เล่นแร่แปรธาตุไสยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 25 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เล่นแร่แปรธาตุไสยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์

    จะดีแค่ไหนหากมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ให้กลาย เป็นทองคำได้ตามใจปราถนา ยิ่งในสถาวะปัจจุบันที่ราคาทองคำมีแต่จะถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทองคำจัดเป็นวัตถุมีค่ายิ่งกว่าธนบัตรที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไม่ว่าจะ เป็นสกุลเงินใดๆ ก็ตามเพราะกว่าที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จ่ายได้ นั้นต้องขึ้นอยู่กับจำนวนทองคำที่ตนมีไว้ในครอบครองด้วย แถมซ้ำทองคำยังเป็นสิ่งที่ขายได้คล่องมีกำหนดราคาตายตัวไม่ต้องกลัวโดนกด ราคา

    ความคิดในการเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้กลายเป็นทองนี้มีมาช้านานแล้วในเกือบทุก ภูมิภาคของโลก ผู้ที่สนใจศาสตร์แขนงนี้ถูกเรียกว่า นักรสายนเวท หรือ รสายนศาสตร์(Alchemy)

    "รสายนเวท" ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตนิยามความหมายเอาไว้ว่า
    รสายนเวท [ระสายะนะเวด] น. วิชาประสมแร่แปรธาตุ, วิชาเคมียุคเล่นแร่แปรธาตุ. (ส.).

    ความสนใจของนักรสายนเวท มีอยู่อย่างแพร่หลายในสมัยอดีต ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป อาหรับ จีน อินเดีย แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าแนวคิดนี้เริ่มต้นขึ้นที่ไหนเป็นแห่งแรกของโลก

    ยุโรป
    การ เล่นแร่แปรธาตุในยุโรปถูกพัฒนาจากแนวความคิดที่ว่าสสารทุกอย่างบนโลกนี้มี ต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน แนวความคิดนี้มีอยู่ในอียิปต์โบราณ จนกระทั่งกรีกรุ่งเรืองขึ้นมีการติดต่อซื้อขายกันระหว่างสองอาณาจักรทำให้ แนวความคิดเหล่านี้แผ่เข้าสู่กรีก อริสโตเติ้ลปราชญ์ผู้เปรื่องปัญญาของกรีก จึงเกิดความสนใจและนำแนวคิดนั้นมาพัฒนา อริสโตเติ้ลเชื่อสสารประกอบไปด้วยธาตุ 4 ชนิด คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ถึงแม้การเล่นแร่แปรธาตุในสมัยอริสโตเติ้ลจะไม่ประสบความสำเร็จแต่แนวคิดของ เขายังได้รับการถ่ายทอดไปสู่ปราชญ์รุ่นใหม่ในมหานครแห่งกรีกต่อไป

    การพยายามเปลี่ยนสสารจากสิ่งหนึ่งมาสู่อีกสิ่งหนึ่งในยุโรปเป็นที่แพร่ หลายกันมากพร้อมกับความเชื่อที่ว่าการแปรสสารเป็นทองคำนั้นต้องอาศัยศิลา อาถรรพ์ ซึ่งมีคุณวิเศษในการทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนสภาพเป็นทองคำ ทำให้นักเล่นแร่แปรธาตุในยุคนั้นต่างพากันค้นหาศิลาศักดิ์สิทธ์ดังกล่าวจน กระทั่งถึงช่วงที่อาณาจักรโรมันรุ่งเรืองขึ้นและสามารถยึดอียิปต์ได้ก็มีคำ สั่งห้ามในมีการแปรธาตุอื่นเป็นทองคำทำให้การเล่นแร่แปรธาตุของยุโรปอยู่ใน สภาวะซบเซาลงตามลำดับ

    จีน
    แหล่ง อารยธรรมที่สำคัญของเอเชียก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนสสารต่างๆให้ กลายเป็นทองคำเหมือนกัน แต่เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุในจีนมักจะเน้นหนักไปในทางการพยายามศึกษาค้นหาคำ ตอบของเรื่องการทำยาอายุวัฒนะ กินแล้วเป็นอมตะไม่แก่ไม่เฒ่า หรือหรือยาที่มีคุณวิเศษกินแล้วจากวัยชราจะกลายเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง หลักฐานที่เป็นรูปเป็นร่างของชาวจีนคือคัมภีร์อี้จิงซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ ที่เนื้อหาภายในประกอบไปด้วยสูตรยาอายุวัฒนะ

