีอาไม่ต้องเกี่ยว ดูกองกระดูกของตัวให้รู้ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่าไปกินข้าว นั่งภาวนาเพ่งดูให้มันเห็นอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ดูกระดูกสันหลัง เป็นท่อน ๆ ต่อกับกระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวก็เป็นกระดูกต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกก้นกบกระดูกตะโพก เขาก็ว่ามองให้เห็น กระดูกแท้ ๆ มีอยู่ไม่เห็นไม่ได้ ต้องเพ่งดูให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เรื่อยไป ทำไมเขาว่าเป็นกระดูกก้นกบ ดูให้ดีของมีอยู่ไม่ดูไม่พิจารณาจึงได้เกิดความหลง โมหะ อวิชชาไม่รู้ แล้วก็มีกระดูกเหง้าขามาต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกขาก็ต่อไปหากระดูก เข่า กระดูกเข่าก็คือว่าเป็นกระดูกที่แข้งขึ้นมาก็มาต่อกระดูกเข่า มีกระดูกสะบ้ากลม ๆ แล้วกระดูกแข้งต่อลงไปทั้งสองข้างขาแข้งเหมือน ๆ กัน กระดูกแข้งมันก็มีกระดูกสามเหลี่ยมกระดูกเล็กต่อลงไปเป็นกระดูกส้นแข้ง ข้างล่างมันต่อกับกระดูกเท้า กระดูกตีนเท้าก็คือว่าไปทางไหนมันเอาเท้าไปเรื่อย เท้าเดินเท้าหน้าไป ดูกระดูกเท้าเป็นข้อ ๆ ต่อออกไปจนถึงกระดูกนิ้วเท้า มันสวยงามที่ไหนทั้งสองข้างถ้าเอาไปยืนดู ยืนขึ้นต่อกันไว้ แขวนไว้ แล้วก็ดูซิ กระดูกนิ้วเท้า กระดูกเท้า กระดูกแข้งเป็นผีหลอกใหญ่ หลอกทั้งตัวเลย ที่จิตหลงเห็นเป็นของสวยของงาม เกิดราคะตัณหาเพราะไม่ดูกระดูกของตัวเอง จิตกิเลส จิตมัวเมา มันดูไปไม่ถูก ดูของปลอม ดูของจริงดูกระดูกซิ กระดูกมันเป็นของจริงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปไหนตั้งแต่เกิดมามันเป็นกระดูกมันก็เป็นอยู่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นกระดูกอยู่ เลยนี่ไปมันก็จะเป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น โน่นแหละจนถึงวันตายมันก็เป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น

