เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เข้าไปเรียนรู้วาระแห่งกรรม เรียนรู้ การให้ผลแห่งกรรม นั่นเอง เป็นการพยากรณ์ โดยอาศัยข้อมูลในอดีตเป็นสถิติ ซึ่งมีความแม่นยำระดับหนึ่ง ที่บอกอย่างนี้เพราะว่า เราไม่สามารถพยากรณ์ได้100% เนื่องจาก กรรมที่ให้ผล มีปัจจัยมากมายมาก นั่นเอง และเราไม่สามารถมีอดีตตังคสญาณ รอบรู้กรรมในอดีตได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นเรื่องยาก จึงส่งผลให้การพยากรณ์ในปัจจุบันและอนาคตเป็นเรื่องยากนั่นเอง พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า การที่จะเข้าไปรอบรู้ในกรรมของสรรพสัตว์ เป็นอจินไตยอย่างหนึ่งครับ
     
  2. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    เมื่อดิฉันสวดมนต์จะมีอาการขนลุกบนศรีษะเกือบจะทุกครั้งที่จิตตั้งมั่นในการสวด และมีปัญหาเมื่อทำสมาธิบางครั้งกำลังนิ่งได้ที่จนเห็นแสงสว่างก็จะเริ่มมีอาการสสดุ้งจนต้องเสียจุดนี้ไปหลายครั้ง จะแก้ปัญหาได้อย่างไรคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าที่ตอบให้คลายสงสัย สาธุๆอนุโมทนา
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    แสงสว่างคือนิมิต เมื่อนิมิตเกิด ย่อมส่งผลต่อกายใจ หลายอย่าง ปัญหาคือ เพราะเรายังไม่ชำนาญ ให้นั่งภาวนา โดยสนใจเพียงสติ เท่านั้น เมื่อใดที่ฌาณของเราเกิดทรงตัวแล้ว ให้ถอยกำลังออกมาสู่วิปัสสนา เปลี่ยนจากฌาณมาสู่ญาณทัสนะ ด้วยการเปลี่ยนการทำงานของสติ คือ จากเดิมสติจดจ่อแน่วแน่อยู่กับการควบคุมจิตให้ไม่ส่ายไปไหนให้มีอารมณ์เดียวคือเอกคตาจิต จากตรงนี้ ให้เปลี่ยนใหม่ ถอนสติออกมาจากการควบคุมจิต แต่ให้ทรงสติแค่ระลึกรู้ปล่อยวางจิต ปล่อยให้จิตทำงานตามธรรมชาติของมัน แค่มีสติรู้ รู้ทัน ตามไปกับจิตที่มันวิ่งไป นิมิตจะเกิด สมองจะนึกคิด จิตจะมีการปรุงแต่ง เราระลึกมีสติรู้ทัน ทำเช่นนี้ ปัญญาญาณจะก้าวหน้าครับ จะเห็นความจริงของจิตเราที่ทำงาน การปรุงแต่ง การนึดคิดต่างๆ แล้วเราจะรู้วิธีการดับการปรุงแต่งดับทุกข์รู้ทันจิตและการปรุงแต่งครับ นิมิตคือแสงสว่างจะหายไปหรือแม้เกิดมันก็ไม่มีผลกระทบอะไรเพราะเมื่อนั้น เรามีความสามารถในการแยกกาย แยกจิต แยกเครื่องปรุงแต่งทั้งปวงได้แล้วนั่นเองครับ สาธุ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อเราไปข่มหรือปิดบังทุกข์เอาไว้ เราย่อมไม่อาจเห็นทุกข์ได้จริง

    เมื่อเราไม่อาจเห็นทุกข์ได้จริง แต่เราก็ยังต้องรับผลแห่งทุกข์นั้น โดยที่เราไม่เห็นทุกข์
    เมื่อนั้นเราก็จะไม่เห็นสมุทัยคือสาเหตุแห่งทุกข์
    เมื่อนั้นเราก็จะไม่มีทางดับทุกข์ได้
    เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปแก้ไขหรือเดินตามหนทางแห่งการดับทุกข์ได้หรือมรรคได้

    เพราะเมื่อเราไม่เห็นทุกข์ที่มันเกิด เราจะไม่มีทางเห็นรากเหง้าต้นเหตุแห่งทุกข์ได้ สมุทัยย่อมไม่ปรากฏให้เราเห็น เมื่อเราไม่เห็นสมุทัย ไม่รู้เหตุ ก็จบสิ้นครับ ท่านจะไม่มีทางดับทุกข์เหล่านั้นได้เลยครับ สาธุ

    สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการจะเห็นทุกข์ที่เกิดกับตนได้นั้น ง่ายมากแต่ทำยากคือการยอมรับความจริง นั่นเอง อย่าให้โลกแห่งมายาบิดเบือนดวงตานอกและตาในของท่าน จนมองไม่เห็นในความจริงทั้งปวง

