ถ้าหากจะเปรียบเทียบจิตใต้สำนึกของมนุษย์กับ USB Flash Drive.

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Kschardonnay, 6 มิถุนายน 2016.

  1. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    การเดินทางกลับบ้านของจิต การกลับไปเชื่อมต่อค้นหาข้อมูลเก่าจากอดีตชาติ
    มีคนมากมายที่อยากรู้ว่าจริงๆแล้วตนเองเคยเป็นใครในอดีต
    มนุษย์มีความสงสัยมากมายและเป็นคำถามของคนทุกยุคทุกสมัยว่า
    อะไรเป็นเครื่องตัดสินการมาเกิดของมนุษย์ กรรมเก่าผลบุญมีจริงไหม

    ถ้าการตายของมนุษย์คือจุดจบของทุกอย่าง เหมือนความเชื่อในวงการแพทย์แผนปัจจุบันว่า
    เมื่อหัวใจหยุดเต้น พลังงานมนุษย์ก็สิ้นสุดลง ทุกสิ่งก็จบลง จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเกิดอย่างต่อเนื่อง.


    คำตอบที่ได้มาก็ยังไม่กระจ่างแจ่งและ ไม่สามารถครอบคุมสาเหตุที่แท้จริงเรื่องการจุติเกิดของเด็กทารกได้
    เราคิดว่ามีอะไรอีกมากมาย ที่เชื่อมโยงกับวงจรการเกิดและแตกดับ อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
    สาเหตุที่แตกต่างกันไปส่งผลให้พลังงานใหม่จุติเกิด

    " โลกและจักรวาลยังคงหมุนอยู่และไม่เคยหยุดอยู่กับที่ "
    " ทำไมบางคนจึงเกิดกับพ่อแม่ที่รำ่รวยสูขสบาย "
    " แต่บางคนต้องมาเกิดในครอบครัวลำบากแสนเข็ญ "

    ความสงสัยคือสิ่งท้าทายและน่าค้นหาเกิดขึ้นกับมนุษย์มานานหลายศตวรรษ์
    ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบด้วยการวิเคราะห์จาก DNA และการสืบหาอดีตจากบันทึกของเชื้อสาย,
    Family Tree, สัญชาติ นักจิตวิทยาจะใช้วิธีสะกดจิต นักปฎิบัติธรรม
    และพระสงฆ์ใช้การนั่งสมาธิ เข้าฌาน ในการการเชื่อมต่อระลึกชาติ เพื่อค้นหาอดีตชาติของตนเอง
    แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่านั่นคือหลักฐานข้อมูลที่ถูกต้องอย่างแท้จริง.​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  2. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    เด็กทารกเลือกมาเกิดกับพ่อแม่ที่มีผลกรรมเกี่ยวข้องและต่อเนื่องกับกรรมของตนเอง
    มนุษย์ใช้ชึวิตตามลักษณะของผลกรรม ที่ตนเองสร้างไว้ กรรมซึ่งเป็นผลจากการกระทำในอดีตของตนเอง.

    ซึ่งก็ยังคงเป็นความเชื่อส่วนตัวของเราว่า อำนาจและกระแสคลื่นของจิตใต้สำนึกในตัวมนุษย์
    มีผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันต่อคนเป็นอย่างมาก

    อาจจะไม่มีคนสังเกตุมากนักว่า เด็กทารกใช้จิตในการสื่อสานกับแม่ของตน ในช่วงต้นๆของการเลี้ยงทารก
    แม่จะรับรู้จากการสื่อสารทางจิตกับลูกได้บ่อยครั้ง การรับรู้ได้เองเมื่อลูกกำลังหิวหรือไม่สบาย
    เกิดขึ้นและรูสึกภายในจิตได้เอง ถึงแม่จะอยู่ห่างไกลกัน

    โดยแม่อาจจะต้องกลับไปทำงาน และนำทารกไปสถานที่ฝากเลี้ยง แต่ก็สามารถสื่อสารถึงกันได้อย่างลึกซึ้งและเป็นธรรมชาติ
    ในความเห็นของเรามีเด็กเล็กหลายๆคนมีพรสวรรค์ การทำสมาธิติดตัวตั้งแต่เกิด และเข้าสามารถสู่สมาธิ
    ระดับอภิญญาได้เอง โดยธรรมชาติจากพรสวรรค์ที่มีมาโดยไม่รู้ตัว