    อินเดีย
    เป็น แหล่งอารยธรรมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียความเชื่อเกี่ยวกับการ เล่นแร่แปรธาตุของภุมิภาคนี้ถูกสะท้อนอยู่ในคัมภีร์พระเวท อรรถศาสตร์ ที่มีการกล่าวถึงปรอทไว้ด้วย ความเชื่อในเรื่องการรวมกันของสสาร ของชาวอินเดียวนั้น จะคล้ายกับทัศนคติความเชื่อของชาวยุโปรแต่จะมีอากาศเพิ่มเข้ามาด้วย ชาวอินเดียเชื่อว่าสสารทุกอย่างประกอบได้ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศ

    ในพระไตรปิฎกของทางพุทธศาสนาเองก็ปรากฏข้อความของการเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้ กลายเป็นทองคำตามที่ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกเล่ม 02 โดยมีการกล่าวถึงการเปลี่ยนวัตถุอย่างอื่นให้เป็นทองไว้ของผู้ทรงอภิญญา

    ในพระไตรปิฎกปรากฏเรื่องราวของพระอรหันต์รูปหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องให้เป็นสาวกผู้มีความเป็นเลิศในการเป็นที่รักใคร่ของเหล่าเทวดา ภิกษุรูปนั้นมีนามว่า ปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านที่กำลังมีมโหรสพ เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยากได้ของสวยงามจำพวกดอกไม้มาประดับประดาดัง เช่นบุตรสาวคนอื่นๆของเพื่อนบ้าน ฝ่ายแม่ก็ได้แต่ปลอบโยนบอกให้บุตรสาวรู้ถึงความยากจน

    พระปิลินทวัจฉะได้ยินเข้าจึงหยิบหมวกฟางใบหนึ่งขึ้นมาส่งให้หญิงผู้นั้น พร้อมบอกให้เอาสวมลงบนศรีษะของบุตรสาว เมื่อหญิงคนนั้นทำตามพลันหญ้าแห้งก็กลายเป็นระเบียบดอกไม้ทองคำ ซึ่งมีความงดงามมากแม้แต่ในพระราชวังสมัยนั้นก็ไม่มีของประดับที่มีความงาม เทียบเท่าได้

    วันต่อมาปิลินทวัจฉะ เข้าไปบิณฑบาตอีกแต่ไม่เห็นสองแม่ลูกเมื่อถามชาวบ้านจนได้ความว่าถูกจับไป จองจำเพราะระเบียบดอกไม้นั้น พระปิลินทวัจฉะจึงเข้าไปในพระราชวังและสอบถามพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็น กษัตริย์ว่าแม่ลูกทั้งสองถูกจองจำเพราะเหตุใด พระเจ้าพิพิสารตรัสตอบกลับมาว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 77970.jpg
      77970.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.7 KB
      เปิดดู:
      174
    • 77971.jpg
      77971.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.6 KB
      เปิดดู:
      135
    • 77972.jpg
      77972.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.3 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2008
  2. joezaaaa

    joezaaaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,124
    [​IMG]
     
  3. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    คนไทยชอบ วัตถุนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ สังเกตง่ายๆเวลารบทัพจับศึกจะหาเครื่องรางของขลัง มาป้องกันตัว หรือ เพื่อเอาชัยชนะ ไม่เคยใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง

    นี่เป็นจุดอ่อนมากๆของคนไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนรุ่นหลังจึ้งติดนิสัยแบบนี้มา ซึ่งจะเห็นได้ชัดจาการดู พระนเรศวร และ สามก๊ก สามก๊กจะใช้ปัญญาในการทำศึกล้วนๆไม่มีเครื่องรางของขลัง

    คนจีนถึงมีคติสอนใจในการดำเนินชีวิตให้ลูกหลานได้เจริญรุ่งเรืองด้วยปัญญาตนมากกว่าคนไทย ที่วันๆเอาแต่หาของขลังของมงคลเพื่อให้การค้า และธุรกิจตนเองเจริญรุ่งเรือง แทนที่จะเสียเวลาไปหาปัญญาให้กับตัวเองมากกว่า

