ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ลักษณะการฝึกของ นักเรียนที่กำลังฝึกอยู่ในช่วงนี้ มีขีดความสามารถที่จะ "เดินจิตเข้าสู่สภาวะต่าง ๆ ได้ไม่ยาก" ดังนั้น

    +++ สิ่งที่เรียกว่า "รู้เฉพาะตน" นั้นจะกลายมาเป็น "รู้สาธารณะ" ได้ เมื่อ "เดินจิตเข้าถึงอาการเดียวกันได้"

    +++ ตรงนี้แหละ ถ้าคุณ "แค่บอกเล่า" ลักษณะทั่วไปของ "สภาวะ" ว่าคุณเริ่มมาจาก สถานการณ์อย่างไร

    +++ นักเรียน ก็จะสามารถใช้การ map จิต เพื่อเดินจิตตาม และสามารถ "เรียนรู้" สภาวะนั้นได้

    +++ การฝึกในแบบฉบับที่ผมให้ฝึกอยู่นี้ เป็นการฝึกแบบ "ตัดตรง" เข้าสู่อาการโดยเฉพาะ ดังนั้น ย่อมไม่เหมือนที่อื่น เป็นธรรมดา และมั่นใจได้ว่า คุณไม่เคยเจอการฝึกแบบนี้มาก่อน

    +++ คุณใช้คำศัพท์ว่า "นึก" แต่อาการจริง ๆ ของมันเป็น

    1. กำหนดภายในกาย
    2. แล้วอยู่อย่างนั้น
    3. เกิดอาการแผ่ขยาย "จางคลาย" ออก
    4. อยู่กับอาการแผ่ขยายนั้น
    5. ณ บริเวณปลายขอบของการแผ่ขยาย "บาเรียรัศมีสีขาว" มันปรากฏมาเอง
    6. อาการที่ใช้ภาษาว่า "เห็น" แท้จริงมัน "กลายสภาพจาก รู้ มาเป็น เห็น" ไม่ใช่ตาเห็น ไม่ใช่คิดเห็น

    +++ ในท่อนนี้ "กลุ่มนักเรียน" ที่กำลังฝึกอยู่ สามารถทำได้ ไม่ยากนัก ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ามันจะเป็นเรื่อง "เชื่อ-ไม่เชื่อ" แบบชาวบ้าน ที่แสวงหาความเชื่อจากคนอื่น

    +++ ในกลุ่มนักเรียนจะมีแค่ "ทำได้-ไม่ได้" เท่านั้น แต่เรื่อง "เชื่อ-ไม่เชื่อ" จะไม่มีปรากฏในการฝึกตามแบบฉบับของผม ดังนั้น ให้วางใจได้ในจุดนี้

    +++ ส่วนการเล่าอาการนั้น "ไม่ใช่แค่เล่าสู่กันฟัง" แต่มันจะเป็น "หัวข้อในการเดินจิต" ที่นักเรียนจะได้ "ทำการฝึกฝน" รวมทั้ง ช่วยกันสแกน หาว่า อาการนั้น "เกิดได้อย่างไร" ก่อนอาการนี้เกิด อาการไหนมาก่อน และทุกอย่างจะเป็น "แบบฝึกหัดในการเดินจิตล้วน ๆ"

    +++ ในท่อนนี้ ผมเสริมให้เลยก็แล้วกัน

    1. ให้อยู่ในสภาวะปกติ
    2. ดับจิต หรือ หยุดจิต ให้มัน "ตรึง" อยู่กับที่ จบสิ้นการทำงานของมัน
    3. อยู่อย่างนั้น
    4. อาการนี้ของคุณ "ความมืดก็จะเด่นชัด มือที่ขัดกัน ขาที่ขัดกันหายไป หายใจเหมือนลำบาก" จะเกิดขึ้นมาเอง

    (หมายเหตุ ตรงนี้หลายคนใช้ภาษาว่า "กลั้นลมหายใจ" แต่ภาษาแบบนี้ใช้แบบ "ผิดทาง" อย่างยิ่ง ผู้ที่ฝึกตามมาภายหลังจะ "หลงทาง" แน่นอน)

    +++ ตรงนี้การใช้ภาษาว่า "ตัดความรู้สึกจากขันธ์ 5" เป็นการใช้ภาษาที่ "ไม่ตรงกับอาการ" เพราะอาการที่เป็น "เหตุ" อยู่ที่การ "หยุดวิญญาณขันธ์" ไม่ให้มันทำงานต่อ เท่านั้นเอง

    +++ หากจะใช้ภาษาที่ตรงกับอาการ แบบที่ชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย ๆ ภาษาตรงนี้คือ "หยุดตน" จนหยุดสนิท

    +++ ตรงนี้ หากผมจะเฉลยออกไป นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ "จะไม่มีการบ้านทำ" ดังนั้นผมจะปล่อยไว้ก่อน

    +++ หากคุณ "พอเข้าใจ" ในการฝึกแบบที่นักเรียนกำลังเรียนอยู่ และปรารถนาที่จะเข้ามาช่วย "เป็นวิทยากร" ชั่วคราวก็ให้แจ้งทาง PM เข้ามาด้วย นะครับ

    +++ หมายเหตุ หากใช้ "ตัวหนังสือ สีน้ำเงินเข้ม" จะสะดวกกว่า "ในการอ่าน" นะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การภาวนาพุทโธ ก็เพื่อ "ไม่ให้จิตมันไป รำพึงรำพัน ถึงเรื่องอื่น" การอยู่กับลมหายใจ ก็เพื่อ "ไม่ให้จิตมันไป สะเป๊ะสะปะ มั่วไปหมด แบบสัมภเวสี หรือเจ้าไม่มีศาล" นั่นแหละ

    +++ หากจิดใดสามารถ "มีวิหารธรรม" อยู่ได้ด้วยตัวของมันเองแล้ว รูปแบบการฝึกก็ไม่จำเป็น สามารถมุ่งลัดตัดตรงเข้าสู่ "วิหารธรรม" ตรง ๆ ไปได้เลย

    +++ วิธีควบคุมคือ "ตั้งใจ" ให้มันขยับตามที่เราต้องการ เช่น "ยกมือซ้าย หรือ ขวาก็ได้" แต่ให้มันทำแค่ "ข้างเดียวก่อน" เท่านั้น

    +++ วิธีการทำคือ

    1. กำหนดรู้เฉย ๆ ที่แขนข้างนั้น แล้วกลับมากำหนด รู้ทั้งตัว แล้วปล่อยการกำหนดทิ้งสัก 5-6 ที สลับไปมา
    2. ให้สังเกตุ "ให้ดี และ ละเอียด" ว่า "ถ้าเราไม่ดู (ยังหลับตาอยู่) มันก็ไม่ขยับ" แต่ถ้า "ดู" แล้วมันจึงขยับ ลองสังเกตุดูว่า มันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    +++ ตรงนี้เป็นแค่ step แรกเท่านั้น แต่ต้อง "ละเอียดและรอบคอบ" จริง ๆ จึงจะหาเจอ

    +++ ให้ "ตัดความคิด" ในเรื่องที่ "เหมือนกับจะบอกเรื่องราว ออกให้หมด" เพราะคุณเองก็รู้อยู่แล้วว่า "ณ ขณะที่มันเคลื่อน มันไม่มีเจตนา ที่จะบอกเรื่องราวอะไรเลย" มันเคลื่อนของมันเฉย ๆ

    +++ หากคุณเอา ความคิดเข้ามาแทรกแซงเมื่อไร เมื่อนั้น "กรรม-ฐาน" ของคุณจะ "เสียหายใหญ่หลวง" แน่นอน ตรงนี้ "เป็นเรื่องสำคัญ"

    +++ ที่คุณพูดว่า "แต่ผมไม่สามารถคาดเดาได้" ตรงนี้นั้น เพราะคุณยังไม่สามารถที่จะ "เห็นการที่ จิต กำหนดตัวมันเอง" ได้ เพราะคุณยังไม่ได้ฝึกในเรื่องของ "การตั้งฐานสติ" ให้มั่นคงเสียก่อน นั่นเอง

    +++ แน่นอน ถ้าไม่รู้ตัว ก็ไม่รู้ว่า "มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น" เพียงแต่การ "รู้ตัว" เฉย ๆ มันไม่พอ

    +++ หากจะให้พอก็ต้องทำ "รู้ทั้งตัว" ในขณะที่การเคลื่อนไหวเกิดขึ้น และในขณะที่การเคลื่อนต่าง ๆ เกิดขึ้น "ห้ามหลุดจากรู้ทั้งตัว" มาเป็นรู้เฉพาะ ส่วนที่มันเคลื่อนไหว