    เด็กบางคนชอบนั่งดูมดเดินเป็นแถวๆไปมาเป็นเวลานานๆ จดจ้องกับเมล็ดกรวดทราย มองท้องฟ้าก้อนเมฆ
    อากาศ หรือเหม่อลอยจดจ้องอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่นิ่งอย่างนั้นได้เป็นเวลานานๆ

    แต่น่าเสียดายที่เด็กเหล่ากลับถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของเด็กเก็บกด หรือถูกมองว่าแปลก และเข้ากับเพื่อนไม่ได้
    โดยจะถูกแบ่งแยกและจำกัดสังคมจากเด็กๆด้วยกัน ถูกผู้ใหญ่สอนให้เข้าใจว่าพรสวรรค์ที่เด็กๆเหล่านี้สัมผัสได้
    เป็นเพียงแค่ "จินตนาการที่ไร้สาระ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  3. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    เด็กเหล่านั้น กำลังถูกสังคมลบล้างพรสวรรค์พิเศษทางจิตออกไป โดยถูกจำแนกหมวดหมู่มนุษย์ตามพฤติกรรม ในสังคม
    ซี่งก็เหมือนเป็นการกดดัน ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้ที่ไม่ถูกยอมรับในสังคมมากนัก
    ความสามารถและพรสวรรค์พิเศษของจิตจึงค่อยๆถูกลบเลือนและจางหายไปตามกาลเวลา


    พรสวรรค์ทางจิตในอตีดของเราได้ถูกลบเลือนหายไปแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตกับการปลุกฝัง
    และความเชื่อในสภาพของสังคม ยุคใหม่และสิ่งแวดล้อม แต่เราเชื่อว่าจิตคือพรสวรรค์พิเศษที่ไม่มีวันตาย
    จิตของเรายังคงมีการสื่อสารอยู่ในภายในอย่างเงียบๆอยู่ตลอดเวลา เหมือนทองคำที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วย
    โคลนที่สกปรกอยู่หลายชั้นต่อหลายชั้น แต่เมื่อถูกทำความสะอาดและขัดเกลาสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป
    จิตที่บริสุทธิ์จึงสามารถกลับมาสื่อสารได้อย่างชัดเจน และมองเห็นด้วยความสว่างไสวอีกครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  4. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    มนุษย์ทั่วไปในโลกบัจจุบัน ถูกฝึกสอนให้ใช้สมองเพียงแค่ 10%
    จากความสามารถพิเศษมากมายที่เรามีมาตั้งแต่เกิด เราเรียนศาสตร์ด้านเลขคณิต วิทยาศาสศตร์ อักษรศาสตร์
    และ ศาสตร์อื่นในโรงเรียน แต่ไม่มีการเรียนการสอนศาสตร์การใช้จิตหรือการสื่อสารทางจิต
    ศาสตร์อภิญญา และการทำสมถะวิปัสนา เป็นศาสตร์เก่าโบราณที่น่าสนใจศึกษา และมีนานมากว่า 5,000 ปี
    แต่ไม่มีการนำเข้ามาเป็นวิชาเลือกในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

    อาจจะเป็นเพราะว่า จิตใต้สำนึกของมนุษย์มีความสามารถสูง
    มีพรสรรค์ในการเห็นสิ่งต่างๆที่ตาเปล่ามองไม่เห็น อัตภาพและความอัจฉริยะที่เป็นตัวตนสูง

    จนเป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับผู้ที่มีอำนาจในการปกครองสังคมโลก

    และการลดประสิทธิภาพ,ศักยภาพของจิตใต้สำนึกในมนุษย์ให้น้อยลงไปทุกวัน

    ด้วยสภาพแวดล้อม สารเคมี,ยา,สารพิษและอาหารปนเปื่อน การส่งข้อมูลเข้าสู่สมองมนุษย์โดยตรงผ่าน
    TV. และ Wireless Internet สู่สมองโดยตรง ทำให้มนุษย์โง่มากขึ้น
    ไม่มีความสามารถในการควบคุมและเลือกเอกภาพให้กับตนเองได้ ส่งผลให้มนุษย์รุ่นใหม่ในโลกบัจจุบันปกครองได้ง่ายมากขึ้น.

