พระพุทธเจ้า เป็นผู้สั่งให้พระอานนท์ เป็นผู้ทำน้ำมนต์ แล้วจะเป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 6 พฤษภาคม 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ
    1. บารมีต้น
    2. อุปบารมี
    3. ปรมัตถบารมี


    การเทียบบารมีคำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    การเทียบบารมี บารมีเขาจัดเป็น 3 ชั้น บารมีต้น ท่านเรียก บารมีเฉย ๆ บารมีตอนกลางท่านเรียก อุปบารมี บารมีสูงสุดท่านเรียก ปรมัตถบารมี

    ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะ ทาน กับ ศีล เขาจะทำสะดวกเฉพาะ การให้ทาน กับ การักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล 5 ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่ว่างพอ เวลาไม่มี นี่สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้

    ถ้ามีบารมีเป็น อุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลาง อุปบารมีนี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์นี่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณ ท่านจะบอกว่าไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิวิปัสสนาญาณอาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำ จะเข้มแข็งเฉพาะสมถภาวนา แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะ ท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหว กำลังใจไม่พอ จะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตาม เขาจะไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็นอุปบารมี นะ

    ถ้าเป็น ปรมัตถบารมี เราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่จิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลาย ๆ ชาติ ถ้าจิตหวังพระนิพพานจริง ๆ พวกนี้ก็มีหวัง ที่เรียกว่ามีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี

    ฉะนั้นคนที่จะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีก็ดี อุปบารมีก็ดี ท่านพวกนี้จะต้องผ่านความเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมกันมามาก เพราะว่าบารมีขั้นต้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่เป็นพรหมไม่ได้ เพราะบารมีขั้นต้นนี่จะไม่มีฌานโลกีย์ พรหมนี่จะทำบุญแบบไหนก็ตาม ถ้าไม่มีฌานโลกีย์จะไม่สามารถเป็นพรหมได้ สำหรับอุปบารมีนี่เขาพร้อมในการทรงฌาน แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ก็ไปเป็นพรหมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเวลาจะตายเข้าฌานก็ไปเป็นพรหมได้ เขาพร้อมแล้ว

    บกพร่อง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่แน่นอนนัก ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่แน่นอน เพราะคนที่จะไปนิพพานจริงๆ มันอยู่แค่หัวเลี้ยวหัวต่อ อาศัยความเคยชิน อาศัยการฝึกไปบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง แต่ว่าอารมณ์ชินของอารมณ์ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ไม่ต้องการเกิด มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าการเกิดขึ้นมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเกิดอย่างนี้จะไม่มีกับเราอีกเราจะมีความเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย วันหนึ่งถ้าคิดอย่างนี้สัก 2 นาที คิดทุกวัน อารมณ์นี้มันจะชิน คำว่าชินก็คือฌาน ก็คือชิน

    ในเมื่ออารมณ์คิดจนชินเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่มากนัก เห็นทุกข์วันละ 2-3 นาที นอกจากนั้นก็เผลอเห็นสุข หรือเมื่อมีการงานเข้ามาคั่น เขาไม่ได้นึกถึงตัวทุกข์ก็จะหาว่าเขาเลวไม่ได้ ต่อเมื่อเวลาที่ใกล้จะตายขึ้นมาจริง ๆ มันป่วยนไข้ไม่สบาย การป่วยไข้ไม่สบายมันบังคับจิตให้เห็นว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ว่า คนป่วยไม่มีส่วนไหนของร่างกายเป็นสุข แม้แต่ลมก็มีการขัดข้องอยู่เสมอ ก็เห็นว่าการเกิดมันไม่ดีแบบนี้ ร่างกายก็ป่วยอารมณ์ก็ขัดข้อง อาศัยที่จิตคิดจนชินว่า ร่างกายเกิดเป็นของไม่ดี เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อารมณ์นี้ก็จะเกิด ถ้าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาจริงๆก่อนหน้าจะตาย ถ้าเป็นฆราวาสอารมณ์นี้จะหนักแน่นในวันนั้นแล้วก็ตายวันนั้น มันอาจจะเกิดมาตอนก่อน ๆ มันอาจจะอ่อนไปหน่อย