    +++ หากทำตาม วรรค นี้ได้เมื่อไร 2-3 วันก็จะเข้า "ควบคุม จิต ที่มันสั่งเคลื่อน" ได้เอง

    +++ ตรง "การขยับเหล่านี้ช้าลงอย่างมากครับ" ตรงนี้เหมือนกับ "มันเคลื่อนในอากาศ หรือ อวกาศ" ใช่หรือเปล่า

    +++ ให้สังเกตุ "เนื้อความว่าง" ให้ดี ๆ จากนั้นให้ดูว่า "ใครสั่งเคลื่อน" อาจสังเกตุถึง "การไหวตัวทางจิต วิป" เดียว แล้วการเคลื่อน ก็ ตามมา ตรงนั้นแหละ "ต้นกำเนิดของการเคลื่อน" มาจากมัน

    +++ หากหาเจอ อาการ วิป เดียวนั้นแหละที่เรียกว่า "1 วาระจิต" หรือบางทีก็เรียกมันว่า "กิริยาจิตใน 1 ขณะ" ก็ได้ ตรงนี้เป็น Basic ของ เจโตปริยะญาณ ดังนั้น "ห้ามวางเฉย" ไม่งั้น "อด" แน่นอน

    +++ "จิตใต้สำนึก" มีได้ถ้า สติ ไม่ถึง แต่ถ้า สติถึงจริง ๆ แล้ว "จิตใต้สำนึก" จะไม่มี เพราะมัน "รู้สำนึก" ในทุกขณะจิต

    +++ ตรงอาการ "นิ่งมากๆครับ" ตรงนั้นให้ "สำเหนียกรู้" ด้วยว่า "เนื้อของความนิ่ง" นั้น มีสภาวะของ ความเป็นเนื้อ อย่างไร (เนื้อธาตุแบบน้ำ แบบอากาศ แบบอวกาศ แบบหนาแน่น เจือจาง ต่าง ๆ)

    +++ ควรทำต่อไป แต่ควรเพิ่มตรง "รู้ให้ชัดเจน ว่า อะไรเป็นอะไร" ตรงนี้ คือ เนื้อหาของการฝึก "กรรม-ฐาน"

    +++ ดีครับ แต่ควรเพิ่มที่ "รู้สถานการณ์ชัดเจน ว่า อะไรเป็นอะไร" โดยเฉพาะตรง "ดูลมหายใจสักประมาณสองสามครั้ง" แล้วสภาวะก่อนที่ "ลมหายใจผมจะหายไป" ตรงนั้น ถ้ามี "รู้หรือรู้สึก ทั้งตัว" เป็นฐานอยู่แล้ว จะรู้ชัดเจนได้เองว่า "จิตมันเคลื่อนตัวอย่างไร" ก่อนที่จะ ทิ้งลมหายใจ แล้ว เข้าไปอยู่ในสมาธิ ตรงนี้สรุปสั้น ๆ คือ "หาอาการที่ จิตเคลื่อนตัวเข้าสู่สมาธิ ให้เจอ" เท่านั้นเอง

    +++ เป็น "สิ่งที่ดีมาก ๆ ในทางธรรม" แต่ น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องตรงนี้ได้ หากพ่อแม่คุณ "ชอบปรึกษา หมอแผนปัจจุบัน (แผนฝรั่ง) โดยเฉพาะ ชอบไปหาตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ดัง ๆ" แล้วละก็ พยายามหลีกเลี่ยง การเล่าเรื่องแบบนี้ให้ท่านฟัง เพราะ หากท่านไปบอกหมอแล้ว เกรงว่า บ้านทั้งบ้านอาจหมดตัวเพราะคำสั่งหมอก็ได้ ระวังให้ดี ๆ นะ จริยะธรรมทางการแพทย์ ในสมัยนี้มันดูดเงินจนหมดตัวกันไปหลายรายแล้ว และ ปัจจุบันนี้ "หมอ คือ นักธุรกิจชนิดหนึ่ง" สักวันคุณจะเข้าใจคำนี้ได้เอง

    +++ จริง ๆ แล้ว อาการตรงนี้ของคุณ "มีอยู่ในหลักสูตรการฝึก ที่ผมวางเอาไว้" หลักสูตรนี้เรียกว่า "หลักสูตร จิตเคลื่อนร่าง" ดังนั้น ไม่ต้องกังวลตรงนี้ เพราะอาการตรงนี้ มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง ตามธรรมชาติของจิต นะครับ
     
  3. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    เป็นการอธิบายขยายความประหนึ่งเข้ามาดูสภาวะที่เราเผชิญอยู่เลย ไม่เพียงการปฏิบัติของท่านที่ไปได้ไกลลิบ..ยังมีการใช้ภาษาที่อธิบายสภาวะธรรมได้ละเอียดละออเก็บได้ทุกเม็ดเลยคะ

    ส่ง PM ไปแล้วนะคะ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคนคะ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ add ไปเรียบร้อยแล้วครับ
     
  5. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    อาจารย์คะ อธิบาย "เนื้ออวกาศ ไม่สลาย ไม่เกิด แก่ ตาย แต่เจ็บ ความแปรปรวน และทุกข์ยังมีอยู่ ในจิตต่างๆ" กับ "เนื้อนิพานธาตุ เป็น เสถียรภาพ ภราดรภาพ นิรันดร์กาล"
    ทั้ง ๒ สภาวะนี้ หน่อยคะ เมิลข้องใจตรงทุกข์ยังมีอยู่ในจิตต่างๆ นะคะ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "เนื้ออวกาศ" จะเรียกว่าเป็น "อวกาศธาตุ" ก็ได้ สรรพสิ่งที่เป็น "สสารแขวนลอย" "ที่รู้ เห็น เป็น อยู่" ที่แขวนลอยอยู่ในเนื้อนี้ทั้งหมด ล้วน "ก่อกำเนิดมาจาก กาลอวกาศทั้งสิ้น" หาข้อยกเว้นไม่ได้เลย ในส่วนของ "สสารแขวนลอย" นั้น ย่อมมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน (แรงโน้มถ่วง) และดึงดูดเข้าหากันในลักษณะวงโค้งทั้งสิ้น (อ่างน้ำนิ่ง เปิดรูตรงไหนก็ได้ ตรงนั้นจะเป็นวังน้ำวน ตาพายุก็เช่นกัน ต่าง ๆ) กลุ่มของสสารแขวนลอย ที่เกิดแรงดึงดูดแล้วเคลื่อนเป็นวงโค้งเข้ามารวมตัวกัน ในลักษณะที่หมุนวน (วัฏฏะ) ทั้งหมดเป็น วัฏฏะของสสาร เรียกสั้น ๆ ว่า "วัฏฏะสสาร" "วัฏฏะของสังสาระ" "วัฏฏะสังสาร" แล้วแต่ภาษาจะพาไป

    +++ "วัฏฏะสังสาร" นี้เป็น "อาการ" หมุนวนรวมตัวกันของ กลุ่มละอองธาตุต่าง ๆ และจิตต่าง ๆ ที่ไหล-วนลงมากับละอองธาตุ จนเกิดการ เกิดแก่เจ็บตาย ในวังงนนี้ จึงเรียกว่า "โลกธาตุ"

    +++ ดังนั้น "วัฏฏะสังสาร" จึงระบุแค่ "อาการ" หมุนวนรวมตัวกันของสสารเท่านั้น เป็นภาษาในหมวด "วงจรของวัตถุธาตุ Material"

    +++ ส่วน "โลกธาตุ" เป็นภาษาที่ จิตเข้ามา เกิดแก่เจ็บตาย ในวัฏฏะของสสารนั้น ๆ ดังนั้นคำว่า "โลกธาตุ" จึงจำกัดในอาการ "เกิดแก่เจ็บตาย ของจิต" ในแต่ละวังวน เป็นภาษาในหมวด "วงจรของสิ่งมีชีวิต Bio"

    +++ ณ ปัจจุบัณ ยังไม่เคยเจอ วัฏฏะสังสาร ที่ไม่ได้เป็น โลกธาตุ เลย ส่วนคำว่า "กาแลคซี่" ที่รู้จักกัน น่าจะใช้ได้ทั้งในภาค Material + Bio

