น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ
    พระญวณที่เผาตัวเองนั้น เป็นตัวอย่างของคนที่จิตละสมมุติแล้ว ไม่มีตัวตน ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตท่านละวางแล้ว ท่านทำเพื่อพระพุทธศาสนา ท่านเผาตัวเองเป็นพุทธบูชา เพื่อให้พุทธศาสนาได้มีที่ยืนในประเทศของท่าน ภาพของท่านดูได้ที่นี่
    http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=10806

    การที่เราคิดว่าไม่มีตัวเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่พอมีคนมาตียังรู้สึกเจ็บ มีคนมาทำร้ายยังรู้สึกกลัว มีคนมาชื่นชมยังรู้สึกยินดี ยังต้องการลาภยศสรรเสริญ ยังมีความอยาก แต่พอถามตัวเองก็บอกว่าไม่มีตัวเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่นท่องไว้เป็นคาถานิพพานประจำตัว แต่จิตใจนั้นยังมีกิเลสเกาะเต็มไปหมด จะถือว่าเป็นพุทธแท้ได้อย่างไร ถ้าไม่สอนจิต จิตจะเข้าถึงภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร ท่องคาถานิพพานอย่างเดียว จะละกิเลสทั้งปวงได้หรือ

    พุทธศาสนาแท้สอนให้เข้าถึงจิต - ใจ (ธรรมโอวาท หลวงปู่เทสก์) Http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=116254เมื่อรู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิตถึงใจผู้มีสติควบคุมทันจิตเห็นเรื่องวุ่นวายทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นจึงยอมสละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสียให้เหลือแต่จิตกับสติสองอันเท่านั้นจิตก็จะเป็นเอกัคคตามีอารมณ์อันเดียวเมื่อจิตมีอารมณ์อันเดียวแล้วก็จะรวมเข้าเป็นใจนิ่งเฉยดังกล่าวมาแล้ว

    คำสอนหลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ เรื่องกิเลสที่ละเอียดที่สุด
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=116957
    กิเลสชั้นละเอียดที่สุดคือการยึดถือว่าตัวตน
    จิตใจที่ควบคุมไม่ได้มันก็เกิดกิเลสเกิดเป็นความเศร้าหมอง เป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อน ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ศึกษาเพียงพอแล้วประพฤติปฏิบัติควบคุมกำจัดกิเลสได้จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน
    ความสงบคือว่างไปจากการปรุงแต่งทุกอย่าง นี่จบเรื่องของธรรมะผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามลำดับแล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนถึงที่สุดของธรรมะ เป็นโลกุตลธรรม ถ้ายังไม่ถึงนี่ก็มีแต่โลกียธรรมล้มลุกคลุกคลานหัวหกก้นขวิดไปตามประสาคนในโลก ชั่วก็ยุ่งอย่างชั่วดีก็ยุ่งอย่างดี

    วิธีพิสูจน์จิต (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=116346
    การฝึกหัดเบื้องต้นโดยมากก็มักถูกกับกรรมฐาน
    บทอานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก

    โดยมีสติกำกับรักษาจิตอย่าให้เผลอในขณะที่ทำ
    ทำใจให้รู้อยู่กับลมเข้าลมออกเท่านั้น
    ไม่คาดหมายผลที่จะพึงได้รับมีความสงบเป็นต้น
    ทำความรู้สึกอยู่กับลมเข้า ลมออกธรรมดา
    ใจเมื่อได้รับการรักษาด้วยสติจะค่อยๆ สงบลง ลมก็ค่อยละเอียดไปตามใจที่สงบตัวลง
    คำว่า จิตใจ มโน หรือผู้รู้เป็นอันเดียวกัน คือเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ เช่น กิน-รับประทานเป็นต้น เป็นความหมายอันเดียวกันใช้แทนกันได้ ตามปกติใจเป็นสิ่งละเอียดมากยากจะจับตัวจริงได้ ใจเป็นประเภทหนึ่งต่างหากจากร่างกายทุกส่วน

    แม้อาศัยกันอยู่ก็มิได้เป็นอันเดียวกัน ร่างกายที่ตั้งอยู่ได้ย่อมขึ้นอยู่กับใจเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าใจออกจากร่างไปเมื่อใดร่างกายก็หมดความหมายลงทันที โลกเรียกว่าตาย แต่ความรู้คือใจนี้ต้องไม่ตายไปด้วยร่างกายที่สลายตัวไป

