วันสิ้นยุคเป็นปี 2030,กับข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นจักรวาลมีข่าวมาแจ้ง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 6 มีนาคม 2008.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การสวดมนต์ นั่งสมาธิ รักษาศีล ทุกวัน ไม่เพียงพอต่อการรอดจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นภายใน 40 ปีหาร 2 นี้ได้ ข่าวสารจากอาจารย์วันที่ 12 กรกฏาคม 2552ขอ 20 ล้านคนไทยรู้เรื่องที่อาจารย์สื่อสอนอยู่นี้ครับ

    วันสิ้นยุคถูกกำหนดเป็นปี ค.ส. 2030 ครับ จะเกิด 56 วัน 7 ราตรี จากนั้นอีก 5 ปี จะได้พบเจอพระศรีอริยะเมตตรัย จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ยุคแห่งศรีวิไล
    จากนี้ไปถึง ปี 2030 มนุษย์ทุกคนจะต้อง เจอกับ
    ภัยต่างๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
    เจ้าสำนักต่างๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ใครที่ยังหลงงมงายเชื่ออยู่ก็จะรู้จะเห็น
    ภัยเศรษฐกิจจะไม่มีวันฟื้น
    ทุกอย่างจะค่อยๆเดินเข้าสู่จุดเริ่มต้น
    เชื้อโรคต่างๆจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการดัดแปลงของเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่หวังยึดโลกเรา
    ความแตกแยกของเผ่าพันธ์มนุษย์จะมากขึ้นๆๆๆๆๆ เพราะการแก้แค้นเอาคืนของเจ้ากรรมนายเวร

    เจ้ากรรมนายเวรจะมาแบบหลากหลายรูปแบบมากขึ้น

    ทำไมต้องเกิดภัยพิบัติ ต่างๆทั่วโลก หาอ่านได้ในนี้นะครับ

    คำถาม และ ตอบ เรื่องธรรม กับจักรวาล โดย อ.ปริญญา ตันสกุล


    คำถาม :วิชาอะไรที่ควรเรียนเพื่อเสริมสร้างความสมดุลทางจิต เพื่อเสริมสร้างพลังทางจิตให้เกิดความสมดุล

    คำตอบ : เรียนวิชาอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับจิตแต่ต้องให้จิตเกิดความสมดุล ในคำสอนยุคพระพุทธเจ้า คือ การปฏิบัติสมาธิเพื่อให้จิตมีพลัง จิตมีพลังเท่านั้นจิตมนุษย์ถึงจะสมดุลได้ เพราะจิตมนุษย์ทั้ง 189 ดวง จะแบ่งแยกหน้าที่อยู่โดยกลไก ของธรรมชาติ เราจะต้องดับกลไลของจิตแต่ละดวงให้ได้เสียก่อน เพื่อที่จะทำให้มันเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ คนที่จิตขาดความสมดุล คือขาดความเป็นหนึ่งเดียว เราต้องพยายามทำให้จิตมีพลัง ให้มันสั่นสะเทือนในเรื่องเดียว เราต้องพยายามทำให้จิตมีพลัง ให้มันสั่นสะเทือนในเรื่องเดียวกัน สามารถควบคุมมันได้ โดยพระพุทธเจ้า ใช้วิธี สมถะกรรมฐาน เป็นอันดับแรกในการสอน แต่ทำสมถะกรรมฐานแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะเราบังคับให้มันสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียว แต่หน้าที่ของมัน ความชำนาญของมัน แต่ละดวงมันยังอยู่เราต้องโมดิฟาย(ปรับ)มัน ด้วยเรื่องทำวิปัสสนากรรมฐานนั่นคือ ทำสมาธิ

    จิตหยาบ : คือ จิตที่ยึดติดกับตัวตน ติดยึดกับนามรูป พลังงานที่คุณฝึก ที่คุณมองเห็นที่ฝึกจิตของคุณ นั่นคือ จิตติดยึดกับนามรูปตายแล้วมีปัญหา เพราะจะถ่ายทอดไปสู่จิตวิญญาณของคุณ จิตวิญญาณคุณจะเกิดอาการหลงมิติ ความรู้สึกหยาบ ไม่หยาบ ความรู้สึก รู้เห็นเป็นรูปร่างมันสามารถทำให้เมอคะบาร์ ที่เป็นเปลือกนอกของรูปธรรมจิตวิญญาณของคุณ สร้างภาพมายาขึ้นมาให้คุณ ทำให้คุณ หลง ว่า เป็นไอ้โน่น ไอ้นี่ เปรตสัตว์ เดรัจฉาน เทพ พรหม ไปตามจิตหยาบที่คุณจะคิด
    ถ้าถามว่าจะเรียน วิชาอะไร ตอบว่า เรียนวิชาสร้างจิตตนเองให้มีพลังอำนาจ สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับจิต 189 ดวง ให้ได้เสียก่อน หรือจิต 189 หน้าที่ เช่น คุณคุยกับผมอยู่จิตของคุณยังแวบไปคิดเรื่องอื่นได้อีก คุณจะคิดเรื่องเชิงซ้อนในเวลาเดียวกันก็ยังได้

    ถาม : เดิมทีเดียวจักรวาลีที่โล่งใช่ใหม

    ตอบ :
    จักรวาลคือ ที่ว่างโล่งไร้ขอบเขต นานเมื่อไหร่ไม่รู้ เดิมทีเดียวมีที่ว่างเกิดขึ้นก่อน ที่ว่างที่ไร้กาลเวลา แต่ที่ว่างนั้นอย่าคิดว่า ไม่มีสรรพสิ่ง ที่ว่างรอบตัวเรามีมวลเล็กๆ ละเอียด เมื่อใช้เวลานานๆ เข้าจะมีการสะสมก่อตัว ตัดรูป ต่อรูป ส่วนใหญ่สารต่างๆที่มีมวลเล็กๆละเอียดที่อยู่ในที่ว่างโล่งๆไร้ขอบเขต มันมีความเย็น ความชื้นมีมวลของอากาศ แก๊สบางชนิด แต่ก่อนออกชิเจนยังมีไม่มาก แต่มีคาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน และพวกกำมะถัน เมื่ออยู่นานๆเข้า อะไรที่เหมาะสมกับอะไร ก็จะรวมตัวกัน ทุกๆสิ่งในจักรวาลนี้ หรือจักรวาลโลกก็ตาม จะมีทุกสิ่งดำรงค์อยู่ ถ้ามีการจับคู่ที่เหมาะสมลงตัวกันทุกๆสิ่งในจักรวาลนี้หรือจักรวาลโลกก็ตาม จะมีทุกสิ่งดำรงอยู่ ถ้ามีการจับคู่ที่เหมาะสม ลงตัวกัน มันจะเกิดการสร้างใหม่สิ่งใหม่ๆขึ้นมาเสมอ
    โลกปัจจุบันในขบวนการนี้ยังมีเกิดขึ้นอยู่ มันเป็นเช่นนั้นเพราะ สรรพสิ่งมีคุณสมบัติเฉพราะตัว ถ้าบางอย่างมันมาเข้าคู่กัน แล้วมันไม่ลงตัว ไม่เหมาะสม ไม่เกาะเกี่ยวกัน มันก็หลุดก็แตกออกไป ถ้าบางอย่างมันเข้าคู่กันเกาะเกี่ยวเกิดการลงตัวกันได้เมื่อไหร่ มันจะกลายเป็ยสรรพสิ่งใหม่ เกิดขึ้นเรื่อยไป

    ถาม : พลังงานของการเริ่มต้นของการเกิดจักรวาล คือ พลังงานอะไร

    ตอบ :
    คลื่นแสง คือ ตัวการที่ทำให้เกิดสรรพสิ่ง แม้ในจักรวาลนี้มืดมิด ไม่มีแสงสว่าง แต่มีคลื่นแสง เป็นคลื่นแสงที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ มันก็เลยไม่มีแสง อย่างที่เราเห็นป็นแสงสว่าง เพราะมันมีการสะท้อนมีการหักเห จริงๆแล้วสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มันเกิดการวิวัฒนาการ แต่ว่าคลื่นแสงหรือความถี่ของคลื่นแสงนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่เกื้อกูลกระบวนการในการสร้างใหม่ที่เราเรียกว่าวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ที่ใดไม่มีแสงอย่างที่มนุษย์เข้าใจ ชีวิตก็จะอุบัติได้เหมือนกัน เพราะมันมีคลื่นชนิดเดียวกันกับคลื่นของแสง
    ถ้าแสงสั่นสะเทือน หมายถึง คลื่นความถี่ก็เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ต้องมีการจับคู่ถึงจะเกิดการลงตัว เกิดกระบวนการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกัน ถ้าเกิดการปฏิสัมพันธ์ขึ้นแล้ว คลื่นการสั่นสะเทือนจะมีขึ้นมา แต่ละตัวจะเป็นคลื่นพลังงาน พอมาปะทะกันจะมีการรวมคลื่นกัน มีการตอบโต้ มีการเพิ่มขึ้นและลดลง การเพิ่มขึ้นและลดลงจะเกิดรังสีของตัวเอง เรดิเอชั่นออกมาด้วย เกิดภาวะของขบวนการเกิดคลื่นความถี่ตรงนั้น ความถี่ต่างๆ ก็จะสร้างใหม่ได้ ความถี่สูงๆ ก็จะสร้างใหม่ได้ ถ้าสร้างออกมาแล้ว จะเกิดมิติทางกายภาพขึ้น เป็นกายหยาบ มวลหยาบที่แต่ต่างกันออกไป ร่างกายมนุษย์ไม่ได้เกิดเอง เผ่าพันธ์มนุษย์ไม่ได้เกิดเอง รูปธรรมพลียะเดี้ยนส์เป็นผู้สร้าง โดยเขานำเอาเผ่าพันธ์มีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการถึงที่สุด แล้วพาไปยังดาวลูกไก่ ศึกษาค้นคว้าหาวิธีสร้างใหม่จากสิ่งเดิม จนได้ความเหมาะสม แล้วค่อยนำมาสู่มิติโลก