    +++ ทิศหลัก ๆ ของกาแลคซี่แบ่งเป็น 4 คือ เหนือ ใต้ ออก ตก ทางใต้เรียก "ชมพูทวีป" และ ต้นหว้าที่สูงนับเป็น "โยชน์ (10 ไมล์ หรือ 16 กิโลเมตร)" นั้น เกิดไม่ได้ใน ดาวที่เราอาศัยอยู่นี้

    +++ ที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหลัก ๆ ในอาการของ "สารแขวนลอย" ไม่ใช่ตัวเนื้อธาตุของมัน

    ========================================================

    +++ ส่วนตัวเนื้อ "อวกาศธาตุ" นั้น เป็นเนื้อธาตุที่ ไม่มีต้น-ไม่มีปลาย สามารถเรียกได้ว่าเป็น "Alpha and Omega" ก็ได้ หากเนื้อนี้มีความ มั่นคง-เสถียรภาพ (ไร้ปฏิกิริยาลูกโซ่) สรรพสิ่งย่อมไม่สามารถ "ก่อกำเนิด-แตกดับ" ได้เลย

    +++ แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น สสารแขวนลอย รวมทั้งสนามพลังแรงโน้มถ่วง ต่าง ๆ ในเนื้อของมันนั่นเอง ทำให้เกิด "ความแปรปรวนในเนื้อนี้"

    +++ ตัวเนื้อนี้ ไม่มีการ "เกิด-ดับ" แต่สสารแขวนลอยต่างหากที่มีการ "เกิดดับ" และการ เกิด-ดับ ของสสารแขวนลอย ย่อมส่งผลให้เกิด "ความแปรปรวน" ในสนามความโน้มถ่วง ในเนื้อนี้

    +++ ถึงจุดนี้ คงพอเข้าใจในเรื่อง "เนื้ออวกาศ ไม่สลาย ไม่เกิด แก่ ตาย แต่ ความแปรปรวนยังมีอยู่" ได้ไม่ยากจนเกินไปนะ

    ========================================================

    +++ ในวรรคนี้ จะเป็นหมวดเฉพาะ "สนามความโน้มถ่วง" ให้เทียบกับ "ตาน้ำวน หรือ ตาพายุ" ก็ได้ ให้เทียบเป็นส่วน ๆ คือ ตัวธาตุอวกาศกับตัวธาตุน้ำ ที่อยู่พ้นเลยออกไปจากสนามความโน้มถ่วง เป็นส่วนเรียกว่า "ข้างนอก" หรือ อวกาศนอกกาแลคซี่

    +++ ถัดเข้ามา จะเป็นส่วนที่ เริ่มตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง แต่ยังไม่เข้าสู่อิทธิพลของปากกรวย funnel ตรงนี้จัดเป็น เนื้อของวังวน หรือ อวกาศภายในกาแลคซี่ เรียกว่า "ข้างใน" ดาวนพเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี้ อยู่ในส่วนนี้

    +++ ถัดเข้าไป จนตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของวังวน funnel จะเรียกว่า "วงใน"

    +++ ถัดเข้าไปอีก จนตกภายในบริเวณปากทางของวังวน funnel จะเรียกว่า "ปากท่อ" หรือ "ขอบหลุมดำ" ก็แล้วแต่ภาษาจะเรียก

    +++ ถัดเข้าไป จนตกอยู่ข้างในอิทธิพลวังวน funnel จะเรียกว่า "ในท่อ" จะแยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนผนังท่อ funnel wall กับส่วน เนื้ออวกาศนอกผนังท่อ outside funnel wall

    +++ ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เข้าใจ "เนื้ออวกาศ ภายใต้ สนามแรงโน้มถ่วง แบบหยาบ ๆ เท่านั้น"

    ========================================================

    +++ สำหรับเฉพาะ "นักศึกษา ในกระทู้นี้" ที่ยังออกอวกาศไม่ได้ ก็ให้ตรวจสอบในสิ่งที่เรียกว่า "เนื้อฌาน กับ การอยู่ของจิต ในแต่ละเนื้อ" ก็จะพอเข้าใจได้ว่า "สิ่งที่เรียกว่า ทุกข์ คือสภาวะใดในแต่ละ เนื้อของฌาน"

    +++ ส่วนเฉพาะ "นักศึกษา ในกระทู้นี้" ที่ออกอวกาศได้แล้ว ให้ตรวจสอบในระดับชั้นของ "เนื้ออวกาศ" แล้วกลับมาเทียบกับ "เนื้อของฌาน" จากนั้นให้ "ขยายรู้ในเนื้อฌาน จนอายตนะเปิดกว้างพอที่จะสัมผัสความเป็นจริงรอบด้านได้" เมื่อเนื้ออวกาศปรากฏ ก็จะเห็นและเข้าใจได้ว่า "ฌาน" ตรงนั้นเป็นบริเวณไหนของสนามแรงโน้มถ่วงของกาแลคซี่ และให้เทียบ ฌาน 1-8 กับภาษาของ "สนามความโน้มถ่วง" ในวรรคก่อนหน้านี้ดู ตรวจ เนื้อฌานรวมทั้งทุกข์-สุข ในสนามนั้น ๆ ให้ละเอียด แล้วลอง map เข้ากับภาษาในหมวด "ภพภูมิ" ดู ทังหมดก็จะเข้าใจในเรื่อง วัฏฏะสังสารและภพภูมิ ได้ไม่ยากจนเกินไปนัก แต่มันก็ไม่ง่าย ในส่วนนี้นะ

    +++ ให้ถือว่า "เป็นการบ้าน" เฉพาะ ของนักศึกษาในกระทู้นี้ก็แล้วกัน

    ========================================================

    +++ ไหน ๆ ก็พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็จะ "เฉลย" ข้อความในวงล็บ ที่ต่อจากคำถามตรงนี้ "(ค่อย ๆ ศึกษาดูในเรื่อง โลกธาตุ (ดิน) ตั้งอยู่บนน้ำ และ น้ำตั้งอยู่บนอากาศ)" เลยก็แล้วกัน

    +++ เรื่องโลกธาตุก็คงชัดเจนแล้วว่า มันเป็น กาแลคซี่ (ดิน) ตั้งอยู่ในเนื้ออวกาศ ข้างในบิกแบง (น้ำ) ส่วน บิกแบงทั้งหมดทุกลูก เป็นเพีงแค่ "สารแขวนลอย" ในเนื้ออวกาศ ที่เบาบางกว่ามาก ข้างนอก ตรงนี้เหมือนกับ "ฟองสบู่ใส ๆ" ลอยอยู่ในเนื้อ อากาศ นั่นแหละ "กาแลคซี่ เป็นสารแขวนลอยในบิกแบง และ บิกแบงเป็นแค่ ฟองล่องลอยใน เนื้ออวกาศ" แบบนั้น

    ========================================================

    +++ ในวรรคนี้จะพูดถึง จิตที่ปัจจุบัณขณะอาศัยอยู่ในเนื้ออวกาศ ที่อยู่พ้นเลยออกไปจากสนามความโน้มถ่วง เป็นส่วนเรียกว่า "ข้างนอก" หรือ อวกาศนอกกาแลคซี่ ก็แล้วกัน

    +++ กลุ่มจิตเหล่านี้ มักจะเป็นกลุ่มจิตที่เคย แวะวนเวียน เข้า-ออก ไป-มา ในวัฏฏะสังสารต่าง ๆ แต่จากความเป็น "จิตเก่าแก่ (ตรงนี้เมิลคงรู้แล้ว) รวมทั้ง ท่องเที่ยวมามาก และ ไม่ต้องการมาเป็น หรือ อยู่กับ 3 density (ต้องเกาะการใช้ภาษาของพวกนั้นไปก่อน)" เพราะ "สนามแรงโน้มถ่วงต่าง ๆ (ภูมิ) ทำให้เกิดความ อึดอัด" จิตของกลุ่มเหล่านี้จึง หาทางออกมาจาก สนามแรงโน้มถ่วง (ภพภูมิ) ทั้งหลาย เพราะมันสบายกว่า จะชี้วิธีพิสูจน์ง่าย ๆ ตามความเป็นจริงตรงนี้คือ