    ถ้าจิตคิดจริง ๆ ว่าการเกิดเป็นของไม่ดี มันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อีกจิตหนึ่งวางเฉย เข้าขั้น สังขารุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย สังขารุเปกขาญาณนี่ญาติโยมฟังแล้วเข้าใจด้วยนะ สังขารุเปกขาญาณหมายความว่าวางเฉยในร่างกาย ร่างกายคนอื่นไม่สำคัญ สำคัญร่างกายเรา เรามีความรู้สึกว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ดีจริง ๆ เวลานี้เราปวดที่โน่นบ้างเสียดที่นี่บ้าง ขัดที่โน่นบ้าง ยอกที่นี่บ้าง มันมีความหิวโหยบ้าง หมดแรงบ้าง จิตใจเพลียไปบ้าง สรุปแล้วร่างกายทั้งร่างกายไม่มีอะไรดี ถ้าความรู้สึกว่าร่างกายไม่ดีเกิดขึ้นในวันนั้น แล้วความจริงใจก็เกิดขึ้นว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก จิตก็เข้าถึงการวางเฉย ไม่ต้องการอีก มันจะตายก็เชิญตาย เราจะเชิญมันตายหรือไม่เชิญมันตายมันก็ตาย ใช่ไหม ในเมื่อมันจะตาย แต่เราไม่หนักใจในความตาย เราถือว่าถ้ามันตายเมื่อไรเราไปนิพพานเมื่อนั้น แต่ว่าเวลานั้นจะนึกถึงหรือไม่นึกถึงนิพพานก็ไม่สำคัญ ถ้านึกว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก อารมณ์พระอรหันต์มีแค่นี้นะ วันนั้นท่านจะเป็น พระอรหันต์ จิตใจจะวางเฉยในร่างกาย เห็นร่างกายของเราเราก็เฉย ไม่ต้องการมันอีก เห็นร่างกายคนอื่นเราก็เฉย อย่างนี้เขาเรียก สังขารุเปกขาญาณ ถ้าตายเมื่อไรก็ไปนิพพานทันที นี่ว่าถึงพวกปรมัตถบารมีนะ

    ถ้าใช้ศัพท์เป็นวิปัสสนาญาณถามว่าตัวไหนเป็นตัวสูงสุด ก็ต้องตอบว่าสังขารุเปกขาญาณสูงสุด ในวิปัสสนาญาณ 9 เขาไปจบที่ สังขารุเปกขาญาณ แล้วก็สังขารุเปกขาญาณนี่ทำยากหรือง่าย แต่ความจริงถ้าบอกว่ายากก็ยากสำหรับคนมีบารมีไม่ถึง ถ้ามีบารมีเข้มข้นจริง ๆ ก็เป็นของทำไม่ยาก เพราะใช้ปัญญาเข้าใจตามความเป็นจริงเท่านั้น

    (คัดย่อจากคำสอนที่สายลม 10 ธ.ค. 31 ลงธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 95)

    https://de-de.facebook.com/vajiramedhi/posts/10150463778276167
     
  2. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมอยู่ในระดับบารมีต้น ขอบคุณที่มีน้ำใจเอามาให้ดู แม้บารมีน้อยก็ไม่ได้แปลว่าสติปัญญาจะน้อยตามบารมีนี่ท่าน เพราะผมเองก็ภาวนาอยู่ ท่านล่ะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นเพื่อความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมหรือยัง ถ้าท่านบอกว่าผู้อื่นควรเปิดใจ แล้วท่านเปิดในแล้วหรือยัง เห็นตั้งกระทู้ไว้นี่ อีกอย่างผมไม่ต้องการไปนิพพานตอนนี้ ผมปรารถนาพุทธภูมิ
    อ้อ พุทธศาสนาว่าด้วยเหตุและผลเป็นหลักนะครับ ไม่ใช่เอาบารมีเป็นหลัก ถ้าท่านจะไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผู้ใดเพราะท่านคิดว่าบารมีของคนผู้นั้นยังด้อยล่ะก็ ท่านพลาดอย่างแรง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คุณจะอย่างไรผมก็ไม่ได้ไปรู้หรอกนะครับ ใครจะเปิดใจ หรือ ใครจะไม่รับฟังความคิดเห็น ไม่รับฟังคำเทศน์สอนครูบาอาจารย์ ก็แล้วแต่กรรมของผู้นั้น