    เมื่ออยากทราบความจริงจากใจ จำต้องมีเครื่องมือพิสูจน์ เครื่องมือพิสูจน์ใจได้แก่ธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดจะสามารถพิสูจน์ได้ การภาวนาเป็นการพิสูจน์ใจโดยตรง ผู้มีสติดีมีความเพียรมาก มีทางพิสูจน์ความจริงของใจให้เห็นชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นผิดธรรมดา

    คำว่าเครื่องมือคือธรรมนั้น โปรดทราบว่า ส่วนใหญ่คือสติปัฏฐาน ๔ และสัจธรรม ๔ เป็นต้น ส่วนย่อยแต่จำเป็นทั้งในขั้นเริ่มแรกและขั้นต่อไป ได้แก่อานาปานสติ หรือพุทโธ เป็นต้น เป็นบทๆ ไป ที่ผู้ภาวนานำมากำกับใจแต่ละบทละบาท เรียกว่าเครื่องมือพิสูจน์ใจทั้งสิ้น

    เทสโกวาท100 ปี บทที่ว่าด้วยเรื่องจิตใจ (หลวงปู่เทสก์)
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=116771
    เห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นธรรม
    เห็นภายนอกด้วยตาว่าเราเป็นก้อนทุกข์
    ทั้งเห็นภายใน เห็นชัดด้วยใจด้วย
    เห็นเป็นธรรมทั้งหมด เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะ
    ตามเป็นจริงของสังขาร ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่า
    มันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป
    มันไม่ใช่ตัวตนของเรา เรามัวเมาก็หลงนะซิ
    หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส
    อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
    ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี้ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป
    เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม ให้เห็นจิตเห็นใจของตน
    จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
    ความรู้เรื่องของจิต ของใจนี่แหละ เรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  2. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    [​IMG]

    ยิ้มเพิ่งจะเปิดได้ค่ะ แต่ขอบอกว่าไม่ใช่ภาพนี้นะค่ะ ภาพนั้นเป็นภาพพระญวน ท่านห่มจีวรสีเหลืองเป็นปกติ ท่านน่าจะบวชในไทยนะค่ะ น่าจะเป็นภาพเกิดบริเวณ หน้ารัฐสภาหรือสนามหลวงนี่แระ

    ยิ้มก็เคยเห็นภาพนั้น ในเวปพลังจิต นี่เหมือนกัน
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ดวงตาเห็นธรรม
    ดวงตาเห็นธรรมคืออะไร?

    ดวงตาเห็นธรรม คือ การเกิดความเข้าใจต่อความจริงของธรรมชาติที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เกิดความเข้าใจต่อชีวิตของเราและมนุษย์ทั้งหลายได้อย่างแท้จริง ซึ่งความเข้าใจนี้จะทำให้คำถามที่ว่า​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย แม้จะโดนโจรปล้นฆ่าก็ให้นั่งเฉยๆ

    เพราะโจรเค้าก็สมมติว่าตัวเองเป็นโจร เราก็สมมติว่าเราโดนปล้น จริงๆแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่แหละนิพพานแล้ว"
    ---------------------------------------------------------------------------:o********************

    *****เอ....ตรงนี้อาตมาไม่เคยพิมพ์นา......ไปเอามาจากไหน? หรือว่าเอาเอง?*****

    **ใครเคยรู้บ้างไหมว่า ตระกูลศากยะของพระพุทธเจ้าถูกฆ่าล้างโคตร สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่แท้ๆ? ***

    ***พระพุทธเจ้าน่าจะใช้ฤทธิ์เดชช่วย ทำไมไม่ช่วยก็ไม่รู้? หรือท่านไม่มีฤทธิ์จริงดังที่เราเชื่อกันอยู่? ****

    ***ได้ยินว่า...พระสมัยนี้มีฤทธิ์เดช มากกว่าพระพุทะเจ้าเสียอีก จริงใหม?**

    ***********************.



    ยิ้มขอถามว่า พระญวน ท่านที่ยอมเผาตนเอง กับท่านห่มเหลือง ท่านนี้ ใครผู้ใดกันแน่ ที่เขลามากกว่ากัน:p :p :p 555