    +++ ในยามที่ใช้ ชิวิตปกติ สิ่งที่เรียกว่า "กาย" อยู่ใน อากาศ กี่ % และสัมผัสพื้น กี่ % (เอาความเป็นจริง ตามสัจจธรรม อย่างเดียว)
    +++ และ "จิต" คุ้นเคยกับการ อยู่กับพื้น กี่ % และมีส่วนคุ้นเคยกับการอยู่ในอากาศ กี่ % (เอาความเป็นจริง ตามสัจจธรรม เท่านั้น)
    +++ ให้ตัดความคุ้นเคย "ทิ้งไป" แล้วอยู่กับ ความเป็นจริงในอากาศ อันไหนสบายกว่า อาการนี้แหละ ที่เป็นทางเลือกที่จะ "อยู่" ของกลุ่มจิตเหล่านั้น

    +++ แต่จิตเหล่านั้นยังไม่สามารถรู้จัก สักกายะทิฐิ ได้ ดังนั้น เมื่อจับมาปล่อยนอกยาน และ ไม่ได้ใส่ชุด อาการ "ตาย" จึงเกิดขึ้นได้ เหตุเพราะ "ยังทำไม่เป็นในเรื่องการ ม้างกาย ให้เข้ากับเนื้ออวกาศได้" รวมทั้ง จิตเหล่านั้นยังพ้น สักกายะทิฐิ ดังนั้น ธรรมะ-อธรรม จึงยังมีอยู่

    +++ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมกล่าวว่า "แต่เจ็บ ความแปรปรวน และทุกข์ยังมีอยู่ ในจิตต่างๆ" ของกลุ่มเหล่านี้

    +++ "เมิล" ควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ ออกศึกษาเรื่องเหล่านี้ ก็จะเข้าใจ ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ได้ดียิ่งขึ้น เว้นไว้แต่ว่าเคย "อฐิษฐาน" ปฏิเสธความรู้พวกนี้ไว้ก่อนหน้า ก็จะทำให้ การอฐิษฐานนั้น เข้ามาปิดบังสภาวะธรรมเหล่านี้ลง หากจะถอนอฐิษฐานนั้นออก ก็ให้ทำเสียแต่เนิ่น ๆ หากมัน "เข้าฝักแล้ว" สภาวะธรรมทางด้านนี้ ก็จะปิดตายไปเลย

    ========================================================

    +++ ส่วนคำถามตรง "เนื้อนิพานธาตุ เป็น เสถียรภาพ ภราดรภาพ นิรันดร์กาล" นั้น ให้ "ระเบิดตัวดู" พอความจ้าเกิดขึ้น ก็ให้เข้าไปอยู่ในนั้นเลย แล้วสักพัก ก็จะชัดเจนเองว่า "เนื้อนี้" ไม่มีใน 3 โลก และก็ไม่ใช่ เนื้ออวกาศ ไม่ใช่เนื้อฌานอะไรทั้งสิ้น เนื้อนี้มีมาก่อน นานแล้ว และดำรงค์อยู่เช่นนั้น แม้แต่ในเนื้ออวกาศ ก็มีเนื้อนี้แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มีทุกข์ ไม่มี สสาร "แม้กระทั่ง อณู หรือ sub atomic particle ก็ตั้งอยู่ในเนื้อนี้ไม่ได้" "ไม่ปรากฏความเป็นตน ไม่ปรากฏความเวิ้งว้าง เป็นความว่างที่เป็นปึกแผ่น ไม่โหวงเหวงแบบเนื้ออวกาศ" "เป็นเนื้อที่เป็น เสถียรภาพ ภราดรภาพ นิรันดร์กาล มานานแล้ว" และแทบทุกครั้งที่เข้าเนื้อนี้ มักจะมี "ผู้ที่อยู่ในเนื้อนี้อยู่แล้ว" มาปรากฏเป็นสักขีพยานอีกด้วย ตรงนี้ "เมิล" ก็ชัดเจนแล้วนะ ว่าอะไรเป็นอะไร

    +++ ต้นเหตุของคำถาม มาจาก โพสท์ตรงนี้นะ

    http://palungjit.org/10041447-post14.html
     
  7. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    "ความว่างที่เป็นปึกแผ่น" อาการนี้เลย ใช่เลยคะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ว่าง ๆ จะเขียนเรื่องของ "ความว่าง ทุกประเภท" ให้นะ มีแยะพอสมควร ภายภาคหน้าจะได้รู้ว่า อาการว่างอย่างไรอยู่ตรงไหนนะ
     
  9. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    คุณธรรมชาติ ช่วยสอนทริก หรือเทคนิคในการเก็บสะสมสมาธิระหว่างวันในเวลาทำงานอยู่ หรือทำงานไปก็สามารถทรงสมาธิไปด้วยได้หรือไม่โดยไม่กระทบกับงาน หรือคนรอบข้างหนะครับ (งานผมเป็นงานคอยรับโทรศัพท์พูดคุยกับเสียงในโทรศัพท์หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา) รบกวนด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้า
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ส่วนหนึ่งก็ให้ทำตามที่ผมตอบคุณ Totoro24 ในกระทู้ "อภิญญา-สมาธิ สามารถให้ผลทางเมตตามหานิยมกับผู้ฝึกหรือไม่"

    +++ แต่อีกส่วนหนึ่งที่คุณต้องการ คือ "เทคนิคในการทำงาน และ สามารถทรงสมาธิไปในตัวด้วย" นั้น จริง ๆ มีอยู่ในโพสท์ที่ 7 ในหน้าแรกของกระทู้นี้

    +++ โดยปกติแล้ว การฝึกสมาธิของกระทู้นี้ เป็น "การฝึกความรู้สึกตัว มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ในยามที่ใช้ชีวิตตามปกติ จนกลายเป็นการครองสมาบัติทั้ง รูป-อรูป ได้ในทุกสถานการณ์ จนถึง วิปัสสนาญาณทัศนะ จนจบทุกอย่าง" ไม่ใช่แบบ "หลับตาปี๋ ไม่รู้อะไร ทำงานไม่ได้" หากคุณ tongrolass เคยอ่านในตอน "ช่วงแรก ๆ ของกระทู้" ก็จะพบ วิธีสร้างความรู้สึกตัวในแบบต่าง ๆ แต่ทั้งหมดสรุปลงมาที่ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" อันเป็นจุดเริ่มต้น

    +++ เมื่อได้ความรู้สึกตัวทั่วถึงแล้ว ก็จะมีวิธีการควบคุม "ระดับความรู้สึกตัวแบบวัดเป็น %" หากคุณ tongrolass ทำได้ ในระหว่างเวลาทำงาน (งานคอยรับโทรศัพท์พูดคุยกับเสียงในโทรศัพท์หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา) ตรงนี้ ก็ให้อยู่ที่ "ระดับความรู้สึกตัวที่ 15 %" ก็จะเป็น "การทำงานที่มี สติ สัมปชัญญะ รวมทั้งเป็นการฝึก ฐานสมาธิ ไปในตัวด้วยกันทั้งหมด ในอาการเดียวกัน"

    +++ หากทำตามที่ผมกล่าวมาได้ นอกจากจะได้ "วสี 5" แล้ว อย่างอื่น ๆ เช่น เจโตปริยะญาณ ก็จะค่อย ๆ ตามมาเอง ด้วยวิวัฒนาการของจิต ตามธรรมชาติของมัน นะครับ

    +++ ลิ้งค์แบบคำตอบเดียว อยู่ข้างล่างนี้

    http://palungjit.org/8438824-post7.html
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จริง ๆ ก็ว่าจะโพสท์เรื่อง "ความว่าง" ทั้งหมด ทุกประเภท แต่หลังจากที่พิจารณาแล้ว เห็นว่า "เอาเท่าที่ ตรงกับการปฏิบัติในกระทู้นี้ จะดีที่สุด มิฉะนั้น มันจะเฝือเกินไป"

    +++ "จะโพสท์ เฉพาะ" สำหรับนักศึกษาที่ปฏิบัติฝึกฝนตาม ในกระทู้นี้ ได้ทำการตรวจสอบแบบ "เฉพาะเรื่อง" ในกรณี เฉพาะ นักศึกษาที่สามารถ "เดินจิตเข้าสู่สภาวะ รู้-แจ้ง-จ้า" ได้ทำการตรวจสอบ สภาวะของตนเองเท่านั้น "เพื่อความตระหนักใจ เฉพาะตน" ว่า สภาวะของ "รู้-แจ้ง-จ้า" นั้น มีอาการที่ "ตรงกับข้อความที่ ระบุ เอาไว้ข้างล่างนี้หรือไม่" เท่านั้นนะครับ

    =====================================================

    +++ 1. สภาวะของ "รู้-แจ้ง-จ้า" เป็น "อายตนะ (Sense)" ตรงตาม Specification นี้หรือไม่