    บุคคลผู้กระทำผิดแล้ว มีจิตระลึกรู้และสำนึกผิด ในความผิดที่ตนทำ ย่อมเป็นผู้น่าสรรเสริญ ย่อมหมายถึง ท่านได้เห็นความจริง แห่งทุกข์ที่ปรากฏแล้วนั่นเอง เมื่อท่านเห็นทุกข์ได้แล้ว ท่านย่อมเห็นเหตุและดับที่เหตุแห่งทุกข์ได้ เมื่อนั้นท่านย่อมหลุดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นในที่สุด นั่นเองครับ สาธุ

    อย่างเช่นองค์ุลีมารเป็นต้นครับ ที่เกิดดวงตาเห็นความจริงในทุกข์ที่ตนได้รับ เห็นเหตุแห่งทุกข์ที่ตนก่อไว้ และด้วยมีสติปัญญาเชื่อถือในคำสอนแห่งพระพุทธองค์ จึงเดินตามทางอริยะมรรค ดับเหตุแห่งทุกข์ได้สำเร็จ จึงเป็นผู้เกิดใหม่ด้วยธรรม สมดังพระนามเดิมของท่านว่า พระอหิงสกะองคุลีมารจอมอรหันต์ท่านจึงเป็นพระอรหันต์ผู้หลุดพ้นทุกข์ในที่สุดนั่นเองครับ สาธุ ที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2015
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ถ้าจิตยังไม่คุ้นเคยกับความว่างหรือนิพพาน

    ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดการปรุงแต่งนานาชนิดปรากฏในจิตให้รู้ให้เห็นเสมอ

    เมื่อคืนการภาวนาเกิดลำดับขั้นในสมาธิที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังว่า

    จากการเริ่มภาวนา บูชาพระรัตนตรัยแล้วก็กำหนดลมหายใจ นั่งขัดสมาธิ ตามปกติ เมื่อผ่านไปตามลำดับ
    1 วิตกวิจารณ์ดับไป
    2 ปิติเกิดตามมาและไม่นานก็ดับไปไม่เกิดอีก
    3 สุขเกิด ก็ดับลงไม่รู้สึกว่าสุขเกิดอีก
    4 ทุกข์ เวทนาทางกายเกิด เกิดไม่นานก็ดับไป ไม่เกิดอีก ไม่รับรู้ทางกายตัดขาดจากกายคือรูป เหลือแต่นามอยู่ภายใน
    5 เอกคตาจิต เกิดแล้ว ว่างเปล่า ไม่มีอะไร แค่ว่างในความืดว่างอยู่ภายในที่ปิดอายตนะหมดแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง สักแต่ว่ารู้ว่าว่าง ก็คือว่างเปล่าในความมืด

    ไม่ได้ข่มไม่ได้บังคับให้ว่าง มันว่างของมันเอง ก็มันไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง สติเราตามรู้อยู่ตลอด เป็นความว่างที่มีสติรู้ สติที่ระลึกรู้ในความว่าง มันเบาๆสบายๆไม่ตึงไม่หย่อน มันสบายๆพอดีๆตามกำลังของสติที่รู้สึกอยู่ภายใน

    เมื่อว่างเช่นนี้ไป นานเท่าไหร่ไม่ทราบก็นานพอประมาณ จึงเกิดปรากฏนิมิตเป็นแสงสว่างใหญ่ สองดวง เกิดสว่างอยู่ภายใน นานประมาณ10วินาที ก็ดับลงเข้าสู่ความว่างเหมือนเดิม เมื่อนั้นสติปัญญาจึงเกิดทันทีตามความจริงว่า

    แท้จริงแล้ว แม้ในสภาวะทีกาย เวทนา สัญญา ดับลงแล้ว แต่ภายในจิต แท้จริงแล้วยังมี เจตสิก คือกริยาของจิตที่มันเคยเป็นเคยสั่งสมมันเป็นแบบนี้ มันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วปรุงแต่งจิต นั่นคือ กสินของเดิมที่เคยฝึกคือแสงสว่างจากพระอาทิตย์ ที่เคยฝึกกสินทำมา ปกติเป็นคนที่ชอบมองดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์มาก ยิ่งเป็นดวงไฟชอบมาก นี่คือความเข้าไปรู้อนุสัยเดิม แม้กสินที่เคยฝึกและติดตัวมา มันจะเป็นของเรา แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราควรสนใจหรือยึดมั่น เมื่อดวงไฟที่ปรากฏเป็นนิมิตดับลง นั่นคืออะไร นั่นคือความไม่เที่ยงที่ปรุงแต่งจิต เมื่อใดที่เกิดการปรุงแต่ง จิต จิตย่อมรับเอา เมื่อรับเอาเข้ามา นั่นคือ ความไม่เที่ยง หากเรายึดติด และใช้อำนาจของกสิน ไปแสดงอภิญญา ทำโน่นทำนี่เหมือนที่เคยฝึกมา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องถูกทาง มันจะปรุงแต่งสืบต่อเนื่องไปไม่จบสิ้น คือจิตต้องเหนื่อยมากขึ้น กับการไหลไปกับสิ่งเหล่านี้