    จิตใต้สำนึกของมนุษย์สามารถสื่อสาร ติดต่อกับจิตของผู้อื่นด้วยการเชื่อมต่อจิต
    มีสัมผัสที่หกในการสื่อสารถึงกันและกัน ส่งถ่ายความรู้สึกนึกคิด
    ด้วยการส่งข้อมูลด้วยความเร็วที่มากกว่าแสง สิ่งทีวิเศษน่ามหัศจรรย์ใจของมนุษย์

    ที่กำลังจะถูกลบให้เลื่อนหายไปจากความสามารถของเรา ใครกันคือผู้ขีดเส้นจำกัดความสามารถของมนุษย์
    ว่าสมควรที่จะได้รับหรือไม่

    มนุษย์ในโลกปัจจุบันกลายเป็นถูกผู้เลือก เราถูกสถาบันต่างๆกำหนด
    ให้เดินแนวความคิดเป็นไปในแนวโน้มทางเดียวกัน ชื่นชอบสิ่งและมีความเห็นเหมือนๆกัน
    การตัดสินใจจากตัวตนของแต่ละบุคคลถูกตัดทอนให้มีโอกาสคิดน้อยลง
    โดยมีสื่อมากมายออกมาจูงใจให้เห็นและเชื่อในแนวทางที่สังคมกำหนดไว้แล้ว

    เราคิดว่าการมีชีวิตเกิดขึ้นแล้วจึงทำตามๆกันมา ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกมนุษย์ "โคลน" ขึ้นมาใช้งาน
    เสรีภาพชีวิตกฎของธรรมชาติที่เลือนหายไปจากมนุษย์ชาติ ท่านเคยคิดไหมว่าภาษาแรกของมนุษย์คือภาษาอะไร!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  5. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    ให้การเปรียบเทียบ จิตใต้สำนึกของมนุษย์มีลักษณะในรูปแบบที่ความใกล้เคียงกับ UBS Flash Drive

    ซึ่งมีความสามารถในการใช้เก็บขอมูลโดยหน่วยความจำมากมายจากอดีตชาติ และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
    ในการถ่ายทอดข้อมูลความทรงจำของจิตจากชาติเก่าก่อน สู่สถานะปัจจุบัน.

    จึงจะขอกล่าวเปรียบเทียบในเรื่อง จิตใต้สำนึกของมนุษย์ กับ UBS Flash Drive
    ในสถานะที่ใกล้เคียงกันที่สุด และขอยกตัวอย่าง เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
    ในการเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองสิ่ง ซึ่งมีลักษณะในการทำงานที่ใกล้เคียงกันที่สุด


    1.เมื่อจิตของมนุษย์ได้ทิ้งร่างที่ตายไปแล้ว และจิตได้เดินทางออกสู่ภพภูมิถัดไป
    เพื่อการจุติใหม่ ที่อาจจะไม่ใช่การจุติเกิดในภพภูมิของมนุษย์เหมือนเดิม แต่ไปเกิดในร่างของสัตว์
    หรือแมลง ฯลฯ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงของจิตในเวลานั้น
    และสภาวะสุดท้ายก่อนตาย จึงทำให้การจุติเกิดใหม่ของจิตในครั้งนั้น
    ไม่สามารถเห็นหรือจำเรื่องราวเก่าที่เกิดขึ้น ในอดีตชาติได้อย่างสมบูรณ์

    แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตหลุดพ้นจากภพภูมิของสัตว์เดรัชฉานนั้นๆไปแล้ว
    และได้จุติเกิดในภพภูมิใหม่ เช่น ภพภูมิของเทวดา พรม หรือเกิดในร่างมนุษย์อีกครั้ง
    จิตใต้สำนึกหรือ USB Flash Drive นั้นจึงจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลเก่าๆที่เก็บไว้ ได้อีก
    จิตที่จุติเกิดในเวลาและภพภูมิที่ใกล้เคียงที่สุดอาจทำให้จิตสามารถระลึกถึงอดีตชาติได้
    เนื่องจากช่องว่างระหว่างภพแห่งการเกิดสั้นและใกล้เคียงกัน

    แต่ในหลักการตามพุทธศาสนานั้น จิตจะใช้เวลานานกับการเวียนวายตายเกิดใน
    อบายภูมิ และสังสารวัฏ จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่.



