ต้องเป็นพลังจิตของเหล่าบุคคลที่มีใจบริสุทธิ์ที่ไม่เอาอะไรแล้ว

พลังจิตของผู้ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
ว่างจากภาระทุกอย่าง มีเพียงการเจริญสติอย่างเดียว
บุคคลเหล่านี้หากมีการกำหนดนัดหมายรวมพลัง
กันอย่างพร้อมเพรียง
ก็จะเป็นพลังมหาศาลที่จะช่วยต่อต้านภยันตรายได้ทุกทิศทุกทาง
เพราะเป็นพลังแห่งจิตที่เมตตาและจิตที่มีความปรารถนาดี
ต่อผู้อื่นทั้งสิ้น มิใช่เพื่อตนเองแม้แต่น้อยเพราะเป็นผู้ที่
ไม่เอาอะไรแล้ว
จึงเป็นพลังที่ปลอดกิเลสปลอดตัณหา ย่อมมีอำนาจ
บริสุทธิ์ช่วยหยุดหรือบรรเทาภัยได้
เพียงแต่ทำให้พร้อมเพรียงกันไม่ได้ จึงเป็นแค่ความหวัง
ที่ไม่อาจเป็นจริงเท่านั้น

 

ไม่มีใครใหญ่เกินกฎแห่งกรรมคร้าบบ อีกอย่างการพร้อมเพรียงสามัคคีกันก็ยากส์ เห็นงัดข้อกันเหย็งๆ ดูแล้วหดหู่ใจ

 

ถูกต้องครับ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนของตน
บุคคลอื่นไม่สามารถมาบิดเบือนให่ได้
นอกจากตนเองจะเพียรทำความดี เพื่อบรรเทาวิบากร้ายๆ

 

สรุปแล้วก็มาลงแค่"จิตกับสติ"ศีล๕ขึ้นไปก็จะมีพลังด้านบวก ...สมาธิ--->ปัญญา จริงไหมครับ

 

ไม่เอาอะไรแล้วคือหมายความว่า
ความดีที่ทำไปทำไปก็ไม่ได้ไปหวังผล
ไม่ได้ไปเอามายึดแต่ก็พยามทำต่อไป
ความชั่วที่เคยทำผ่านมาก็ปล่อยไม่ได้ไปกังวลเพราะทำไป
โดยไม่รู้พิษสงของมัน
ถ้ารู้จะไม่ทำให้เสียเวลา ต่อเมื่อรู้แล้วก็พยายามละๆ ลงให้
หมด
ใจไม่คิดหวาดหวั่นและไม่คิดท้าทายอะไร

 

ถ้าทุกคนหัดรักเมตตาคนและสัตว์ รวมถึงธรรมชาติ ที่อยู่รอบๆตัว แล้วทุกอย่างที่เรียกว่าภัยภิบัติ น่าจะลดน้อยลง

 

หมู่สัตว์ มีกรรมเป็นของตน

สัตว์โลกย่อมไปตามกรรม

แต่ถ้ามีกรรมอุปถัมถ์ จากดวงจิตอื่น

คอยช่วยเหลือ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
ของหมู่สัตว์ได้

ตอนนี้กรรมภัยพิบัติยังส่งผลอยู่
แต่กรรมอุปถัมภ์ ก็ทำงานด้วย

เหมือนกองไฟ ที่มันลุกโชนขึ้นมา
ก็เอาน้ำลดลาดลงไป ไฟก็ไม่รุนแรง

กรรมสัตว์โลกกึ่งศาสนา กำลังจะยุติลง....

...

 

ถ้าจะต้องใช้พระ ยอมโดนภัยดีกว่า
พระสงฆ์เป็นนาย ไม่ใช่ขี้ข้า

 

อาริยะเมตตรัย = อริยะ + เมตตา + ไตร
หมายถึง อริยะบุคคลหรืออริยะสงฆ์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาทั่วทั้ง 3 โลก (มนุษย์โลก เทวโลก และ พรหมโลก ส่วนนรกโลกันย์ถูกกักไว้ไม่ให้ดวงวิญญานมาแก้ตัวเกิดใหม่อีกเหมือนยุคปัจจุบันนี่้)

ยุคพระศรีอาริยะเมตตรัยพระพุทธเจ้าจึงมีแต่ อริยะบุคคลหรืออริยะสงฆ์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาทั่วสากลจักรวาล ก็อีก 2500 กว่าปีในอนาคตกาล

แต่การมาของพระศรีอารย์ในช่วงกึ่งพุทธกาลนี้ ท่านน่าจะมาเพื่อเคลียร์คนที่จิตใจสกปรกหยาบช้า สร้างกรรมไม่ดีต่างๆไว้ ออกไปจากโลกใบนี้ให้มากที่สุดเพื่อในคนที่จิตใจดีสะอาด ได้มีการพัฒนาจิตต่อไปจนได้อริยะจิตเพื่อให้พระพุทธศาสนาของพระพุทธสมณะโคดมได้เจริญสืบต่อไปอีก 2500 ปีในอนาคตกาล สังคมโลกจะได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ทางจิต(คำสอนของพระพุทธองค์=พระไตรปิฎก)กันอย่างแพร่หลาย เป็นโลกแห่งความเจริญทางจิตใจอย่างแท้จริง

 

บุคคลใดผู้เจริญธรรมในตนดีแล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมไม่ได้รับภัยพิบัติอย่างแน่นอน จะมียักษ์ เทวดา คนธรรพ์ คอยคุ้มกันอย่างหนาแน่น วันที่ฟ้าสดใส วันนั้นก็จะรื่นรมณ์ทั้งสามภพ

 

โดนภัยตายก็ต้องใช้พระมาสวดศพให้อีก
เพราะพระมีหน้าที่สงเคราะห์โลกต่างหาก
ไม่ใช่มารับใช้โลก

 

พระสวดให้คนอื่นฟัง
ศพมีหน้าที่เป็นอุปกรณ์การสอน
การสงเคราะห์คือการชี้ทาง
ลุงแมวทำบุญถวายพระไตรปิฎกบ่อย ๆ สิ