    เมื่อแสงสว่างมันดับลง นั่นคือความการปรุงแต่งที่ดับลง จิตคืนสู่สภาวะเดิมคือว่างเปล่าเช่นเดิม สภาวะที่ว่างเปล่าสงบลงนี่เองคือสภาวะที่ควรทำให้เกิด เมื่อเกิดแล้วควรรักษาไว้ให้เป็นเช่นนี้ยาวนาน เป็นสภาพที่ไม่มีการรบกวนจากสิ่งใดๆเลย เป็นสภาวะที่ควรเจริญให้มากๆนั่นเอง

    เมื่อก่อนเรามักจะอยากได้นั่นได้นี่จากการฝึกสมาธิภาวนา แต่ในความเป็นจริงตามสัมมาสมาธิ ย่อมหมายถึงจำเพาะให้จิตอยู่อุเบกขาว่างจากสุขและทุกข์ และอารมณ์ปรุงแต่งทั้งปวง เป็นสมาธิในฌาณ4ที่ปฏิรูปใหม่ ให้เกิดเป็นญาณทัสนะเข้าไปรู้อารมณ์แห่งพระนิพพาน

    ดังนั้นทุกท่านที่ปฏิบัติเจริญจิตภาวนา การฝึกสมาธิภาวนา จึงต้องรวมสติปัญญาลงที่จุดเดียวคือว่างเปล่า ไม่รับเอา สักแต่ว่ารู้เกิดดับ ไม่รับเอามา สิ่งปรุงแต่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมัน มาปรุงแต่งต่อเติม ใดๆอีก ไม่เอาจิตเข้าไปปั้นแต่งปั้นเสริมให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อไม่รับเอาอะไรเข้ามา การปรุงแต่งทั้งปวงมันก็ดับลงไปเอง การเกิดดับมันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว เมื่อเราทำได้ชำนาญ การเกิดดับมันก็ไร้ค่าสำหรับเราจึงเสมือนไม่มีการเกิดดับ มีแต่จิตที่มีสติตื่นรู้เป็นปกติว่างอยู่ภายในนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2015
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การเจริญภาวนา นักภาวนา ย่อมไม่กังวลในเรื่องของภาระอื่นใดภายนอกทั้งหมด

    เราไม่เคยรู้สึกว่าเรามีภาระอย่างอื่นที่ต้องทำจนทำให้เราต้องทอดทิ้งการภาวนา

    เรากลับรู้สึกว่า ในเวลาปกติที่เราทำงานเราไม่ได้ภาวนาในแบบที่ควรจะต้องทำได้มากนัก เราทำได้เพียงกำหนดสติตื่นรู้ อันเป็นไปตามโลกียะชน แค่แยกผิดถูกดีชั่ว เกิดการกระทบ แม้จะปล่อยวางแต่ก็ต้องทำหน้าที่ทางโลก

    เมื่อเราสวดมนต์และภาวนา เราเข้าใจว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ในวันหนึ่งๆเราต้องทำสิ่งนี้ เพราะเราเห็นประโยชน์ที่แท้จริงของการภาวนา คือปัญญาที่ได้

    เพราะเราไม่ใช่นักบวช เราจึงต้องทำงานประกอบอาชีพทางโลกให้ดีที่สุดตามหน้าที่
    เพราะเราไม่ใช่นักบวช เราไม่สามารถไปขอให้ผู้อื่นทำทานแก่เราได้ และก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราจะต้องเลี้ยงตนด้วยตน
    มีเพียงสิ่งหนึ่งที่เราพยายามสร้างให้เหมือนนักบวชคือการปฏิบัติทางจิต คือการประพฤติพรหมจรรย์ชำระให้ขาวยิ่งขึ้นเท่านั้น

    ที่สุดแล้ว แม้เราภาวนา เราก็ไม่เคยสนใจว่าจะสั้นหรือยาว หากแต่เราสนใจว่า เราได้ชำระจิตของเราได้มากน้อยแค่ไหน เราได้สติปัญญาอะไรเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เรารอบรู้ในสรรพวิชาต่างๆเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ความดีและความไม่ดีของเรามันพัตนาไปสู่ความดีที่ยิ่งกว่ายิ่งขึ้นไปหรือไม่

    นี่คือเหตุแห่งการภาวนาของเราครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2015
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การพัตนาทางจิต จะเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่ เกิดการโยนิโสมนสิการ คือน้อมนำมาพิจารณาอยู่เนื่องๆ การพิจารณาอย่างไรจึงถือว่าถูกทาง

    คือการอาศัยความมีสติ เป็นบาทฐาน ระลึกรู้สิ่งต่างๆ ไม่ส่ายเอนไปสู่สิ่งอื่น จิตมีสมาธิในสิ่งเหล่านั้น แล้วให้น้อมพิจารณา สิ่งเหล่านั้นด้วยสภาพแห่งความจริงที่ปรากฏ ไม่ใช้นึกปรุงแต่ง ขอย้ำไม่ใช่การนึกปรุงแต่ง แต่หมายถึงการพิจารณาตามสภาพความจริงที่เกิดที่ปรากฏของสิ่งเหล่านั้น เมื่อเราพิจารณาสภาพความจริงของสิ่งเหล่านั้น เราย่อมเห็นความจริง เมื่อนั้นเราย่อมมีปัญญาเข้าใจความจริงของสิ่งเหล่านั้น เมื่อนั้นเราย่อมเกิดปัญญารู้แจ้งใน เหตุแห่งความจริง ในผลจริงที่เกิด เมื่อนั้นการดับก็ทำได้ การชำระก็ทำเป็นคือเราย่อมเข้าไปดับที่เหตุชำระที่เหตุ ผลที่เกิดตามมาจึงดับลงด้วยนั่นเอง