    เพราะอย่างนี้คนไทยจึงไม่ค่อยมีเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆโตๆเลย ถึงจะมีีก็เป็นธุรกิจเล็กๆน้อยๆ
    ส่วนธุรกิจใหญ่ๆ มีเชื้อสายคนจีนทั้งนั้น (ไม่เชื่อคุณไปดู 100รายชื่อเจ้าสัวในเมืองไทยได้) เพราะคนที่จะบริหารองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้ปัญญาอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะเชื่อเครื่องรางของขลังแต่มาทำงานใหญ่ๆโตๆ แต่ไม่มีปัญญา ส่วนพวกเชื่อเครื่องรางของขลัง บูชาเป็นชีวิตจิตใจ คุณลองไปดูเถอะเจ้าของธุรกิจเล็กๆน้อยๆทั้งนั้น


    นี่คือเหตุและผลว่า คนที่บูชาปัญญาก็จะเป็นแบบ "เจ้าสัว" ส่วนคนบูชาเครื่องรางของขลังก็ได้แค่ "เถ้าแก่"่


    คนรุ่นใหม่ก็อย่าเอาเยี่ยงอย่างคนรุ่นเก่าที่ทำแบบนี้แล้วกันนะ ประเทศชาติจะถอยหลังลงคลอง เพรามัวไปยึดแต่วัตถุนิยม เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุที่นิยมแค่นั้น ดังนั้นคนที่บูชาเครื่องรางของขลัง ก็คือ พวกวัตถุนิยม นั่นเอง คนที่ชอบูุชาเทพ ก็คือพวกเทวนิยมนั่นเอง ซึ่งผิดกับหลักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอเทวนิยม ดังนั้นคนนับัถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จะไม่บูชาเทพมากกว่าพระพุทธเจ้า แต่จากที่เห็นมีเต็มไปหมด เพราะการบูชาเทพง่าย กว่า การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ของง่ายๆคนเลยทำ เพราะมันถูกใจกิเลส

    สังเวชประเทศไทย แดนดินถิ่นพระพุทธศาสนา แต่ทุกวันนี้กลับนอกลู่นอกทางเข้าไปทุกที

    <!-- / message --> <!-- sig -->
     
  4. chanoknon

    chanoknon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +776
    อย่าดูถูกคนไทยครับ คนไทยเก่งเสมอถึงกับสร้างยานอวกาศมาแล้ว
    ผมว่าคนจีนที่คุณว่ามากกว่าที่ชอบบูชาเทพเจ้า ไหว้เทพไหว้เจ้า เข้าทรงที่ไรเทพจีนทั้งนั้น ผมดูหนังจีนเวลารบทัพจับศึกที่คุณว่า เค้าก็มีเครื่องรางของขลัง แล้วที่คุณว่าคนไทยไม่ใช้ปัญญาในการรบ
    ผมถามหน่อยถ้าไม่ใช้ปัญญาจะมีแผ่นดินไทยจนทุกวันนี้เหรอครับ
     
  5. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    ขอโทษนะครับ ที่ผมจะแนะนำคุณว่า กรุณาอ่านข้อความผมให้ละเอียด และโปรดเข้าใจถึงแ่ก่นในข้อความผม อย่าไปติดที่ "เปลือก " ดูที่ " ่แก่น .... " ครับ " แก่น....."

    เปรียบเสมือนผมเอามือชี้ขุมทรัพย์ให้คุณดู คุณกลับมมองมาที่มือผมแล้วพูดว่า " ไม่เห็นมีขุมซ๊ง ขุมทรัพย์ อะไรเลยยยย.... "

    ก็จะเห็นได้อย่างไรละครับ คุณมาดูมือผม ไม่ไปดูขุมทรัพย์ที่ผมชี้ให้คุณเห็น

    หวังว่าคงเข้าใจ ด้วยปัญญาบารมี ..... ไม่อยากกล่าวให้มากความ .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  6. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85