    นี่แหละโครงร่างผีหลอก ผีหลอกของเรา อย่าไปหลอกผีตนอื่นอีก มันเป็นผีด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย คนจะเป็นชาติใดภาษาใดก็ไม่มีใครแปลกประหลาดกว่ากัน มันก็กองกระดูกนี่แหละ อย่าไปมัวคิดฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดูกองกระดูกของตัวเองให้รู้ให้เข้าใจ เวลายืนก็กองกระดูกยืน ให้เห็นอย่างนั้น ไม่ต้องมองให้เห็นเนื้อหนังมองเป็นกองกระดูก ยืนก็ผีหลอกยืน โหวกๆ หวากๆ ไปหมด มันดีอย่างไรวิเศษอย่างไร จิตนี้จึงมาหลง มันไม่ดูกองกระดูกของตัวเองจึงได้มัวเมากองกระดูก เวลานั่งสมาธิภาวนาก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนมันนั่งไม่ให้เห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง เห็นกระดูกนั่ง จะนั่งแบบไหนก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันนั่งมันยืนขึ้นก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันยืนขึ้น ยืนอยู่ ทั้งนี้มันเดินไปมาที่ไหนก็ดูมันเดิน มันจะเอากระดูก ๓๐๐ ท่อนนี่แหละเดินโทกเทกๆ ไปมา เดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหลัง เดินไปข้างซ้ายข้างขวา นี่แหละดูกระดูกให้มันเห็น มันอยู่ในอิริยาบถใดก็ดูตามความเป็นจริงในอิริยาบถนั้น มันเดินเป็นยังไง ดูมันขึ้นบนลงล่าง ไปไหนมาไหน ก็เห็นกระดูกมันเดินไปยังงั้นแหละ ระวังกระดูกมันจะหัวเราะให้ดู เวลากระดูกมันหัวเราะคางมันอ้าขึ้นมา ดีใจก็หัวเราะแฮก ๆ กระดูกน่ะเสียใจก็ร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหล ถ้ายังไม่ตาย ถ้ายังเหลือแต่กระดูก มันแห้งไม่มีน้ำตา ร้องไห้เป็นที่ไหน มันร้องไห้ก็ให้ดูกระดูกมันร้องไห้ ดูตั้งแต่กระโหลกศีรษะลงมา กระดูกคอ กระดูกแขนกระดูกสันหลัง กระดูกข้าง กระดูกขา กระดูกเท้า กระดูกนิ้วเท้า หมดจากมันเดินแล้วมันก็จะมานั่ง นั่งก็ดูมันนั่ง นั่งมันเอาอะไรลงก่อน กระดูก ๓๐๐ ท่อนนั้นแล้วมันเป็นยังไง นั่งพับเพียบแล้วมันเป็นอย่างไรกระดูก ๓๐๐ ท่อนนี้ นั่งคุกเข่ามันเป็นอย่างไรกระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูมันทุกอิริยาบถเมื่อนั่งมันนาน ๆ มันเหนื่อยมันก็จะนอน กระดูก ๓๐๐ ท่อนมันนอนนอนก็ดูมันตั้งแต่กระโหลกศีรษะจนถึงปลายเท้า กองกระดูกระนาวไปหมดจิตอย่าได้มาหลง ไม่ต้องมาหลงเนื้อหลงหนังของมนุษย์ ดูกองกระดูกของตนให้มันทั่วถึง ให้มันได้ทุกขณะที่กระดูกมันเคลื่อนไหวไปมา นอนมันหลับไป หลับไปสักพักคนมันยังไม่ตายก็ตื่น ตื่นขึ้นมากระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันเดิน กองกระดูกมันยืน กองกระดูกมันนั่ง กองกระดูกมันนอน กองกระดูกมันถ่าย กองกระดูกมันพูดจาปราศรัย หัวเราะ ร้องไห้ อะไรต่อมีอะไรจิปาถะ กองกระดูกมันแสดงบทบาททั้งนั้น เอาให้มันเห็นเงากองกระดูก ไม่ต้องเห็นเงาหน้าตาคนธรรมดา เขาฉายถ่ายวิดีโอก็ถ่ายเอากองกระดูกนี่แหละ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะเป็นของดีของวิเศษเกินกระดูกไปได้ไม่เกินตาย ตายแล้วมันก็กระดูกอ่อนอย่างนี้แหละ จิตหลงจิตมาร จิตกิเลส จิตไม่รู้ จิตอวิชชา ตัณหา จิตตาบอด จิตมันเป็นนะโมตาบอด คือสิ่งที่มันเป็นจริงอยู่ไม่ดู ไม่เห็น เรียกว่าตาบอด ตาอวิชชาตัณหา ตาราคะ ตาโทสะ ตาโมหะ มันไม่เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันชอบ ดูให้มันเห็นแจ้งให้มันเข้าใจในใจของตัวเอง เมื่อไม่เห็นกระดูกของตัวเองก็เรียกว่าฟังธรรมก็ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่เห็นของจริง ถ้าเพ่งให้เห็นกระดูก ๓๐๐ ท่อน นับได้ให้มันเหมือนพระพุทฺทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์นับได้ ๓๐๐ ท่อน มันอยู่ที่ไหนบ้างมีอยู่ในร่างกายนี้แหละมีอยู่ในกองกระดูก ดูกองกระดูกของตัวเองตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันแตกตายไม่ให้มันหลงใหลไปได้