    ดังนั้น สติปัญญาในธรรมทั้งหลาย อาศัยสภาพความจริงเท่านั้น เราน้อมเอาปัญหา เอาทุกข์ที่เกิดดับเข้ามาพิจารณา หากทำถูกต้องเราย่อมได้ปัญญาที่ตรงต่อมรรคผลนิพพาน นี่คือความเข้าถึง พุทธะ คือ รู้แจ้ง ท่านต้องฝึกสติปัญญาแบบนี้ ทุกสิ่งที่เกิดกระทบจิต มีสาระสำคัญให้เรา เรียนรู้ รู้แจ้งชำระมันเสมอ

    ดังนั้น การโยนิโสมนสิการ จึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้มีให้เกิดกับกายใจของทุกท่านครับ สาธุ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326

    16 ธค พศ 2558 วันแห่งการ นิพพานธาตุ คือการถวายพระเพลิงเพื่อประชุมเพลิง พระสรีระของท่านสมเด็จพระสังฆราช บรมครู

    กระผมและสหายธรรมทั้งหลายขอน้อมระลึกถึง ความดีงาม และคุณประโยชน์ ที่ ท่านสมเด็จพระสังฆราชา สมเด็จพระญาณสังวรสกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่19 ของไทยเรา

    ท่านเป็นแบบอย่างของพระอริยะสงฆ์ทั้งด้านการปกครองคณะสงฆ์ และแบบอย่างแห่งการปฏิบัติพระองค์ เจริญรอยตามพระศาสดา อยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน

    ท่านเป็นพระสังฆราชา ผู้มีจิตใจสูง พระองค์ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่วงการพุทธศาสนา ทั้งไทยและนานาประเทศ พระองค์ได้ทรงวางรากฐานไว้ต่างๆมากมายเพื่อคนรุ่นต่อไป พระองค์เป็นพระสงฆ์ที่เป็นแบบอย่างแห่งความสมถะมักน้อยอยู่โดยสันโดษและเรียบง่าย พระองค์ทรงวางตนได้ดีงามเหมาะสมเป็นแบบอย่าง และในขณะเดียวกันทรงทำลายสิ้นแล้วในอัตตา และอุปกิเลสทั้งปวง

    โอกาสนี้ กระผมและสหายธรรมทั้งหลาย ขอร่วมรำลึกและสำนึกในคุณงามความดีนานาประการที่ท่านสมเด็จได้สร้างไว้มอบไว้ให้แก่พวกเราแก่พระศาสนาให้สืบทอดเจริญรุ่งเรืองสืบไป

    สุดท้ายนี้ เราทั้งหลายจะตั้งใจปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรม เจริญรอยตามท่านองค์สมเด็จพระสังฆราช เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาและสังฆบูชาครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอกราบสักการะบูชา พระมหาสังฆราชา สมเด็จพระญาณสังวรสกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระสังฆราช ด้วยสำนึกในพระมหาเมตตา พระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่ง ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยและนานาประเทศครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 298_3.jpg
      298_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      219.6 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2015
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    ไม่ง่ายเลย ที่ในโลกเราจะบังเกิดมีพระอรหันตสาวกผู้เป็นสังฆราชา ที่ทรงเป็นผู้ทำหน้าที่แทนพระศาสดา เผยแผ่พระศาสนา ได้อย่างดีเยี่ยม ในทุกๆด้าน
    เพราะสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นแบบอย่างทุกอย่าง นั่นคือ

    1แบบอย่างด้านปริยัติ รอบรู้แตกฉานในพระธรรมคือพระไตรปิฏกนั่นเอง

    2แบบอย่างด้านการปฏิบัติรอบรู้แตกฉานในการปฏิบัติชำระจิตสู่ความหลุดพ้นทุกข์ ทำลายสิ้นสังโยชน์ อวิชา รู้แจ้งในอาสวักขยญาร ทำความดับในอาสวะกิเลสไม่มีเหลือเชื้อ

    3แบบอย่างแห่งผู้รอบรู้ในปฏิเวธ คือผลที่พระองค์ปฏิบัติมาดีแล้ว แล้วเผนแผ่สั่งสอนแก่ผู้อื่นให้รู้ตาม

    4นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นผู้เจริญอริยะมรรคในทางสัมมาคือทางสายกลางและทางสายเอก ได้ดีงามบริบูรณ์ไม่ตกหล่น

    5พระองค์ทรงเป็นพระสงฆ์สาวกผู้เป็นนักปกครองหมู่พระสงฆ์สาวกทั้งหมดอย่างดีเยี่ยม โดยธรรม

