มหากาพย์สามก๊ก - วรรณกรรมที่รวมศาสตร์ต่างๆมากที่สุดระดับโลก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Bhuddha3210, 12 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    36 กลยุทธ์ เนี่ยนำเอามาจากพฤติกรรมต่างๆของสัตว์มิใช่หรือครับ ถ้าคลาดเคลื่อนก็ขออภัยด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2008
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องราวได้ประโยชน์ดีครับ และ สนุกดีด้วย สมควร up

    เบื่อเรื่องธรรมะ เอาเรื่องทางโลกบ้าง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
     
  3. T-1970

    T-1970 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,179

    ...ขออนุโมทนาครับ ถือเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างผู้ที่นิยมศึกษาในสิ่งเดียวกันครับ..การนำไปใช้ของทุกๆท่านที่ได้ "ค้นพบ" ในสิ่งที่สามก๊กบอกไว้ ย่อมต้องอาศัยหลักธรรมแน่นอนครับ..สำหรับผม(เห็นว่าหลักธรรมในสามก๊กยังมีน้อยเกินไป) จึงยืมใช้หลักธรรมในมหาภารตยุทธเข้าเชื่อมประสาน เข้าผสมกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา+ศาสนาเชนครับ.....

    ...คงจะยังจำได้นะครับ ที่ผมเคยบอกว่า "..ผมเคยอ่านมาหมดแล้ว..ล้วนได้บทสรุปเดียวกันทั้งสิ้น.." + " ไม่ใช่การ Copy หรือยึดติดกับวิธีการ "

    ...คำตอบขออนุญาตไม่เขียนตรงๆนะครับ..แต่ขอใบ้เป็นคำถามและคำตอบละกัน...

    - ขงเบ้งผู้แตกฉานในสรรพวิชา..ล้ำลึกในความมีสติปัญญาเหนือผู้ใด...ต้องตรอมใจตายเพราะเหตุใด???...

    - ทำไม? ทั้งนโปเลียนและฮิตเลอร์ต้องพ่ายแพ้สงคราม???...เพราะบกพร่องในกลยุทธจริงหรือไม่???

    - ทั้งขงเบ้ง-นโปเลียน-ฮิตเลอร์...นอกจากจะเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามและยุทธวิธีต่างๆแล้ว ยังมีความรู้ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย...เรื่องชัยชนะไม่ต้องพูดถึง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วครับ...แต่สิ่งที่ผมต้องการถามก็คือจุดจบของทั้งสามท่านดังกล่าวคือความพ่ายแพ้...พวกเขาแพ้อะไรกันแน่ครับ???....พิชัยสงคราม+กลยุทธหรือยุทธวิธีเยี่ยมๆ ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาชนะตลอดกาลได้เลยหรือครับ???....

    ...คำตอบของคำถามในข้างต้น คือสัจธรรมที่ทำให้กลยุทธและยุทธวิธีที่ใช้ในการรบทั้งหลาย ต้องหมดความหมายไปโดยปริยาย..เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวแปรที่อยู่นอกเหนือการควบคุม...

    ....ผมรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้สนทนากับท่านสุมาอี้อีกครั้งครับ...ตามที่เคยกล่าวไว้ในกระทู้ที่ผมเขียนครั้งแรก " ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่แต่ประการใด " และการถกกระทู้ในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาถกเพื่อเอาชนะ..แต่ต้องการถกเพื่อสร้างสรรครับ (ในฐานะของผู้ที่ชื่นชอบการศึกษาเรียนรู้ "ทุกสิ่งไม่จำกัด"เหมือนกัน)...ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ...

    ...ลืมเขียนตอบคำถามสำคัญที่ท่านสุมาอี้ได้ถามไว้...การนำใช้ในชีวิตประจำวันของผม..." ผันแปร-ไม่เสถียร-ไร้รูปแบบ " ครับ...ส่วนความสำเร็จ " ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและความพอใจ " ครับ....(เชื่อว่าท่านสุมาอี้คงเข้าใจนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2008
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คิดการใหญ่ แต่ใจไม่ถึง
    ก็เสียเวลาเปล่า
    อ่านตำราหมื่นเล่ม แต่ใช้ไม่เป็น
    ก็เสียเวลาเปล่า
    ศึกษาธรรมะ แต่มิรู้จักใจตัว
    ก็เสียเวลาเปล่า

    คุณสมบัติของผู้ที่จะประสพความสำเร็จ ต้องมีลักษณะ 3 อย่าง
    ก็จะขอยก เรื่องภารตยุทธ ตอน อรชุน

    ยิงศรเป็นศาสตร์
    ขุนศึกเป็นปราชญ์
    ศาตราคือใจ

    สามก๊กที่นี้ พิชัยสงคราม ศิลปการใช้คน กลศึก เหล่านี้เป็นศาสตร์
    การจะศึกษาต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ สามารถนำมาใช้ได้อย่างช่ำชอง
    เมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว ให้ทิ้งไปอย่าไปติดกับตำรา

    ขุนศึกเป็นปราชญ์
    ตัวโน๊ตมีเจ็ดตัว แต่สร้างสรรบทเพลงได้เป็นอนันต์
    เมื่อศึกษาเข้าใจศาสตร์แล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาไหวพริบของตัวผู้ใช้
    ต้องรู้จักพลิกแพลงวิเคราะห์ ตรวจสอบ แก้ไข คิดค้น
    และความสามารถในการอ่านสถานการณ์อย่างมีสติ
    และใช้หลักมีวินัยใน อิทธิบาทสี่ สำทับไปอีกที

    ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
    ๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
    ๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
    ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

    ศาสตราคือใจ
    รู้ใจศัตรู หรือ จะสู้รู้ใจตน
    สำคัญมาก คิดการใหญ่ ใจต้องถึง
    ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ต้อง"กบฎตัวเอง"
    ควรรักษาใจให้เป็นปกติ คือศีล
    ต้องรู้จักห้ามใจ อย่าให้โทสะ โมหะ โลภะ ครอบงำ
    หากมีกิเลส สามตัวนี้ ยากที่จะทำการใหญ่ได้ตลอด
    คุณธรรม ความอดทน ความอ่อนน้อม คุณสมบัติของใจที่พึ่งมี


    การทำการใหญ่ ต้องมีกำลังใจ ต้องถือหลักบารมี10ทัศ
    กล่าวคือ
    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตตั้งมั่น พร้อมรักษาใจให้เป็นปกติ
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ทนไม่ได้
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    หากเข้าใจตามนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเจนทางโลกและทางธรรม


    "หากท่านตายในสนามรบ
    สวรรค์ยังรอท่านอยู่ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย
    แม้หากว่าท่านชนะ ความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้
    ทุกพงผื้นปฐพี รอให้ท่านเข้ามาครอบครอง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2008
  5. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,794
    ทุกท่านมีความรู้ความเข้าใจ การย่อยสลายตีความ แล้วแต่รสชาติ ที่ตนวิเคราะห์ ปรุงแต่งขึ้น ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความคิดแตกไปกว่าที่เคยคิด

    สนุกด้วยความคิด ขอขอบคุณครับ
     
  6. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    คนไทยชอบ วัตถุนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ สังเกตง่ายๆเวลารบทัพจับศึกจะหาเครื่องรางของขลัง มาป้องกันตัว หรือ เพื่อเอาชัยชนะ ไม่เคยใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง

    นี่เป็นจุดอ่อนมากๆของคนไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนรุ่นหลังจึ้งติดนิสัยแบบนี้มา ซึ่งจะเห็นได้ชัดจาการดู พระนเรศวร และ สามก๊ก สามก๊กจะใช้ปัญญาในการทำศึกล้วนๆไม่มีเครื่องรางของขลัง

    คนจีนถึงมีคติสอนใจในการดำเนินชีวิตให้ลูกหลานได้เจริญรุ่งเรืองด้วยปัญญาตนมากกว่าคนไทย ที่วันๆเอาแต่หาของขลังของมงคลเพื่อให้การค้า และธุรกิจตนเองเจริญรุ่งเรือง แทนที่จะเสียเวลาไปหาปัญญาให้กับตัวเองมากกว่า

    เพราะอย่างนี้คนไทยจึงไม่ค่อยมีเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆโตๆเลย ถึงจะมีีก็เป็นธุรกิจเล็กๆน้อยๆ
    ส่วนธุรกิจใหญ่ๆ มีเชื้อสายคนจีนทั้งนั้น (ไม่เชื่อคุณไปดู 100รายชื่อเจ้าสัวในเมืองไทยได้) เพราะคนที่จะบริหารองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้ปัญญาอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะเชื่อเครื่องรางของขลังแต่มาทำงานใหญ่ๆโตๆ แต่ไม่มีปัญญา ส่วนพวกเชื่อเครื่องรางของขลัง บูชาเป็นชีวิตจิตใจ คุณลองไปดูเถอะเจ้าของธุรกิจเล็กๆน้อยๆทั้งนั้น


    นี่คือเหตุและผลว่า คนที่บูชาปัญญาก็จะเป็นแบบ "เจ้าสัว" ส่วนคนบูชาเครื่องรางของขลังก็ได้แค่ "เถ้าแก่"่


    คนรุ่นใหม่ก็อย่าเอาเยี่ยงอย่างคนรุ่นเก่าที่ทำแบบนี้แล้วกันนะ ประเทศชาติจะถอยหลังลงคลอง เพรามัวไปยึดแต่วัตถุนิยม เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุที่นิยมแค่นั้น ดังนั้นคนที่บูชาเครื่องรางของขลัง ก็คือ พวกวัตถุนิยม นั่นเอง คนที่ชอบูุชาเทพ ก็คือพวกเทวนิยมนั่นเอง ซึ่งผิดกับหลักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอเทวนิยม ดังนั้นคนนับัถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จะไม่บูชาเทพมากกว่าพระพุทธเจ้า แต่จากที่เห็นมีเต็มไปหมด เพราะการบูชาเทพง่าย กว่า การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ของง่ายๆคนเลยทำ เพราะมันถูกใจกิเลส

    สังเวชประเทศไทย แดนดินถิ่นพระพุทธศาสนา แต่ทุกวันนี้กลับนอกลู่นอกทางเข้าไปทุกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2008
  7. T-1970

    T-1970 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,179
    [​IMG]

    ...เป็นความจริงครับที่คนไทยแต่โบราณ ชอบหาเครื่องลางขลังติดตัวเวลารบทัพจับศึก...แต่เหตุผลไม่ใช่ตามที่ท่านเข้าใจหรอกนะครับ...จึง Scan บางอย่างมาให้ท่านได้พิจารณา...เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของเส้นหยักในสมองครับ...
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อะไรหว่า ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านไม่ทันเลย