    นี่แหละอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วตั้งสองพันปีกว่า จิตใจคนเราก็ยังไม่สนใจ ยังไม่เอามาคิดมาอ่านโลเลไป โลเลอยู่ โลเลกิน โลเลนอน โลเลไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ไม่พิจารณาอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง ก็มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาไข้ มาตายก็เพราะแบกกระดูก ๓๐๐ ท่อนไม่รู้จักปล่อยวางให้โลกเขาสับมะกอกอยู่ทุกวันทุกคืน ให้เขาด่าอยู่ทุกวัน ทุกคืน ไม่เห็นไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาเอาค้อนตีหัวตีกระโหลกศีรษะก็ตีกองกระดูก ช่างมันที่สุดมันก็ตายแหละ อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีกเกลียดชังใครก็อย่าไปฆ่าอย่าไปแกงกัน กองกระดูกไม่ถึง ๑๐๐ ปีมันก็ตายแล้ว ๙๙ ปียังไม่เต็มก็ตาย เหมือนหลวงปู่แหวนเราน่ะ ตายแล้วก็เห็นไหม อยู่ในหีบนั่น เขาถ่ายรูปไว้ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชหมดเรื่อง พวกเรายังอยู่ตัวเรายังอยู่ก็เหมือนกัน
    ดูกระดูกให้มันเห็นชัดเห็นแจ้ง พระก็สมมติเณรก็สมมติ ผ้าขาวก็สมมุติ มันก็กองกระดูก นั่นแหละ หญิงก็กองกระดูกชายก็กองกระดูก คนชาติใดภาษาใดก็กองกระดูก ไปหลงกองกระดูกมันทำไม โหวก ๆ หวาก ๆ ไม่เห็นมันสวยมันงามที่ไหน ทำไมจึงไม่กำหนดพิจาณา ต้องกำหนดพิจารณา ดูให้มันเห็นแจ้งด้วยสติด้วยสมาธิปัญญา เห็นแจ้งในจิตในใจของตัวเองจนไม่ต้องไปถามคนอื่นว่ากระดูกตรงไหนมันเป็นอย่างไร คือยังไม่ดูไม่พิจารณา ถ้าดูพิจารณาแล้วมันเห็นแจ้งเห็นชัดในหัวใจของตัวเองไม่ต้องไปถามใคร ข้ารู้หมดนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรู้ เจ้าสังขาร มาสร้างกองกระดูกให้เราตถาคตลุ่มหลงมัวเมามาอย่างนี้ตั้งแต่อเนกชาติแล้ว ต่อไปเจ้าสังขารจะไม่ได้สร้างอีก เราได้ทำลายแล้ว ทำลายอวิชชาจิตไม่รู้ พระองค์ทำลายฆ่ามัน พระองค์เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนแล้วจิตใจของพระองค์ก็ไม่หลงเพลินเพลินในกองกระดูก นั่งก็ไม่หลงกองกระดูก กระดูกคนอื่นก็ไม่หลง กระดูกตัวเราก็ไม่หลง กินก็กระดูกมันกิน พูดก็กระดูกมันพูด เอาให้มันทันกองกระดูก พิจารณากองกระดูกของตัวให้มันเข้าใจ ให้มันเห็นแจ้งเห็นชัด เหม็นหอมมันก็มาจากระดูกมันมีสมัยเมื่อยังไม่ตาย ยังไม่เป็นกองกระดูก เหม็นก็อยู่นี่ หอมก็อยู่นี่ กินถ่ายอยู่ตลอดวันตาย ตื่นเช้าก็แสวงหาอาหารมากิน กินเข้าไปเลี้ยงกองกระดูก กินแล้วก็ถ่ายเทออกมา ดีวิเศษอะไรจิตให้รู้ให้เข้าใจภาวนาดูให้เข้าใจ ละกิเลสโลเล จิตใจโลเลออกไปให้หมด เป็นจิตที่แน่วแน่เพียรเพ่งดูให้มันทะลุปรุโปร่งตามความเป็นจริง ของจริงและกระดูกจริงอย่างนั้นถ้าไม่เห็นมันก็ยังหลงของปลอมนี่อีก ถ้ามันรู้มันเห็นแจ้งว่าอัฏฐิกังกระดูก ๓๐๐ ท่อน พระพุทธเจ้าสอนให้ดูให้รู้แจ้งในใจ จึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาต่อไป ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน มันก็มาวนอยู่เข้าใจว่าเป็นสวยของงามไป สวยที่ไหนงามที่ไหน ผีหลอกทั้งเพ ผีหลอกตั้งแต่กระโหลกศีรษะลงมาจนถึงปลายมือปลายเท้า ผีหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชายพิจารณากองกระดูกตัวเองให้รู้ อย่าให้หลงใหลต่อไป

    อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูให้แจ้ง ดูให้เห็น กำหนดให้ได้ กำหนดให้ได้ทุกเวลา กระดูกกำหนดไปถึงไหนถึงวันตาย ตายเมื่อใดก็ดูกระดูก ๓๐๐ ท่อนมันไป นั่งก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน ไปหลงมันทำไม พูดก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนไปหลงมันทำไม ถ่ายภาพถ่ายรูปก็เงา ไปหลงเงาทำไม เงากระดูก เหตุไม่ดูกระดูกของตัวเอง จึงได้หลงกองกระดูกคนอื่น เดี๋ยวนี้เวลานี้ให้ดูกระดูกของตัวเอง ดูจนนับได้ อ่านได้ด้วยตนเอง จึงเรียกว่าพิจารณา ถ้าไปถามคนอื่นบอกมันเรื่องของจริงมันอยู่ที่กระดูก เห็นแจ้งกระดูก กระดูกเขา กระดูกคนทั้งโลกก็เหมือนกัน จะไปทะเยอทะยานวุ่นวายไปทำไม เมื่อมันถึงขั้นตายเป็นกองกระดูกแล้วมันหาบสมบัติในโลกไปได้กี่ชิ้น กี่อัน ไม่มีอะไรก็ทิ้งเปล่า ๆ อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อนทั้งหมดละ ตายเมื่อใดมันเอาอะไรไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน จิตมันก็โลเลไม่ตั้งมั่นเที่ยงตรง


    นี่แหละเราท่านทั้งหลาย อัฐิกับกระดูก ๓๐๐ ท่อน ต่อไปภายหน้าอย่าได้มีความลุ่มหลงมัวเมา ให้กำหนดให้ทั่วถึงรอบคอบทุกชิ้นทุกอัน แล้วก็จะต้องกำหนดอยู่จนถึงวันสิ้นชีวิตจึงจะเข้าใจในธรรมปฏิบัตินี้ ดังแสดงมาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30> TopicPic-070506091409902.jpg</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-070506091409902

    โดยคุณ "เนาว์สถิตย์"
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ่านธรรมะ ของหลวงปู่สิมย้อนไปย้อนมาแล้ว ใจเย็น ใจสบายดีชะมัด พอเข้าไปอ่านข้อความในบอร์ดต่างๆ ร้อนรุ่ม บางกระทู้ไฟแทบลุกท่วม คงต้องวานให้หลายท่านเข้ามาโพสท์บทความธรรมะดีๆ ช่วยดับร้อนกันที ลำพังผม หรือกรรมการฯ ท่านอื่นๆ บางทีก็ตื้อเหมือนกัน เหมือนคนดู กับคนเล่นหมากรุกคนเล่นมีจิตใจจดจ่อเพียงหมากในกระดาน แต่คนดูมองเห็นได้รอบด้านกว่า ยังไงๆ ช่วยกันหน่อยเน้อ...อย่างน้อยธรรมทานในครั้งนี้น่าจะเป็นผลบุญกับตนเองได้ไม่มากก็น้อย ขอสาธุล่วงหน้า