    ความเต็ม ดูที่นี่ (ถ้าไม่ทำลิ้งค์ ระบบของเวปจะทำให้อ่านไม่ออก)

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ ๑. นิพพานสูตรที่ ๑

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น"

    "ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

    +++ สรุป คือ เป็นอายตนะ (Sense) ที่ไม่มี "ธาตุ และ ฌาน เจือปน"
    +++ สรุป คือ เป็นอายตนะ (Sense) ที่ไม่มี "อดีต อนาคต รวมทั้ง จักรวาล"
    +++ สรุป คือ เป็นอายตนะ (Sense) ที่ไม่มีการ "เคลื่อนที่ ตั้งอยู่ ดับ เกิด"
    +++ สรุป คือ เป็นอายตนะ (Sense) ที่ไม่มี "ที่ตั้ง ความเป็น และ ไม่มีอารมณ์"
    =====================================================

    +++ 2. การปรากฏสภาวะของ "รู้-แจ้ง-จ้า" ตรงตาม Specification นี้หรือไม่

    ความเต็ม ดูที่นี่ (ถ้าไม่ทำลิ้งค์ ระบบของเวปจะทำให้อ่านไม่ออก)

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ๓. นิพพานสูตรที่ ๓

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่"

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ"

    +++ ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีเหตุปัจจัย ไม่ปรุง (แม้แต่ อณูหรืออนุภาค ก็ตั้งอยู่ไม่ได้)
    +++ เป็นการสลัดคืน "การเกิด การเป็น การมีปัจจัย การปรุงแต่ง" ทั้งหมดจนไม่เหลือ ในสภาวะนี้
    +++ การสลัดออก (ยิงตัวดู หลุมดำรวมทั้งกาแลคซี่แห่งวัฏฏะสังสาร ทั้งหมดของมัน) จนไม่เหลือ สภาวะนี้ "จึงปรากฏ"
    +++ หมายเหตุ ในขั้นตอนของการฝึก "จิตจักรวาล" คือการ ยิงตัวดูออกไป ซึ่งก็คือ หลุมดำ+กาแลคซี่ จากนั้นจึง "ทำลายวัฏฏะของมัน" สภาวะนี้ "จึงปรากฏ"
    =====================================================

    +++ 3. ในขณะที่อยู่ในสภาวะ "รู้-แจ้ง-จ้า" นั้น ทุกอย่างตรงตาม Specification นี้หรือไม่

    ความเต็ม ดูที่นี่ (ถ้าไม่ทำลิ้งค์ ระบบของเวปจะทำให้อ่านไม่ออก)

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ๔. นิพพานสูตรที่ ๔

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า "ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดีเมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมาการไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติและอุปบัติ เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

    +++ ไม่มีความเป็น ตน ที่เป็นเหตุของ การกระเพื่อมไปมา ของ กิริยาจิต (สรุป คือ ไม่มีการเดินจิต)
    +++ ไม่มีกิริยาจิต มีแต่ความต่อเนื่อง (เนื่อเดียว เอกภาพ ภราดรภาพ) ไม่มียินดี ไม่มีการเคลื่อนที่ ไม่มีเกิด-ดับ ไม่มีภพ-ภูมิ
    =====================================================

    +++ เฉพาะ "นักศึกษาในกระทู้นี้เท่านั้น" ผู้ที่ทำ "รู้-แจ้ง-จ้า" ได้แล้วก็ให้ตรวจสอบเอา "ด้วยตนเอง" ว่า ทุกอย่าง "ตรง" ตาม Specification ที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้ "ทั้งหมด ทุกประการ" หรือไม่

    +++ สำหรับผู้ที่ "ลาพุทธภูมิ ไม่ขาด" ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะ "เข้าถึงตรงนี้ไม่ได้" ก็อย่าเพิ่งท้อใจ ก็ให้ "ทำประโยชน์ ต่อ สาธารณะชน" ต่อไป อย่าตั้งหวังอันใดที่จะ "นำประโยชน์เข้าสู่ตนเป็นหลัก" เป็นอันขาด หากยังไม่เป็น "นิยตะบุคคล (ได้รับ พุทธพยากรณ์)" แล้ว โอกาสที่ความ "ทรนง ในอัตตา" จะพาไป อบาย ได้ไม่ยากเลย ตรงนี้เป็นข้อควรระวัง ที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษนะ

    +++ ให้ไว้ "เป็นการบ้าน" สำหรับผู้ที่ทำ "รู้-แจ้ง-จ้า" ได้แล้วเท่านั้น ผู้ที่ยังมาไม่ถึง "จิตจักรวาล" ก็พยายามทำให้ "ตัวดู ถูกรู้" ให้ได้เสียก่อน นอกนั้นก็ "ค่อยว่ากันทีหลัง" นะครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    แจ้งเรื่องการเปลี่ยนคำศัพท์จาก "จิตจักรวาล" มาเป็น "อัตตะจักรวาล"

    +++ กระทู้นี้ใช้คำศัพท์ คำว่า "จิตจักรวาล" อยู่หลายแห่ง แต่หมายบ่งชี้ไปที่ ตามความหมายดั้งเดิมซึ่งเป็นการ "ฝึกจิต ในพระพุทธศาสนาของภาค กาลจักรตันตระสูตร"

    +++ ครูบาอาจารย์ที่เคยกล่าวถึงตรงนี้ ก็มีอยู่บ้าง เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล กับ หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ต่างก็ ชี้กันมาในส่วนตรงนี้

    +++ แต่ในปัจจุบัน คำศัพท์คำว่า "จิตจักรวาล" มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก จนเป็น "ประชานิยม" ไปแล้ว และคำ ๆ นี้ "ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว" ไปจากวัตถุประสงค์ดั้งเดิม โดยสิ้นเชิง

    +++ คำว่า "กาลจักร" นั้น ปัจจุบันเป็นที่นิยมแพร่หลายกันในหมู่ "โหราศาสตร์" และคำว่า "จิตจักรวาล" กลับกลายมาเป็นที่นิยมในหมู่ของพวกที่ชอบ "ปรุงแต่ง" จนเกินเหตุ

    ===========================================

    +++ เพื่อ "ป้องกันความสับสน เนื่องมาจากการใช้ภาษา" กระทู้นี้ จึงเห็นความ "จำเป็น" ที่จะต้อง เปลี่ยนคำศัพท์ของภาษา จากคำว่า "จิตจักรวาล" มาเป็นคำศัพท์อื่น

    +++ ลักษณะของ "กาลจักรตันตระสูตร" นั้น เป็นเรื่อง การฝึกจิตจนมีขีดความสามารถที่ ออกมาจาก "อัตตาจิต (ตัวดู)" โดยการเดินจิตแบบ "วิมุติญาณทัศนะ" (ตัวดู ถูกรู้)

    +++ เมื่อออกมาได้ระยะหนึ่ง ซึ่งยังไม่ไกลมากนัก "ผู้ที่ฝึก" จะรู้ได้ว่า "มีกระแสแรงดึงดูด" ให้ประกบกลับไปสู่ ตัวดู เพื่อ "กลายเป็น อัตตา" ใหม่อีกรอบหนึ่ง

    +++ แต่ "นักศีกษาในกระทู้นี้" จะได้รับการฝึกแบบ "ให้แยกตัวออก จากกระแสดึงดูดนั้น จนสิ้นอิทธิพลของมัน" แล้วจึง "สำเหนียกรู้" ลักษณะการทำงานของ "ตัวดู" ซึ่งกลายมาเป็น "ตัวดูด"

    +++ ลักษณะของ "ตัวดู ที่ดึงดูด สรรพสิ่ง" นี้นั่นเอง ที่เป็นสภาวะของ "หลุมดำ" ที่เรารู้จักกันตามแบบของ NASA Black hole และมีลักษณะอาการ ตรงกันทุกประการ

    +++ การฝึกแบบ "กาลจักรตันตระสูตร" นี้ ไม่สามารถที่จะ "มโนเอาเอง" ได้เลย และอาการ มโน ต่าง ๆ จะถูก "ทิ้งไป" ตั้งแต่ อัตตาถูกแยกออกไป ตั้งแต่ต้นแล้ว

    +++ การปรุงแต่งทั้งหมด "สังขารา" จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย และจะโดนโยนทิ้งไปพร้อมกับ "อัตตาจิต ตัวดู หลุมดำ" รวมทั้ง ปฏิจจสมุปบาท ตลอดสายในอัตตาทั้งหมด