    นี่มีใครกล่าวไว้ไหมว่า เจงกิสข่าน ใช้ตำราพิชัยสงครามของใคร

    ยึดได้ค่อนทวีป ยุโรป ถึง จีน ไกลกว่าอเลกซานเดอร์
     
  9. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    ผมมองจากประวัติศาสตร์ มาถึงปัจจุบันครับ และมองว่า ประวัติศาสตร์ไทยนั้นสอนให้คนอ่อนด้านนี้ีคือการใช้ปัญญา คือไม่ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา ต้องมีตัวช่วยอยู่เสมอในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะทำอะไรใหญ่ๆโตๆ ก็ต้องมีตัวช่วยคือเรื่องเครื่องรางของขลังเข้าไปเกี่ยวข้อง เอาใจไปไว้กับวัตถุมากเกินความสามารถที่ตนเองมี สิ่งเหลานี้มีมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

    ถ้านับถือพุทธศาสนาจริงๆ เรื่องเชื่อเรื่องวัตถุนอกกายนี่ตัดไปได้เลย ดังนั้นการบูชาปัญญาที่ผมบอกไปนั่นคือหลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง แบบที่คนจีนส่วนหนึ่งทำกัน ไม่ใช่ไปบูชาเครื่องรางของขลังมากกว่าการแสวงหาปัญญา

    คนจีนมี กลยุทธ์ค้าขายของ เถาจูก่ง มีกลยุทธ์ธุรกิจแบบซุนวู และบ้านแต่ละบ้านของคนจีนส่วนหนึ่งจะใหลูกหลานท่อง36กลยุทธ์ให้ขึ้นใจทั้งๆที่ลูกหลานแต่ละคนไม่รู้ว่าท่องทำไม แต่ตอนโตขึ้นถึงรู้ วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงต่างๆก็มีให้คติให้ข้อคิดกับชีวิตและนำไปใ้ช้ได้ในชีวิต เช่น ไซอิ๋ว สามก๊ก ซุนวู ฯลฯ

    คนไทยนั้นก็มีมีวรรณกรรมทีมีชื่อเสียง แต่จะให้ความสนุกสนาน หรือ แฝงด้วยความเชื่อเรื่อง ของขลัง และมนต์คาถาอาคม เป็นส่วนมาก เ่ช่น ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี ศรีธนญชัย ฯลฯ หากผู้รู้ท่านใดมีเรื่องที่เน้นปัญญา ให้คติ ข้อคิด นำไปใช้ได้กับชีวิต กรุณาแนะนำผมด้วยครับ


    ประวัติศาสตร์จีนนั้นมีเป็นพันๆปี ไม่ใช่ไม่มีเรื่องเชื่อเครื่องรางของขลัง ในยุคบางยุคนั้นมี แต่สุดท้ายมันก็วิบัติเพราะไม่อาศัยปัญญาในการบริหาร วันๆเอาแต่เชื่อไสยศาตร์ หมอดู บูชาเทพเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่สอนเราว่าเราจะทำแบบนั่นเหรอ แล้วผลสุดท้ายมันจะเป็นแบบไหน นี่คือประวัติศาสตร์สอนเรา

    ประวัติศาสตร์มีทั้งข้อดีข้อเสีย สอนให้ผู้ที่ศึกษาและคนรุ่นหลังไว้เป็นแบบอย่างว่า ข้อดีควรนำมาปรับใช้ ข้อเสียควรปรับปรุงแก้ไข ประวัติศาสตร์ทุกๆที่ทั่วโลกมีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่ใช่เราชมแต่ของเรา ยกของเราแล้ว เหยียบคนอื่น ว่าบ้านเมืองอื่นหรือจะสู้ไทยได้ หรือยกคนอื่นชมคนอื่นแล้วเหยีบตนเอง ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นแต่จะชี้ข้อเสียของนิสัยคนไทยส่วนหนึ่งเป็นแบบนี้ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันก็เป็นอยู่ ไม่ว่าประวัติศาสตร์ ประเทศจีน ประเทศไทย ล้วนมีสิ่งที่ดีและไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราจะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป เราควรจะทำอย่างไร?

    ขอให้เราวางใจเป็นกลางแล้วศึกษาจะได้ประโยชน์กับประโยชน์ในการเอาข้อดีของเขามาประยุกต์ใช้ ข้อดีที่เราดีอยู่แล้วก็พัฒนาขึ้น ข้อเสียที่เรามีก็ยอมรับและแก้ไข
    ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ผิดเป็นครู พรพุทธองค์เปรียบสิ่งเหล่านี้ที่ให้เราแก้ไขดั่ง “ผู้ชี้ขุมทรัพย์” แต่ส่วนมากที่เจอเวลาคนชี้ข้อเสียก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งออกมาต่อต้าน เสร็จแล้วก็ยังทำแบบเดิมๆข้อเสียที่มีอยู่ก็คงมีอยู่ต่อไปไม่ได้ปรับปรุงอะไรขึ้นมา ซึ่งก็คงไม่เป็นประโยชน์อันใดกับการศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะนำมาปฏิบัติไม่ได้ แค่รู้ จะมีประโยชน์อันใด เหมือนศึกษาธรรมะแต่ไม่ได้ปฏิบัติให้รู้ถึงรสธรรม พระพุทธองค์เปรียบดั่ง "ทัพพีตักแกง"
     
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แน่ะ แนะ แนะ แนะ แนะ แนะ แนะ แน๊ [​IMG]
     
  11. สุมาอี้.

