กฎของกรรม......บุพกรรมของคน 3 คน ตอนที่5

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 18 มีนาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ กฎแห่งกรรม กับบรรดาภิกษุพวกที่สอง ที่ปรารภถึงภรรยานายเรือแล้วบรรดาภิกษุทั้ง 7 รูปจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าที่พวกข้าพระพุทธเจ้า ต้องติดอยู่ในถ้ำถึง 7 วันเพราะอาศัยหินใหญ่นั้น ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น กลิ้งทับอยู่ที่หน้าถ้ำ คน 7 ตำบล ก็มีจำนวนไม่น้อยก็ไม่สามารถจะนำหินให้เคลื่อนได้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ช่วยกันดันหิน หินก็ไม่เขยื้อน ต้องอดอาหาร ทรมานร่างกายอยู่ถึง 7 วัน
    เมื่อครบ 7 วันแล้ว หินนั้น ก็เคลื่อนไปเฉยเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ขององค์สมเด็จพระผู้พิชิตมาร พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดมีพระมหากรุณาธิคุณ สงเคราะห์บอกกรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าข้า
    องค์สมเด็จพระมหากรุณา จึงได้มีพระพุทธ ฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนี้มีอยู่ เรากล่าวให้ฟัง ในอดีตกาล มีเด็กเลี้ยงโค 7 คน เป็นชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ 7 วันในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง (หมายความว่า ไปเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ บ้านไม่ไกลนัก ไปครั้งละ 7 วัน จึงกลับ)
    วันหนึ่ง เที่ยวเลี้ยงโคแล้ว กลับมาพบตัวเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง ( เวลากลับจากเลี้ยงใกล้ บ้านไม่ไกลนัก ไปครั้งละ 7 วันจึงกลับ)
    วันหนึ่งเที่ยวไปเลี้ยงโค กลับพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง ( เวลากลับจากเลี้ยงโค พบเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เห็นเหี้ย ก็เลยอยากจะกินเนื้อเหี้ย ) เจอะเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงได้พากันไล่ตาม เหี้ยหนีเข้าไปสูจอมปลวกแห่งหนึ่ง เหี้ยมันกลัวตาย และจอมปลวกแห่งนั้น ก็มีช่วงอยู่ 7 ช่อง เหี้ยตัวนั้นเข้าในช่องใดช่องหนึ่งแล้ว ก็อาจจะออกช่องใด ช่วงหนึ่ง ก็ได้ เพราะจอมปลวกมี 7 ช่อง ศูนย์กลางข้างในโพรง (หมายถึงเป็นทางออกได้ เป็นทางเข้าได้)
    บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นปรึกษากันว่า บัดนี้พวกเราไม่สามารถจะจับตัวเหี้ยได้แล้ว มันเข้าไปอยู่ในช่องจอมปลอก วันพรุ่งนี้เราจึงมาจับมน ปรึกษากันอย่างนี้ ต่างคนต่างก็ถือกิ่งไม้ ที่หักคนละกำสองกำ รวมกันทั้ง 7 คน ก็พากันอุดช่อง โพรงจอมปลวกนั้น 7ช่อง ด้วยกัน คนละช่องๆให้ตัวเหี้ยออกมาไม่ได้ พออุดแล้วก็ กลับไป
    ในวันรุ่งขึ้น เด็กทั้งหลายนั้นก็ลืม ไม่ได้นึกถึงเหี้ยตัวนั้นเลยเพราะว่าเวลามาเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เลี้ยงคราวละ 7 ตัว คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมา เธอ ไม่ได้นึกถึงตัวเหี้ยนั้นเลยเพราะว่าเวลาเธอมาเลี้ยงควาย เลี้ยววัว เลี้ยงคราวละ 7 วัน คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมาเธอก็ลืม และต้อนโคไปที่อื่น เธอก็ไม่ได้นึกถึงตัวเหี้ย
    ครั้นวันครบที่ 7 พาโคกลับมาบ้าน เมื่อจอมปลวกอันนั้นกลับมาคิดได้ว่า เราอุดตัวเหี้ยไว้ในโพรงจอมปลวก อันนี้ เจ้าตัวเหี้ยตัวนั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ตั้ง 7 วัน ตายแล้วหรือยัง ก็ไม่รู้ ตั้ง 7 วันแล้วจึงได้พากันไปเปิดช่องที่ตนอุดไว้ 7 ช่องด้วยกันคนละช่องๆ
    สำหรับตัวเหี้ยที่อยู่ในโพรงนั้น มันอดอาหารตั้ง 7 วัน ก็หมดอาลัยในชีวิตเหลือแต่กระดูก และหนัง คลานสั่นออกมา ( หมายความว่าหมดเรี่ยวหมดแรง ตัวผอมลงไป เพราะการอดข้าวอดอาหาร อาหารไม่มีน้ำไม่มีจะกินมันหมดอาลัยให้ชีวิต คิดว่า คราวนี้ตายแน่ หมดอาลัย เวลาที่เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเปิดช่อง เห็นโผล่ มีช่องพอจะออกได้ ก็เดินออกมา ด้วยความหมดเหี่ยวหมดแรง ) เด็กทั้งหลายเหล่านั้น เห็นดังนั้นแล้วจึงทำความเอ็นดู พูดกันว่า ทีแรกเจ้าเหี้ย ตัวนี้มันมีหนังหุ้มกระดูก ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเราจะฆ่ามันให้มันตาย เอาเนื้อไปกิน เนื้อมันไม่มี ทั้งนี้ก็เพราะว่า มันอดเหยื่อ ของมันถึง 7 วัน จึงได้ แสดงความรักในเหี้ยนั้น เกิดความสงสาร จึงได้ลูบหลังเหี้ยตัวนั้นแล้ว แล้วก็ปล่อยมันไป เวลาเขาจะปล่อย ไป เขาก็บอกกับเหี้ยว่าจงไปตามสบาย ของเจ้าเถิด