    การมีภพชาติมนุษย์สร้างเอง จักรวาลไม่ได้เป็นผู้สร้าง ที่จริงมันไม่มีเพราะมนุษย์ไม่รู้ว่า จิตมนุษย์เราสามารถสร้างพลังงานกรรมที่มีมวลหยาบๆได้ ในมิติคู่ขนาน มนุษย์ไม่รู้ มนุษย์รู้เพียงแต่ว่า ถ้าทำไม่ดีงามต่อคนอื่น กรรมที่จะให้ผลกรรมมีผลต่อตนเองในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่จริงๆแล้วการที่มนุษย์กระทำต่อคนอื่น จิตของมนุษย์ได้กระทำด้วย ทำด้วยกระแสคลื่นพลังงานแล้ว เวลามีกระแสคลื่นพลังงานออกมา พระท่านสอนว่าให้ทำจิตให้ บริสุทธิ์ สอาด ให้มีแต่ความรัก แต่พอเรามีอารมฌ์หยาบๆขึ้นมา ตรงนั้นจะเกิดมวลหยาบๆทางพลังงานปนกับอารมฌ์หยาบ(อยากทำร้าย,อยากฆ่า ) เกิดขึ้นด้วย ตรงนั้นจะกลายเป็นมวลหยาบๆ ของพลังงานที่สะสมอยู่ในมิติคู่ขนาน รอไว้ว่าเมื่อตายไปหรือเครื่องยนต์แห่งกรรม(ร่างกาย) ดับลง จิตวิญญาณพุ่งออกจากร่างกายเรา จิตใต้สำนึกที่อยู่ในร่างกายเราจะบันทึกระหัสแม่เหล็กอาไว้ ว่ากรรมไหนเป็นของเรา เมื่เราหลุดไปหรือตายไป เมอคะบาร์ที่อยู่โดยรอบ คือ จิตใต้สำนึกจะห่อหุ้มวิญญาณไว้ เมอคะบาร์จะมีรหัสแม่เหล็กอยู่ กรรมไหนเราเคยทำไว้มันจะใส่รหัสบันทึกไว้ เหมือนกับว่ามันเป็นตัวเหนี่ยวรั้งด้วนรหัสแม่เหล็ก เรียกข้อมูลเข้ามาเกาะติดตนเอง คือมวลหยาบเหล่านั้น ตรงนี้แหล่ะ ภพชาติถึงเกิดขึ้น
    เพราะ ตัวเรา คือ จิตวิญญาณจะมีน้ำหนักมากขึ้นจนออกไปจากโลกไม่ได้

    การมีภพชาติ หมายถึง การที่จิตวิญญาณดวงนั้นต้องหาทางกลับมาเกิดใหม่ ในเครื่องยนต์แห่งกรรม(ร่างกาย) ที่ตัวเองได้สร้างสายสัมพันธ์ สร้างพันธกรรมถ่ายทอดอาไว้ คือสร้างบุคลิกแห่งความเหมือนกันของจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ เช่น ถ้าเรามีลูก ทำไมเราต้องเลี้ยงลูกให้ดี เพราะต่อไปเราต้องกลับมาเกิดกับลูกหลานสายเลือดของเรา
    ในความเหมือนของเรา หมายถึง การมีภพชาติคือการมาเกิดใหม่ เพื่อแก้ไขพลังงานกรรมที่เป็นมวลหยาบๆ ที่สะสมอยู่ในมิติคู่ขนาน มวลที่เพิ่มขึ้นของจิตวิญญาณ จะถูกเหนี่ยวรั้งให้อยู่ในระบบโลกตลอดไป ด้วยแรงดึงดูดของโลก จิตวิญญาณก็จะออกจากมิติโลกไปสู่แดนที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า

    นิพพาน ไม่ได้ ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ แล้วใช้จิตหยาบของมนุษย์ทำให้บริสุทธิ์ และใช้พลังอำนาจจิตของเรา ตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง โดยมีรูปธรรมชั้นสูงคอยช่วยเหลือเรา แต่ละคนสร้างรหัสกรรมขึ้นมาจูงจิตวิญญาณของผู้อื่นมาเป็นสมาชิกรวมกรรมด้วยบทเรียนเก่าซ้ำๆ กัน ตั้งแต่เดิมที่เราทำผิดพลาดแล้วเกิดกรรมนั้น เพื่อตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง และเมื่อถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่เป็นมวลหยาบๆ ที่ล่องลอยอยู่ในสนามพลังงานในจักรวาลโลก ที่เรียกว่า มิติคู่ขนานจะระเบิดและแตกตัว สลายกลายเป็นไร้กรรมไป มวลหยาบๆที่รอเกาะติดจิตวิญญาณจะหายไป การกำจัดกรรมให้หมดไป การก้าวล่วงพ้นกรรม คือ การทำกรรมทั้งหมดให้เป็น นิวทรัล ไม่มีมวลหยาบๆเหลืออยู่อีก พอตายไปไม่มีมวลหยาบๆมาเกาะติดจิตวิญญาณ คุณก็จะหลุดพ้นไปจากจักรวาลโลก นั้นคือ นิพพาน

    แก่นแท้ของจิตวิญญาณ จะเข้ามาสู่ ร่างกายหรือเครื่องยนต์แห่งกรรม ประมาณ 3-4 สัปดาห์ของการปฏิสนธิ
    ถ้าเราต้องการสิ่งใด คนอื่นดลบันดาลให้ไม่ได้ ยกเว้นตัวเราเองให้สั่นสะเทือนที่ตัวเราเอง ไม่ว่าในมิติพลังงานหรือมิติกายภาพ มนุษย์ควร ศรัทธาตัวเอง มนุษย์มีความศักดิ์สิทธ์ในตัวเอง
    พลังงานจะสูงส่งมากน้อยแค่ไหน มาจากอำนาจของแรงสั่นสะเทือนทางจิต มนุษย์ทำใน 2 ส่วน การสั่นสะเทือนในมิติคู่ขนาน และในมิติทางกายภาพ ฉะนั้นถ้ามนุษย์ต้องการความสำเร็จต้องเกิดมาจากแรงสั่นสะเทือนของ 2 มิติ คือ การสั่นสะเทือนทางกายภาพ(การเคลื่อนไหวตัวเอง) และสั่นสะเทือนทางจิต(ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ) ถ้าเราจะคิดอะไรให้แยบยลมาก เราคิดให้มาก คิดมาก คิดนานๆ สั่นสะเทือนนานๆมีสมาธินานๆ การแปรค่าเป็นความคิดออกมา จะแยบยลและรอบคอบมาก
    การทำความดีต้องไม่ตั้งเป้าหมาย ไม่ต้องร้องขอ พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าต้องการนิพพาน ต้องนิพพาน ตั้งแต่เป็นมนุษย์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  2. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : การทำบุญ แล้วอุทิศ หรือ กรวดน้ำคืออย่างไร

    ตอบ : ผู้กล่าวอุทิศควรเป็นพระ เพราะท่านเป็นผู้อาสา ในโลกยังมี จิตวิญญาณที่ล่องลอย ที่หลงมิติ คิดว่า ตัวตนยังมีอยู่ ยังมีกายหยาบอยู่ มีอารมณ์หยาบอยู่ เป็นจิตที่ยังดับไม่ได้ ยังรู้หิว รู้อยาก การที่เรา อุทิศไปเขาก็ได้เหมือนกัน เพราะมันสื่อ กันด้วยคลื่นจิต เหมือนคลื่นวิทยุ มันเป็นการเกื้อกลูกันด้วยความรัก และความเมตตา แต่มันจะทำให้จิตวิญญาณนั้นไม่รู้ ว่าไม่มีตัวตนจริง ยังจะหลงในมิตินั้นต่อไป เพราะยังได้รับผลแห่งการอุทิศหรือกรวดน้ำให้ อิ่มหมีพีมันอยู่ ก็จะยังดำรงสภาวะนี้อยู่อย่างยาวนาน ต่อไปจนกว่าจะสำนึกได้ ความหมายตรงนั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า เสมือนหนึ่งตกนรก
    แค่ความคิด ถ้าคิดไม่ดีก็เป็นกรรมแล้ว แต่ไม่เกิดผลกรรม เพราะไม่ได้ทำทางกายภาพ กรรมดีที่เป็นบุญบางอย่างก็เป็นผลกรรมที่ไม่ดีต่อตัวคุณ ที่คงต้องกลับมาเกิดใหม่สู่การชดใช้ ถ้าคุณไม่ต้องการกลับมาชดใช้อีกแล้ว คุณต้องทำกรรมดี แล้วเลิกร้องขอว่าขอให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    การทำบุญและกรวดน้ำไปให้ผู้ตาย ถ้าเราคิดว่าทำแล้วมีความสุขก็ไม่ห้าม เพราะอาจจะมีเคลือญาติของคุณที่ยังหลงเหลืออยู่ ในมิติของจิตวิญญาณ ที่ยังหิวโหย อดอยาก ทรมานมาก ถ้าไม่มีใครกรวดน้ำ ถึงแม้เขาจะกินไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกหิวโหย
    แต่ในความหมายของจิตจักรวาล คือ ถ้าทำบุญใส่บาตร หรือทำความดีงามแล้ว ไม่ต้องตั้งเป้าหมาย คุณรู้แล้ว ว่าทำดีแล้วได้ดี หรือ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง คุณจะไปสนใจสองทำไม คุณสนใจว่า เราเอา หนึ่งบวกหนึ่งหรือไม่ดีกว่า คนที่ไม่เคยร้องขอในการทำความดี หมายความว่า สภาวะจิต ของเขานั้น เข้าถึงจิตของความสมดุล เพราะความอยากไม่มีแล้ว ซึ่งมนุษย์เราบางคนได้พรสวรรค์มาจากภพชาติอดีต แล้วหมั่นฝึกจิตไม่นานก็เข้าสู่พรสวรรค์เดิม ไม่ใช่ได้มาชาตินี้ เพราะการปฏิบัติจิตมนุษย์ ต้องผ่านภาชาติหลายชาติ
    โลกยุคพลังงานเก่า พระพุทธเจ้าสอนให้นั่งวิปัสสนากรรมฐานมี 40 วิธี แต่ในยุคใหม่ ให้ใช้วิธีใหม่ คือ สร้างมหาสติ เพื่อให้เกิดสมาธิธรรมชาติ มหาสติสามารถสร้างธรรมชาติสมาธิได้ เพราะโลกยุคพลังงานใหม่ มีอำนาจด้านพลังงานมากกว่าโลกยุคพระพุทธเจ้าตั้งหลายเท่า มหาสติเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด เพราะว่า จิตไม่เกิดการสร้างภาพ สร้างนิมิ สร้างอุปทาน ตรงนี้ดับยาก พอแก่นแท้ของคุณสั่นสั่น เทือนเมื่อใด อุปาทานก็จะสั่นสะเทือนตาม คุณลบภาพที่จิตมันเคยตัวยากมาก พระพุทธเจ้า สอนว่า อย่าไปติดกับมัน อย่าไปยุ่งกับมัน