    สุมาอี้. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    36 กลยุทธ์ ศิลปะและสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์ ที่ท่านกล่าวนั้น เ็ป็นฉบับที่ เซียว ฉางซู เขียนขึ้นจากต้นฉบับอีกทีครับ เป็นการนำสัญชาตญาณของสัตว์มาลงเป็นตัวอย่างแต่ละกลยุทธ์ ี่แปลโดย คุณอธิคม สวัสดิญาณ ใช่ไหมครับ


    ต้นฉบับดั้งเดิมที่เขียนด้วยลายมือของผู้เขียนนิรนามนั้นเพิ่งจะถูกค้นพบเมื่อค.ศ.1941 ในร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่งที่เมืองปินโจว มณฑลส่านซี ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยโบราณของประเทศจีน หน้าปกใช้ชื่อว่า "36กลยุทธ์" และมีชื่อรองว่า "ตำราพิชัยสงครามพิสดาร" ต่อมาจึงจัดพิมพ์เป็นตัวพิมพ์ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน

    รายละเอียดดังนี้ครับ

    300 ปีที่แล้ว ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์หมิงต่อต้นราชวงศ์ชิง มีบัณฑิตนิรนามคนหนึ่งรวบรวม 36 กลยุทธ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ชื่อ เคล็ดลับของสงคราม 36 กลยุทธ์ และในตอนแรกเพียงแต่ทำ สำเนาด้วยลายมือแจกจ่ายกันอ่าน ในวงแคบๆ เท่านั้นต่อมาในปี ค.ศ. 1941 สำนักพิมพ์ซิงฮว๋าในเมืองเฉิงตู มลฑลเสฉวน ได้จัดพิมพ์ออกมา ตั้งแต่นั้นก็มี 36 กลยุทธ์ฉบับภาษาจีน ปรากฏหลายสำนวนด้วยกัน รวมทั้งมีในภาษาเอเชียตะวันออกอื่นๆ ด้วย

    36 กลยุทธ์ โดดเด่นเป็นเอกในบรรดาคัมภีร์ ทางทหารที่สืบเนื่องมาตั้งแต่จีน ยุคโบราณ ด้วยเนื้อหาเน้นว่าศิลปะทางทหารคือการหลอกลวง ในขณะที่คัมภีร์ทางทหารระดับคลาสสิก ส่วนใหญ่เน้นยุทธวิธีการรบทั่วไปในสนามรบ 36 กลยุทธ์ ไม่เหมือนกับคัมภีร์ประเภทเดียวกัน กับเล่มอื่นๆ ตรงที่จะเพ่งเล็งไปที่การหลอกลวง การเล่นเลห์ หรือ ยุทธวิธีซ่อนเร้นเพื่อบรรลุผลวัตถุประสงค์ทางทหาร ดังนั้นจึงไค้ชื่อว่าเป็น เคล็ดลับของสงคราม 36 กลยุทธ์

    นอกเหนือจากอารัมภบทแล้ว คัมภีร์เล่มนี้แบ่งออกเป็น 6 ภาค แต่ละภาคมี 6 กลยุทธ์แต่ละกลยุทธ์มีการยกเนื้อความสั้นๆจากคัมภีร์ อี้จิง (คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง) มาประกอบและมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับกลยุทธ์นั้นๆ

    36 กลยุทธ์เรียบเรียงขึ้นในลักษณะที่สอดคล้องกับคำสอนเรื่อง หยิน หยาง ในอี้จิง

    หยินและหยางเป็นคุณสมบัติ 2 ประการที่เสริมกันซึ่งดำรงอยู่ในจักรวาล และ ดำรงอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างโนโลกนี้ ทั้งต่างก็ดำรงอยู่ ในกันและกัน หยิน ซึ่งเป็นสตรีเพศ สัมพันธ์กับความมืดและการปกปิด ส่วน หยาง ซึ่งเป็นบุรุษเพศ สัมพันธ์กับแสงสว่างและ การเปิดเผย ชาวจีนโบราณถือว่าเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายและกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งมักวางแผนและดำเนินการอย่างปิดลับ ย่อมสังกัดฝ่ายหยิน หยินในคัมภีร์อี้จิง ตรงกับเครื่องหมายที่ ประกอบด้วยขีด 6 ขีด ซึ่งแทนสัญลักษณ์ดิน ขีดทั้ง 6 นี้ล้วนแต่ขาดกลางทั้งสิ้น 6x6 ก็คือ 36 นั่นเอง

    ในคัมภีร์เล่มนื้ บางครั้งชื่อของกลยุทธ์จะอ้างตรงกับเหตุการณ์เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์

    ์ที่มีการนำกลยุทธ์นั้นๆ ดังเช่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  12. สุมาอี้.

    สุมาอี้. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    จากที่ผมศึกษามาไ่ม่มากนักในประวัติการทำศึกที่ผมศึกษามาไม่ปรากฏไว้ว่าเจงกิสข่านอ่านตำราการศึกจากที่ต่างๆ

    แต่ก็สรุปได้ว่า เจงกิสข่านนับเป็นอัจฉริยะด้านสงครามคนหนึ่งเลยทีเดียวครับ

    เจงกิสข่านเรียนรู้การเป็นผู้นำทางทหารเอาเองจากการทำสงครามในสนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยกระบวนการคิด การทำศึกนั้น เป็นการดำเนินรอยตามรูปแบบของพิชัยสงครามซุนวูได้กล่าวไว้ มิได้ผิดเพี้ยน ถ้ากล่าวว่า พิชัยสงครามที่ซุนวูคิดเองขึ้นมาได้ ก็ไม่แปลกอันใดถ้าเวลาผ่านมาเป็นพันๆปี จะมีคนที่คิดเหมือนกับอัจฉริยะซุนวูในอดีตในการทำสงคราม เพียงแต่มิได้เรียบเรียงรูปแบบพิชัยสงครามการทำศึกไว้เท่าันั้น