    ผมให้เห็นว่า แต่ละคนที่่จะเข้าหาพุทธศาสนา นั้น ก็ต้องอาศัยเครื่องจูงใจ

    ไม่ใช่ว่าไปตัดทางผู้อื่น ไปต่อต้านน้ำมนต์ พระเครื่อง ครูบาอาจารย์แต่สมัยโบราณมา มี กุศโลบาย ในการนำให้ผู้คน สงเคราะห์ให้หันมานับถือพุทธศาสนา การสร้างบารมีแต่ละบุคคลย่อมไม่เท่ากัน

    ส่วนใครจะพลาด ก็ต้องไปพิจารณาดูตัวเอง

    เพราะการที่จะเข้าขอบเขตศาสนาพุทธได้นั้น มันเป็นเรื่องของ บุญ บารมี

    บุญบารมีที่ได้สร้าง สะสมมานั้นเอง
     
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    คำสอนของครูบาอาจารย์ 555

    พระพุทธเจ้าเป็นครูใหญ่ที่ใหญ่กว่าครูของท่านครับ บารมีใหญ่กว่าครูบาอาจารย์ของท่านไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะท่านเป็นคนบัญญัติพระธรรมวินัย เป็นสรณะที่พึงยึดเหนี่ยวอันประเสริฐ นอกจากพระพุทธองค์ พระอาจารย์ของผมเองท่านก็ไม่เอาวัตถุมงคลเหมือนกัน ดังนั้นผมเชื่อครูผมอยู่แล้ว

    ตัดทางที่เห็นว่าไม่ตรง ชักพาคนอื่นสู่ทางที่ตรงกว่า มันแย่กว่าการที่พาคนออกนอกเส้นทางแล้ววนกลับมาที่เดิมโดยไม่ได้ก้าวหน้าเลยตรงไหน แล้วที่ร้ายกว่านั้น บางพวกพอจะดึงให้เข้ามาในเส้นทางสายศาสนาก็ไม่เข้ามาอีก ไปแยกทางเดินไปสายดิรัจฉานวิชาเลยก็มี การเดินตามมรรค8 มีข้อไหนหรือเปล่าที่ว่าให้ยึดถือเอาวัตถุมงคล อีกอย่าง เดินทางตามพระพุทธเจ้า ของยิ่งน้อยยิ่งดี ของยิ่งมากยิ่งไม่ไปไหน เหมือนที่ท่านเดินตัวเปล่ามันสบายกว่าที่ต้องลากกระสอบไปด้วยนั่นแหละ เอางี้ละกัน ถ้าท่านมีธรรมบารมีเหนือกว่าผมก็ลองเล็งญาณดู ว่าพระที่ ใช้อวิชชาต่าง ๆ ทำวุัตถุมงคลตาง ๆ ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรในนรกครับ ถ้าเล็งไม่เป็น ก็ให้พระอาจารย์ของท่านที่ไม่เอาวัตถุมงคลเล็งให้ ผมเชื่อครูบาอาจารย์ผม ท่านเชื่อครูบาอาจารย์ท่าน ถ้าจะเอาแบบว่าจะเชื่อผู้ที่มีบารมีใหญ่ที่สุด ยังไงก็ไม่มีใครบารมีใหญ่เท่าพระพุทธองค์อยู่ดี ซึ่งท่านก็สอนเอาไว้แล้วว่าให้ออกห่างจากอวิชชา ดิรัจฉานวิชาทั้งหลายก็เป็นอวิชชาแขนงหนึ่ง

    จะเลือกทางนั้นก็ส่วนท่าน
    ผมจะเลือกทางนี้ก็ส่วนผม

    บุญไม่สำคัญเท่าการหลุดพ้น บุญมากพาให้มีความสุขความเจริญ แต่ถ้าติดความสุขความเจริญ จิตก็ไม่อยากหลุดพ้น ศาสนาพุทธไม่ได้แข่งกันที่บุญมากบุญน้อย แต่แข่งกันที่ใครหลุดพ้นมากกว่ากัน อย่าถามว่าทำไมผมไม่ทำให้ตัวเองหลุดพ้นเสียเล่า ผมขี้เกียจตอบอีกครั้งว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ การหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ยังไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผม แต่ถึงจะยังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้วแต่ผมก็หลุดพ้นจากการยึดเหนี่ยววัตถุทั้งที่เป็นมงคลและไม่มงคลซึ่งเป็นดิรัจฉานวิชาแล้ว ท่านพอใจที่จะไม่หลุดพ้นก็ตามสบาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  5. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    มาดูสูตรว่าด้วยดิรัจฉานวิชาของพระภิกษุกัน