    *****************


    ***คุณแม่ "ลัก...ยิ้ม" นี่ก็ดุจัง... ลูกคงกลัวแย่เลยสงสัย?****

    ***ตกนรกกันอยู่เห็นๆ แต่ไม่มีใครยอมรับความจริง ก็ไม่ว่ากัน***

    ***อาตมาเอาบทความ การสร้างดวงตาเห็นธรรม มาให้ศึกษากัน***

    ***เชิญวิจราณ์ได้เต็มที่ อย่ามัวแต่มาด่ากันอยู่ จะตกนรกทั้งๆที่รู้***

    ***ใครมีดวงตาแล้วบอกกันบ้างน๊ะจ๊ะ...จะได้มีพรรคพวกบ้าง...โดนรุมอยู่คนเดียว... แต่ก็สนุกดี...***

    ***ถ้าเอ็งดี ข้าก็บ้า***

    ***แต่ถ้าเอ็งบ้า ข้าก็ดี***

    ***หรือไม่เอ็งกะข้า ก็บ้าด้วยกันทั้งคู่***

    *** www.whatami.net ..***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  6. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    เถียงกับท่านไปไม่ได้อะไรจริงๆ ยิ่งพูดท่านก็ยิ่งตกลงนรก ยิ่งล่วงเกินพระพุทธเจ้าเข้าไปเรื่อยๆ เป็นพระที่บาปหนาจริงๆ

    ที่ท่านไม่มีญาณก็เพราะมัวแต่ งมงาย กับความเชื่อของตัวเอง ไม่ปฏิบัติทางจิตแล้วใครจะมาเสกญาณให้ท่านได้ละครับผม

    คำว่า งมงาย ไม่จำเป็นต้องใช้กับเรื่องวัตถุมงคลหรืออิทธิฤทธิ์อย่างเดียว แต่ใช้กับความคิดของคนก็ได้

    และรู้สึกท่านจะว่างมากนะครับ เห็นท่านมาตอบได้ทุกวันเชียว

    ไม่มีลูกศิษย์ลูกหามาหามั่งเหรอครับ? หรือว่าคอยแต่เก็บตัวเขียนหนังสือตามใจตัวเองโดยไม่รู้ถูกรู้ผิด เอาแต่ใจตัวเองเป็นพอ

    ปล.ที่บอกโดนรุม ไม่ใช่หรอก เพราะคำสอนของท่านมีท่านเข้าใจอยู่คนเดียว ที่เหลือก็พยายามยัดเยียดให้เขา เหมือนที่กำลังยัดเยียดให้เด็กๆในหลักสูตร เลยไม่มีใครโผล่มาช่วยท่านได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ยิ้ม5555
    ^-^ ^-^ ^-^ ^-^ ^-^ ^-^ ยิ้มมาชวนวิเคราะห์กันนะค่ะ จากข้อความข้างบน ยิ้มคาดเดาว่า ท่านห่มเหลืองคงเข้าข่ายปรามาส พระญวน ของยิ้ม ว่าท่านคงเขลา ขาดปัญญาในการแก้ไข เลยประชด เผาตัวเอง

    แต่คืนที่ทราบข่าว ยิ้มเศร้า ไหว้พระเสร็จ ยิ้มกลับ ชื่นชมและกลับกราบท่านในใจ ในการสนองคุณครู บูชาครูของท่าน ด้วยร่างกายที่ท่านคิดว่าอยู่ต่อไปอาจจะไร้ประโยชน์เสียมากกว่า ถ้าศาสนาโดยย่ำยีโดยท่านไม่สามารถดำรงความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนไว้ได้^-^ ^-^ ^-^ ^-^ ^-^ ^-^

    และเรามาอ่านตรงนี้ของท่านเพื่อเปรียบเทียบกันนะค่ะ:p :p :p :p
    ***********************

    ***ขออภัยจ้า... คุณแม่...ลักยิ้ม ที่อาตมาไปล่วงเกินพระญาณของคุณโยมเข้า***

    **ก็ไม่รู้ว่า คุณแม่ลัก...ยิ้ม นับถือพระญวณอยู่***

    ***ถามมา... ก็ตอบไป ...ตามความจริง ไม่ได้แสแสร้ง.. อย่าเพิ่งโกรธซิจ๊ะ...(เวบนี้ดุกันจัง)***
     
  8. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าท้าย มีแต่คำด่า คำแขวะผู้คน ท่านช่างเป็นที่พระน่านับถือจริงๆ