    2.จริงๆแล้วมนุษย์คือพลังงานที่ไม่มีวันตาย
    เพียงแต่เราแปรรูปเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบหรือลักษณะของพลังงานอื่นๆ
    อย่างต่อเนื่องตามผลของบุญและกรรมที่ส่งผลเชื่อมต่อกันมาในแต่ละภพชาติ
    ซึ่งเป็นเรื่องน่าสังเวชนัก สำหรับผู้ที่ยังหลงติดอยู่กับ "Ego" "ตัวตนของตน"

    คนเหล่านั้นไม่เคยที่จะรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนได้เลย ว่าความจริงแล้ว
    " ไม่มีสิ่งใดในโลก ที่เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีสาเหตุการเกิด"

    " ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมีเหตุมีผลในการเกิดขึ้นและดับไปทั้งสิ้น "
    แม้แต่ร่างกายที่เราใช้อยู่ นิสัย และอารมณ์ ธาตุต่างๆในตัวเรา ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเลย
    เราเป็นเพียงหลังงานจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ร่างที่ประกอปไปด้วยธาตุอารมณ์ กิเลส ราคะ โมหะ ต่างๆเท่านั้น
    เมื่อร่างกายดับสูญไป สิ่งที่เหลือคือพลังงานที่ล่องลอยรอการเกิดใหม่ตามสถานะภาพตามกรรมของตนเท่านั้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  6. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    การจุติเกิดใหม่ของคนอยู่ภายใต้อำนาจจิตของตนเองเท่านั้น.

    จิตเท่านั้นที่จะสร้างภพชาติใหม่ ภพชาติใหม่จะเกิดอย่างไร
    ก็อยู่ที่จิตและบ่วงกรรมแห่งความปรารถนาของตน

    แต่ก็ยังไม่ใช่เพียงความปรารถนาต้องการเพียงอย่างเดียว แล้วจะทำให้สำเร็จได้
    หากต้องการให้ความปรารถนาหลังความตายสำเร็จผล ความต้องการมีชึวิตใหม่ที่ดีขึ้นอย่างไร

    จำเป็นต้องมีศิลปฏิบัติดี จิตสะอาด นั่นเป็นการส่งเสริม
    ให้กรรมสำเร็จสร้างภพขึ้นเป็นรูปร่างได้
    กรรมดีจึงส่งผลต่อเนื่อง ให้สร้างภพชาติใหม่ได้งดงาม

    หรืออาจจะนำพาให้น่ารังเกียจเดียดฉันท์ ก็แล้วแต่กรรมของตนเองทั้งสิ้น
    พระอรหัมต์ท่านหนี่งเคยเทศน์ให้ฟังว่า

    เมื่อบุคคลได้มรรคผลนิพานแล้ว ทุกข์และกิเลสดับ ภาวะที่จิตจะมีความสงบสูงสุด
    เพราะไร้ทุกข์ ไร้สุข เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ ความหยั่งรู้อย่างกระจ่างแจ่มแจ้งในกาย-จิต

    การที่ไร้ความปรุงแต่ง ความหลุดพ้นสภาพของโลก ความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นความทุกข์

    พระพุทธองค์ทรงแนะให้เราพิจารณาชีวิตของเราว่าไม่ต่างจากฟองคลื่น
    หยาดน้ำค้าง ประกายสายฟ้า คือเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ควรน้อมมาเปรียบกับตัวเองอยู่เสมอ

    พระพุทธเจ้าตรัสว่ากรรมใกล้ตายหรืออาการของจิตสุดท้ายมีพลังแรง
    เหมือนกับวัวที่แออัดยัดเยียดอยู่ในคอก เมื่อเปิดประตูคอก
    ตัวที่จะออกมาก่อนคือตัวที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด.

    หมายความว่ากรรมใกล้ตายมันจะแสดงผลก่อน ถ้าจิตสุดท้ายมุ่งไปสู่ความหลุดพ้น
    จิตก็อาจหลุดพ้นไปเลย แต่ถ้าจิตสุดท้ายเป็นจิตที่ห่วงทรัพย์สมบัติ
    มันก็อาจจะกลับมาวนเวียนเฝ้าสมบัติ อยู่ใน 31 วัฎสงสาร


    ภพภูมิความตายเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องเผชิญ
    เราจะเผชิญความตายอย่างสงบได้อย่างไร พุทธศาสนาสอนว่าถ้าเผชิญความตาย
    ด้วยใจสงบหรือวางจิตให้เป็นกุศล จิตก็จะไปสู่สุคติ

    จะได้ไปจุติเกิดในภพภูมิที่ดึและเหมาะสม มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก
    มีคนที่ทุกข์ทรมานมากในวาระสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นใจ
    แต่ในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะตาย ได้เห็นธรรมจากความเจ็บความปวด เข้าใจแจ่มชัดถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เห็นความไม่เที่ยง ของสังขารว่าไม่น่ายึดถือ จิตก็หลุดพ้นได้
    เกิดอานิสงส์จากการประคองใจให้สงบได้ก่อนตาย จิตจึงได้ไปจุติในภพภูมิที่ดี