    ุ6พระองค์ทรงเป็นนักเผยแผ่พระศาสนา พระธรรมคำสอนอันสำคัญยิ่งเพื่อชักนำให้เข้าถึงความสุขและหลุดพ้นทุกข์

    7พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งวิถีปฏิบัติผู้เจริญรอยตามพระบาทแห่งพระพุทธองค์โดยแท้ไม่มีบกพร่อง

    8พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งการเป็นผู้ให้อย่างไม่มีพระสงฆ์สาวกผู้ใดยิ่งกว่า

    9พระองค์ทรงเป็นผู้กตัญญุูตารู้ทดแทนคุณเป็นแบบอย่างของเหล่าพระสงฆ์สาวกผู้มีความดีที่ยิ่งกว่า

    10พระองค์ทรงเป็นพระสงฆ์สาวกผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลกอันไม่มีพระสงฆ์สาวกผู้ใดยิ่งกว่า

    ข้าพเจ้ามีดวงตามีจิตปิติเป็นที่สุด จึงกล่าวเช่นนี้และ ขอกล่าวว่า ในกัปป์หนึ่งๆนั้น ที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆนั้น ประกาศพระศาสนา ยากยิ่งนักที่จะบังเกิดมีพระสงฆ์สาวก ผู้ทำหน้าที่แทนพระพุทธองค์ได้ดีบริบูรณ์เช่นนี้

    นี้จึงถือว่า เป็นโอากสสุดท้ายที่เป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิต จงแสดงความเคารพกราบไหว้บูชา ด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวาระนี้ ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2015
  11. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    ผมปรารถนาจะสอบถามท่าน tjs เรื่องอานิสงค์ของการกราบไหว้บูชาสิ่งมงคล,เหรียญหรือรูปหล่อจำลองของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมถึงการน้อมนำสมเด็จท่านมาเป็นสังฆานุสสติเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรม ว่าจะมีอานิสงค์เช่นไรบ้างครับ?

    ส่วนรูปหล่อจำลองที่ผมเพิ่งเช่าบูชามานี้ ในวันนั้นเหมือนมีสิ่งใดดลใจให้ผมลุกขึ้นมาปิดแผ่นทองตรงจีวรขององค์ท่าน ซึ่งอานิสงค์หนึ่งที่ผมรับรู้ได้ทันทีและทุกครั้งเมื่อจ้องมองหรือนึกถึงรูปจำลองนี้ นั้นคือ "ปิติในจิต" สาธุ !
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2015
  12. mvppl

    mvppl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +124
    สวัสดีค่ะคุณก้อง ดิฉันมีคำถามมาสอบถามคุณก้องเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณคะ

    เรื่องเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่ออาทิตย์ก่อน ดิฉันนอนกลางวันไปสักพัก อยู่ดี ๆ รู้สึกตัวและเห็นแขนสองข้างของตัวเองกำลังลอยออกจากตัว คือมันแยกออกจากแขนจริง ๆ แล้วเราก็พยายามเอามือนั้นหยิบผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง แต่่ว่าเห็นตัวเองยังนอนอยู่ ในความรู้สึกตอนนั้นคือเราต้องตื่นมาให้ได้

    และขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่นอกห้อง แต่เราอยู่บ้านคนเดียวนะคะ ตอนนั้นยิ่งทำให้ต้องลุกให้ได้ ดิฉันพยายามอยู่หลายหนสุดท้ายก็ลุกได้ พอออกมาดูรอบบ้านก็ไม่มีใคร สุดท้ายด้วยความง่วงมาก ดิฉันจึงกลับไปนอนใหม่ แต่ก็ไม่มีอาการเช่นที่เล่ามาอีก

    ดิฉันเคยมีอาการคล้าย ๆ กันนี้เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนนั้นจิตใจจดจ่อกับการอ่านหนังสือสอบมาเป็นเดือน มีช่วงหนึ่งรู้สึกเหนื่อยจึงอยากงีบ พอทิ้งตัวลงนอนได้ไม่ถึงห้านาที เห็นตัวเองลอยไปติดเพดานห้อง แล้วร่างกายของเราเองยังนอนอยู่ และดิฉันก็มองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนเหมือนเรามองเห็นด้วยตาปกติ ทุกวันนี้เหตุการณ์นั้นยังติดตาอยู่เลยคะ ตอนนั้นตกใจมากและเข้าใจว่าตัวเองกำลังจะตาย จึงพยายามตะเกียกตะกายตื่นให้ได้ สุดท้ายตื่นได้แต่เหงื่อท่วมตัวเลยคะ

    สองเหตุการณ์ที่เล่ามามันคืออะไรคะ มันเป็นแค่ความฝันรึเปล่าคะ แต่ส่วนตัวคิดว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์เราก็มีสติรับรู้ตลอดนะคะ หรือว่าเรากำลังจะตายตอนนั้นจริง ๆ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==========

    องค์สมเด็จพระสังฆราช คือสังฆานุสติ คือพระอรหันต์ ผู้ใดสักการะบูชา ย่อมมีอานิสงค์มาก เป็นธรรม นำจิตเข้าสู่วิโมกข์ คือสงบระงับจากอกุศลกรรม จิตเกิดปิติในธรรมในบุญบารมีที่แผ่ไพศาล ครับ