    ถ้าเด็กๆได้รู้ว่าพระที่เขียนหลักสูตร แท้จริงมีวิสัยเป็นยังไง เด็กคงจะ....ดีใจซาบซึ้ง

    ถ้าท่านอยากตกนรกก็ขอให้ตกนรกสมปราถนาเถอะ ช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมจริงๆ แหมมม เกิดมายิ่งใหญ่จริงๆ
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ปล.ที่บอกโดนรุม ไม่ใช่หรอก เพราะคำสอนของท่านมีท่านเข้าใจอยู่คนเดียว ที่เหลือก็พยายามยัดเยียดให้เขา เหมือนที่กำลังยัดเยียดให้เด็กๆในหลักสูตร เลยไม่มีใครโผล่มาช่วยท่านได้
    *******

    *****สงสัยจะจริงแฮ๊ะ...โลกนี้คงมีอาตมาบ้าอยู่คนเดียวแท้ๆๆๆๆๆ***

    ***แต่อาตมาว่าไม่จริงหรอก ...อย่างน้อยก็มีพวกคุณโยมมาบ้าอยู่ด้วยนี่นา จริงไหม?***
     
  10. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ไม่หละ ท่านเชิญบ้าไปคนเดียวเถอะ

    อย่าเอาพวกผมไปรวมด้วยครับ

    พวกผมมาเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ทำไมส่งไม่ไปหว่า

    ขอตอบ


     
  12. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก

    [​IMG]

    ที่จริงโทษที่ได้รับในนรกน่าจะเป็นโทษที่เกิดจากการทำบาปที่หนักหนารุนแรง ไม่ควรเป็นโทษที่เกิดจากเพียงการพูดไม่จริง

    น่าจะมีหลายคนคิดเช่นนี้ แต่ถ้าคิดให้ดี คิดให้ลึก คิดให้รอบ ก็จะได้ความเข้าใจที่ชัดเจน ว่าการพูดไม่จริงมีโทษหนักหนาเพียงไรก็ได้ ถึงตกนรกก็ได้ พระพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวว่า
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ
     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ยิ้ม ขอตอบว่า ยิ้มกับท่านข้างบนประเมินด้วยถ้อยคำสอนของท่านแล้วเห็นตรงกันว่า ความคิดท่านน่าจะประมาณนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีตัวตน
    โจรก็คิดว่าตัวเองเป็น คนที่ถูกปล้น ก็คิดว่าตัวเองกำลังโดนปล้น สรุปทุกสิ่งไม่มีตัวตน ทุกท่านจินตนาการขึ้นมาเอง(ในความคิดของท่านห่มเหลือง)

    แต่ไม่ใช่สำหรับยิ้มนี่ค่ะ แล้วก็ไม่ประสงค์ให้ลูกของยิ้มคิดเช่นท่านด้วย ไม่งั้นอีกหน่อย เขามาของตังส์แล้วยิ้มไม่มีให้ เขาอาจจะด่าพ่อด่าแม่ ตบตีเพราะว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีเรื่องของกรรมส่งผล ตายแล้วดับ สูญสิ้นคือนิพพาน โดยสัญชาตญาณทุกท่านย่อมหวังสุข ไม่มีชอบทุกข์

    ทุกคนก็ขอสุข สุขของฉันเป็นทุกข์ของใครก็ช่าง.... ไอ้ฉิบหายจะตามมา(u)

    *****************************

    *****โอ้โห ประเมินว่าอาตมาจะปัญญาอ่อนขนาดนั้นเชียวหรือ?จ๊ะ คุณแม่ลัก...ยิ้ม***

    ***คนที่จะเข้าใจถึงสภาวะของความไม่มีตัวตนได้อย่างแท้จริงนั้น****

    ***ต้องมีสติปัญญามากพอสมควร มีเหตุมีผล ไม่ยึดติด จึงจะเข้าใจถึงสภาวะของความไม่มีตัวตนได้***

    ***สิ่งสำคัญต้องมีสมาธิ คือมีจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ และอ่อนโยน ควรคู่กับการงาน จึงจะเกิดปัญญาได้***

    **ลองไปทำสมาธิกันดูน๊ะจ๊ะ จะได้มีดวงตาเห็นธรรมกันบ้าง**

    ***มัวแต่มานั่งโกรธอาตมาอยู่ สมาธิก็หนีหมดซิจ๊ะ***

    **หรือไม่เคยมีสมาธิกันบ้างเลยนี่...?????.**


    ***ดีใจ ไปสวรรค์ ร้อนใจไปนรก เย็นใจไปนิพพาน***

    *** www.whatami.net ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  15. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359