    พันวฤทธิ์
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระสมเด็จปูนสอ เป็นชื่อเรียกพระในสกุลนี้ทั่วๆไป แต่ถ้ามีเส้นสายฟาผ่าพาดอยุ่ในองค์พระ ก็จะเรียกชื่อเฉพาะว่า "สมเด็จอัศนี"
    ดังตัวอย่าง แต่ต้องขออภัยไม่มีกล้องถ่ายรูปเลยใช้สแกนเอาภาพจากองค์จริงอาจไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือ ปู่เล่าให้ฟัง

    [​IMG]

    ต้องขอนำภาพพระพิมพ์สมเด็จอัศนี หรือสมเด็จสายฟ้าฟาด ที่กดพิมพ์ยามฟ้าผ่าเช่นในองค์ที่มีรอยสายฟ้าด้านบนแถวแรกขวาสุด และเคยนำมาลงในกระทู้นี้มาลงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นสุดยอดแห่งการกดพิมพ์และการเสกและหายากมากๆ กฤติยาคมประกอบด้วยบู๊และบุ๋น ขนาดฟ้าผ่ายังไม่กลัว เรื่องปืนไม่ต้องพูดถึง หากอยู่ตามวังเจ้านายก็จะเรียกว่าพระพิมพ์สมเด็จเจ้าฟ้า หากอยู่ตามกรุที่วัดเช่นวัดกลางคลองข่อย ก็จะเรียกว่าพระพิมพ์สมเด็จอัศนีวัดกลางคลองข่อย เป็นต้น จริงๆ ประวัติการเสกและการสร้างมียาวเหยียด คงต้องให้นายสติช่วยสงเคราะห์อธิบายให้อีกครั้งนึง ไว้รอโอกาสเหมาะนิดนึง หรือว่างๆ จะลงให้เป็นความรู้กัน
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มาคลายจิตด้วยเสียงเด็กน้อยกันหน่อย

    http://palungjit.org/showthread.php?t=83891



    ร่วมสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามดำริของ หลวงปู่อ่อนศรี ศิษย์หลวงปู่มั่น
    http://palungjit.org/showthread.php?t=118515
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2008
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    แจ้งผู้ทำบุญเพิ่มเติม

    คุณสำรวม , คุณรัดเกล้า ,คุณอรอุมา ศิริมาตร
    คุณถวัลย์ศักดิ์ จิตพิศิฐชัย
    คุณธวัชชัย คลองสกุล
    รวม5ท่าน 600 บาท