    +++ เมื่อนักศึกษาในกระทู้นี้ สามารถแยก "ตัวดู หลุมดำ" ออกไปจน

    1. สิ้นอิทธิพลจากแรงดึงดูด แล้วแยกห่างออกไปอีก จนเห็น
    2. อนุภาค ที่อยู่ภายใต้สนามพลังรอบนอก ของแรงดึงดูดทั้งหมด

    +++ เมื่อเห็นอาการทั้ง 2 ประการครบแล้ว จึงรู้ได้ว่ามันคือ GALAXY ที่ตรงกันกับการศึกษาของ NASA นั่นเอง

    +++ การศึกษาในภาคนี้คือภาค "อัตตะจักรวาล" ซึ่งเป็นเรื่องของ "อัตตาจิต ตัวดู หลุมดำ" รวมทั้ง สภาวะของ "จิต และ สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในสภาวะนี้" ทั้งหมด

    +++ รวมถึง "โลกธาตุ ทวีปจากพระไตรปิฏก แสนโกฏิโลกธาตุ" และอื่น ๆ ที่เป็น "อจินไตย" ของพวกภพภูมิแต่ "ไม่ใช่ อจินไตย ในการฝึกภาค กาลจักรตันตระสูตร"

    +++ เพื่อไม่ให้เกิดความ "เข้าใจผิด" ของผู้อ่าน กระทู้นี้จึง "จำเป็น" ที่จะต้องเปลี่ยนจากคำว่า "จิตจักรวาล มาเป็น อัตตะจักรวาล" เพื่อให้ได้เนื้อหาดั้งเดิมตาม "กาลจักรตันตระสูตร" นะครับ
     
  13. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    ขอบคุณ

    อาจารย์ค่ะ ขอบคุณนะค่ะ ที่คอยสอน ชี้แนะ ชี้นำแนวทางให้เดิน ด้วยความตั้งใจและอดทน จากระยะทางไกลที่ต้องข้ามและอ้อมภูเขาหลายลูก..เป็นเส้นทางของการเดินลัดภูเขา แม้ส่งถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ยังชี้แนะ และสอนต่อ...จักรวาลนี้มีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมายนัก

    อยากบอกว่าตัวเองโชคดีค่ะ ที่ได้มาเจออาจารย์...:cool::cool:
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เป็นธรรมดาของ "เอกพีชี" ที่ได้ระบุไว้ในโพสท์ที่ 1142 ในกระทู้นี้แหละ ที่จะได้ "ต่อยอด" จนจบ

    +++ เมื่อ "จบกิจแห่งตนแล้ว (retirement)" ก็ควรได้ "ท่องเที่ยว พักผ่อน"

    +++ ทัศนะศึกษา เยื่ยมชมสิ่งแปลก ๆ มหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่มีอยู่กลาดเกลื่อนมากมาย "ไม่ต้องเสียตังค์"

    +++ จะได้รู้ว่า คำว่า "คุ้มค่าเมื่อจบกิจ" เป็นอย่างไร "ฝึกจบแล้ว คุ้มมั้ย" ไม่ใช่มีแต่ "ผนังห้อง" เป็นที่อยู่ (เหมือนห้องผีสิง :boo: แปลกดีนิ)

    +++ ตั้งแต่โพสท์ที่ 1141 เมื่อวัน-เวลา 07-06-2016, 03:02 PM จนถึงวันนี้ 02-07-2016 รวมแล้ว ยังไม่ทันถึง 1 เดือนเลยนะ

    +++ เข้าสู่ conference เมื่อวันที่ 8 มิย. 2016 จนเป็น "รู้-แจ้ง-จ้า" ที่ไม่สามารถที่จะ "เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย รวมทั้ง ทุกข์ จะปรากฏขึ้นมาไม่ได้เลย" ใช้เวลาแค่ 10 กว่าวันเท่านั้นเอง

    +++ เมื่อถึงเวลา ก็จะให้ทัวร์ "แหล่งกำเนิด จิตและวัตถุ" ที่มันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของจักรวาฬ ณ แหล่งเดียวกัน ก่อนที่จะ "กลายเป็น" จิตหรือวัตถุธาตุ หรือกลับเป็น เนื้ออวกาศตามเดิม

    +++ เมื่อถึงเวลาที่จะ "ออกพ้นจาก กาลอวกาศ" ก็ทำ "รู้-แจ้ง-จ้า" ได้เลย ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนใน กาลอวกาศ เพราะทุกอย่าง "ฝึกมาหมดแล้ว" ดังนั้น "เหลือแต่เที่ยว ลูกเดียว" เท่านั้นแหละ

    +++ "สุขจริงหนอ" เมื่อเทียบกับคนอื่น มันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นแหละ อิอิ
     
  15. Amysassygirl

    Amysassygirl สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    วันนี้งานเส็ดไว มีเวลาเข้ามาเก็บความรู้เพิ่มค่ะ อจ อิอิ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก่อนอื่นต้องระบุก่อนว่า "ผมไม่ใช่ อาจารย์คุณ" และลักษณะของคุณ "ผมไม่รับ แน่นอน" จึงไม่จำเป็นอะไรที่จะต้อง "ตอบซ้ำซาก" และคำตอบมีอยู่แล้ว "ชัดเจน" ในกระทู้นั้น

    +++ จะพูดอย่างสั้น ๆ คือ คุณทำผิดลักษณะของห้อง อภิญญา XP อย่าง "ชัดเจน"

    +++ โดยเฉพาะ "ข้อที่ 3" ที่ ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด กล่าวเอาไว้ "ชัดเจน" แล้วตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ นะครับ

    http://palungjit.org/4321851-post1.html
     
  17. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    เมื่อความรู้สึกถอดออกจากกาย ตอนที่นอนอยู่ ตอนเวลาที่ความรู้สึกกลับเข้ากายที่นอนแล้วผมมักจะมีอาการตึงๆ หน่วงคล้ายมีแม่เหล็ก หรืออะไรมาแผ่ๆไว้ทั่วตัว จะรู้สึกตึงๆชัดสุดที่หน้าผากบริเวณหว่างคิ้วขึ้นไปด้านบน เกิดจากสาเหตุใดครับ หรือเป็นเพราะเวลาตอนที่ความรู้สึกเราถอดออกมันหมุนเหวี่ยง ปลิวออกกาย จะมีผลกระทบอะไรต่อร่างกาย หรือสมองไหมครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2016
  18. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    ขออนุญาติขอคำแนะนำอีกข้อนะครับ สงสัยมานาน แต่ก็ไม่กล้าถามขอคำแนะนำ เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่มีความพยายามฝึกฝนพอ และสติก็มีไม่พอจะแยกแยะ

    คือว่า จิตของผมหรือความรู้สึกของผมเวลาถอดออกไปจากกายทำไมจึงไปพร้อมกับความเบลอ ความมัว ความมึนงง ความมืด ความฝัน

    ความฝันเข้ามาป่นกับจิตทุกครั้งเวลาถอดออกคือ ไม่สามารถแยกได้ว่าเราฝันหรือจิตเราหลายๆครั้งจิตที่ถอดออกนั้นกลับอยู่ในความฝันอีกทีหนึ่ง ถอดออกจริง น้อยครั้งที่รู้สึกว่าถอดออกจริงจากสภาพแวดล้อมสถานะการจริง เวลาถอดออกมาแล้วก็พยายามพิจารณา พิจารณาว่าเพราะอะไรหน๋อ ถึงเป็นอย่างนี้ มองอะไรก็เบลอ มัว มืด พยายามมองให้ชัด มันก็ยังมัวอยู่อย่างนั้น ยิ่งพยายามเพ่งเท่าไหร่มันก็ยิ่งมัวขึ้นๆ จนมืดไป จนเด้งกลับความรู้สึกมาอยู่ที่กายที่นอนอยู่บนเตียง ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพ หวังว่าคนที่ผ่านด่านนี้ไปแล้วจะพอเข้าใจในสิ่งที่ผมอยากจะถามนะครับ รบกวนข้อคำแนะนำด้วยครับ
     
  19. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    ความในใจ

    ก่อนมาฝึก
    1) ได้ฟัง ได้อ่านจากหลายหลวงพ่อ .... และลองปฏิบัติดู บางสิ่งก็มีที่แย้งๆในใจ แต่ไม่เคยปรามาส เพราะคิดว่าถ้าปฏิบัติถึงคงรู้ได้เอง...(ในใจตอนนั้นยิ่งอ่านยิ่งสงสัย เลยวางเรื่องการอ่านไว้ แล้วมุ่งปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ :VO)
    2) สิ่งที่ไม่อยากปฏิบัติคือ อสุภะ และกสิณ คอยหาคำตอบให้ตัวเองตลอดเวลาว่า หากต้องบรรลุธรรม โดยไม่ฝึก 2 อย่างนี้ได้ไหม...แต่ก็เชื่อทางของตัวเอง ทำอย่างที่มันมีมา ก็สุขสงบดี