    คุณเตชปญฺโญ ภิกขุได้พูดยียวน ส่อเสียดคนอื่นจนพอใจตัวเองแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้าง


    รู้สึกว่า***ดีใจ ไปสวรรค์ ร้อนใจไปนรก เย็นใจไปนิพพาน*** หรือยังไงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  16. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [​IMG]

    ***ถามมา... ก็ตอบไป ...ตามความจริง ไม่ได้แสแสร้ง.. อย่าเพิ่งโกรธซิจ๊ะ.


    พระแชตไฮไฟว์ลวง ม.3
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>มาค้างที่"วัด"ไม่กลับบ้านแม่โร่แจ้งจับ
    เว็บไซต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  17. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ดีใจไปสวรรค์...จะไปอย่างไร ถ้าไม่มีกุศลและบารมีมาช่วยค้ำจุน

    *****************************
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2></TD></TR><TR title="โพส 1020047" vAlign=top><TD class=alt1 align=middle width=125>เตชปญฺโญ ภิกขุ</TD><TD class=alt2>
     
  18. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เพิ่งจะไปเจอกระทู้นี้ น่าจะเหมาะกับท่านเสียจริง ๆ จึงยกมาโดยยังมิได้ขอเจ้าของท่านเสียด้วย จึงต้องขออภัยอย่างยิ่ง

    ถ้าท่านอ่านจบแล้ว ดวงตามธรรมท่านยังบรรเจิดแดงฉาน/มืดมิ๊ดเหมือนเดิม ขอตอบว่าท่านยังอายเด็ก ๆ อีกหลายคนที่เขาเห็นดวงตาธรรมอย่างแท้จริงแล้วนา

    <TABLE class=tborder id=post965418 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> 07-02-2008, 04:41 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>piman<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_965418", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 07-02-2008 04:44 PM
    วันที่สมัคร: Aug 2007
    ข้อความ: 3 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 108 ครั้ง ใน 3 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_965418 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->อันตรายร้ายแรงที่เกิดจากความเห็นผิด
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อันตรายร้ายแรงที่เกิดจากความเห็นผิด โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร

    ----------------------------------------------------------------

    ในครั้งพุทธกาล มีอาจารย์ที่เรียกว่า "เดียรถีย์" (ผู้ข้ามไม่ถูกท่า) ก็ตกอยู่ในฐานะมีความเห็นผิดทั้ง ๓ ประการนี้ ได้แก่

    อาจารย์อชิตตเกสกัมพล มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่มี

    อาจารย์มักขลิโคศาล มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นไปโดยมิได้อาศัยเหตุ

    อาจารย์ปูรณกัสสป มีความเห็นผิดชนิดที่เป็น อกิริยทิฏฐิ เห็นว่าการกระทำทั้งหลายไม่สำเร็จเป็นบุญหรือเป็นบาปได้

    บุคคลผู้มีความเห็นผิดชั้นอาจารย์ ย่อมมีความเห็นผิดที่หนักแน่นมากที่สุด และบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็หนักแน่นมากบ้างน้อยบ้างรองๆ กันลงมา บรรดาอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายผู้ไม่เปลี่ยนใจเหล่านี้จะหลีกหนี นรก ไปไม่พ้นอย่างแน่นอนภายหลังจากจุติ คือดับหรือตายโดยไม่มีอะไรมาคั่น

    แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงทรมานอาจารย์เหล่านี้ด้วยวิธีการต่างๆเพื่อจะได้ละ ได้ถอนความเห็นที่แสนร้ายนี้ ออกไปจากจิตใจเสียแต่อาจารย์เหล่านี้ก็รับไม่ได้ ยกเว้นศิษย์ของอาจารย์เหล่านี้บางคนที่มีความเห็นผิดยังไม่เข้าขั้นหนักรุนแรง

    บรรดาบุคคลผู้มีความเห็นผิดดังกล่าวนี้ นอกจากจะไม่มีหนทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ เพราะขาดปัญญาในปัญหาของชีวิตแล้ว ยังขึ้นๆลงๆ นรก ดังได้กล่าวมาแล้วอีก อาจจะมากครั้งทีเดียว จึงถือว่ามีโทษร้ายยิ่งกว่า อนันตริยกรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในอังคุตตรพระบาลีว่า
    " ปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานิ" แปลความว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเห็นผิดชนิดที่เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้มีโทษอันยิ่งใหญ่ที่สุด"