    รายละเอียดดังนี้ครับ

    [​IMG]

    [FONT=&quot]กลยุทธ์เจงกิสข่าน
    <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มองโกลไม่เคยวางแผนการรบจนกว่าจะได้ทราบชัดถึงเรื่องดินแดน อาวุธ ยุโธปกรณ์ เส้นทางคมนาคม และสถานที่ระดมพลข้าศึก
    <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ซึ่งตรงกับ พิชัยสงครามซุนวู(ซุนจื่อปิงฝา) กล่าวไว้[FONT=&quot]ใน
    [/FONT]<o></o>[/FONT]
    บรรพที่ ๑ การประมาณสถานการณ์

    <o></o>
    ซุนจื่อ กล่าวว่า.....
    สงครามเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของบ้านเมือง เป็นเรื่องถึงเป็นถึงตายเป็นหนทางเพื่อความอยู่รอด หรือความพินาศ
    ฉิบหาย จึงเป็นอาณัติที่จะ "ต้องศึกษาให้ถ่องแท้" <o></o>

    จงวางกำหนดขีดความสามารถด้วย "หลักมูลฐานสำคัญ ๕ ประการ" และเปรียบเทียบ "องค์ประกอบ ๗ ประการ" จะทำให้ประเมินความจำเป็น และความสำคัญได้ถูกต้อง
    <o></o>

    หลักมูลฐานสำคัญ ๕ ประการ (ขวัญ- ลมฟ้าอากาศ - ภูมิประเทศ - การบังคับบัญชา - กฎเกณฑ์วิธีการ)

    ๑. ขวัญหมายถึง สิ่งที่ทำให้ประชาชนมีความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้นำ ประชาชนย่อมร่วมทางกับผู้นำ แม้จะต้องไปก็ไม่กลัวอันตราย ไม่เสียดายแแต่ชีวิต
    ๒. ลมฟ้าอากาศหมายถึง ภาวะความเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของธรรมชาติ การปฏิบัติทางทหารที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมกับฤดูกาล
    ๓. ภูมิประเทศ (ยุทธภูมิ)หมายถึง ระยะทาง ความยากง่ายของพื้นที่ที่จะต้องเดินทัพข้าม เป็นพื้นที่เปิดหรือพื้นที่ปิดล้อม และโอกาสของความเป็นความตาย
    ๔. การบังคับบัญชาหมายถึง คุณสมบัติของแม่ทัพ อันจะต้องประกอบด้วยความมีสติปัญญา ความมีมนุษยธรรม มีความมานะพยายาม และมีความเคร่งครัด
    ๕. กฎเกณฑ์ และวิธีการหมายถึง การจัดขบวนทัพ การควบคุม การมอบหมายงานให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา การวางเส้นทางการลำเลียงอาหารได้สม่ำเสมอ จัดหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นแก่กองทัพ

    <o></o>

    **************************************

    [FONT=&quot]ก่อนเปิดฉากรบ เจงกิสข่านจะส่งจารบุรุษ หน่วยสอดแนม เข้าไปในประเทศเป้าหมาย จารบุรุษจะไปยุแยงให้แตกแยกขึ้น ขณะเดียวกันหน่วยสอดแนมก็จะทำสงครามประสาท หรือสงครามจิตวิทยาแก่ข้าศึก
    <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ซึ่งตรงกับ พิชัยสงครามซุนวู(ซุนจื่อปิงฝา) กล่าวไว้[FONT=&quot]ใน
    <o></o>[/FONT][/FONT]
    บรรพที่ ๑๓ การใช้สายลับ

    <o></o>
    ซุนจื่อกล่าวว่า...
    เหตุผลที่เจ้านครผู้ฉลาด และแม่ทัพผู้มีสติปัญญาเอาชนะข้าศึกได้ ไม่ว่าจะทำศึกเมื่อใด และผลสำเร็จอยู่เหนือคนธรรมดา
    สามัญ คือ รู้การณ์ล่วงหน้า (เกี่ยวกับภาวการณ์ข้าศึก)
    "สาย" ซึ่งใช้งานได้มีอยู่ ๕ ประเภท คือ สายลับพื้นเมือง สายลับภายใน สายลับสองหน้า สายลับกำจัดได้ และสายลับมีชีวิต
    เมื่อสายลับทั้ง ๕ ประเภทลงมือทำงาน ต่างก็ปฏิบัติภารกิจของตนไปพร้อมๆกัน โดยไม่มีผู้ใดรู้วิธีหาข่าวของสายลับเหล่านี้
    เราเรียกคนพวกนี้ว่า "เทวปักษี" เป็นสมบัติมีค่าของผู้มีอำนาจปกครองสูงสุดในแผ่นดิน

    สายลับพื้นเมือง คือ คนท้องถิ่นของข้าศึกที่เราเอามาใช้งานได้
    สายลับภายใน คือ นายทหารของข้าศึกที่เราเอามาใช้งานได้
    สายลับสองหน้า คือ สายลับของข้าศึกที่เราเอามาใช้งานได้
    สายลับกำจัดได้ คือ สายลับของฝ่ายเรา ที่เราส่งไปในดินแดนของข้าศึก เพื่อสร้างข่าวลวงขึ้น
    สายลับมีชีวิต คือ สายลับที่กลับมาได้พร้อมข่าว
    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  13. สุมาอี้.