    คำว่า สมาธิ คือการใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิตร่วมกับคนอื่น เมื่อเป็นมนุษย์ควรจะทำอย่างไรให้จิตมีอำนาจเพื่อให้เกิดสติปัญญา จิตจะมีอำนาจและเกิดสติปัญญาได้จะต้องผ่านขั้นตอนการมีสมาธิ
    สมาธิ คือ การมีสติ การมีสตินำไปสู่การมีสมาธิ คุณจะเกิดสมาธิได้ ต้องมีสติก่อน สติเต็มสมาธิก็แข็งแกร่ง
    การมีสติ คือ การรู้ตัว รู้ตน รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ ความรู้สึกของตนตลอดเวลา ไม่ให้มันเป็นนายเรา แต่เราจะต้องบงการ ควบคุมมันให้ได้ การที่เราบงการมันได้มากเท่าไร เท่ากับเรามีสติมากขึ้น
    มหาสติ หมายถึง การไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเราสร้างสติให้กับตนเองได้ ก็ต้องไม่ทำลายความมีสติของมนุษย์คนอื่น ความมีปัญญา และมหาปัญญาก็จะเกิดขึ้น เกิดจากธรรมชาติสมาธินี้เอง
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การทำน้ำมนต์

    น้ำมีคุณสมบัติในการเก็บรักษาพลังงานได้ทุกชนิด พระพุทธเจ้า จึงใช้ทำน้ำมนต์
    การรับพลังชีวิตเพิ่มเติมในร่างกาย คือ การรับแสงแดดเพิ่มเติมจากปกติอัตรา 7 - 9 นาที ต่อวัน ควรจะรับตอนเช้า ช่วงบ่ายถึงบ่าย 3 โมงจะไม่ดี เพราะแดดแรงไป ถ้ารู้สึกว่า เครียดมาก ร่างกายล้ามาก เหนื่อยเร็ว ความจำไม่ค่อยดี สุขภาพไม่ค่อยดี ควรจะรับแสงอาทิตย์(พลังชีวิต) เพิ่มเติม ร่างกายของมนุษย์มีน้ำอยู่เมื่อไปรับแสงอาทิตย์ คือ การไปรับพลังงานชีวิตเข้าไว้นั่นเอง เพราะมีน้ำเป็นตัวดูดซับ การทำให้มนุษย์มีพลังอำนาจก็ด้วยตัวตนของมนุษย์เอง

    การมีสมาธิในการคิด (ที่ทำให้มนุษย์มีพลังอำนาจ)

    1.ความมุ่งมั่น ในการคิด
    2.ความเชื่อมั่น ในสิ่งที่เราคิดและวิธีที่เราคิดว่า ถูกต้อง
    3.ความศรัทธา ในสิ่งที่เราคิดเหมาะสมและ ศรัทธาในตัวเองว่ามีพลังอำนาจพอในการคิดได้

    อำนาจมนุษย์ มีอย่างเดียว คือ อำนาจทางปัญญาอันเกิดจากความรักเท่านั้น
    อำนาจทางกาย คือ เครื่องยนต์แห่งกรรม แข็งแรง มีความชำนาญในการใช้อวัยวะกระทำในทุกสิ่งที่คิดให้เป็นผลสำเร็จได้ทุกสิ่ง

    เราสามารถปลุกพลังอำนาจทางวิญญาณออกมาได้ คือ แรงบันดาลใจ กับการคิดสร้างสรรค์
    พระพุทธเจ้า สอน ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ไม่ให้ฝืนธรรมชาติ ไม่ให้อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่เป็นทาสของธรรมชาติ แต่ให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
    ฉะนั้นเมื่อถึง วัยทอง(เวลาที่สตรีหมดรอบเดือน) ก็ไม่ต้องอยู่เหนือธรรมชาติให้เป็นหนึ่งกับธรรมชาติ คือ เป็นไปตามธรรมชาติ
    เมื่อถึงวัยทองจริง ก็ไม่ต้องหวั่นไหวกลัวในเรื่องเครื่องยนต์แห่งกรรม เพราะมันเป็นไปตามธรรมชาติ ทำจิตให้สงบ ทำจิตให้บริสุทธิ์เข้าไว้ กายจะรับคำสั่งเอง กายจะรับคำสั่งจากจิตเพื่อทำให้ตัวเองสมดุล จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตจะมีอำนาจได้ จิตต้องบริสุทธิ์ ทุกวัน คือ คิดดี ทำดี พูดดี หรือที่จิตจักรวาลพูดว่า จิตสำนึกสั่นสะเทือนด้านบวก
    ความอยาก ทำให้เสียสมดุล พระพุทธเจ้าให้ตัดความอยากเสีย เพราะจะทำให้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่สับสน ไม่งมงาย ไม่ลุ่มหลง

    ภาวะของอุกเบกขา คือ ความอิ่มเอิบ เบิกบาน สบาย สุข เฉยๆไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดี ไม่อึดอัด ไม่เครียด

    ถาม : เมื่อโลกเกิดขึ้นมา เหตุใดจึงมีจิตจักรวาลอาสามาสู่โลก

    ตอบ : เพราะดาวเคราะห์โลก เป็นดาวเคราะห์ไม่กี่ดวงในสากลจักรวาลที่มี ความเหมาะสมในการอุบัติของสิ่งที่สร้างใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้เาวเคราะห์เกิดการเสียสมดุลทางกายภาพ และพลังงาน จึงต้องเข้ามาเพื่อทำหน้าที่รักษาความสมดุลไว้

    ถาม : จำเป็นไหมที่โลกจะต้องมีมนุษย์มาเวียนว่าย ตายเกิด เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป
    ตอบ : จำเป็น เพื่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งโลก จะมีสรรพสิ่งแตกสลายสูญหายไป หรือ เสื่อมพลังงานลงไปเสมอ ระบบโลกถ้ามีพลังเสื่อมเมื่อไหร่ จักรวาล จะมีปัญหา
    ขณะนี้ ดาวเคราะห์โลกถูกยกระดับพลังงานขึ้นมากกว่าเดิม ถึง 2 เท่า ขณะที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ถูกลดพลังงานลง 1 ใน 3 ของตัวเองที่มีอยู่ มิฉะนั้นระบบสุริยะจักรวาลจะดำรงอยู่ไม่ได้

    ถาม : ก่อนกำเนิดโลกจักรวาล มืดใช่ใหม
    ตอบ : ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากมวลสารของคลื่นแสงที่มองไม่เห็น
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : เมื่อมีโลกแล้วทำไมให้มนุษย์มาเกิดแล้วหาทางกลับบ้านให้วุ่นวาย

    ตอบ : ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวเคราะห์หนึ่งในจำนวนไม่กี่ดวงที่น้ำหนักมวลและค่าความสมดุลทางพลังงานในระบบของดาวเคราะห์โลกมันไม่คงที่ มีการเปลื่ยนแปลงไปในทางลบ - บวก อยู่ตลอดเวลา ในดาวเคราะห์ดวงอื่นๆไม่เป็นเช่นนี้ เกิดจากความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้มีสิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นใหม่เรื่อยๆ ในใจกลางโลกมีของร้อน คือ แท่งแม่เหล็ก มีความร้อนอยู่ เมื่อมีแรงดันอยู่ มันก็ระเบิดดันเอาของเหลวข้นๆออกมาเป็นภูเขาหิน เป็นการเพิ่มน้ำหนักมวล ธรรมชาติก็มีลม มีฝน ฝนตกลงมา น้ำก็เพิ่มน้ำหนักมากขึ้น น้ำหนักมวลบนโลกเพิ่มขึ้น พอมีน้ำสิ่งมีชีวิตก็อุบัติขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยน้ำเป็นส่วนประกอบสิ่งมีชีวิตก็เกิดการจับคู่
    จิตจักรวาลเองเป็นผู้สร้าง และเป็นผู้ทำให้สิ้นสุด ไม่ว่าขบวนการจะดำเนินการเป็นอย่างไร ขบวนการตั้งแต่ต้น จนจบเป็นขบวนการของจิตจักรวาลทั้งนั้น ภาษาของจิตจักรวาลบอกว่า เป็นผู้เริ่มต้นและเป็นผู้สิ้นสุด จิตจักรวาลเป็นธรรมชาติ จิตจักรวาลที่มนุษย์เรียกว่าเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นผู้สร้างให้เกิดขบวนการหลักๆ อยู่ 3 ประการ คือ ขบวนการเปลื่ยนแปลง ขบวนการเพื่อการสร้างใหม่ และขบวนการเพื่อการดำรงอยู่

    ถาม : แล้วคำว่าพระเป็นเจ้า
    ตอบ : พระเป็นเจ้าคงไม่ได้หมายถึง เทพ เทวดา พรหม

    ถาม : หมายถึงผู้สร้างใช่ใหม
    ตอบ : ก็คงหมายถึงอย่างนั้น มนุษย์อาจหมายถึงอย่างนั้น แต่การเรียกตรงนั้นเป็นนามไม่หลุดพ้นจากอัตตา คงต้งอบัญญัติคำใหม่ ว่า จิตจักรวาล เพราะ จิตจักรวาลหมายถึง หัวใจเป็นแก่นแท้ของสากลจักรวาลเพราะจิตนี้สามารถ รับรู้ได้ คิดรู้ได้ จึงเรียกว่า จิตจักรวาล เป็นคำใหม่ในประวัติศาสตร์
    จักรวาล คือ ที่ว่างโล่งอันไร้ขอบเขตที่ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่

    ถาม : ต้นเหตุของการเปลื่ยนแปลงในจักรวาลทางกายภาพมันเกิดจากการเล่นสนุกของจักรวาลหรือเปล่า