    หลังจากที่ได้พบอาจารย์
    1) แค่วันแรก ที่อาจารย์ให้ลองเข้าสมาธิ (เข้าแบบทันที นั้นทำไม่ได้เลย เพราะว่าต้องสงบแล้วต้องเดินก่อน) แต่นักเรียนคนอื่น แค่อาจารย์บอกให้ดิ่งลงไปเลย ก็สามารถอธิบายสภาวะนั้นออกมาด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และตรงตามอาการของหนิงที่เป็นอยู่
    2) ความกดดันจากการเรียน มีมากขึ้น เพราะในกลุ่มที่เรียนมีหลายคน ความไม่เข้าใจในเรื่องของภาษาตามอาการของแต่ละคนมี แต่อาจารย์(มีบางอย่างพิเศษ) รู้ได้ว่า คนไหนทำได้ หรือยังทำไม่ได้ สิ่งที่หนิงทำตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่า มันใช่และถึงแล้วหรือไม่? รู้แต่ว่ามีพลังงานล้นออกมามากมายจากตัวและมือ แต่อาจารย์รู้ได้ แม้จะนั่งปฏิบัติกันที่บ้านใครบ้านมัน (ใช้ voice conference กันเท่านั้น) ความมั่นใจว่าจะไม่เดินหลงทางเริ่มจากตรงนี้
    3) ระหว่างการฝึก อาจารย์ไม่เคยบอกว่า นี่ฌาน 1 นะ หรือ 4 นะ รู้แต่ว่าอาจารย์ให้ทำอะไรก็ทำไป ขอให้ตามเพื่อนๆ ทันเป็นพอ หลังจากผ่านกาย 100 กาย 0 และทำเป็น % และเริ่มออกทัวร์
    4) ความสงสัย พร้อมกับธรรมที่ปรากฏเริ่มมีมากขึ้น แต่อาจารย์ก็เปิดโอกาสให้ซักถาม นักเรียนทุกคนปฏิบัติไปพร้อมๆกัน เห็นธรรมที่ปรากฏอันเดียวกัน ทุกคนโดนอาจารย์ถามตลอดเวลา เพื่อเช็คว่าเห็นแบบเดียวกันไหม ใครเห็นเป็นอย่างไร อาจารย์จะรู้ได้ว่าใครมาทันหรือไม่ทัน ถ้าใครไม่ทันหรือหลุดจะตอบไม่ได้ทันที (เป็นบ่อย รั้งหลังเพื่อนเสมอ อิอิ)
    (มารู้ภายหลังนี่คือ จิตส่งออก(เป็นสมุทัย) ตนไม่ปรากฏ คือความไม่มีตน มันคืออรูปไปแล้ว และรู้ว่า แม้อรูปก็พูดคุยได้)
    5) สิ่งที่สัมผัสได้ เวลาเดินไปทำงาน สามารถเข้าฌานได้โดยทันที ไม่ว่าจะนั่ง หรือนอน หรือในห้องประชุม ....เมื่อก่อนต้องเดินสักพักแล้วนึกถึงความว่างเป็นอารมณ์ บางครั้งได้บางครั้งไม่ได้ .... หรือเมื่อก่อนต้องมานั่งสมาธิหลังแข็ง เป็นชั่วโมงเพื่อทำสมาธิ และกว่าว่าจะเข้าสมาธิได้ต้องใช้เวลา 5-10 นาที ตอนนี้นั่งปุ๊บ เข้าแบบนิ่งและลึกไม่มีตนได้ทันทีเลย (เห็นความก้าวกระโดด)
    6) จาก มโนมยิทธิ ที่ไม่รู้จักว่าคืออะไร อาจารย์ก็พาปฏิบัติให้รู้ได้เอง และไปพร้อมๆกันในกลุ่ม โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
    การทำลายวัฏฏสงสาร (ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด) ธรรมที่ละเอียดอย่างปฏิจจสมุปบาท อาจารย์ก็ไม่อธิบายก่อน แต่ให้ปฏิบัติให้เห็นจริงเอง ไล่เลียง ตั้งแต่ ตัวก่อน เกิดอวิชชา (ฐิติภูตัง) คืออย่างไร สิ่งที่เห็นมันคือตัวไหน แล้วเกิดสังขาร ได้อย่างไร เกิดวิญญาณ แบบไหน เกิดนามรูปอย่างไร จนเราเกิดได้อย่างไร ให้นักเรียนทุกคนนั่งพิจารณาสภาวะธรรมที่เกิดตรงหน้า แล้วตอบคำถามทีละคนจนเข้าใจ และย้อนเข้าย้อนออกหลายรอบ (นี่คือแทงตลอดปฏิจจสมุปบาท ที่หลวงปู่มั่นบอกนี่เอง) จนการทำนิโรธสมาบัติ (ปฏิบัติจริงให้รู้อาการที่เกิดขึ้น การทำลายวัฏฏสังสาร โดยการดับสลายมัน เข้าไปอยู่แช่ตรงนั้น แล้วสังเกตุอาการ จนมันเกิดขึ้นมาใหม่) กสิณที่คนอื่นทำเป็นอย่างไร อาจารย์ก็บอกให้ทำเพื่อให้รู้ ใช้เวลา ไม่ถึง 2 นาที (ตรงนี้ดีใจที่ไม่ต้องฝึกกสิณ และรู้ว่ากสิณมันเป็นเช่นนี้นี่เอง)
    == อาจารย์ให้มองการวิ่งของ อณู ซึ่งมั่นวิ่งเร็วมาก มองจนน้ำตาไหล มองซูมจนเห็นว่ามันวิ่งซิกแซก พอตอนเที่ยงมีแข่งวอลเว่บอลหญิง ในการแข่งต้องมีการขอดูเทป ตลอดเวลา แฟนก็บอกว่า ลูกตบเร็วมาก จะดูทันได้อย่างไรว่าลูกออกหรือเปล่า.... แต่หนิงมองมันทันว่าตกบอลตกหลังเส้นหรือในเส้น (คิดในใจว่ามองอณูที่เล็กๆวิ่ง ยังเร็วกว่าลูกวอลเล่ย์บอลที่ถูกตบออกเลย) ==
    7) จบกิจแล้ว เจอผู้มาปรากฏเพื่อเป็นพยานแล้ว อาจารย์ก็ยังพาเที่ยวต่อ
    แหล่งกำเนิดจิต พอได้รู้และเห็นแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายและหายสงสัย ไปเลยค่ะ จิตเกิดตลอดเวลาไม่จบไม่สิ้น ... มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง

    หลังจากได้เรียนรู้ และพบว่า
    1) บางตำรา มีเขียนผิดไป (คนถึงไม่ได้เขียน คนเขียนก็ไม่ได้ถึง)
    2) คนที่ธรรมสูงกว่า จะมองคนที่ธรรมต่ำกว่าได้ (คือมองออกว่าใครปฏิบัติถึงไหน)
    3) หลายคนคิดว่า พระโสดาบัน พระอนาคามี โกรธไม่เป็น นั้นมีความเข้าใจผิด อยากให้อ่านลิ้งค์ข้างล่าง มีการเขียนอธิบายได้ตรงสุดแล้ว
    "���ѹ��" ���������������š �����ҹ��������� "���ѹ��" ������������ ?
    4) ธรรมละเอียดและอัศจรรย์จนสุดวิสัยของมนุษย์จะรู้เห็นตามได้ (พูดภาษาชาวบ้านคือ ต้องมีอาจารย์ชี้แนะ เพราะการเกิดขึ้นของธรรมเฉพาะหน้ามันเร็ว มาก ต้องมีความละเอียดมากๆ ที่จะพิจารณาได้ หากไม่ได้อาจารย์ชี้แนะ ต้องนั่งพิจารณากี่ปีจะมองออก (eek)) และบางอย่างยากที่จะเชื่อ พูดไปก็ต้องว่าเราเป็นบ้าแน่ๆ ได้ไม่คุ้มเสียเลย ดีที่ฝึกมาเป็นกลุ่ม ไม่งั้นคงอัดอั้นตายเลย เพราะพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้

    ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    บรรลุธรรมขั้นสูงสุด


    ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้เขียนบรรยายตามที่ท่านได้ฟังมาจากหลวงปู่มั่น โดยตรง ดังนี้

    ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่าน (หลวงปู่มั่น) ออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้านมหาสติมหาปัญญา ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัว และรอบสิ่งที่เกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียว มีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน

    นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น ท่านว่าใจมีความสำผัสรับรู้กับปัจจยาการคือ อวิชชาปัจจยาสังขาร เป็นต้นเพียงอย่างเดียว ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนาจึงทำให้ท่านสนใจจุดนั้น โดยมิได้สนใจกับธรรมหมวดอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายใน อันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ

    เริ่มแต่สองทุ่มที่ออกจากทางจงกรมแล้วเป็นต้นไป ตอนนี้เป็นตอนสำคัญมากในการรบของท่าน ระหว่างมหาสติมหาปัญญาอันเป็นอาวุธคมกล้าทันสมัย กับอวิชชาซึ่งเป็นข้าศึกที่เคยทรงความฉลาดในเชิงหลบหลีกอาวุธอย่างว่องไว แล้วกลับยิงโต้ตอบให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับพ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่า และครองตำแหน่งกษัตริย์วัฏฏจักรบนหัวใจสัตว์โลกต่อไปตลอดอนันตกาล ไม่มีใครต่อสู้ฝีมือได้ แต่ขณะที่ยุทธศาสตร์สงครามกับท่านพระอาจารย์มั่นในคืนนั้น ประมาณราวตี ๓ ผลปรากฏว่า ฝ่ายกษัตริย์วัฏฏจักรถูกสังหารทำลายบังลังก์ลงอย่างพินาศขาดสูญ ปราศจากการต่อสู้และหลบหลีกใดๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นผู้สิ้นฤทธิ์สิ้นอำนาจ สิ้นความฉลาดทั้งมวลที่จะครองอำนาจอยู่ต่อไป

    ขณะกษัตริย์อวิชชาดับชาติขาดภพลงไปแล้ว เพราะอาวุธสายฟ้าอันสง่าแหลมคมของท่านสังหารท่านว่าขณะนั้นเหมือนโลกธาตุหวั่นไหว เสียงเทวบุตรเทวธิดาทั่วโลกธาตุประกาศก้องสาธุการ เสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วพิภพ ว่าศิษย์พระตถาคตปรากฏขึ้นในโลกอีกหนึ่งองค์แล้ว พวกเราทั้งหลายมีความยินดีและเป็นสุขใจกับท่านมาก แต่ชาวมนุษย์คงไม่มีโอกาสทราบ อาจมัวเพลิดเพลินหาความสุขทางโลกเกินขอบเขต ไม่มีใครสนใจทราบว่าธรรมประเสริฐในดวงใจเกิดขึ้นในแดนมนุษย์เมื่อสักครู่นี้

    พอขณะอัศจรรย์กระเทือนโลกธาตุผ่านไป เหลือแต่วิสุทธิธรรมภายในใจอันเป็นธรรมชาติแท้ ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ร่างกายและจิตใจ แผ่กระจายไปทั่วโลกธาตุในเวลานั้นทำให้เกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ตัวเองมากมาย จนไม่สามารถจะบอกกับใครได้ ที่เคยมีเมตตาต่อโลกและสนใจจะอบรมสั่งสอนหมู่คณะ และประชาชนมาดั้งเดิมเลยกลับหายสูญไปหมด เพราะความเห็นธรรมภายในใจว่าเป็นธรรมละเอียดและอัศจรรย์จนสุดวิสัยของมนุษย์จะรู้เห็นตามได้ และเกิดความท้อใจจนกลายเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่คิดจะสั่งสอนใครต่อใครต่อไปในขณะนั้น คิดจะเสวยธรรมอัศจรรย์ในท่ามกลางโลกสมมติแต่ผู้เดียว ใจหนักไปทางรำพึงรำพันถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูผู้รู้จริงเห็นแจ้ง และสั่งสอนเวไนยสัตว์เพื่อวิมุติหลุดพ้นจริงๆ ไม่มีคำโกหกหลอกลวงแฝงอยู่ในพระโอวาทแม้บทเดียวเลย แล้วกราบไหว้บูชาพระคุณท่านไม่มีเวลาอิ่มพอตลอดคืน

    จากนั้นก็มีเมตตาสงสารหมู่ชนเป็นกำลัง ที่เห็นว่าสุดวิสัยจะสั่งสอนได้ โดยถือเอาความบริสุทธิ์และอัศจรรย์ภายในใจมาเป็นอุปสรรค ว่าธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมของคนมีกิเลสจะครองได้ ถ้าสั่งสอนใครก็เกรงจะถูกหาว่าบ้า ว่าไปหาเรื่องอะไรมาสอนกัน คนดีๆ มีสติสตังอยู่บ้างเขาจะไม่นำเรื่องทำนองนี้มาสอนดังนี้กันทั่วโลก จะมีใครอาจรู้เห็นตามได้ พอเป็นพยานให้เกิดกำลังใจในการสอน นอกจากจะอยู่ไปคนเดียวอย่างนี้ พอถึงวันตายเท่านั้นก็พอแล้วกับความหวังที่อุตส่าห์เสาะแสวงหาเป็นเวลานาน อย่าหาเรื่องร้ายใส่ตัวเองเลย จะกลายเป็นว่าทำคุณกลับได้โทษ โปรดสัตว์กลับได้บาปไปเปล่าๆ
    :: �ҹ�����ѡ� :: :: ��ҹ - ���ѹ�����ǧ������� ���Է���� ����ظ��������٧�ش
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อันดับแรก คือ ในยามที่ "เราเอาความรู้สึกเป็นกาย (กายเวทนา)" ยามใด ยามนั้น "อาการตึงๆ หน่วงคล้ายมีแม่เหล็ก หรืออะไรมาแผ่ๆไว้ทั่วตัว" ย่อมปรากฏมาเสมอ

    +++ ในตรงนี้ย่อมชี้แสดงว่า คุณอยู่กับ "กายเวทนา" ได้มั่นคงขึ้น แม้ว่าจะกลับเข้าสู่ "กายเนื้อ" แล้วก็ตาม ก็ยังอยู่กับ "กายเวทนา" ต่อไป (ตรงนี้เป็น "ข้อดี" ที่ สติ+สัมปชัญญะ ยังอยู่ต่อเนื่องได้)

    +++ จุดหรือบริเวณ "รู้สึกตึงๆชัดสุดที่หน้าผากบริเวณหว่างคิ้วขึ้นไปด้านบน" นั้นคือที่อยู่ของ "ตัวดู (อัตตาจิต)" แต่จุดนี้ยังย้ายที่ ไป-มา ได้แต่หลัก ๆ จะอยู่ภายใน "กระโหลกศีรษะ"

    +++ จุดนี้เป็นส่วนที่ ในกระทู้นี้ใช้ "การอธิบายตามอาการ" ได้หลายอย่าง เช่น กายธรรมารมณ์ การ Teleportation ตัวฌาน เนื้อฌาน ตาที่สาม อัตตาจิต ต่าง ๆ

    +++ ผู้ที่จะเข้าใจในส่วนนี้ได้ "สติ" จะต้อง "ครองฌาน หรือ ลอยตัวเป็นอิสระจากฌาน" แล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้

    +++ ไม่มีผลกระทบใด ๆ กับกายทั้งสิ้น

    +++ หากจะกล่าวในภาษาที่ "สากล" พอเข้าใจได้อย่างสะดวก ก็พอจะกล่าวได้ว่า "การถอดกายเวทนา คือ การถอดระบบ Neural networks" ออกไปทำงานนอกกายเนื้อ ก็ได้

    +++ โพสท์นี้เป็นโพสท์แรก ที่ผมใช้ภาษา "กายเวทนา คือ กาย Neural networks" เพราะเป็นการ "ถอดระบบ ประสาทสัมผัส (sense) สติ (conciseness) และ สัมปชัญญะ (awareness)" ออกมานอกกายเนื้อ และใช้อาการทั้งหมดนี้ "เป็นอัตตา ตัวตน"

    +++ บุคคลที่เป็น "ปกติสุข" นั้น ระบบ Neural networks ทั้งหมด ควรที่จะอยู่ในสภาพที่ "ปกติสมบูรณ์" ที่สุด และ มันเป็นการฝึกของ กายเวทนา นั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...