    ความตายนั้นน่ากลัวสำหรับผู้ที่หลงยึดกับสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวเราของเรา
    กลัวว่าจะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเรามีปัญญาเห็นและตระหนักว่ามันไม่มีอะไรที่น่ายึดถือเป็นตัวตน

    " ใจก็วางสิ่งต่าง ๆ ลงได้ เมื่อวางได้ ความตายก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  7. Kschardonnay

    Kschardonnay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +75
    โลกสมมุติ มายา " Hologram"

    มนุษย์ส่วนใหญ่ใชัชีวิตผ่านไปในแต่ละวัน อยู่กับหมกมุ่นวนเวียนอยู่ในความคิดของตนเอง
    อย่างต่อเนื่องตลอดวันคืน อาศัยอยู่ในโลกของความคิด " Hologram"

    ความคิดดวงหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งแล้วดับไป ความคิดใหม่เกิดขึ้นมาและดับไปอีก
    ต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย ถ้าจะเปรียบได้กับฟองสบู่ ฟองสบู่แห่งความคิด
    ที่เป่าออกมาฟองหนึ่ง ลอยขึ้นไปในอากาศลอยและอยู่อย่างนั้นประมาณห้าหกวินาทีจึงแตกสลายไป

    กลายเป็นธาตุอากาศ ฟองสบู่แห่งความคิดฟองใหม่เกิดขึ้นและลอยขึ้นอยู่อย่างนั้น
    อีกห้าหกวินาที จึงแตกสลายไป และเป็นอยู่อย่างนั้นต่อเนื่องกันไปตลอดทั้งวัน

    เราเคยสังเกตุเห็นจิตของ คนใกล้ชิดเราคนหนึ่ง ผ่านมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้วที่เขา
    ไม่เคยที่จะลดละความคิดโกรธและน้อยใจ นั้นออกไปจากความคิดเลย ในทุกขณะจิตดวงนั้นยังคง
    สร้างความคิดเดิมอยู่และวนเวียนอยู่อย่างนั้น ยี่สิบกว่าปี
    ที่จิตทรมารร่างสังขาร เหมือนรถที่ติดหล่มไปไหนไม่ได้เลย


    ใต้สำนึกที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝน ขาดการควบคุม ไม่มีสติ,สมาธิ ไม่มีกำลังพอ
    ที่จะหาที่ตั้งขอจิตได้ และไม่สามารถหลุดพ้นจากห้วงแห่ง อารมณ์ของกิเลส
    การดึงดูดของความคิด จิตจึงหลงอยู่ในวังวนของอดีตและห้วงเวลาความคิด
    ที่ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนฟองสบู่ เกิด ขึ้น แตก ดับ ไปอยู่อย่านั้น

    มนุษย์ส่วนใหญ่ดำเนินชึวิตอยู่ในภพภูมิของความฝัน ติดอยู่ในความคิดของตนเองตลอดเวลา
    ไม่เคยได้ยินเสียงที่แท้จริงของตัวเอง แสดงออกจากภาพสะท้อนแห่งความคิดที่สร้างขึ้น

    หลายคนขาดสติในการควบคุมคำพูดและการแสดงออก ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน
    ในสถานะการณ์กดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน กิเลส และความเคารพนับถือ ในเรื่องวัตถุนิยม
    ความเชื่อเป็นตัวนำ ในการวางกรอบของการเดินทางชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2016
  8. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    คิดง่าย ทำอะโคตะระยาก เพราะวงจรสกัด
     
  9. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    พระผู้สร้างได้สร้างให้มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไป
    ความสามารถพิเศษไม่สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ได้
    เช่นพ่อเห็นผี ลูกก็ไม่จำเป็นเห็นผีได้เหมือนพ่อ

    ความสามารถพิเศษของมนุษย์ได้ถูกจำกัดด้วยพลังสนามแม่เหล็กโลก
    เช่น นัยย์ตามนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเห็นผี วิญญาณ ได้
    แต่หากมนุษย์ผู้นั้น ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายแล้วไม่ตายเพราะมีคนช่วยได้ก่อน เช่น จมน้ำ
    มนุษย์ผู้นั้นจะมีความสามารถพิเศษ เห็นผี วิญญาณ ได้
    เทวดา พรหม ในศาสนาพุทธก็จัดว่าเป็นผี วิญญาณ

    ไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วมีความสามารถพิเศษเห็น ที่เห็นนั่นเป็นมายา เป็นจินตภาพ
     

แชร์หน้านี้

Loading...