    สุมาอี้. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    [FONT=&quot][​IMG]


    มองโกลใช้อาวุธยิงป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้ตัวได้ ทหารยุโรปแม้ตัวใหญ่กว่า รบประชิดได้ดีกว่า
    แต่มองโกลใช้ธนูเป็นอาวุธยิงไกลทำลายกำลังข้าศึกให้บาดเจ็บล้มตายลงมาก กว่าที่จะเข้าถึงตัว มองโลกใช้เชลยศึกจำนวนมากที่จับมาได้กำบังการรุกของตน บังคับให้ข้าศึกฆ่าข้าศึก ก่อนที่จะเข้ารบประชิดกับทหารมองโกลได้ จึงเป็นการทำศึกหลังกำแพงมนุษย์ดีๆนี่เอง
    <o>

    </o>[/FONT] [FONT=&quot]ซึ่งตรงกับ พิชัยสงครามซุนวู(ซุนจื่อปิงฝา) กล่าวไว้ใน<o>

    </o>[/FONT]

    บรรพที่ ๒ การทำศึก<o>

    </o>
    ซุนจื่อ กล่าวว่า.....
    "ชัยชนะ เป็นความมุ่งหมายใหญ่ที่สุดในการทำสงคราม ถ้าการทำสงครามถูกหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าเพียงใด อาวุธจะสิ้นคม จิตใจทหารจะหดหู่ เมื่อยกกำลังเข้าตีเมือง กำลังของทหารจะสิ้นไป"

    "ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ยินแต่ การทำสงครามที่รวดเร็ว และฉับพลันเราไม่เคยเห็นปฏิบัติการสงครามที่ฉลาด
    ครั้งใด กระทำโดยยืดเยื้อ ผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจอันตรายอันเกิดจากการใช้กำลังทหาร ย่อมจะไม่สามารถเข้าใจถึงความ
    ได้เปรียบของการใช้กำลังทหาร ได้ในทำนองเดียวกัน" <o>

    </o>
    "ผู้ชำนาญการศึก ไม่ต้องการกำลังหนุนส่วนที่สอง และไม่ต้องการเสบียงอาหารเกินกว่าครั้งเดียว
    กองทัพขนยุทโธปกรณ์ไปจากบ้านเมืองของตน และอาศัยเสบียงอาหารของข้าศึก ด้วยเหตุนี้กองทัพจึงมีเสบียงอาหารมากมาย ไม่ขัดสน เมื่อประเทศต้องขัดสนเพราะการทำศึก เหตุก็เนื่องมาจากการลำเลียงมีระยะทางไกล
    กองทหารไปตั้งอยู่ที่ใด ราคาของจะสูงขึ้น ความสมบูรณ์ พูนสุขของประชาชนก็จะหมดสิ้นไป
    เมื่อความสมบูรณ์ลดลง ประชาชนก็จะเดือดร้อน เพราะจะต้องมีการเรียกเก็บภาษียามฉุกเฉิน
    แม่ทัพที่ฉลาด จึงดำเนินการเพื่อให้กองทัพของตนอยู่ได้ด้วยเสบียงของข้าศึก (ข้าวของข้าศึกหนึ่งถัง มีค่าเท่ากับข้าวของตนเองยี่สิบถัง)

    "เหตุที่ทหารฆ่าฟันศัตรู ก็เพราะความโกรธแค้น"(นำข้อนี้มาเป็นอุบายให้ทหารเรามีใจรุกรบต่อสู้ได้) <o>

    </o>
    "เมื่อจับเชลยศึกได้ ปฏิบัติดูแลให้ดี" อย่างนี้เรียกว่า "ชนะศึกแล้ว เข้มแข็งขึ้น" <o>

    </o>
    "สิ่งสำคัญในการทำศึก คือ ชัยชนะ มิใช่ปฏิบัติการที่ยืดเยื้อ
    ฉะนั้น แม่ทัพที่เข้าใจเรื่องราวของสงคราม จึงเป็นผู้กำชะตากรรมของพลเมือง เป็นผู้ชี้อนาคตของชาติ" <o>

    </o>
    ที่สุดของการทำศึกคือ "ใช้ศัตรูกำจัดศัตรู"<o>

    </o>

    <o>*************************************************************

    [​IMG]

    </o>
    [FONT=&quot]กองทัพมองโกลมีความคล่องตัวสูง เพราะกองกำลังเกือบทั้งหมดเป็นทหารม้าแต่ละคนยังมีม้าสำรอง 1-2[FONT=&quot]ตัวด้วย ลองคิดดูว่า ในปีพ.ศ.[/FONT]1764 [FONT=&quot] กองทัพเจงกิสข่านไล่ติดตาม โมฮำเหม็ดชาห์ เจ้าอาณาจักรเปอร์เชียร์ในสมัยนั้น [/FONT]130[FONT=&quot]ไมล์ ใน[/FONT]2[FONT=&quot]วัน หรือในปี พ.ศ.[/FONT]1784 [FONT=&quot]กองทัพสุโบไตแม่ทัพคนสำคัญของเจงกิสข่านได้เดินทางฝ่าหิมะหนาและความหนาวเย็นไกล[/FONT]180[FONT=&quot]ไมล์ ใน[/FONT]3[FONT=&quot]วันเพื่อโจมตีเมืองต่างๆของรุสเซีย ใครๆต่างกล่าวขวัญกันว่า กองทัพมองโกลของเจงกิสข่านใช้กำลังทหารมหาศาล ซึ่งความจริงกองทัพเจงกิสข่านนั้นเล็กกว่าข้าศึกสำคัญๆมาก กองทัพเจงกิสข่านที่ใหญ่โตที่สุดที่เคยร่วมพล พิชิต อาณาจักรขวาริซเมียน(เปอร์เชีย) กำลังพลไม่ถึง[/FONT]240[FONT=&quot],[/FONT]000[FONT=&quot]คน เท่านั้น [/FONT] [FONT=&quot]กำลังพลที่สามารถเข้าตีและเอาชนะรุสเซีย และยุโรปตะวันออกกับยุโรปกลาง ไม่เคยเกิน [/FONT]150[FONT=&quot],[/FONT]000[FONT=&quot]คน คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ และความง่ายในการจัดกองทัพเป็นหัวใจสำคัญของความคล่องแคล่วเหนือชั้นของกองทัพมองโกล[/FONT]<o>