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการทำเดรัจฉานวิชา
    มหาราช ! อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์
    บางพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้น
    ยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ
    ทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนายลางดีลางร้าย ทำนายฝัน
    ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่น
    เวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธี
    ซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน��้ำมันบูชา
    ไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดู
    อวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก
    เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู
    เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด
    เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ
    เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะ
    แก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะ
    ศัสตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู
    ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทาย
    ลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทาย
    ลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะ
    กระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะ
    แพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนก
    กระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า
    ทายลักษณะมฤค.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่งเมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า
    พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจัก
    ยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอก
    จักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายใน
    จักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจัก
    มีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย
    พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำนายว่าจัก
    มีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์
    ดวงอาทิตย์จักโคจรถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักโคจรผิด
    ทาง ดาวนักษัตรจักโคจรถูกทาง ดาวนักษัตรจักโคจรผิดทาง
    จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง
    ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตร จักขึ้น จักตก จักมัวหมอง
    จักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราส
    จักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวง
    จันทร์ดวงอาทิตย์โคจรถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์
    เป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตร
    ขึ้น ตก มัวหมอง กระจ่าง จักมีผลเป็นอย่างนี้.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็
    เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำนายว่า
    จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีอาหารหาได้ง่าย จักมีอาหาร
    หาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความ
    สำราญหาโรคมิได้ หรือคำนวณฤกษ์ยาม คำนวณดวงชะตา
    จับยาม แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาห
    มงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง
    ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย
    ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง
    ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรง
    กระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวง
    พระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธี
    เชิญขวัญ.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน
    ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน
    ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธี
    ปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์
    ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาแก้ลมตีขึ้น
    เบื้องบน ปรุงยาแก้ลมตีลงเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ
    หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทาให้กัด
    ปรุงยาทาให้สมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา
    ชะแผล.
    ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว แม้นี้ก็เป็น
    ศีลของเธอประการหนึ่ง.

    มหาราช ! ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่
    ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย เพราะสีลสังวรนั้นเปรียบเหมือน
    กษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่
    ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น.
    มหาราช ! ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้
    แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะสีลสังวรนั้น ภิกษุ
    สมบรูณ์ด้วยอริยสีลขันธ์นี้ ย่อมไม่ได้เสวยสุข อันปราศจากโทษ
    ในภายใน.
    มหาราช ! ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า
    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.

    -บาลี สามัญผลสูตร สี. ที. ๙/๘๙-๙๒/๑๑๔-๑๒๑.
    _______
    มุรธาภิเษก= นํ้ารดพระเศียรในงานราชาภิเษกหรือพระราชพิธีอื่นๆ

    เครดิต : พุทธโอษฐ์ หรือ พุทธวจน คำพูดคำสอนโดยตรงจากพระพุทธเจ้า: ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากกา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    อ่านแล้วพิจารณาดู

    คงจะรู้นะ ว่าหลวงปู่มั่น สายพุทธภูมิมาก่อน

    ถ้าจะว่าเป็น เดรัจฉานวิชา แล้วทำไมพระอริยเจ้า หลวงปู่มั่น สงเคราะห์ ช่วยเหลือญาติโยม ก็คงต้องให้คุณลองไปถามหลวงปู่มั่นก็แล้วกัน


    แล้วลองพิจารณาดูตัวเอง อ้างว่าจะบำเพ็ญสายพุทธภูมิ แต่ช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน

    กรรมใครกรรมมัน


    เห็นมีอยู่สายเดียว สายหาความฉิบหายเข้าตัวเอง สายเพ่งโทษ ไม่รู้จักแยกแยะ ก็เป็นไปตามกฏแห่งกรรม

    ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  7. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    คราวที่แล้วพระสูตรนี้กล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงทำเช่นไร คราวนี้ขอยกพระสูตรที่ว่า ภิกษุควรทำเช่นไรในพระวินัยนี้


    (ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการทำเดรัจฉานวิชา)
    (คัดลอกจาก) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๖๔ – ๖๗ ข้อที่ ๑๑๔ - ๑๒๑ (บาลี ๙/๘๙ – ๙๓/๑๑๔ – ๑๒๑)