    ตอบ : ไม่ใช่การเล่นสนุก แต่มันเป็นหน้าที่ของจิตจักรวาลจะต้องสร้างขบวนการทั้ง 3 ขบวนการ
    การส่งจิตวิญญาณมาเกิด มาปฎิสนธิในกายมนุษย์บนดาวเคราะห์โลกให้ยุ่งยาก เพราะดาวเคราะห์โลกมีการเกิดภาวะไม่สมดุลใน 2 มิติพร้อมกัน คือ เกิดความไม่สมดุลทางกายภาพ ซึ่งน้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะนี้น้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นรุนแรงและรวดเร็ว เพราะมนุษย์สร้างเทคโนโลยีขยะขึ้นมารกโลก ทำให้โลกเสียสมดุลทางกายภาพ และทำให้เสียสมดุลทางพลังงานด้วย
    จึงต้งอสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมที่แสนวิเศษ ให้จิตสร้างพลังงานขึ้นมาในมิติคู่ขนานได้ แต่เรากลับสร้างกรรมแทน แทนที่จะให้พลังงานบริสุทธิ์แก่โลก คือ ความรัก ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก เรากลับสร้างกฏแห่งกรรมซ้อนกฏของจักรวาล คือ การที่ให้มนุษย์สร้างขบวนการ เพื่อการเปลื่ยนแปลง เพื่อการดำรงอยู่และการสร้างใหม่ โดยอยู่ในสภาวะสมดุลซึ่งเป็นกฏของจักรวาล แต่มนุษย์บกพร่องต่อหน้าที่ มนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่า จิตเรามีอำนาจ จิตของเราสามารถให้คลื่นไฟฟ้าด้านบวก ทำให้โลกเรามีแรงเหวี่ยงรอบตัวเองได้คงที่ชั่วนิรันดร์ ตราบใดที่มนุษย์อยู่บนโลกและมีความรัก เพราะมนุษย์ขาดการรู้แจ้ง เพราะจิตหยาบเราเป็นนายของกายหยาบนี้ จิตวิญญาณจึงไม่สามารถสื่อความคิดกับเครื่องยนต์แห่งกรรมได้ ศาสดาจึงต้องแบ่งภาคมาจุติ เพื่อเอาศาสตร์ของจักรวาลมาสอนให้พวกคุณได้เรียนรู้
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : วิธีการนั่งสมาธิ สติและมหาสติ

    ตอบ : การนั่งสมาธิแล้วจิตได้พักผ่อน ทำให้จิตมีพลังที่จะต่อสู้กับปัญหาชิวิตขึ้นมาได้บ้าง จิตจะมีพลังอำนาจแก่กล้าตามลำดับสติของคุณที่สร้างขึ้นมา
    คำว่า สติ หมายถึง การทำให้จิตเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้นโดยหลุดพ้นจากอารมณ์หยาบได้ เข้าสู่การใช้ปัญญามากขึ้น ถ้าเราไม่สร้างกรรมชั่วกับใครเลย ไม่มีใครทำความชั่วกับเราเลย เรามีความสงบสุขเป็นนิรันด์ ตอนนั้นพลังงานความรักที่เกิดขึ้นในจิตใจ มันจะเกิดเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่ต้องเคร่งครัดว่า จะต้องปฏิบัติมัน จะต้องมุ่งมั่นกับมัน พลังอำนาจที่เกิดขึ้นจะสูง แล้วมันจะไปเปิดกลไลของปัญญาญาณให้เกิดขึ้นได้ เหมือนกับที่ผมสื่อกับจิตจักรวาล เพราะเป็นพลังงานที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ จากจิตที่เราปฏิบัติตัวถูกต้อง ถูกหนทาง

    ถาม : การที่คนเราสร้างมหาสติได้ คือ คนที่มีสติ และไม่ทำลายสติของคนที่เราคบหาได้ เรียกว่า สร้างมหาสติได้ ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยใช้ความคิดไปในทางบวก ช่วยเหลือโดยไม่ได้ไปยุ่งกับเขาและไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อน โดยการใช้ความรัก มหาสติตรงนั้นจะส่งผลให้พลังมีความรุนแรงได้หรือไม่

    ตอบ : พลังอะไร
    ถาม : พลังที่ก่อให้เกิดสันติสุข

    ตอบ : ได้ แต่ต้องไม่มีคราบของความงมงายเจือปน เพราะมันจะเป็นพลังงานที่ไม่บริสุทธิ์ ถ้าเราจะไม่งมงายเราต้องเข้าใจในศาสตร์ที่ถูกต้องของมันด้วย ศาสตร์ที่แท้ไม่ให้งมงาย ไม่ติดยึดกับตรงนั้น เหมือนกับบอกให้เด็กกราบไหว้พระพุทธรูป ไหว้เบญจางคประดิษฐ์ รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เด็กรับรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่เด็กไม่ได้รู้ว่า ทำไมต้องกราบอย่างนั้น นั่น คือ ความงมงาย ฉะนั้นพลังงานด้านบวกที่เกิดขึ้นเป็นบวกหยาบๆ ไม่บริสุทธิ์ มันจะไม่เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานอันสูงส่งของจักรวาล บนโลกมนุษย์นี้พลังงานที่เข้มข้นระดับ สีดำ มันไม่มี มนุษย์เลยไม่รู้จัก พอมองเห็นพลังงานสีดำ มนุษย์เลยบอกว่า ซาตาน เลยมองสีดำไปในแง่ลบไปหมด เพราะมนุษย์ไม่รู้ มนุษย์งมงายกับสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น คนละเรื่องกัน
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : ถ้าในขณะเดียวกัน มาใช้ตรงข้ามกัน ไม่เฉลย ไม่บอกทุกอย่าง สร้างให้เขาเกิดความงมงาย

    ตอบ : ผิดแน่นอน 100 % ผิดกฏสากลจักรวาล 100 % ทุกอย่างต้องสะอาดแจ่มแจ้ง

    ถาม : แล้วผลที่เกิดขึ้น

    ตอบ : ก็คือ กรรมที่เป็นพลังงานด้านลบของผู้สอน ที่เขาจะต้องรับไว้เอง

    ถาม : แล้วทางบวกเป็น กรรมไหม
    ตอบ : ถ้าเป็นกรรมทางด้านบวก ต้องชดใช้เหมือนกัน ทำไมจิตจักรวาลให้ผมมีอำนาจในการสื่อเสนอความรู้ให้ และไม่ให้ตั้งสำนัก ไม่ให้ตั้งลัทธิ ไม่ให้สอนพิธีกรรมปฏิบัติในขณะนี้ เพราะหลีกเลี่ยงการไปสร้างความงมงายให้แก่มนุษย์ โดยไม่ได้เจตนา หรือโดยเจตนาก็ตาม ในอนาคตอาจจะสติแตก หลงตัวเองสื่อกับจิตจักรวาลไม่ได้ ก็หลอกชาวบ้าน ว่า เขายังสื่อได้ เพราะยังงมงายกับตัวตนอยู่ เหมือนกับครายออนที่สื่อกับมนุษย์ในอเมริกา ตอนนี้สื่อไม่ได้แล้ว เพราะเขาทำไม่ถูกต้อง ความรู้ของจักรวาลใครเอามาหากินไม่ได้ ถ้าเขามีความรู้จริงเข้าถึงกฏของจักรวาลจริง เขาต้องไม่ทำเพื่อตัวเอง ไม่ว่าด้านใด ด้านหนึ่งเขาจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าทำเสื่อมทันที ถ้าเขาทำเช่นนั้นได้และมีพลังอำนาจฤทธิ์อย่างที่คนเห็นอยู่ นั่นแสดงว่าไม่ใช่ศาสตร์ที่บริสุทธิ์จริง และเขาตัวคนที่ปฏิบัตินั่นไม่ได้หลุดพ้นแท้จริง ผมยังอ้างว่าผมเป็นศาสดายังไม่ได้ เพราะยังไม่ล้วงพ้นความเป็นมนุษย์ เพราะผมมีสติอยู่

    ถาม : ทำไมอาจารย์ประกาศว่าเป็นมนุษย์ ทำไมไม่ประกาศว่า เป็น บรมศาสดา

    ตอบ : เพราะเรารู้ตัวเราเองดี เราเป็นอะไร กำลังทำอะไร เราไม่ต้องการแยกตัวเราเองให้แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เราไม่ทำตัวเหมือนมีอำนาจเหนือผู้อื่น แล้วให้คนอื่นหยุดใช้สติปัญญาหันมางมงายอยู่กับตัวเรา การที่เขาเชื่อเรากับสิ่งที่เราผู้ เพราะเขาเชื่ออยู่กับตัวเรา ไม่ได้เชื่อสัจธรรมที่เราพูดไม่ได้พิจารณาในสัจธรรมที่เราสอน เพราะเขาศรัทธาที่ตัวเราเพราะฉะนั้นมันเอาหมดแหล่ะ น้ำหมาก น้ำลาย โทษ อุจจาระยังเอาไม่ได้ไปทำปุ๋ยแต่เอาไปบูชา ไปทำให้งมงาย เพราะติดยึดกับตัวตนของผมทั้งนั้น ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะ กฏของจักรวาลไม่มีตัวตน เป็นพลังงานเป็นเรื่องของแก่นแท้ แต่บังเอิญแก่นแท้นี้มันคิดรู้เองได้ เพราะรูปธรรมที่เป็นแก่นแท้ที่เรียกว่า จิตจักรวาลคิดรู้เองได้ทุกสรรพสิ่ง หมายถึงเป็นผู้รู้แจ้ง แต่ไม่มีความอยาก ไม่อยาก ไม่มีโมหะ มนุษย์มี 3 ตัวนี้ถึงมีปัญหา

    ถาม : เป็นไปได้ไหมที่คนที่กล้าประกาศว่า เป็นสิ่งใด เป็นความกล้าหาญของเขา
    ตอบ : ความกล้าหาญมี 2 ด้าน คือ กล้าดี หรือ กล้าชั่ว ความกล้าดีก็เป็นความกล้าหาญ กล้าชั่วก็เป็นความกล้าหาญ ไม่กล้าดี ไม่กล้าชั่ว ก็คือ ความกล้าหาญที่จะไม่แสดงออกประกาศ ตัวเอง แต่ให้คนอื่นเขาสำนึกด้วยตัวเขา ว่าเราเป็นใคร ไม่ใช่เราโฆษณา ชวนเชื่อ
    ความสงบที่แท้จริง ต้องสงบเย็น ให้เรามีศรัทธาในตัวเรา คือเรามีพลังอำนาจ ก็คือ พระเจ้าในตัวเอง คือ พลังแห่งความรัก ถ้าเราสั่นสะเทือนด้วยจิตที่มี พลังแห่งความรักที่บริสุทธิ์ตลอดเวลา สิ่งนั้นจะเป็นเกราะป้องกันเราจากพลังด้านลบใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาจากไหนทุกทิศทาง มนุษย์ไม่ได้โดเดี่ยว เรามีจิตจักรวาล 2-3 รูปธรรมที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา จะมีพลังงานห่อหุ้ม อ่อรา เราอยู่ เกิดจาก 3 รูปธรรม อาร์คทอเรียน แอนทาเรียน พลียะเดี้ยนส์ เป็นรูปธรรมทางพลังงาน แต่หลังจากโลกสู่ยุคใหม่ แล้ว ผู้ชี้ทางจะเหลือ พลียะเดี้ยนส์รูปธรรมเดียวที่จะต้องคอยช่วยเหลือเรา เพราะ พลังงานของโลกมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ไม่เหมาะกับ อาร์คทอเรี่ยน และแอนทาเรียนพลังงานมันสูงกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : รูปธรรมต่างกับมนุษย์ต่างดาวอย่างไร
    ตอบ : ทั้งรูปธรรมและมนุษย์ต่างดาว มีลักษณะเหมือนกัน 2 ประการ คือ เป็นรูปธรรมทางพลังงาน คือ ตามนุษย์มองไม่เห็นเป็นรูปธรรมทางกายภาพ คือ ตามนุษย์มองไม่เห็น ทั้ง 2 กลุ่ม อยู่ในมิติของรูปธรรมทางพลังงาน ไม่ใช่มิติทางกายภาพ
    มนุษย์ทุกคนเมื่อมาเกิดบนโลกจะมีหน้าที่หลักและหน้าที่พิเศษ ไม่มีหน้าที่รองในการเกิดเป็นมนุษย์ถือมาด้วย อดีตชาติมีจริง ทุกคนมีภพชาติ เราสร้างภพชาติโดยไม่รู้ การที่มนุษย์ต่างดาวเข้ามาท่องเที่ยวในจักรวาล คือ เข้ามาในมิติของพลังงาน ไม่ใช่มิติทางกายภาพในขณะนี้ อนาคตอีกเรื่องหนึ่ง