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสต่อไปว่า ภิกขฺเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องตกนรกก่อนเพราะไม่ได้ฆ่าตัวเหี้ย หมายความว่า เด็กทั้งหลายเหล่านั้น ที่ทรมานตัวเหี้ย นั้นไม่ต้องตกนรก ไม่เหมือนกับกา ไม่เหมือนกับภรรยาของนายเรือ (ท่านบอกว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ต้องไหม้อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ยนั้น) แต่ชนทั้งหลายเหล่านั้น 7 นั้น คือบรรดา 7 นั้น ได้เป็นผู้อดข้าว อดน้ำ ตลอด 7 วัน มาถึง 14 อัตภาพ (หมายความว่า เกิดมาแล้ว 14 ชาติแล้ว )
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขฺว่า ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น พวกเอได้เป็นเด็กเลี้ยงโค( หมายความว่า พระ 7 องค์นั้น เป็นเด็กเลี้ยงโค ) ได้ทำกรรมนั้นแล้ว ในกาลนั้น เป็นอันว่า องค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ปัญหา อันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลถามแล้ว ด้วยประการ ดังนี้
    นี่แหละ บรรดาพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่า กฎของกรรมในชาติก่อนเราไม่สามารถจะเห็นได้ สำหรับเรื่องนี้ยังไม่จบ เหลืออีกนิดหนึ่ง
    ในขณะนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง กราบทูล ถามองค์สมเด็จสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาป ไว้แล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นอยู่ในมหาสมุทรก็ดี เข้าไปอยู่ในซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือประการใดพระพุทะเจ้าข้า หมายความว่า ภิกษุนี้สงสัยว่า คนที่สร้างกรรมชั่วแบบนี้ ถ้าเขาจะเหาะไปในอากาศ หรืองนั่งเรือไปในทะเล หรือหนีเขาซอกเขา เขาจะหนีได้ไหม พระเจ้าข้า ( พระรูปนี้ท่านก็ถามแปลกท่านคิดว่า กรรมเป็นวัตถุ หรือกรรมเป็นไล่ติดตาม หรือกรรมเป็นผีติดตาม แต่ความจริงกรรมนั้น เป็นความชั่วที่ติดตาม กาย ถ้าใจของเราไปอยู่ที่ไหน มันก็ไปด้วย เธอไม่ได้คิด ) ต่อไปขอได้โปรดฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ท่านตอบว่าอย่างไร
    ในขณะนั้น องค์สมด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้พระพุทธฎีกาตรัสว่า อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย หมายความว่า แม้คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะอยู่ในอากาศก็ดี หรือจะไปในทะเล มหาสมุทรก็ดี จะอยู่ซอกแห่งภูเขาลำเนาไพร ที่ไหนก็ดี กรรมทั้งหลาย เหล่านั้น ย่อมติดตามเขาไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พึงสามารถจะพ้นกรรมชั่ว ไปได้ เมื่อทรงสืบอนุสนธิพระธรรมเทศนา พระองค์จึงตรัสบาท พระคาถาว่า
    คนที่ทำกรรมชั่วไว้ จะหนีไปในอากาศก็ดี ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้ หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วที่ตนทำไว้แล้ว จะหนีเข้าไปสู่ซอกภูเขาก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วที่ตนทำไว้แล้ว ทั้งนี้เพราะ เขาอยู่ในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วนั้นได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้นหามีอยู่ไม่<O:p</O:p
    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาจบพระธรรมเทศนา บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ก็ได้บรรลุมรรคผล มีพระโสดาบัน เป็นต้น พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีประโยชน์ แม้แต่มหาชนผู้ประชุมกัน ทั้งนี้หมายความว่า เวลาที่ พระพุทธเจ้าเทศน์ หรือเวลาที่พระทั้งหลาย ส่วนใหญ่ เข้าไปนั่งรอฟังเทศน์อยู่เมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูทรงแสดงเทศนา แก้ปัญหากฎของกรรม 3 ประการ คือ
    กรรมของกา เอาคอเข้าไปคล้องเสวียนไฟ<O:p</O:p
    กรรมของหญิงผู้เป็นภรรยาของนายเรือ ถูกถ่วงน้ำ<O:p</O:p
    กรรมของบรรดาภิกษุ ทั้งหลาย เหล่านั้น ผู้ถูกขัง 7 วัน<O:p</O:p
    ต้องอดอาหารเกือบตาย
     