    โมทนา สาธุ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2008
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ สำหรับงานกิจกรรมของทุนนิธิฯ ที่ รพ.สงฆ์เมื่อวานนี้ 23/3/51 มีผู้ไปร่วมงานหลายท่าน รวมถึงสมาชิกท่านใหม่เช่นคุณ teerin, 16, khongbeng บางท่านก็พาครอบครัวไป เดี๋ยวคงต้องดูรูปกันอีกทีนึง
    จำนวนพระที่ถวายภัตตาหารทั้งหมด มีจำนวน 195 รูป 4875.-บาท
    เงินบริจาคซื้อเลือด 7700.- บาท เงินบริจาคซื้อยา วัสดุด้านการแพทย์ส่วนกลาง 7700.- รวมเป็นเงิน 19875.- บาท เดินกันทั้งตึก เหนื่อยดี แต่ได้ฟังเสียงท่านโมทนาบุญ ให้พรแล้ว ชื่นใจ รายละเอียดทั้งหมดคงต้องทยอยลงให้ทราบ ผมในนามประธานคณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอขอบคุณทุกท่านทีได้ร่วมทำบุญมาในครั้งนี้ ท่านจะมาได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร ได้บุญซึ่งเป็นทิพย์เช่นกัน เช่นครอบครัวคุณพรรณศิริ, น้องกระเทียม, คณโชค หรือน้องอะไรอีกคนที่เดือนนี้เป็นเดือนเกิดคุณพ่อ หรือคุณthanya123 และ thanyaka และท่านผู้อื่นอีก ฯลฯ เสร็จแล้วนำบัญชีที่ได้รับโอนส่งให้พี่ใหญ่โมทนาบุญฝากท่านองค์ใหญ่ข้างบนไว้อีกทีนึงตอนจบ เรียบร้อยครบถ้วนตามแบบฉบับของทุนนิธิฯ ครับ หวังว่าในเดือนถัดไป สมาชิกในกระทู้ท่านอื่น คงจะได้มีโอกาสเจอหน้าเจอตากันน๊ะครับ เดือนหน้าก็สงกรานต์แล้ว ผมจะพยายามหาบทความของสงกรานต์ เรื่องความรักของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาลงเตือนกัน เพื่อย้ำเตือนให้เห็นถึงคุณงามความดีของท่าน จะได้กลับไปรดน้ำท่าน ไปกราบท่าน ครับ ผมเองก็ทำเช่นนี้ทุกปี พาครอบครัวลูกๆ ไปอาบน้ำพ่อแม่ผมน้ำอบผสมดอกมะลิสด หอมชะมัด ให้พวงมาลัย ถูสบู่ ขัดขี้ไคล เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้ แค่นี้ก็น้ำหูน้ำตาไหลท่วมแล้ว แถมให้ศีลให้พรไม่หยุด เราทำให้เด็กๆ เห็น เผื่อเราแก่ ก็หวังว่าเขาคงทำกับเรา เหมือนอย่างที่เราทำครับ เคยเห็นบางคนไปอาบน้ำ รดน้ำให้คนอื่น แต่ลืมพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ขอบตนเองซะฉิบ ใกล้เกลือกินด่างครับ เพราะพ่อแม่ก็คือเนื้อนาบุญของลูก ใครจะทำบุญกับพ่อแม่เรา บุญจะสู้เท่ากับเราทำเองไม่ได้ครับ


    พันวฤทธิ์
    24/3/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2008
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ภาพกิจกรรม การสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ครั้งที่ 4 ประจำเดือน มีนาคม

    เริ่มนัดพบกันประมาณ 7 โมงเช้า บริเวณร้านอาหารของโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อจัดเตรียมอาหารและ นำของที่จะถวายสงฆ์จากผู้มีจิตศรัทธามาแบ่งเป็นชุดๆ ให้ได้ 200 ชุด

    [​IMG]

    จากนั้นก็นำไปที่ตึก กัลยาณิวัฒนา เพื่อถวายแด่สงฆ์อาพาธ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2008
  8. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นนำอาหารมาให้ทั้งหมดโมทนา ก่อนนำไปถวายเป็นมหาสังฆทานกับสงฆ์อาพาธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2008
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    นายสติหรือพี่ปุ๊ รองประธานทุนนิธิฯ กล่าวนำอาราธนาศีลและกล่าวคำถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2008
  10. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    เริ่มถวายอาหารแด่ พระสงฆ์ชุดแรก หลังจากกล่าวคำถวายสังฆทาน
    [​IMG]

    พระสงฆ์ชุดแรกเริ่มให้พร กับคณะทุนนิธิฯที่ได้ถวายสังฆทานแล้ว
     
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    จากนั้นก็แยกย้ายกันไปถวายอาหารแด่พระสงฆ์ที่อาพาธ หนูน้อยคนนี้ บุตรสาวท่านประธานทุนนิธิฯ มาทุกทีไม่เคยขาด

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ไว้ตอนเย็นมาชมภาพอื่นๆต่อกันครับ
     
  12. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    ปลื้มครับ
     
  13. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    Sa tue Boon ka':)

    I saw all this picture make me feel so warm in my heart ,make my eyes full of tear, but tear from happiness:) Sa tue ,Sa tue ka:)