    </o>
    [/FONT] [FONT=&quot]ซึ่งตรงกับ พิชัยสงครามซุนวู(ซุนจื่อปิงฝา) กล่าวไว้<o>

    </o>[/FONT]
    บรรพที่ ๓ ยุทธศาสตร์การรบรุก<o>

    </o>
    ซุนจื่อกล่าวว่า...
    "โดยปกติธรรมดาในการทำสงคราม นโยบายดีที่สุด คือ การเข้ายึดบ้านเมืองของข้าศึกได้โดยมิให้บอบช้ำ การทำให้เกิดความพินาศฉิบหายย่อมด้อยกว่า"
    "ชัยชนะร้อยครั้ง จากการทำศึกร้อยครั้ง มิได้แสดงว่า ฝีมือดีเยี่ยม การทำให้ข้าศึกยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้รบ
    แสดงว่ามีฝีมือยอดเยี่ยม"
    "ฉะนั้น ความสำคัญสูงสุดในการทำสงคราม จึงอยู่ที่การโจมตีที่แผนยุทธศาสตร์ของข้าศึก
    ที่ดีเยี่ยมรองลงมา คือ การทำให้ข้าศึกแตกแยกกับพันธมิตร
    ที่ดีรองลงมา คือ การโจมตีกองทัพของข้าศึก
    นโยบายเลวที่สุด คือ การตีตัวเมือง การเข้าตีตัวเมือง กระทำกันเมื่อไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น"
    <o></o>

    "เท่าที่ปรากฎ ศิลปะในการใช้ขบวนศึกมีอยู่ดังนี้
    เมื่อมีกำลังอยู่เหนือกว่าข้าศึก ๑๐ เท่า ล้อมข้าศึกไว้
    เมื่อมีกำลังเหนือกว่า ๕ เท่า ให้โจมตีข้าศึก
    ถ้ามีกำลังเป็น ๒ เท่า แยกกำลังข้าศึก
    ถ้ามีกำลังทัดเทียมกัน ท่านอาจเข้ารบโดยตรงได้ (แม่ทัพที่มีความ สามารถเท่านั้น เป็นผู้เอาชนะได้)
    ถ้ามีทหารจำนวนน้อยกว่า ต้องมีความสามารถในการถอยทัพ
    และถ้าไม่ทัดเทียมกันในทุกแง่มุม เมื่อมีกำลังน้อยกว่า ต้องสามารถหลบเลี่ยงข้าศึกให้ได้ แต่ต้องเข้าตี เมื่อมีกำลังเหนือกว่า หรือเห็นว่าได้ชัย แม้มีกองทัพน้อย เรียกว่าใช้น้อยชนะมาก

    "ผู้มีอำนาจปกครองสูงสุดในแผ่นดิน รู้จักเลือกคนดีไว้ใช้ ย่อมเจริญรุ่งเรือง ใครที่ใช้คนดีไม่ได้ ย่อมพินาศฉิบหาย" <o>

    </o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  14. สุมาอี้.

    สุมาอี้. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    พรุ่งนี้มาต่อครับ นิทราราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขอเสริม

    ซุนจื่อ กล่าวว่า.....
    "ชัยชนะ เป็นความมุ่งหมายใหญ่ที่สุดในการทำสงคราม ถ้าการทำสงครามถูกหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าเพียงใด อาวุธจะสิ้นคม จิตใจทหารจะหดหู่ เมื่อยกกำลังเข้าตีเมือง กำลังของทหารจะสิ้นไป"


    โดยหลักการทำสงครามที่ดีที่สุด คือการ
    "ชนะโดยไม่ต้องรบ"
    "การทำลายข้าศึกเป็นรอง การยึดข้าศึกเป็นเอก"

    นี่คือ การให้ความสำคัญกับหลักการทูต
     
  16. T-1970

    T-1970 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,179
    ...แบ่งเป็นสี่ขั้น...
    ขั้นที่ หนึ่ง = เนื้อความตามตำราที่ศึกษา
    ขั้นที่ สอง = วิเคราะห์
    ขั้นที่ สาม = สรุป
    ขั้นสุดท้าย = นำไปใช้

    ขั้นที่ สอง + ขั้นที่ สาม:

    ...1.) ขงเบ้งตรอมใจตายเพราะ??? : เพราะทนรับความจริงไม่ได้ในข้อที่ว่า " ปัญญาที่ตนมีอยู่ไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้ " เจ็บปวดใจมากมาย ที่ฟ้าดินประทานปัญญา แต่ลิขิตให้ภาระกิจไม่ลุล่วงสมบูรณ์...