    แม้ว่าอนันตริยกรรมที่หนักที่สุด เช่น ฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าแม่ เป็นต้น อนันตริยกรรมจะนำไปเกิดในนรกแล้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเป็นต้น ก็คงจะไม่ได้ทำอนันตริยกรรมซ้ำๆอีก แต่ความเห็นผิดนั้นยากนักที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นเห็นถูกได้ แม้จะเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ความเห็นผิดก็ยังติดตามตัวไป ดังนั้น จึงขึ้นๆลงๆ นรก ครั้งแล้วครั้งเล่าจึงน่ากลัวอย่างจะสุดพรรณา

    สมัยหนึ่ง พราหมณ์ผู้หนึ่งได้เข้ามาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามปัญหาเรื่องกรรม เรื่องการตายการเกิดเป็นสัตว์ในภพภูมิต่างๆ เช่น เป็นผีสางเทวดาได้ เป็นต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหลับพระเนตรเสียไม่ตอบ พราหมณ์ถามอยู่หลายครั้งไม่ได้รับคำตอบ จึงได้หลีกไป พระอานนท์จึงได้ถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า คำถามก็ดีๆทั้งสิ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ตอบเขา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อานนท์เธอยังไม่รู้ว่าพราหมณ์ผู้นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่มีกำลังความเห็นผิดเหนียวแน่นมาก ผ่านนรกมาหลายชาติแล้ว ที่เข้ามาถามวันนี้ ก็มิได้ปรารถนาจะมาหาความรู้ หากแต่ต้องการจะมาโต้คารมแสดงความคิดเห็น จะได้ไปโอ้อวดกับคนทั้งหลายว่า ได้มาโต้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ต้องการสร้างพยานหลักฐานเพื่อจะให้คนทั้งหลายเชื่อในความคิดเห็นผิดๆ ของตน

    ความเห็นผิดชนิดที่ล่วงอกุศลกรรมบทคือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ นั้นมีกำลังของการให้ผลมากจริงๆ ผู้ที่มิได้ศึกษาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมิได้มีความคิดพิจารณาในปัญหาของชีวิตให้ลึกซึ้งแล้วจะเข้าถึงความจริงของการให้ผลไม่ได้ เป็นเรื่องที่น่าหวั่นไหวเกรงอันตรายที่ร้ายแรงนี้เหลือเกิน เพราะความเห็นผิดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ มันจะแสดงออกไปซึ่งความเห็นผิดนั้นอยู่เสมอในแต่ละชาติที่เกิดขึ้นมา ผลร้ายแรงที่จะได้รับจึงได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คือตกนรกบ่อยครั้งจนจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตแล้วจึงจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงกลับเป็นตรงกันข้ามได้ เช่น เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เพราะความยากจนมากจึงมัวยุ่งแต่การทำมาหากิน หรือเจ็บป่วยมากอยู่เสมอ มัวแต่ยุ่งเรื่องการรักษาพยาบาลตัวเอง หรือมีเรื่องเศร้าหมองเร่าร้อนอยู่ไม่สร่างซาจนไม่มีเวลาที่จะครุ่นคิดถึงปัญหาชีวิตอันลึกซึ้งที่ตนมีความเห็นผิดติดมา และเมื่อได้พบบัณฑิตย์ที่มีความสามารถเสนอความรู้ให้ ทั้งได้เกิดมาหลายชาติมิได้แสดงความเห็นผิดมากมายออกไป และกุศลของตนเพิ่มขึ้นจึงได้มีโอกาสเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

    เปรียบเหมือนเสือโคร่งหนุ่มฉกรรจ์ย่อมจะหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีของตน เพราะในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มิได้มีผู้ใดที่จะมีความเก่งกาจหรือมีความสามารถเท่าตนได้ จึงยืนผงาดวาดลวดลายว่าข้านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้สัตว์ทั้งหลายเกรงขาม