    ถาม : ,มนุษย์ที่สื่อบางอย่าง บางสิ่ง ในเรื่องของคลื่นพลังงานได้ไหม
    ตอบ : มี เพราะมนุษย์ถ้าฝักใฝ่สิ่งใดจะได้สิ่งนั้น มนุษย์มีหน้าที่โดยตรง คือ ถือพันธสัญญามา มีหน้าที่พิเศษ คือ เป็นบทแทรกไว้ในพันธสัญญา แต่ไม่ใช่หน้าที่มาสร้างพันธกรรม

    ถาม : คนจะตาย แล้วเห็นภาพนรก สวรรค์ มีจริงไหม
    ตอบ : ของจริงที่ไม่จริง คือ แดนนรก แดนสวรรค์ เป็นเรื่องมายา เป็นสิ่งที่จิตมนุษย์ไปเชื่อว่ามันมี เลยคิดสร้างขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้วไม่มีที่เราเรียกว่า การหลงมิติ การที่มันเกิดในภพภูมิของจิตวิญญาณ คือ มิติทางพลังงานเรียกว่า เมืองมายาในมิติคู่ขนาน ซึ่งการเกิดจากการหลงมิติของจิตวิญญาณ
    พระพุทธเจ้าสอนว่า แดนนรก แดนสวรรค์ มีจริง แต่สอนว่าทำอย่างไร จึงจะล่วงพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ การสอนให้มนุษย์ละกิเลส เลิกตันหา เลิกความมีตัวตน คือ การสอนให้เราไม่หลงมิติแห่งจิต คือ ตายแล้ว จะได้ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก จะได้มีคิงการกลับมาเกิดใหม่ ตามโอกาสที่จะขอแก้ไขกรรมเก่าที่เราสร้างเป็นพลังงานให้จิตวิญญาณหลุดพ้นไปได้ จะได้เป็นไปตามกลไกปกติ ปรากฏว่า ที่นี่มนุษย์มาสร้างกฏโลกซ้อนกฏจักรวาลไว้ ทำให้ยุ่งยากวุ่นวาย แทนที่จะกลับมาเกิดก็กลับมาเกิดไม่ได้ตามกำหนดวาระ เพราะหลงมิติแห่งจิต เพราะติดยึดกับมายา
     
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : เพราะที่พระพาไปเที่ยวแดนสวรรค์ต่างๆ
    ตอบ : แดนนี้มีจริงเพราะเป็นแดนมายา และหลงว่าเป็นของจริงเพราะความเชื่อเลยเกิดมีขึ้นมีขึ้น และที่จิตจักรวาลสอนว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ เพราะอยู่ในจิตว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ จะหลงกับมันหรือไม่ คุณต้องไม่มีดีไม่มีชั่ว ทำดีอย่างเดียวโดยไม่หวังสิ่งใด นรกสวรรค์จะไม่มี

    ถาม : การที่มนุษย์ต้องมาเกิดบนโลก เป็นเรื่องที่จิตจักรวาลนึกสนุกขึ้นมาหรือเปล่า
    ตอบ : ดาวเคราะห์โลกดวงนี้คงต้องแตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว จักรวาลทั้งสากล กาแลคซี่ทั้งระบบ จะพังทลายไปหมด เพราะมีการเปลื่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป จิตจักรวาลจะต้องส่งจิตวิญญาณ คือ แบ่งภาคตัวเองลงมาเกิดใหม่เรื่อยๆ เพราะจิตวิญญาณที่อาสามาสู่รูปธรรมมนุษย์ไม่บรรลุพันธสัญญา ไม่สามารถจะช่วยรักษาความสมดุลของระบบโลกได้ จิตจักรวาลรูปธรรมใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องส่งเข้ามา เพื่อจะเผื่อว่ามีใครสามารถบรรลุได้
    การรู้แจ้ง หมายความว่า รู้ว่านี่คือ เครื่องยนต์แห่งกรรม นี่คือ จิตหยาบ จิตวิญญาณที่แท้จริงอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครรู้แจ้งได้
    ก็เลยคิดว่า น่าจะมีจิตจักรวาลสักรูปธรรมหนึ่ง พอจะเข้าถึงการรู้แจ้งได้ ถ้าหากมาเป็นจิตวิญญาณ ปรากฏว่า กว่าจะได้มายากมาก ผ่านด่านของจิตหยาบ ผ่านการเกิดของภพชาติหลายๆภพชาติ ผ่านบทเรียนซ้ำๆ กัน ผ่านการตัดสินใจใหม่ครั้งแล้วครั้งเหล่า ซึ่งต้องค่อยๆยกระดับสติปัญญา ค่อยๆ พัฒนาจิตสำนึก
    จิตจักรวาล รู้ว่า เครื่องยนต์แห่งกรรมที่พลียะเดียนส์สร้างไว้มันเป็นกายหยาบ พลียะเดียนส์สร้างขึ้นมาในมิติทางกายภาพ ซึ่งมันเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่แสนวิเศษอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าถึงมันได้ แต่มนุษย์ไม่รู้หลอกว่าเราสร้างพลังงานกรรมขึ้นมาในทุกครั้งที่คิดรู้สึก จิตใต้สำนึกที่จิตวิญญาณถือมาด้วยจะทำหน้าที่เป็นหม้อแปลงไฟฟ้า เปลื่ยนจากไฟฟ้าเคมีที่เกิดขึ้น เวลาที่คิดมนุษย์บางคน พยายามไปฝึกมันเพื่อ เอาพลังอำนาจตรงนั้นมาใช้โดยสู่รู้ไม่เข้าเรื่อง จิตสำนึกตัวเองยังสอบตกอยู่ ยังหยาบช้าอยู่ ไม่รู้จักกระทำที่จิตสำนึกของตัวเอง ยังเอาจิตสำนึกสกปรก ตัวเองไปยุ่งกับจิตใต้สำนึก มนุษย์ไม่ควรไปยุ่งกับมัน มันเป็นกระบวนการอัตโนมัติ เป็นเครื่องมือที่จิตวิญญาณเอามาเพื่อจะเปลื่ยนแปลงระบบของคลื่นไฟฟ้าที่จิตมนุษย์เวลาสั่นสะเทือน เจอเงื่อนไขในชีวิต จิตมันจะสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์แล้วจะแปลเป็นคลื่นในมิติคู่ขนานทันทีเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง

    การที่จิตวิญญาณมาเกิดในรูปธรรมมนุษย์เพื่อจะทำหน้าที่แทนจิตจักรวาล ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่สร้างกระบวนการเหล่านี้ในสากลจักรวาล แต่ไม่เข้ามาในระบบโลกเองทำไมมาเองไม่ได้ มาเองก็สร้างได้แต่มิติทางพลังงาน กายภาพก็สร้างได้ โลกจะต้องใช้เวลาถึง 270 พันล้านปี กว่าจะสร้างกายภาพขึ้นมาอย่างลงตัวได้ เด็กที่เกิดในครรภ์จะต้องใช้เวลา 270 วัน เป็นขบวนการทางพลังงาน แต่สร้างมวลหยาบๆขึ้นมาได้เป็นมายาเป็นตัวตน เป็นขบวนการเปลื่ยนแปลงทางพลังงาน จึงสร้างตัวตนขึ้นมาได้ต้องใช้เวลาถึง 270 วัน แต่การเปลื่ยนแปลงบนดาวเคราะห์โลกมันเปลื่ยนแปลงทุกหน้าทีทั้งสองด้าน จำเป็นต้องมีใครสักคน หรือเครื่องมืออะไรสักอย่างของตัวเองของจิตจักรวาลที่เป็นรูปธรรมทางพลังงาน เพื่อทำให้มันเกิดความสมดุลทางกายภาพต้องทันทีด้วย เอาของวางบนตาชั่ง ตาชั่งมันเอียงก็ต้องรีบเอาอะไรมาวางพร้อมๆกัน เพื่อให้มันสมดุล นั่นคือการกระทำทางกายภาพ ซึ่งต้องทำทันที แต่ทางพลังงานก็ต้องทำด้วยไหนๆมาแล้ว ก็ต้องทำทางพลังงานด้วย ก็เลยให้เครื่องมือที่เปลื่ยนแปลงระบบคลื่นไฟฟ้ามาใส่ไว้ในกายสังขาร แต่พลียะเดียนส์ไม่ได้สร้างไว้บนโลก จิตสร้างคลื่นไฟฟ้าเคมีเท่านั้น แต่ไม่ใช่คลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่แผ่ออกไปภายนอก ที่คุณใช้จิตไปสะกดคนอื่น ไปก้าวล่วงความรู้สึกทางจิตของคนอื่นให้มันผิดบาป มันต้องใช้พลังอำนาจของจิตใต้สำนึกช่วยเหลือทั้งนั้น ถ้าจะแผ่ออกไปภายนอกโดยที่ไม่มีสายไฟฟ้าต่อให้ มีสนามแม่เหล็กโลก เส้นแรงใดเส้นแรงหนึ่งเป็นสายไฟฟ้าเป็นตัวนำให้แก่คุณ
    ที่เมื่อสักครู่ถามว่า ทำไมต้องมาทำให้มันวุ่นวายเล่นสนุก ไม่ใช่ เพราะมันเป็นหน้าที่ต้องทำ เพราะมนุษย์เราเอง เราหลงมิติแห่งจิต นั่นคือ หลงมิติแห่งจิต จริงๆแล้วตัวคุณไม่ใช่ตัวนี้ ตัวนี้มันเป็นแค่เปลือกนอกเหมือนกับเสื้อผ้าที่เรามาใส่ ร่างกายเราเหมือนเสื้อผ้าที่จิตวิญญาณมาสวมใส่ นี่คือความเป็นมามันเป็นอย่างไร คุณจะได้เห็นภาพชัดเจนถ้าเรารู้อย่างนี้ การที่เราจะปลดเปลื้องตัวตนของเรา คือ การไม่มีเรา ไม่มีตัวเขา ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวมึง มันก็จะง่ายขึ้น เพราะเราไม่ติดยึดแล้ว คุณรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง แก่นแท้ของคุณก็คือ จิตวิญญาณ เป็นผู้รับมอบหมายมา ให้มาทำหน้าที่ในระบบโลก แต่ทำไม่ได้ เพราะติดเจ้าของร่างกายเจ้าของบ้านมันเป็นอุปสรรค
    แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้จิตหยาบของคุณ มันบริสุทธิ์ มันสะอาด เพื่อจะทำหน้าที่ให้สอดคล้อง กับหน้าที่ของจิตวิญญาณ หรือคุณสมบัติของจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าหรือพนะเยซู จึงต้องมาสอนการทำจิตของตัวเองให้บริสุทธิ์ มันก็จะเหมือนกับว่าทำให้จิตของเราเหมือนกับภาวะของจิตวิญญาณ ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจิตกับจิตวิญญาณ คือเราสามารถใช้จิตหยาบของเราทำให้มันละเอียด แล้วแสดงบทบาท แสดงคุณสมบัติของจิตที่เคยหยาบของเรา ให้มีคุณสมบัติเหมือนกับที่จิตวิญญาณมี แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตหยาบไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับที่จิตวิญญาณที่ต่อมพิทูอินทารี่ ต้องมานั่งสมาธิแล้วเพ่งจิตของตัวเองเอาไปไว้ตรงนั้นอันนั้นมันเรื่องงมงาย อย่างที่บอก ถ้าจะคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ก็จะสามารถหยั่งรู้ความคิดของคุณได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเอาจิตไปก๊อปปี้จิตวิญญาณ มันเป็นการถ่ายทอดคุณสมบัติทางคลื่นความคิดเท่านั้นเอง จิตของเราสามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้ มันไม่อยากสำหรับคุณ อย่างเช่น บางคนเอามือไปอังต้นไม้เพื่อรับพลัง เป็นเรื่องคนงมงาย ถ้าคุณไปในป่า ยืนกอดอกแล้วทำจิตของคุณให้สงบแล้วมองเขา(ต้นไม้) ด้วยความรัก พิจาราณาตั้งแต่เส้นใบกลีบใบ กลีบดอกด้วยความรัก จิตคุณเพ่งไปที่สิ่งนั้น จิตคุณก็จะไปเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น คือ คลื่นจิตคุณมันจะออกไป แล้วการแลกเปลื่ยนทางพลังงานก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ พอคุณถอนจิตออกจากสิ่งนั้นละจากมันปั้บ ความรู้สึกคุณก็จะอิ่มเอิบเบิกบาน สดชื่นก็จะเกิดขึ้น นั่นคือพลังงานชีวิตที่เป็นคุณสมบัติของต้นไม้นั้นถูกน้อมนำเข้ามามันเป็นพลังงานชีวิตที่บริสุทธิ์ แต่ของคุณมันแปดเปื้อนด้วยเคมีสังเคราะห์ แปดเปื้อนด้วยคลื่นหยาบๆของอารมณ์ของจิตที่มันปนอยู่ คุณจะรู้สึกว่าคุณคลายเครียด แต่ต้นไม้ที่ไหนที่คุณไปที่มนุษย์บุกเข้าไป มันจะไม่โตจะเหี่ยวลง เฉาลง เพราะพลังงานชีวิตถูกมนุษย์ดูดซับเอาไป แล้วเอาความเลวไปให้แทน นั่นคือ ธรรมชาติให้ความสมดุล แล้วยังจะไปโค่นมันทิ้งอีก เวลาเดินไปไหนพระพุทธเจ้า สอนให้รู้จักแผ่เมตตา เพื่อว่าให้เราเอาจิตของเรามอบความรักให้กับทุกสรรพสิ่ง เพื่อให้เราทำตัวเป็นธรรมชาติ กระบวนการในการถ่ายทอดคุณสมบัติทางพลังงานระหว่างมนุษย์เองกับทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติมันเกิดขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพื่อเกื้อกูลกัน ถ้าคุณไปไหนมีแต่จิตหยาบที่สกปรกคุณก็ไม่ได้สิ่งที่ดีจากสิ่งอื่น แล้วคุณก็เอาสิ่งชั่วๆจากจิตของคุณที่สร้างได้เพราะจิตของคุณมีอำนาจที่ สิ่งที่มีชีวิตอื่นๆมันทำอย่างจิตมนุษย์ไม่ได้ เอาไปทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งมันไม่ได้เกิดกุศล บุญบารมีขึ้นมาได้เลย คุณก็ไม่มีดีอะไรขึ้นมา แล้วยังไปทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วยพลังงานจิตด้านลบ ท่านถึงสอนให้คุณมีเมตตา มีความรัก เดินไปไหนๆมนุษย์คนอื่นเขาสมผัสเราได้ เราก็แลกเปลื่ยนคุณสมบัติทางพลังงานด้านบวกของกันและกันได้กับสิ่งที่เป็นต้นไม้ สัตว์ สิ่งมีชีวิต ทุกสรรพสิ่งที่เราแลเห็น มันจะมีกระบวนการกระทำทางพลังงานกันตลอดเวลา
    ถ้าคุณอยากมีพลังงานชีวิต มีจิตที่สวยบริสุทธิ์ คนพวกนี้มักจะอายุยืนยาว แก่ช้า ไม่แก่เร็ว เพราะเขามีพลังงานชีวิตที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา เพราะจิตเขา บริสุทธิ์ พอจิตบริสุทธิ์แล้วเปี่ยมด้วยความรักไปไหนๆเขาก็รับแต่สิ่งที่ดีๆ ศาสตร์ของจักรวาล คือ การให้ไปแล้วได้มาเอง เพราะมันคือ การแลกเปลื่ยน ให้ไปแล้วเดียวได้มา ไม่ใช่ให้เดี่ยวนั้นแล้วได้ปั๊บ ไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องเหนี่ยวนำ ไม่ต้องตั้งเป้าหมาย มันเป็นกฏเกณฑ์ของจักรวาลสากล เช่นนั้นอยู่แล้ว มีแต่มนุษย์เท่านั้น กูให้มึง กูจะเอา กูรักมึง ก็หวังจะเอามึง
    ทุกสิ่งแม้กระทั่งคุณได้กลิ่น นั่นก็คือ คลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง คลื่นพลังงานที่อยู่รอบตัวเรานั้น มีหลายคลื่นความถี่มาก ที่เขาเรียกว่า มันมีหลายมิติ มิติก็คือ มีหลายคุณสมบัติ ซ้อนกันได้ โดยที่ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันก็ได้ เพราะเป็นคนละชั้นกัน มันปะปนกันหมดรอบๆตัวเรา มิติที่สูงกว่าก็มี ที่ต่ำกว่าก็มี การวัดมิติ วัดด้วยคุณสมบัติของรูปธรรมทางพลังงาน ถ้าพูดให้เป็นรูปธรรมภาษามนุษย์ ก็คือ มิติของมันก็คือวัดที่ค่าความถี่ของการสั่นของคลื่น ถ้าค่าการสั่นสะเทือนต่ำลงมาระดับหนึ่งก็คือมิติที่ต่ำกว่าถ้าค่าการสั่นสะเทือนที่สูงกว่าระดับหนึ่ง ก็คือ อีกมิติหนึ่ง ความหมายของมันก็คือ มิติทางพลังงาน ไม่ใช่มิติของกาลเวลาบนโลกที่เราพูดถึง มิติกาลเวลาบนโลกอาศัยความเร็วของแสงเป็นหลัก แต่จริงๆแล้วในสากลจักรวาล มิติของแสงนั้นเป็นมิติที่ 2 ของจักรวาล
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : เวลามองแสงแดด จะเห็นเป็นลูกน้ำวิ่งเต็มไปหมด นั่น คือ อะไร
    ตอบ : คือ อณูของพลังงาน คือ รูปธรรมทางพลังงาน มันเป็นคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็กชนิดหนึ่ง

    ถาม : เป็นไปได้หรือไม่ว่า เดรัจฉานจะปรับจิตขึ้นมาเป็นมนุษย์
    ตอบ : ได้บางตัว แต่ไม่ใช่ทุกตัว มนุษย์เองก็มีสิทธิ์ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานได้เหมือนกัน การเป็นสัตว์เดรัจฉานทุกคนพร้อมจะเป็นอยู่แล้ว เพราะว่ายีนส์หรือโคโมโซมของการเป็นมนุษย์มันวิวัฒนาการมาจากสัตว์เดรัจฉาน สัญชาตญาณของเราของการที่จิตเราไปอยู่ในสัตว์มาก่อน จิตหยาบไม่ใช่จิตวิญญาณนะ คือ อุปสรรค ที่ทำให้มนุษย์เราไม่อาจจะก้าวพ้นไป อำนาจของอารมณ์นี่มันเกิดจากกิเลสได้ เพราะมันไวมาก เพราะจิตมันใช้สัญชาติญาณเป็นหลัก เวลาโมโหแล้วเหมือนสัตว์ ทุกวันนี้พฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ที่เป็นพฤติกรรมขยะที่ชั่วร้าย ที่ลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มันเป็นพฤติกรรมของเดรัจฉาน

    ถาม : แล้วทำไมสังคมปัจจุบันมีแต่พฤติกรรมอย่างนี้กลับได้ดี มีอำนาจในสังคม
    ตอบ : ด้านบวกก็มีอำนาจด้านลบก็มีอำนาจ

    ถาม : การที่มนุษย์ปัจจุบันไม่ดี เกิดจากการโปรแกรมมนุษย์คนแรกผิดพลาดหรือเปล่า
    ตอบ : ไม่ใช่ อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราเอง ดาวเคราะห์โลก เป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี จิตจักรวาลเพียงแค่โปรแกรมมาว่า มนุษย์จะต้องเจอเงื่อนไข สถารณการใด แต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของมนุษย์ จักรวาลไม่รู้ว่ามนุษย์จะตัดสินใจอย่างไร