    มหาศีล
    [๑๑๔] ๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๕] ๒. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๖] ๓. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๗] ๔. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมอง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๘] ๕. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษา
    หาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์ โลกายศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๙] ๖. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์ หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๒๐] ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตาปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลยเพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

    เครดิต : https://plus.google.com/101137730808121314783/posts/bCbZsA66J5q




    มีหลักฐานชัดแล้วนะ ว่าพระพุทธองค์ทรงห้าม

    ถ้าผู้คนที่ท่านนับถือทำอยู่เป็นประจำ แม้จะไม่รับปัจจัย แต่ มีญาติโยมมาถวายภัตตาหาร ใส่บาตรด้วยความศรัทธาเข้มขลังของวิชาอาคม แทนที่จะใส่บาตรเลี้ยงพระด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านคิดหรือว่ามันไม่ผิด

    ท่านมั่นใจหรือเปล่าล่ะว่าหลังจากที่ท่านตายแล้วท่านจะได้ไปที่ไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา



    ถ้าแค่นี้ยังไม่มีปัญญาภูมิธรรม สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม ^^

    .
     
  9. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    55555 ไปกันใหญ่

    ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา
    แยกอย่างนี้เห็นภาพมั้ย เข้าใจมั้ย

    ประโยคหน้าคือ ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา
    เช่นก็คือยกตัวอย่างเช่น
    อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา
    ก็แปลว่า มีพราหมณ์ที่ชาวบ้านชาวช่องเขามาถวายข้าวใส่บาตรแล้วก็ยังเลี้ยงชีพโดยเดรัฉานวิชาอีก

    เห็นปานนี้ คือ
    ก็แปลว่า ที่ว่าดิรัจฉานวิชามีอะไรบ้าง

    ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตาปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

    แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
    คือเป็นข้อที่ไม่พึงกระทำโดยเด็ดขาดของสาวก

    5555 บารมีธรรมภูมิธรรมของผมแย่จริงเหรอ


    สายพุทธภูมิ ธรรมชาติของพุทธภูมิจะมีความเห็นขัดแย้งกับพระพุทธองค์เป็นธรรมดา เดี๋ยวขัดเดี๋ยวหายครับ ผมก็เป็น ดังนั้น การที่จะทำอะไรขัดจากพุทธโอวาทบ้างมันก็ไม่แปลก ที่ไปของพุทธภูมิส่วนใหญ่ถ้าไม่มีฌาณโลกีย์คุ้มกาย หรือไม่หักพุทธภูมิไปเลย ก็ไม่ค่อยจะไม่ได้ไปดีกับเขาหรอก เพราะมันจะมีบ้างที่ฟึดฟัดฮึดฮัดใส่พระพุทธองค์เป็นธรรมดา ผมทำใจไว้แล้ว

    ในห้องพุทธภูมิของเว็บนี้ก็มีการฮึดฮัดฟึดฟัดใส่พระพุทธองค์กันหลายคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]น้ำมนต์พระพุทธเจ้า (ตอนแรก)[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านพุทธศาสนิกชนทั้ง หลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย วันนี้ก็จะมาคุยกันถึงเรื่อง น้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงร่างกายผมมันก็แย่ วันนี้เป็นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2527 ความจริงหยุดบันทึกเสียงมานาน ร่างกายไม่ดีแล้ว แถมวันนี้มันก็ยังไม่ดี ไม่ดีตลอดมา ก็เลยรำคาญร่างกาย แต่ว่าเสมหะมันก็มาก เป็นไข้ก็เป็น ก็ช่างมัน คอยมานานงานไม่มีผล ร่างกายไม่ดีก็เลยวันนี้แกล้งใช้ให้มันตายไปเสียเลย ในเมื่อมันไม่ดีก็ไม่รู้จะคบมันไว้ทำไม เรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้านี่เป็นอย่างนี้ เพราะเวลานี้ได้ยินข่าวเขาบอกว่ามีพระบางวัด แต่ว่าในวัดนั้นจะเป็นทุกองค์รึเปล่าผมก็ไม่ทราบ เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทไปหา เขาบอกไปงานศพ ออกมาพูด 2 องค์ 3 องค์ ก็โจมตีเรื่องเชื่อน้ำมันน้ำมนต์เป็นต้น ผมว่าพระเราทำอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องศึกษากำลังใจคนเสียก่อน กำลังใจของคนน่ะ อยู่ระดับไหน แล้วก็ น้ำมนต์นี่มันไร้ผลหรือเปล่า ไอ้ที่เขามีผล มันก็มี ที่ทำให้เลอะเทอะไร้ผลก็มี ก็รวมความว่า คนติ น้ำมนต์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความไม่รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ติคน นินทาคน กล่าวร้ายป้ายสีคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่เข้าถึงสะเก็ดความดีของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสั่งสอน เพราะเป็นอุปกิเลส

    ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ที่นี่เลิก นินทาคนเสีย ถ้าเราจะนินทาคนมากเพียงเไร เราก็เลวมากเพียงนั้น ถ้าเราเลิกนินทาคนเราก็เป็นคนดี เพราะคนนินทาคนไม่ใช่คนดี เป็นคนเลว เป็นคนคบกิเลส คือความเศร้าหมองของจิต ก็รวมความว่าอารมณ์จิตชั่วนั่นเอง

    ผม จะนำเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ท่านฟังใน พระธรรมบทภาคที่ 7 ท่านกล่าวว่า เป็น บุพกรรมของพระองค์ ไอ้เรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กัน การทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ แล้วพระอานนท์เป็น พุทธอนุชาด้วย เป็นน้องชายแล้วก็เป็น พุทธอุปัฎฐาก เป็นพระอุปถัมภ์ เหมือนกับเงาตามตัวของ พระพุทธเจ้า ถ้าน้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานทท์ ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่ แต่ทว่าในเรื่องนี้ คาถาทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ บอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์

    วันนี้ผมอาจจะพูดแรงไป นิดหนึ่ง ก็ต้องขออภัย พูดให้พวกเราสู่กันฟังเรื่องของภายใน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฎิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้างว่า คนที่พูดไม่ดูหนือ ดูใต้ประเภทนี้ เขาไปอยู่ขุมไหนกัน

    เนื้อความก็มีอยู่ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุพกรรมของพระองค์เอง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มัตตาสุข ปริจจาคา เป็นต้น เนื้อความก็มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งใน เมืองไพสาลี ซึ่งมีอาณาจักรติดต่อกับเมืองของ กรุงราชคฤห์มหานคร เวลานั้น เมืองไพสาลีเกิดโรคร้ายเกิดขึ้น โรคอันดับแรกก็คือ ความแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แล้วก็เกิดโรค คนก็อด โรคก็มาก ร้อนก็ร้อน ความจริง เมืองไพสาลี กับ เมืองราชคฤห์ นี่อยู่ใกล้กัน เขตนี้ถ้าร้อนก็ร้อนน่าดู อย่างพวกเรา ๆ ผมไปมาแล้วทนเกือบไม่ไหว ก็เป็นอันว่าคนก็เจ็บป่วยตายกันเป็นแถว ๆ

    อันดับแรกโรคก็เกิดก่อน ไอ้ความไข้มีเข้ามา ร่างกายทรุดโทรม อากาศไม่ดี โรคอื่น เข้ามาแทรก หนัก ๆ เข้าอหิวาตกโรคก็มา เมื่ออหิวาตกโรคนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อหินี่ก็แปลว่า งู วาตะนี่ก็แปลว่า ลม ไอ้โรคะก็แปลว่า การเสียดแทง อาการเสียดแทงที่เกิดจากลม ลมนี่มีพิษเหมือนงู เขาว่าอย่างนั้น คือเป็นแล้วมันตายเร็ว จำไว้ด้วยนะ คำว่าอหิวาตกโรคนี่ก็แปลว่า โรคหรืออาการ เสียดแทงที่มาจากลม ลมที่มีพิษเหมือนงู ฉะนั้นคนที่เป็นโรคอหิวาต์ตายเร็ว เหมือนกับถูกพิษงูกัน เวลานั้นการแพทย์ก็ดี แต่ทว่ามันก็ไม่ทัน ถึงวาระที่คนจะตาย ก็ตายกันเกลื่อนกลาด เมื่ออหิวาตกโรคมาตายกันเกลื่อน ฝังก็ไม่ค่อยจะทัน ทิ้งศพหมักหมมกัน โรคอื่นก็เข้ามาแทรก พวกอมนุษย์คือพวกอสุรกายบ้าง พวกเปรตบ้าง พวกอะไรบ้างก็เข้ามายื้อแย่งศพกิน ก็หมักหมมกันมาก คนตายหนัก