    ครั้นในบั้นปลายของชีวิต เมื่อความชราได้เข้ามาเยือนจึงได้มีความรู้สึกสำนึกตัวว่าจะยิ่งใหญ่ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะเขี้ยวอันแหลมคมราวกับเหล็กกล้าภายในปากนั้น บัดนี้ก็ได้หลุดถอน เล็บทุกเล็บอันทรงพลังก็โยกคลอน แม้ร่างกายก็อ่อนแอลงไปแล้วจะจับสัตว์ใหญ่กินได้อย่างไร และจะวิ่งตามสัตว์เล็กก็ไม่ไหว แล้วจะยืนผงาดโอ้อวดความยิ่งใหญ่อยู่ได้หรือ ด้วยเหตุนี้เองเพื่อจะยังชีวิตของตนให้คงอยู่ต่อไป จึงต้องค่อยๆย่องตามเสือหนุ่มสาวกัดกินสัตว์ทิ้งไว้แล้วไปนอนเฝ้าคอยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้เพื่อจะได้กินในมื้อต่อไป เสือแก่ก็จะย่องเข้ามากินเศษอาหารที่ทิ้งไว้ ถ้าเสือหนุ่มสาวกระโชกเข้ามาขับไล่ ก็ถอยหลบไป ถ้าเสือหนุ่มสาวเผลอหรือนอนหลับ ก็จะย่องเข้าไปแทะกินใหม่ พอให้ชีวิตรอดไปได้วันหนึ่งๆจนกว่าจะตายลงไป

    http://larndham.net/index.php?showtopic=24493&per=1&st=5&
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    สรุปลำดับขั้นการเกิดดวงตาเห็นธรรม
    (๑) "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หรือตั้งอยู่ก็ตาม ล้วนต้องอาศัยทั้งเหตุและปัจจัย (ปัจจัย หมายถึง สิ่งที่มาช่วยสนับสนุน) เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น หรือตั้งอยู่ ทั้งสิ้น"


    (๒) "ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ โดยไม่อาศัยเหตุและปัจจัย"


    (๓) ร่างกายที่ยังไม่ตายนี้ ต้องอาศัย อาหาร, น้ำ, ความร้อน, และอากาศบริสุทธิ์ เพื่อมาปรุงแต่งให้ตั้งอยู่ ถ้าขาดปัจจัยใดไป ร่างกายก็ย่อมที่จะแตกสลาย หรือตาย ไปทันที


    (๔) สรุปได้ว่า "ร่างกายของเราจริงๆนั้นไม่มี" มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว และสมมติเรียกว่า "ร่างกาย" เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือ ว่าร่างกายนี้เป็นเรา หรือร่างกายของเรา รวมทั้งไม่ควรยึดถือ ว่ามีร่างกายของใครๆอีกด้วย ถ้าโง่ไปยึดถือ ก็จะเป็นทุกข์


    (๕) จิต หรือ ใจ ก็เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อเกิดขึ้นมารับรู้สิ่งต่างๆ และยังต้องอาศัยความทรงจำจากสมองเพื่อมาใช้คิดนึก ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังไม่ตาย ก็ไม่มีจิต หรือถ้าไม่มีความทรงจำจากสมอง ก็คิดนึกอะไรไม่ได้


    (๖) สรุปได้ว่า "จิตใจของเราจริงๆนั้นไม่มี" มีแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น และสมมติเรียกว่า "จิตใจ" เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือ ว่าจิตใจนี้เป็นเรา หรือเป็นจิตใจของเรา รวมทั้งไม่ควรยึดถือ ว่ามีจิตใจของใครๆอีกด้วย ถ้าโง่ไปยึดถือ ก็จะเป็นทุกข์


    (๗) "ความรู้สึกว่ามีเรา" นี้ เป็นเพียงความรู้สึกของจิต ที่อาศัยสัญชาติญาณว่ามีตัวเอง (สัญชาติญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิต ตามธรรมชาติ โดยไม่มีใครมาสอน) กับความทรงจำจากสมอง มาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่ามีเรานี้ขึ้นมา ดังนั้น เมื่อจิตก็ยังไม่มีตัวตน แล้วความรู้สึกว่ามีเรา ที่เป็นเพียงความรู้สึกของจิต จะมีตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร?.
    <DD>
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการท่านเตชปญโญ
    ขอถามท่านดังนี้
    ท่านเกิดดวงตาเห็นธรรมหรือยัง
    ท่านดับกิเลสได้หมดสิ้นหรือยัง
    ท่านประพฤติปฏิบัติควบคุมกำจัดกิเลสได้จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน หรือยัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...