    เป็นเรื่องจริงว่าในวันที่16ที่ผ่านมาผมได้ปฏิบัติบูชาถวายแด่ท่าน และได้สวดมนต์ยาวและภาวนา หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจผมก็จะแผ่อุทิศบุญทั่วทั้งสามภพ ซึ่งสิ่งที่แปลกคือ ผมจะมีทิพยจักษุเห็นนรกภูมิที่แผ่บุญไปให้เสมอทุกครั้ง ซึ่งทราบดีว่าเป็นนรกภูมิขุมที่อยู่ส่วนบนไม่ลึกมากซึ่งจะสามารถแผ่บุญไปถึงด้วยอำนาจสมาธิ โดยปกติจะเห็นไฟโลกันตนรกสว่างจ้าแผดเผาอยู่ในนรก ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมาจะเห็นสัตวนรกทุกข์ทรมาน และการแผ่อุทิศบุญจากภาวนา ทาน ศีล ที่ผมสั่งสมและแผ่ให้นั้น จะมีส่วนให้ไฟนรกดับวูบลงครึ่งหนึ่ง ในเวลาอันไม่นาน ท่านนิริยบาลและสัตว์นรกอนุโมทนาบุญคือแสงสว่างอันเป็นทิพย์ที่ผมแผ่อุทิศให้ นี่คือสภาวะปกติที่ทำทุกคืน

    แต่สิ่งที่แปลกไปไม่าเหมือนเดิมคือในคืนวันที่16นั้น เมื่อผมได้แผ่อุทิศบุญไปยังนรกภูมิ ปรากฏว่าคืนนี้ในรกภูมิกลับไม่มีไฟโลกกันต์แผดเผาแต่กลับเป็นเหมือนคืนเดือนเพ็ญคือสว่างนวลๆพอมองเห็นสัตว์นรกซึ่งสงบนิ่งเหมือนหลับไหล ส่วนบุญกุศลที่ผมได้แผ่ไปก็มีแสงสว่างเป็นวงแต่ไม่กว้างมาก สัตว์นรกอนุโมทนาบุญอีกครั้ง ในขณะนั้นก็ปรากฏรู้ขึ้นมาทันทีว่า นี่เกิดปรากฏการที่พลังบุญบารมีของสมเด็จพระสังฆราช และบุญกุศลที่พวกเราได้ร่วมกันทำในช่วงโอกาสสำคัญนี้มีผลต่อสรรพสัตว์ในนรกให้ระงับจากเวทนาในนรกภูมิได้ชั่วขณะหนึ่งซึ่งมีอานุภาพมาก ผมจึงได้ถามท่านนายนิริยะบาลท่านหนึ่ง ท่านตอบผมว่า เป็นจริงอย่างท่านผมรู้เข้าใจ ในวัที่16นี้มีกระแสบุญสว่างไสวมากแผ่ลงมายังนรกภูมิกึ่งหนึ่งส่วนบนได้รับทั่วทั้งหมด ทำให้นรกภูมิที่ได้รับกระแสบุญจึงหลุดพ้นทุกข์เวนาในนรกชั่วระยะเวลาหนึ่งคือ1วัน ส่วนนรกชั้นล่างที่เป็นกรรมหนักตรงนี้กระแสบุญแผ่ลงไปไม่ถึง ก็ต้องรับกรรมของตนต่อไปไม่มีละเว้นครับ

    ความจริงตอนแรกผมจะไม่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังแต่ เห็นว่ามีประโยชน์และเห็นว่ามีท่านสนใจจึงขอนำมาเล่าให้ฟัง

    ผมจึงกล่าวได้ว่า ท่านสมเด็จพระสังฆราช ท่านมีบุญบารมีมาก ท่านสั่งสมไว้มาก ท่านรับภาระมาแล้วและท่านก็ได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ดีเยี่ยมหาผู้ใดเสมอเหมือนครับ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระอรหันต์ส่วนใหญ่ นอกจากปฏิบัติตนเพื่อหลุดพ้นทุกข์แล้ว

    ท่านยังมีหน้าที่สำคัญหลากหลายประการ ไม่ใช่แค่พาตนพ้นทุกข์ได้แล้ว แต่ท่านยังต้องคำ้จุนโลก เพราะท่านคือเนื้อนาบุญของโลก

    นอกจากนี้พระอรหันต์ยังมีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้พระโพธิสัตว์และปุถุชน เรียนรู้รอบรู้ในศีลธรรม ในหลักปฏิบัติ

    พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อม ต้องกราบไหว้ และเรียนรู้อริยะสัจ เรียนรู้อริยะมรรค เรียนรู้พระธรรมอันเป็นปัญญาหลุดพ้นทุกข์ได้จากพระอรหันต์