    น้อยคนนัก ที่ จะ ไม่ต้อง เหยียบ ย่ำ ผู้ อื่น เพื่อ ที่ จะขึ้น ไป จุด สุด ยอด

    เห็น แก่ ตัว เอง ก่อน คน อื่น น่า ยก ย่อง อย่าง นั้น หรือ

    ส่วนที่น่า ยกย่อง ก็ มี มาก แต่ ส่วน ที่ น่า รังเกียจ ก็ มี ไม่ ใช่ น้อย

    แล้ว แต่ ว่า มอง จาก มุม ไหน
     
  7. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    วิทยาศาสตร์ คือ ไสยศาสตร์สำหรับผู้อุดมไปด้วยอวิชชา
    ไสยศาสตร์ คือ สิ่งที่ยังไม่สามารถ จับต้อง ชั่ง วัด ตวง ได้ในทางวิทยาศาสตร์
     
  8. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คนไทยรับฮินดูพราห์มมาผสมผสานพุทธในชีวิตประจำวันนานมาแล้ว
    ส่วนทางจีนก็ขงจื้อเม่งจื้อเล่าจื้อ ลัทธิเต๋า สุมาเต๊กโชขงเบ้งบังทอง
    ท่านเหล่านี้ก็ใช้ฤทธิ์ทางอภิญญาเหมือนกันเพราะเป็นสายมหายาน
    ฝรั่งเขาก็มีเทพต่างๆ
    สรุปคือทั้งอินเดียไทยจีนฝรั่ง"เชื่อ"ภพภูมิ ว่ามีจริง"เสมอกัน"
    แต่การที่ศาสนาหรือลัทธิแต่ละนิกายจะมีอิทธพลกลายเป็นวัฒนธรรมได้นั้น ไม่ใช่ปัจจัยหลัก
    เมืองไทยยึดโยงอยู่ 4หลัก คือ พุทธราชา เทวราชา โหราศาสตร์และ ดาราศาสตร์
    สี่ตัวนี้ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมไทยมา700กว่าปีแล้ว
    คนเริ่มห้อยพระตอนรัชกาลที่ 5 นี่เอง นอกนั้น ใช้เครื่องรางของขลังมาก่อนการนิยมห้อยพระ
    แต่เนื่องจากปัจจุบัน ครูบาอาจารย์ที่เก่งๆจริงๆหายาก พวกมาร(บางส่วน)จึงเอาวัฒนธรรมอันเป็นจุดอ่อนของคนไทยมาทำทางพุทธพาณิชย์ ดังปรากฏอยู่ในสภาพปัจจุบันนี้
     
  9. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    ผมมองจากประวัติศาสตร์ มาถึงปัจจุบันครับ และมองว่า ประวัติศาสตร์ไทยนั้นสอนให้คนอ่อนด้านนี้ีคือการใช้ปัญญา คือไม่ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา ต้องมีตัวช่วยอยู่เสมอในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะทำอะไรใหญ่ๆโตๆ ก็ต้องมีตัวช่วยคือเรื่องเครื่องรางของขลังเข้าไปเกี่ยวข้อง เอาใจไปไว้กับวัตถุมากเกินความสามารถที่ตนเองมี สิ่งเหลานี้มีมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

    ถ้านับถือพุทธศาสนาจริงๆ เรื่องเชื่อเรื่องวัตถุนอกกายนี่ตัดไปได้เลย ดังนั้นการบูชาปัญญาที่ผมบอกไปนั่นคือหลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง แบบที่คนจีนส่วนหนึ่งทำกัน ไม่ใช่ไปบูชาเครื่องรางของขลังมากกว่าการแสวงหาปัญญา

    คนจีนมี กลยุทธ์ค้าขายของ เถาจูก่ง มีกลยุทธ์ธุรกิจแบบซุนวู และบ้านแต่ละบ้านของคนจีนส่วนหนึ่งจะใหลูกหลานท่อง36กลยุทธ์ให้ขึ้นใจทั้งๆที่ลูกหลานแต่ละคนไม่รู้ว่าท่องทำไม แต่ตอนโตขึ้นถึงรู้ วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงต่างๆก็มีให้คติให้ข้อคิดกับชีวิตและนำไปใ้ช้ได้ในชีวิต เช่น ไซอิ๋ว สามก๊ก ซุนวู ฯลฯ