    อาการ ตาย เมื่อมากเข้าอย่างนั้นจริง ๆ บรรดาชาวบ้านเขาก็โทษพระราชา ความจริงพระราชานี่ เป็นกระโถนท้องพระโรงจริง ๆ ท่านก็อยู่เฉย ๆ ท่านก็ทำความดีทุกอย่าง แต่ว่าชาวบ้านก็โทษว่า เจ็ดรัชกาลมาแล้ว ไม่เคยมีโรคอย่างนี้เลย แต่มารัชกาลนี้เป็นรัชกาลที่ 8 นี่ หมายความ ความจริงเขาสืบ เขาปกครองราชสมบัติเป็นพระราชามาถึง 7,000 องค์กระมัง มันมากด้วยกันนะ ผมก็ไม่รู้กี่องค์ ขี้เกียจจำ นับว่าเป็นพัน ๆ องค์ ในเมืองนี้เขาไม่มีการปฎิวัติรัฐประาหาร บ้านเมืองก็มีความสุข แต่ว่าคนเขาทราบว่า สมัยตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง 7 ในช่วงหลังนี้ไม่เคยมีโรคร้ายแบบนี้ แต่ว่าพอรัชกาลที่ 8 เข้ามา โรคหนักจริง ๆ เขาก็เลยโทษพระราชาว่าพระราชาไม่ทรงธรรม

    พระราชาท่าน ก็ดีแสนดี จึงประชุมอำมาตย์ข้าราชบริพาร ปุโรหิต คนที่มีความรู้ต่าง ๆ ให้ สอบสวน สืบสวนความประพฤคิของพระองค์ว่า ความประพฤติของพระองค์นี่มันไม่ดีตรงไหนบ้าง บกพร่องตรงไหนบ้าง ขอให้ชี้แจงออกมา ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ทรงยอมรับผิด บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พิจารณากันแล้ว เห็นว่าพระองค์ทรงทำดีทุกอย่าง อยู่ในศีลในธรรมทุกอย่าง แต่พอเวลานั้นโรคเกิด 3 รายการ คือ
    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]1. ภัยเกิดจากอาหาร อาหารนี่หาได้ยาก มันจนแล้วไม่มีอะไรจะกินเหมือนกับปี 2521 ของเรา
    2. ภัยเกิดจากพวกอมุษย์ คือพวกผี พวกเปรต พวกอสุรกาย
    3. แล้วภัยมันเกิดขึ้นจากโรค โรคมันเกิดขึ้นจากอากาศไม่ดี

    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ใน เมื่อทุกคนเห็นว่าพระราชาดี ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า ความผิดของพระองค์ไม่มีพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงได้ปรึกษาว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี เอาอย่างไรกันแน่ โรคจึงจะบรรเทา บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้งหกของเดียรถีย์ก็บอกว่า ถ้าไปนำอาจารย์ทั้ง 6 มา อาจารย์ทั้ง 6 มีฤทธิ์มาก มีบุญญา ธิการมาก โรคอย่างนี้จะหาย

    แต่ ทว่าในเวลานั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ ๆ ก็นั่นหมายความว่า ใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เห็นว่าจะประมาณ 1 ปี เห็นจะไม่ครบปี เป็นเวลาจวนที่จะเข้าพรรษา นั่นหมายความว่าถึงปีที่ 2 บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เข้ามาเป็นปีที่ 2 ก็มีคนที่ทราบข่าวพระพุทธเจ้าว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาที่นี่ โรคภัยไข้เจ็บมันจะหาย ภัยอันตายต่าง ๆ จะหมดไป ในที่ประชุมลงมติเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเห็นด้วย อาจารย์ทั้ง 6 มีมานานแล้ว โรคมันก็มี แต่ว่าสมเด็จพระชินศรี คือพระพุทธเจ้าเราใฝ่ฝันกันมานาน ใคร ๆ ก็พูดถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้าจริง ๆ สักที เวลานี้พบพระพุทธเจ้าจริง