    ถาม : ทำไม ไม่โปรแกรมว่า ให้มนุษย์ทุกคนคิดดี
    ตอบ : ถ้าคิดดีหมดแล้ว โลกเราใบนี้ก็ปั่นปวน เพราะมนุษย์มีหน้าที่มาสร้างความสมดุลกับจักรวาล โลกสร้างความสมดุลด้วยพลังงานด้านบวก เพียงแค่ 144,000 คน ก็ทำให้โลกเรานั้นสมดุลได้ จากคนตั้ง 7,000 ล้านคน ถ้าดีหมดก็ไม่ได้อะไร ต้องผลัดกันดีบ้างชั่วบ้าง แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จักรวาลต้องการให้จิตวิญญาณหลงมิติที่อยู่ในโลกนานๆ หาหนทางกลับบ้านเก่าให้ได้ อย่ามาสนุกสนาน วุ่นวายอยู่บนโลกใบนี้อีกเลย มันรกโลกไปหมดแล้ว

    ถาม :ถ้าโลกนี้มีการตายแล้วเกิดจริง พลเมืองก็น่าจะเท่าเดิม
    ตอบ : การที่จะมีจิตวิญญาณมาเกิดเป็นกายมนุษย์ หรือจะมีรูปธรรมเกิดใหม่บนดาวเคราะห์โลก โดยเฉพราะรูปธรรมมนุษย์ เอาเป็นว่าถูกจำกัดถูกควบคุม ไม่ต้องกลัวว่ามันจะล้นโลก แล้วทำให้โลกมีปัญหา เพราะมีผู้ควบคุมในกระบวนที่ทำให้มันเกิด ก็คือ จิตจักรวาลนั่นเอง เพราะว่ามนุษย์นี้จะเกิดได้ก็ต้องมีจิตวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิ ไม่มีใครหรอก เกิดมาแล้วขับเคลื่อนชีวิตได้ถ้าไร้ซึ่งจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นประธานของร่างกายเรา เป็นศูนย์รวมแห่งพลังงานที่ต่อมพิทูอิทารี่ ต่อมนี้จะควบคุมต่อมไร้ท่อทุกต่อม ต่อมไร้ท่อมควบคุมกลไกของร่างกายอย่างอื่น โดยไม่อาศัยท่อเลย อาศัยแต่ฮอร์โมนที่หลั่งออกมา เป็นขบวนการที่จักรวาลกำหนดเอาไว้ โดยการใช้ค่าความถี่ทางพลังงานของสากลจักรวาลเป็นตัวควบคุม ไม่ใช่ใช้จิตของคุณเป็นตัวควบคุมต่อมไร้ท่อทุกต่อม หรือที่เรียกว่า จักรทั้งหลาย จิตคุณควบคุมไม่ได้ แต่จิตคุณสร้างความสัมพันธ์กับเขาได้ ถ้าเรามองแค่ในมิติของพลังงานแล้ว จิตคุณก็มีพลังงาน คุณก็สร้างคลื่นพลังงาน ไปเชื่อมโยงกับต่อมไร้ท่อเหล่านั้น คุณมีอำนาจพอที่จะทำได้ แต่คุณบงการอะไรไม่ได้ มีจิตวิญญาณมาใหม่เพิ่มขึ้น เพราะที่มาก่อนทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ล้มเหลวเยอะมาก
     
  10. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : การรักษาโรคด้วยการถ่ายพลังงาน เข้าไปในจักรสามารถทำได้หรือไม่
    ตอบ : ทำได้แต่มีข้อจำกัด มันต้องไปตามโปรแกรมของกรรมด้วย ซึ่งตัวควบคุมเรื่องกรรมของมนุษย์ก็คือ เส้นใยเกลียวแม่เหล็ก 12 แท่ง ที่อยู่ในนิวคลีโอไทด์ มันแยกกันไว้หมดทั้งร่างกายเพราะเขารู้ว่า มนุษย์เป็นพวกสู่รู้ สอดรู้สอดเห็น ถ้าสามารถขออณุญาติ ต่อเจ้ากรรมนายเวรได้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยกเว้น หน้าที่มนุษย์มีหน้าที่อย่างเดียว คือ ชดใช้กรรม ถ้าเป็นโรคกรรมไม่มีวันรักษาได้ จึงทำให้บางคนหาย บางคนจึงไม่หาย เพราะว่าที่ไม่หายเป็นโรคกรรม ที่รักษาหาบเพราะว่า กรรมเกิดจากความประมาท ที่ทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมของตัวเองเสียสมดุลไปอย่างนั้นหายได้ เจ้ากรรมนายเวรไม่มีสิทธิ์ที่จะให้อภัยหรือไม่อภัยเพราะเขาคือ ผู้ร่วมสมาชิกกรมม กับเรา เขามีหน้าที่มาสร้างเงื่อนไขให้เรา แล้วดูว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อทำให้คลื่นจิตของเรามอบความรักให้ได้เท่านั้น เขาจึงต้องแสดงให้สมบทบาท เขาจะไม่มีส่วนร่วมอะไรกับเรา

    ถาม : ชีวิตของเรามีอายุยืนยาวแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของเราจะเต้นให้อีกต่อไปหรือไม่ จริงหรือเปล่า
    ตอบ : ขึ้นอยู่กับกรรมของเรา ที่ถือมาว่ามันหนดตรงไหน ถ้าหมดตรงนั้นก็ถือว่าจบ ถ้าถึงภาวะนิพพานแล้วเราอยากจะอยู่ต่อก็ได้ อยากจะไปก็ได้ คำว่าอยากเราพูดแบบมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหัวใจจะเต้นให้เราหรือว่ามันเป็นเรื่องของเครื่องยนต์แห่งกรรม
     
  11. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ในข้อความที่ยกมานี้ ผมขอเสริมนิดนึง ด้วยความรู้อันน้อยนิด นะครับ

    วิปัสสนาญาณ ๙

    ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
    ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
    ๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
    ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
    ๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
    ๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
    ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
    ๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
    ๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

    ข้อไหนบ้างไม่ใช่สติ ?

    การพิจารณาต้องใช้สติ หรือไม่ ?

    อนุสสติกรรมฐาน ๑๐
    อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกถึง เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริต จะได้ผลเป็นสมาธิมีอารมณ์ ตั้งมั่นได้รวดเร็ว
    ๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    ๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์
    ๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
    ๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์
    ๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
    ๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
    ๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
    ๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
    ๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์


    อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ กรรมฐานข้อไหนบ้างที่ไม่ใช่สติครับ ?

    แล้วถามว่า กรรมฐานทั้ง 40 ข้อ ข้อไหนบ้างไม่ใช่สติครับ ?


    มหาสติ เป็น พื้นฐานของ วิปัสสนา

    มหาสติ กับณาณในวิปัสนา เหมือน และ คล้ายกัน

    ตัววิปัสสนา ต้องพิจารณาบ่อยๆ

    ทำทุกวัน จะเกิดปัญญาญาณขึ้นทีละนิดๆ

    จนไม่ต้องพิจารณาแล้ว จะเกิดตัวรู้เป็นอัตโนมัติ คือ เป็นปกติ

    ปัญญาจะเกิด ของเค้าเอง เช่น เจอเรื่องนี้ปุ๊บ มันจะมี คำตอบขึ้นมาเอง แล้วเราเฉยๆ

    เฉยๆในที่นี่หมายถึง คือ ไม่ได้ สนใจ คล้อยตาม เห็นก็สักแต่ว่าเห็น เข้าใจก็สักแต่ว่าเข้าใจ เข้าใจว่างั้น

    คือ อารมณ์ไม่ติด ไม่ติดใน ณาณ และใน อรูปณาณ ไม่ติดใน กุศล และ อกุศล

    เหมือนใบบัวไม่ติดน้ำ ฉันนั้น

    ไม่ใช่ เจอเรื่องนี้ ต้องนำมาพิจารณาๆ

    อย่างนี้ วิปัสสนาณาณยังไม่เกิด

    อารมณ์นี้เรียกว่า อัพยากฤต (เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์)

    ฝากไปพิจารณากันด้วยนะครับ ผมเป็นห่วงกลัวว่าจะไปปรามาสพระรัตนตรัยท่าน

    อาจารย์ท่านคงจะเน้นเรื่องสติให้มากนะครับ

    สอนอย่างไร จะอธิบายยังไงก็ได้ หลอกพวกที่อ่าน ให้ไปปฏิบัติ จนเกิด อัพยากฤตให้ได้พอ

    ไม่ใช่ ลึกซึ้งแทบตาย แต่ไม่มีคนปฏิบัติเลย

    ส่วนอย่างอื่นผมเห็นชอบด้วยครับ อนุโมทนาด้วยครับ _/\_

    * ต้องขอบอกว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ ยังมีความเลวอยู่เยอะมาก *

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19.jpg
      19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.4 KB
      เปิดดู:
      6,649
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  12. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    นำธรรมที่รับรู้ได้สัมผัลได้มาบอกเพื่อนๆสมาชิกดีมากครับ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับเรื่อง.ธรรมะ.....ผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง..ยัง...