    ...2.) นโปเลียน+ฮิตเลอร์นี่หนักหน่อย..เพราะไม่รู้วิชาโหราศาสตร์ดูดวงดาวเหมือนขงเบ้ง...จึงพบจุดจบแบบน่าอนาจยิ่งกว่า เพราะมัวแต่เฝ้าคิดทบทวนหาข้อบกพร่องของตัวเองอยู่ร่ำไป..หาได้รู้ตัวไม่ว่าสติปัญญา+ยุทธวิธีและกลยุทธของตน(โดยเนื้อแท้)ไม่ได้บกพร่องเลย...เพียงแต่ตัวแปรที่อยู่นอกเหนือการควบคุมบางอย่างได้กำหนดขีดเส้นเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว...

    ...3.) ทั้งขงเบ้ง-นโปเลียน-ฮิตเลอร์..พวกเขาแพ้อะไรกันแน่???...:...

    ..เป็นคำตอบเดียวกันกับที่พวกเขาเคยชนะในครั้งก่อนๆ (..ชัยชนะถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว..) ...ถึงวันที่พวกเขาต้องพ่าย (..ความพ่ายแพ้ก็ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน..)...

    ..บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ " ปัญญา หรือ จะสู้ฟ้าลิขิต " ( หมายถึง กรรมลิขิต , บุญลิขิต ,เจ้ากรรมนายเวรลิขิต หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ตามถนัด )....

    ...ตัวแปรที่อยู่นอกเหนือการควบคุม : หมายถึง ธรรมชาติภายใน และ ธรรมชาติภายนอก เช่น การตกมันของเจ้าพระยาไชยานุภาพ(ช้างทรงขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) - การวิ่งเข้าไปในวงล้อมของทหารพม่า...(อยู่นอกเหนือแผนการรบที่วางไว้ทั้งหมด)...เป็นธรรมชาติภายนอก

    ....สุขภาพ-ความเจ็บป่วย-การตาย ฯลฯ เป็นธรรมชาติภายใน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  17. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [​IMG]
    โชคชะตา มันจะมีรูปลักษณ์ให้เธอจับต้องได้หรือ ? ในขณะที่โชคชะตานั้นยังไม่ปรากฏออกมา จงอย่าเอาแต่พูดว่า โชคไม่ดี ดวงไม่ดีอยู่เสมอๆเพราะนั่นจะเป็นการให้พลังอำนาจแก่เจ้าตัวโชคชะตาไป
    หากเธอไม่มีเจตนารมณ์ ความมุ่งมั่นและการปฏิบัติการกระทำแล้ว โชคจะมีขึ้นมาได้อย่างไรเล่า?
    ไม่ว่าโชคชะตาจะเป็นอย่าไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือ การปฎิบัติฝึกฝนตน การกระทำดีอยู่ตลอดเวลาของเธอ เพราะแม้แต่ตัวโชคชะตาเอง ก็ไม่อาจเป็นจริง … เกิดขึ้นจริงได้ ถ้าหากไม่มีการกระทำปฏิบัติ
    -สัตยา ไสบาบา-
    <!--adcode-->
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขออนุญาติ ยกตัวอย่างนะ
    เรื่อง ชะตากรรม กับ ความเพียร

    นางเมขลา : มหาสมุทรกว้างใหญ่ มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นฝั่ง ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่านย่อมเปล่าประโยชน์ เพราะจะตายเสียก่อนที่จะถึงฝั่ง

    พระมหาชนก : ถึงตายไป ก็ได้ชื่อว่าตายอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่ถูกติเตียน

    นางเมขลา : ถ้าสิ่งที่ตัวเองทำยังไม่รู้ว่าจะมีผลดีหรือไม่ และรู้ว่าเมื่อทำไปจนถึงที่สุดก็อาจส่งผลให้ตนเองถึงตายได้นั้น จะทำไปทำไม

    พระมหาชนก : คนที่คิดว่าการกระทำของตนไม่อาจยังผลอะไรให้เกิดขึ้นมาได้นั้น คนๆ นั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในโลกนี้ยังมีคนบางจำพวก ที่เชื่อมั่นว่าในเมื่อการกระทำของตนจะก่อให้เกิดผลที่ดีขึ้นมาได้ ก็ควรจะทำต่อไป จะสำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญ<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  19. T-1970

    T-1970 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,179
    ...พระองค์ทรงเป็นศาดาเอกของโลก ตามคำทำนาย..ซึ่งเป็นผลมาจากโชคชะตา...

    ...อหิงสกะเป็นจอมโจรที่เหนือโจร ตามคำทำนาย..ก็เป็นผลมาจากโชคชะตา...

    ...นิพพานจึงเป็นสิ่งเดียว ให้หลุดพ้น...จากโชคชะตา...

     
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    โชคชะตาหรือชะตากรรม ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน
    มนุษย์มีกรรมเป็นกำเนิด
    มนุษย์มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
    มนุษย์มีกรรมเป็นทายาท

    พระท่านสอนให้หมั่นสร้างกรรมดี นั้นหมายความว่าอะไร
    ทำดีจำได้ดี แม้ไม่ส่งผลในชาติปัจจุบัน นั้นแปรว่าอะไร

    กรรมในอตีดบันดาลให้เราเป็นไปต่างๆนานา นี่เรียกว่าชะตากรรมหรือไม่
    การถือศีล สร้างกุศล นี่เป็นปัจจัยแห่งโชคชะตาหรือไม่

    ดังนั้น ชะตากรรมย่อมอยู่ในมือเรา ถูกหรือไม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...