    คนไทยนั้นก็มีมีวรรณกรรมทีมีชื่อเสียง แต่จะให้ความสนุกสนาน หรือ แฝงด้วยความเชื่อเรื่อง ของขลัง และมนต์คาถาอาคม เป็นส่วนมาก เ่ช่น ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี ศรีธนญชัย ฯลฯ หากผู้รู้ท่านใดมีเรื่องที่เน้นปัญญา ให้คติ ข้อคิด นำไปใช้ได้กับชีวิต กรุณาแนะนำผมด้วยครับ


    ประวัติศาสตร์จีนนั้นมีเป็นพันๆปี ไม่ใช่ไม่มีเรื่องเชื่อเครื่องรางของขลัง ในยุคบางยุคนั้นมี แต่สุดท้ายมันก็วิบัติเพราะไม่อาศัยปัญญาในการบริหาร วันๆเอาแต่เชื่อไสยศาตร์ หมอดู บูชาเทพเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่สอนเราว่าเราจะทำแบบนั่นเหรอ แล้วผลสุดท้ายมันจะเป็นแบบไหน นี่คือประวัติศาสตร์สอนเรา

    ประวัติศาสตร์มีทั้งข้อดีข้อเสีย สอนให้ผู้ที่ศึกษาและคนรุ่นหลังไว้เป็นแบบอย่างว่า ข้อดีควรนำมาปรับใช้ ข้อเสียควรปรับปรุงแก้ไข ประวัติศาสตร์ทุกๆที่ทั่วโลกมีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่ใช่เราชมแต่ของเรา ยกของเราแล้ว เหยียบคนอื่น ว่าบ้านเมืองอื่นหรือจะสู้ไทยได้ หรือยกคนอื่นชมคนอื่นแล้วเหยีบตนเอง ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นแต่จะชี้ข้อเสียของนิสัยคนไทยส่วนหนึ่งเป็นแบบนี้ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันก็เป็นอยู่ ไม่ว่าประวัติศาสตร์ ประเทศจีน ประเทศไทย ล้วนมีสิ่งที่ดีและไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราจะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป เราควรจะทำอย่างไร?

    ขอให้เราวางใจเป็นกลางแล้วศึกษาจะได้ประโยชน์กับประโยชน์ในการเอาข้อดีของเขามาประยุกต์ใช้ ข้อดีที่เราดีอยู่แล้วก็พัฒนาขึ้น ข้อเสียที่เรามีก็ยอมรับและแก้ไข ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ผิดเป็นครู พรพุทธองค์เปรียบสิ่งเหล่านี้ที่ให้เราแก้ไขดั่ง “ผู้ชี้ขุมทรัพย์” แต่ส่วนมากที่เจอเวลาคนชี้ข้อเสียก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งออกมาต่อต้าน เสร็จแล้วก็ยังทำแบบเดิมๆข้อเสียที่มีอยู่ก็คงมีอยู่ต่อไปไม่ได้ปรับปรุงอะไรขึ้นมา ซึ่งก็คงไม่เป็นประโยชน์อันใดกับการศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะนำมาปฏิบัติไม่ได้ แค่รู้ จะมีประโยชน์อันใด เหมือนศึกษาธรรมะแต่ไม่ได้ปฏิบัติให้รู้ถึงรสธรรม พระพุทธองค์เปรียบดั่ง "ทัพพีตักแกง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  10. chanoknon

    chanoknon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +776
    ถ้าพูดถึงนิสัยคนจีนเวลาค้าขายคุณนึกถึงอะไร....ลดไม่ไดสักบาท หึหึ
    คนไทยทำไม่ได้หรอกครับเพราะคนไทยมีน้ำใจครับ เลยคงไม่มีปัญญาอบ่างคุณว่า
     
  11. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +707
    หากทำได้แล้วเกิดโลภล่ะครับผลมันจะเป็นยังไงน๊า
     
  12. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ของทุกอย่างในปัจจุบันไม่มีอะไร ที่ไม่ได้มาจากธาตุต่างๆ ของธรรมชาติ และสิ่งต่างๆๆ
     
  13. amakig

    amakig Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    เรื่องแบบนี้ประเทศไทยหาได้ทุกที่ทุกจังหวัดครับ
    เอาเหล็กธรรมดามาชุบทอง
    เอาทองยัดไส้ในให้น้ำหนักเพิ่ม
    คนไทยเก่งเล่นแร่แปรธาตุไหมอ่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...