    สอนตัวเองอยู่ตลอด....ก็ขอขอบคุณที่ท่านนำความรู้ด้านธรรมะมาบอกกับ

    เพื่อนๆสมาชิก

    ได้รับทราบ.......สัวสดีครับ(เมื่อไรเราเข้าใจสัจธรรมของธรรมะ...เราก็จะ...เ

    เข้าใจสัจธรรมของชีวิต)(f)
     
  13. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ขอขอบพระคุณ คุณ ชานนคนไทย

    นะครับที่ได้มาต่อเติมเสริมความรู้ แต่ความรู้ที่อาจารย์ท่านสอนมา นี้ ขอให้ค่อยๆ อ่านและค่อยๆ ติดตามไปเรื่อยๆ นะครับ
    1.ความรู้ใหม่เหล่านี้ ให้คิดและพิจารณา ตามไปก่อนครับ
    2.ความรู้ใหม่เหล่านี้ สอนมาเพื่อเสริมความรู้เก่าที่ศาสดา ได้สอนไว้บ้างแล้ว
    3.ความรู้ใหม่เหล่านี้ มาเปิดเผยให้เกิดการรู้จริง ในบางสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้ครับ
    4.ถ้าไม่รู้จริง คำตอบและ คำสอนคงไม่มากมายขนาดนี้หรอกครับ
    5.ความรู้เหล่านี้ ส่วนมากจะเหมาะสมกับ ฆารวาส มากกว่านะครับ

    ส่วนที่ท่านเอามาโชว์นั้น พระพุทธองค์ ท่านสอนไว้ให้พระท่านศึกษาเพื่อ นำพา จิตของพระท่านนั้นให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พวกเราเป็นแค่ฆารวาส ไม่มีเวลาไปทำไปปฏิบัติเหมือนอย่างพระ เพราะการปฏิบัติเยี่ยงพระสงฆ์ อันดับแรกคือ ศีลต้องบริสุทธิ์ 227 ข้อ เสียก่อน การปฏิบัติถึงจะมีความก้าวหน้าได้ครับ

    ขอให้ติดตามไปเรื่อยๆ นะครับ การเผยความรู้ที่แท้จริง เพื่อนำพาท่านๆ ไปสู่การรู้แจ้ง โดยไม่ต้องไปเสียเวลาในการปฏิบัติที่ต้องใช้เวลาอย่างมากมาย ท่านอ่านตามแล้วทำความเข้าใจ ท่านจะเกิดการรู้จริงในเรื่อง นั้นๆ ไปเองครับ พอรู้มากๆ ก็จะเกิดการรู้แจ้งแทงตลอดได้แทบทุกเรื่อง ขอให้อ่านไปก่อนนะครับ

    และคำ สอนที่เป็นบาลี ไม่ควรนำมาโชว์เพื่ออวดอ้างความรู้ของท่านนะครับ ฆารวาสอย่างผม ไม่สามารถจำได้หรอกครับ และท่านอื่นๆคง ปวดหัวไปด้วย
    ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2008
  14. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ผมเห็นค้านเรื่องการรู้แจ้งเพียงการอ่านครับ เพราะการอ่านมันก็เป็นเพียงการใช้ความคิดของสมองเท่านั้น หาได้เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นที่ดวงจิตไม่ การที่จิตเราจะรู้แจ้งได้นั้นต้องใช้ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาครับ
     
  15. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับ ขอบคุณท่าน apichan นะครับ ขอให้อ่านไปเรื่อยๆ นะครับ
    อย่าเพิ่งสรุป อะไรง่ายๆ ครับ ขอบคุณที่สนใจอ่านแค่นี้ก็ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับ

    การจะรู้แจ้ง คือการได้ใช้สมอง ซีกขวาอย่างมีประสิทธิภาพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2008
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : จิตของคนที่เสียความบริสุทธิ์ในการรับรู้แล้ว คือไปรู้อย่างนี้มาแล้ว เสร็จแล้วปฏิเสธไม่เชื่อ ก็จะเกิดสภาวะเป็นมะเร็งได้

    ตอบ : การเป็นมะเร็งก็จะเป็นได้ ถ้าหากว่าจิตเราไปฝึกให้มันสร้างคลื่นการสั่นสะเทือนที่เป็นขยะ แต่มีพลังอำนาจแล้วทำให้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของเซลล์ร่างกายมันสั่นสะเทือนผิดปกติด้วยคลื่นที่ไม่ถูกต้องอยู่อย่างนั้น เป็นเวลายาวนาน วันหลังพอเราเลิกให้มันสั่นสะเทือน มันเคยตัวนะ การสั่นสะเทือน คือ การทำให้เกิดกระบวนการทางพลังงาน เซลล์บริเวณนั้นก็อาจจะมีการแบ่งตัวผิดปกติได้ เพราะพลังงานทำให้เกิดมายา รูปอื่นเป็นอัตตา ฉะนั้นถ้าคลื่นการสั่นสะเทือนที่ไม่ถูกต้อง คือ คลื่นที่ไม่สงบเย็น ไม่ใช่คลื่นพลังอำนาจที่แท้จริงเป็นคลื่นของฤทธิ์ ถ้าไปฝึกอย่างนั้นเลิกแล้วอาจไปเป็นมะเร็งได้ มีสิทธิ์เป็นไปได้ ไอ้พวกที่ใช้เวทย์มนต์คาถาที่เป่าทุกวัน เวลาตายเป็นเพราะเนื้องอกมะเร็งที่หลอดลมที่คอหอย เพราะมันต้องใช้พลังมารวมตรงคอหอย การแผ่บารมี เวลาแผ่ก็แผ่ออกไปเลย ไม่ต้องไปรวมที่ตั้งอยู่ตรงไหน กลไกมันทำของมันเองตามหน้าที่

    ถาม : คนเราจะควบคุมมนุษย์ด้วยกันได้หรือไม่(ควบคุมที่หัวใจ)
    ตอบ : ถ้ามีอำนาจพอก็ให้เขาลองทำดู ควบคุมมนุษย์ ควบคุมตัวเองให้จิตไม่ติดกับกิเลสควบคุมหัวใจควบคุมจิตตัวเองให้หลุดพ้นจากตัวตนให้ได้ก่อน ถ้าทำได้ไม่แน่อาจควบคุมคนทั้งโลกได้ ถ้าควบคุมตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ควบคุมอารมณ์ตัวเองยังไม่ได้ ควบคุมการรับรู้ตัวตน กิเลส ตัณหาของตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีวันจะไปควบคุมสิ่งอื่นได้หรอก เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังอำนาจอยู่ในตัวเอง จักรวาลให้พลังอำนาจมา ไม่ได้หมายความว่า ให้มนุษย์เอาพลังอำนาจที่ตัวเองมีมาไปแสดงความมีอำนาจเหนือบุคคลอื่น อำนาจเหนือบุคคลไม่มีเพราะทุกคนมีพลังอำนาจเท่าเทียมกัน ไม่มีใครคุมจิตใครได้หรือไม่ได้ มันอยู่ทีว่าใครงมงายมากกว่ากัน จะจูงจิตได้เพราะเรางมงายเท่านั้น

    ถาม : นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างโปรแกรมมากมาย สามารถส่งคลื่นดาวเทียมแล้วส่งกลับมา โดยสั่งจิตให้คนฆ่ากันเองให้ตายได้หรือไม่
    ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เพราะคลื่นวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นคลื่นวิทยุ กับคลื่นจิตมันคนละอย่างกัน คือว่า นักวิทยาศาสตร์โลกยังไม่รู้ เช่น การที่เราพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความทันสมัย ให้มันคิดเร็ว จำเร็ว เปิดปิดเครื่องเองได้ ถ้าถึงจุดหนึ่ง คอมพิวเตอร์ ทำงานด้วยคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก และในอากาศมันมีสารจิตอยู่มากมาย และมีรูปธรรมทางพลังงานที่ยังไม่สมดุล ต้องการหาที่อยู่ พอมันไปเห็นคอมพิวเตอร์ มันมองว่าเหมาะสมพอที่จะเป็นเปลือกนอกของมันได้ มันสามารถวิวัฒนาการของตัวมันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้นได้ มันก็จะเข้าไปเป็นแก่นแท้ของสิ่งนั้น แล้วมันก็จะหาเรื่องลองปิด เปิดเครื่องเอง ที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเครื่อง Error เป็นภาษาประหลาดๆ มันจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ทุกวันนี้อาวุธร้ายที่มนุษย์สร้างมันขึ้น มันก็ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ถ้ากดปุ่มพร้อมกัน มันสามารถระเบิดโลกได้ภายใน 1 นาที คอมพิวเตอร์มันจะลองผิดลองถูกมันทำของมันเอง เพราะจิตตัวนี้มันเข้าไปอยู่เพราะมันเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กเหมือนกัน พอมันไปทำมันก็จะระเบิดขึ้นมา สามารถระเบิดโลกได้ นี่แหล่ะภัยที่จิตจักรวาลเรียก คอมพิวเตอร์ ว่าคือ ซาตาน และผู้ที่สร้างซาตานนี่แหล่ะคือ จิตวิญญาณสกปรกของพวกแอตแลนติส ไอ้พวกที่บ้าคลั่งเทคโนโลยี จิตจักรวาลจึงปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องชำระโลกในช่วงนี้ เพราะเห็นว่า นี้คือกาลเวลาที่เหมาะสม
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    การเรียนรู้มีหลายช่องทางให้เราเลือกครับ ชอบตรงไหนศึกษาตรงนั้น
    ผมเองก็ศึกษาแนวอาจารย์ปริญญามาเยอะ..เป็นสากลและเป็นวิทยาศาสตร์ดี คนรุ่นใหม่จะสนใจเละรียนรู้ได้เร็วขึ้น ถ้ายิ่งถ้ารู้จักเอามาผสมผสานยิ่งสนุกครับ..ช่วงนี้ผมเลยต่อยอดจากหนังสือของอาจารยโนวา อนาลัย จากการอ่านนี่ล่ะครับ อ่านด้วยจิตและทำความเข้าใจให้ลึกมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องมิติอันหลายหลายที่เป็นสากล ยิ่งอ่านและตีความให้เข้าใจก็จะเกิดประโยชน์มากๆครับ พอเราเรียนรู้อะไรต่อไปก็จะเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน ข้อสงสัยต่างๆก็ลดน้อยลงไป..เรียกว่าหมดความสับสนสงสัยล่ะครับ
     
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับขออนุโมทนากับความคิดท่านด้วยนะครับ
    ความรู้ยังมีอีกเยอะมากๆๆๆ ขอให้ติดตามกันไปนะครับ เมื่อจิตมันรู้ ทุกอย่างแล้ว จิต มันจะวางได้เองครับ ตรงไหนยังไม่รู้ ก็พยายามเรียนรู้เข้าไป เพื่อให้จิตมันวางให้ได้ครับ แต่ถ้ายังไม่รู้แต่อวดรู้ ก็เป็นได้แค่ ผู้อวดไม่ได้เป็นผู้รู้
     
  19. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ชอบมากเลยค่ะ
    ขอความรู้ใหม่ๆมาเรื่อยๆนะคะ
    อัพเดทบ่อยๆ

    โลกยุคนี้ ค่อนข้างแปรเปลี่ยนไปเยอะมาก
    บางสิ่งบางอย่าง บางเรื่องบางราว ในยุคเก่า
    จะนำมาประกอบกับความรู้ และ การกระทำให้สอดคล้องกับชีวิตในสมัยปัจจุบันไม่ได้

     
  20. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    คำ สอนที่เป็นบาลี ไม่ควรนำมาโชว์เพื่ออวดอ้างความรู้ของท่านนะครับ ฆารวาสอย่างผม ไม่สามารถจำได้หรอกครับ และท่านอื่นๆคง ปวดหัวไปด้วย
    ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
    (deejai) (deejai) (deejai) (deejai)

    คำพูดง่ายๆ ธรรมดา สื่อความหมายได้ดี
    ชัดเจน แจ่มกระจ่าง กว่าเป็นไหนๆ

    คนทุกประเภท อ่านแล้วสามารถเข้าถึงความรู้ได้ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...