    ดังนั้นแท้จริงแล้ว สรรพสิ่งย่อมเกื้อหนุนกันเสมอ ความดีงามของพระอรหันต์ จึงเป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ สมดั่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสรรเสริญและยกย่อง ว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก อันถือว่าเป็นสรณะสูงสุดอย่างหนึ่งในพระรัตนตรัยนั่นเองครับ สาธุ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    เป็นอาการที่เกิดจากสภาพกายที่อ่อนล้า ทำให้จิต เคลื่อนออกแยกออกจากกายชั่วขณะแต่เป็นการแยกออกมาอย่างไม่สนิท ครับ ผมก็เคยเป็นครับและเป็นหลายครั้ง ไม่ใช่ความฝันครับ เป็นอาการทางกายที่ส่งผลทางจิต ทำให้จิตแยกออกจากกายแบบไม่ขาดสนิท แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้สภาวะจริงในขณะนั้นครับ

    สาเหตุที่จิตแยกออกจากกายชั่วขณะมีหลายปัจจัยร่วม จึงจะเกิดได้ครับ คือสภาวะทางกาย กำลังสมาธิ และกำลังจิตเอง ต้องมีส่วนหนุนกันครับ เป็นสภาพที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดหรือตั้งใจให้เกิด ซึ่งไม่ได้เกิดได้ง่ายๆครับ
     
  16. mvppl

    mvppl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +124
    ขอถามเพิ่มอีกนิดนะคะ เรื่องการนั่งสมาธิที่คุณก้องกล่าวไว้ก่อนหน้านี้

    จากการเริ่มภาวนา บูชาพระรัตนตรัยแล้วก็กำหนดลมหายใจ นั่งขัดสมาธิ ตามปกติ เมื่อผ่านไปตามลำดับ
    1 วิตกวิจารณ์ดับไป
    2 ปิติเกิดตามมาและไม่นานก็ดับไปไม่เกิดอีก
    3 สุขเกิด ก็ดับลงไม่รู้สึกว่าสุขเกิดอีก
    4 ทุกข์ เวทนาทางกายเกิด เกิดไม่นานก็ดับไป ไม่เกิดอีก ไม่รับรู้ทางกายตัดขาดจากกายคือรูป เหลือแต่นามอยู่ภายใน
    5 เอกคตาจิต เกิดแล้ว ว่างเปล่า ไม่มีอะไร แค่ว่างในความืดว่างอยู่ภายในที่ปิดอายตนะหมดแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง สักแต่ว่ารู้ว่าว่าง ก็คือว่างเปล่าในความมืด

    1. เมื่อนั่งสมาธิจนถึงข้อ 4 แล้วมันเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหว เราควรจะทำอย่างไรดีคะ
    2. อันนี้อยากทราบไว้ประดับความรู้ค่ะ คือข้อห้า เอกคตาจิต ถ้ากรณีที่คนเคยทำได้ถึงข้อนี้ครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นพรหมรึเปล่าคะ หรือว่าต้องตายในขณะที่กำลังเกิดเอกคตาจิตถึงจะได้เป็นพรหม

    ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======

    เป็นคำถามที่ดีครับ ผู้ที่ติดอยู่หรือสงสัย ควรทำความเข้าใจว่า
    1. เมื่อนั่งสมาธิจนถึงข้อ 4 แล้วมันเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหว เราควรจะทำอย่างไรดีคะ คำตอบคือ หากมันเจ็บปวดมาก เราก็ไม่ควรทนต่อไป สำหรับท่านที่กำลังกายกำลังใจยังไม่แข็งแกร่งหรือมีกำลังมากพอ ให้แก้ไขด้วยการเปลี่ยนไปนั่งสมาธิในท่าอื่นแทนได้ครับ เราถอนสมาธิแล้วขยับกายใหม่ แล้วเข้าสมาธิใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาที่ไม่นานสมาธิก็จะตรงเข้าจุดเดิมได้ไม่ยากเพราะอำนาจของสมาธิยังแผ่ควบคุมกายใจอยู่ต่อเนื่องแต่อ่อนลงเท่านั้นเอง

    เรื่องเวทนาทางกาย เป็นธรรมดา เมื่อใดที่ท่านนั่งบ่อยๆทำบ่อยๆ ร่างกายจะปรับตัวจะทำได้ในที่สุด ประกอบกับในเวลานั้นมีกำลังจิตแก่กล้ามากขึ้น สามารถดึงเอากำลังสมาธิจิตตัดเวทนาได้เองในที่สุด คือต้องอาศัยการฝึกฝนจนชำนาญครับ เมื่อนั้น เราจะตัดเวทนาได้ง่ายด้วยกำลังของสมาธินั่นเองครับ ส่วนท่านที่ยังไม่ชำนาญก็ต้องทำมากๆครับ พอกายใจมีกำลังแล้ว มันก็เป็นของง่ายครับ สิ่งสำคัญการนั่งภาวนาต้องประมาณกำลังของตนเองด้วยอย่าเกินกำลัง ไม่ว่าเราไปฝึกที่ไหนต้องรู้กำลังของตนเองไหวแค่ไหน อย่าตึงเกินไปอาจจะเกิดอันตรายหรือผลเสียได้ครับ