    Tanya klyne and family
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระท่านจะให้พร กับคณะที่มาถวายอาหาร ตลอดการถวาย
     
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เสร็จจากการถวายอาหารก็ไปร่วมกันที่จุดรับบริจาคเพื่อทำการ บริจาคเงินช่วยค่าเลือด และ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโรงพยาบาลสงฆ์

    [​IMG]

    [​IMG]

    ระหว่างนั่งรอ การบริจาคเงินก็รวมกัน แลกเปลี่ยนหาความรู้เรื่องธรรมะกับพี่ใหญ่
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    เงินที่ทำการบริจาค ค่าเลือด และ อื่นๆ ในงวดนี้ประมาณ หมื่นห้าพันกว่าบาท ครับ
    [​IMG]

    นายสติ รองประธานฯ นำเงินไปชำระค่าอาหารกับพี่เจ้าของร้าน ผู้ใจดี ใจบุญ ทั้งลดราคาค่าอาหารเลี้ยงพระ และ เลี้ยงอาหารคณะที่มาในวันนั้นจนพุงกางไปตามๆกัน

    [​IMG]

    ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ก็มาถ่ายรูปหมู่ ไว้เป็นหลักฐานในการกระทำความดี เพื่อพระศาสนา ใบหน้ายิ้มแย้มกันทุกๆท่าน ทั้งที่ตื่นกันแต่เช้า บางท่านมาจากต่างจังหวัด เพื่อทำบุญกับทุนนิธิโดยเฉพาะ

    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับทุกๆท่านครับ
     
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ภาพพระสงฆ์อาพาธ ที่รอเราท่าน สงเคราะห์ เป็นเนื้อนาบุญที่พระพุทธองค์ รองรับว่าเปรียบดังอุปฐากพระองค์ เราจะไม่เสียสละเวลา หรือ สละปัจจัย เพื่อบุญอันบริสุทธิ์และมากด้วยบารมี เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนำไปสู่ภพภูมิที่ประเสริฐยิ่งๆขึ้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระท่านนี้ ผมเป็นคนถวายอาหารท่านกับมือ ท่านไม่สามารถยกอาหารไปวางไว้ที่อื่นๆได้ แต่ท่านก็พยายามรับอาหารจากเรา วางไว้บนอกท่าน เพื่อให้เราได้บุญกับท่าน ท่านพยายามสื่อกับผมว่าไว้ตรงนี้แหละไม่เป็นไร

    [​IMG]

    พระท่านนี้ ไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้สะดวก แต่ด้วยความเป็นพระที่เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐกับโลก ท่านพยายามให้พรกับคณะทุนนิธิฯ ให้ได้บุญกันทั่วหน้า ผมขอนำมาให้ชมกันเท่านี้ครับ เพราะพิมพ์ไปน้ำตาจะไหล ไม่ทราบเป็นอย่างไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2008
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  19. Da_li

    Da_li เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +1,223
    เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาก็ไปทำบุญที่ รพ.สงฆ์มาค่ะ
    เสียดายเข้ามาอ่านกระทู้นี้ช้าไปหน่อยค่ะ
    ไม่อย่างนั้นคงขอไปร่วมบุญด้วยคน....

    ขออนุโมทนาบุญในกุศุลครั้งนี้กับทุกท่านด้วยค่ะ...สาธุ (i)
     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ไว้โอกาสหน้าคงได้ร่วมบุญกันครับ ทางทุนนิธิฯจะทำบุญเช่นนี้ทุกเดือน โดยจะแจ้งให้ทราบว่าเป็นวันใด ติดตามอ่านได้ในกระทู้ครับ

    อย่างไรก็ขอ โมทนา ด้วยครับ ที่ได้ไปทำบุญกับสงฆ์อาพาธเช่นกัน ไม่ว่าจะทำกับทางทุนนิธิฯหรือไปทำเองก็บุญยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...