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    เมื่อ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแก้ปัญหา ก็เกิดธรรมปิติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง ในที่สุด เขาทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งพระ ทั้งก็ฆารวาสก็พากันบรรลุมรรคผล เป็นอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้นเป็นจำนวนมาก
    นี้แหละ บรรดาพุทธบริษัท การนำเอากรรมทั้งหลายเหล่านี้ มาแสดงให้แก่ท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ ก็เพราะว่า เวลานี้ มีคนส่วนใหญ่ เคยปรารภให้ฟังว่า ชาตินี้ทำความดีทุกข์อย่าง แต่ทำไมจึงเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ คือมีทุกข์หลายประการเข้ามาเบียดเบียน หากว่าท่านได้สดับเรื่องนี้แล้ว ก็จงหวนนึกถึงตัวของท่านว่า ความสำคัญที่ทำให้เดือนร้อนให้เกิดขึ้น อาจจะเป็นแห่งกรรม คล้ายๆกับท่านทั้งสาม ที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ได้
    สำหรับตอนนี้ ก็ต้องขอยุติเรื่องราวกฎของกรรม ของคน 3 คนไว้ ณ ที่นี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนาชนทุกท่าน สวัสดี

    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี<O:p</O:p




    อ่านจบแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลด้วยนะครับ<O:p



    คำอุทิศส่วนกุศล
    โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี<O:p</O:p



    อิทังปุญญะผะลังผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราชขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดีเสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับ<O:p


    http://teporrarit.hi5.com
    <O:p</O:p
    http://buraphatic.hi5.com
    <O:p</O:p
    <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...