    2. อันนี้อยากทราบไว้ประดับความรู้ค่ะ คือข้อห้า เอกคตาจิต ถ้ากรณีที่คนเคยทำได้ถึงข้อนี้ครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นพรหมรึเปล่าคะ หรือว่าต้องตายในขณะที่กำลังเกิดเอกคตาจิตถึงจะได้เป็นพรหม
    คำตอบคือ ต้องเกิดเอกคตาจิตในขณะดับจิตหรือตายเท่านั้นครับ แต่ท่านที่ฝึกมาดี เมื่อใกล้ตายย่อมมีสติสมบูรณ์ย่อมรวบรวมกำลังจิตดึงเข้าสู่เอกคตาจิตได้ไม่ยากในช่วงเวลานั้น เมื่อจิตขณะดับจิตเกิดวิสัญญีภาพ อาศัยปัจจุบันจิตเวลานั้นเป็นเครื่องหนุนส่งจิต สู่การเปลี่ยนอัตภาพใหม่ หากจิตขณะนั้นมีสภาพแห่งความว่างในสมาธิฌาณและอรูปฌาณ เกิดเอกคตาจิต ย่อมไปเกิดใหม่ในสภาพที่ว่างเช่นกัน แต่ว่างดังกล่าวเป็นสภาพว่างที่เป็นพรหม ก็มี อรูปพรหมก็มี ขึ้นอยู่กับว่าพื้นฐานได้สมาธิแบบไหนมีอะไรเป็นเครื่องปรุงจิตไว้เบื้องต้น เป็นต้น ครับ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การนั่งภาวนา เราจะพบความจริงว่า

    เมื่อเรานั่งในท่าเดิมๆนานๆ ย่อมเป็นธรรมดา ที่เวทนาจะต้องเกิด และต่อให้เราชำนาญแค่ไหน มีชั่วโมงบินมากแค่ไหน เวทนาทางกาย ย่อมเกิดดับเกิดดับ เราไม่สามารถควบคุมมันได้ตลอด แต่การเกิดของเวทนาจะมากน้อยถี่บ่อยแค่ไหน ย่อมแล้วแต่เหตุปัจจัยตามสภาวะทางกายของแต่ละบุคคลที่ต่างกัน

    นั่งภาวนาย่อมมีปัญญารู้แจ้ง แล้วด้วยความชำนิชำนาญย่อมอาศัยกำลังจากสมาธิที่จิตเข้าสู่ฌาณและอรูปฌาณ ด้วยเอกคตาจิต เป็นเครื่องแผ่อำนาจจิตหรือสมาธิ ตัดเวทนาออกได้ ไม่่รับรู้สภาวะทางกาย ดิ่งเข้าสู่นามละเอียดภายในสงบนิ่งว่างเปล่าเป็นปกติอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อเสร็จภาระกิจ เมื่อถอนสมาธิออกมา ย่อมต้องเผชิญกับเวทนาทางกายเป็นปกติเหมือนเดิมนั่นเอง
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ต้องขออนุญาติ ทุกท่านด้วย เนื่องจากผมเห็นว่า บางโพสที่มีการตั้งคำถาม และผมได้ตอบคำถามไปแล้วนั้น ผมเห็นว่ามีประโยชน์ในการนำไปเผยแผ่ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่น จึงได้ยกทั้งคำถามและคำตอบ ไปเผยแผ่ เพื่อให้เข้าใจง่าย และเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นที่ติดขัดสงสัยในหลักธรรม ครับ ถือว่าเป็นการร่วมกันเผยแผ่ธรรมทานนะครับ

    จึงขออนุญาติมา ณ ที่นี้ด้วยครับ สาธุ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การเรียนรู้ มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

    จุดสิ้นสุดของการเรียนรู้ ไม่ใช้เพราะรู้ทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว แต่เพราะความเข้าใจในรู้ และปล่อยวางรู้ ที่ตนรู้แล้วก็ดี ที่ยังไม่รู้แต่ใคร่รู้ก็ดี ปล่อยวางลงหมดสิ้น เมื่อจุดสิ้นสุดของการเรียนรู้ัของการรู้ ย่อมจบลง
    เพราะไม่ว่าเราจะรู้อะไรต่างๆมากมาย แต่ท้ายที่สุดมันก็รวมลงคือ สุข ทุกข์ ว่างเปล่า มันอยู่ที่ว่า เราจะวางกำลังใจเราให้เป็นแบบไหน มีปัญญารู้แจ้งแค่ไหน

    ใกล้จะสิ้นปีเก่า และขึ้นปีใหม่ มันก็เป็นธรรมดาเช่นนี้มาหลายรอบแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างคือ วันเวลาที่ผ่านไป กับลมหายใจที่ยังมีอยู่ เพื่อปัจจุบัน เราได้สั่งสมความรู้สิ่งใด ปัญญาเราก้าวหน้าเจริญขึ้น เราย่อมมองเห็นทุกอย่าง อย่างเข้าใจและว่างเปล่า เป็นสบรมสุข ในแบบที่จิตเราสัมผัสได้ ก็เท่านั้นเอง เมื่อลมหายใจยังมีอยู่ ก็ต้องทำหน้าที่ของตนต่อไป ครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...