    ขณะ ที่ปรึกษากันอยู่นั้นก็มี เจ้าลิจฉวี องค์หนึ่ง ท่านประทับอยู่ด้วย พระเจ้าลิจฉวี องค์นี้ไปฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ในวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามากรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก แล้วเวลานั้น พระเจ้าพิมพิสาร กับบรรดาพุทธบริษัท เป็นพระโสดาบันกันเป็นแถว ๆ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันด้วย ในเมื่อเขาพูดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้ามีความดีจริง ถ้าพระพุทธเจ้ามาในที่นี้ โรคภัยมันจะหายไป ความจริงโรคร้ายที่เบียดเบียน ร่างกายมันเป็นของธรรมดา มันเป็นโรคมาใหม่ แต่โรคร้ายที่สุดที่ประจำใจ คือความเลวของจิตมันจะหายไปด้วย ทุกคนก็ตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นต้องให้ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้กับลูกชายของปุโรหิตไปนิมนต์พระพุทธเจ้าที่ กรุงราชคฤห์มหานคร

    เมื่อท่านรับอนุมัติก็ทรงไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ไปถวายอีก ทั้งบอกว่ามีความต้องการอยากจะได้พระพุทธเจ้าไปสงเคราะห์ที่ เมืองไพสาลี เพราะเวลานี้คนตายกันมาก ทับถม ฝังก็ไม่ทัน เผาก็ไม่ทัน มันตายกันเป็นเบือ แหม! ไอ้โรคตาย ๆ อย่างนี้นี่ครับ ผมเคยเจอะมาหลายสมัยในชีวิตผม มันน่ากลัวจริง ๆ บางทีคนเขามาเอาโลงที่วัด ไอ้คนเอาโลงจะไปใส่ศพ ไม่ทันจะเอาโลงไป เขามาส่งข่าวตายอีกแล้ว วันหนึ่งตาย 4-5 คน เฉพาะในเขตนั้นทำอย่างนี้ พระในวัดหนาวกันเป็นแถว ๆ นี่แหละครับ อย่าประมาท จะบอกสมัยไหนหมอเก่งนั่นน่ะสมัยนั้นหมอเก่ง ๆ โรคฉะหมอตายเป็นแถว ๆ

    รวมความว่า พระเจ้าพิมพิสาร ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของกระผม ผมเองก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พูดภาษาไทย ๆ นะ พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหรือไม่เสด็จไปเป็นเรื่องของท่านที่จะต้องเข้าไปกราบ ทูลเอง จะเอาเครื่องบรรณาการ เครื่องกำนัลอะไรก็ตาม เครื่องกำนัลเครื่องผู้ใหญ่บ้านมาให้น่ะ ผมรับไม่ได้ ทางที่ดีก็ไปนิมนต์เอง ดังนั้นพระเจ้าลิจฉวี กับลูกชายของปุโรหิตก็ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ (นี่มันยังไม่สบาย ลิ้นมันไม่เป็นเรื่อง ที่มันไม่สบายมากกว่านี้ ก็พูดไปอย่างนั้นนะ มันอยากไม่สบาย พูดให้มันตายไปซะเลย ถ้าตายในธรรมก็ไม่เป็นไร)

    พระพุทธเจ้าทรงทราบ พิจารณาดูตามด้วยอำนาจพุทธญาณก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปที่นั่น ถ้าเราไปที่นั่น นึกในใจนะ ไปถึงแล้วฝนจะตกหนัก จะชะสิ่งโสโครกทั้งหมดให้ไหลลง แม่น้ำคงคา ความสะอาดของพื้นที่จะเกิดขึ้น หนึ่ง โรคจะบางเพราะความสกปรกก็เริ่มหายไป แล้วก็ประการที่ 2 ถ้าเราแสดงพระธรรมเทศนา รัตนสูตร ยานีธ ภูตานิ (ในเจ็ดตำนาน) ผลจะเกิดมหันต์ เป็นมหันต์ให้คนเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ อยู่ในศีลห้า ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จะมีความสุขกัน คือ ไม่เบียดเบียนกันโดย ทางกาย ไม่ฆ่ากันบ้าง ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายร่างกายกันบ้าง ไม่ลักไม่ขโมยกัน ไม่แย่งคนรักกัน ไม่โกหกมดเท็จ ไม่พูดส่อ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด เพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่นินทาชาวบ้าน แล้วก็ ไม่เมาเกินไป อันนี้โลก เมืองไพสาลี จะมีความสุขขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าจะให้หมดไปทีเดียวไม่ได้ เพราะความเลวของคนมันมีอยู่ ดูแต่สมัยนี้เถอะ อย่าว่าแต่คนนุ่งกางเกงเลย คนนุ่งสบงมันยังเลว

    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณ ก็ทรงรับว่าตถาคตจะไป ต่อมาเมื่อ พระเจ้า พิมพิสาร ทรงทราบ ก็เข้าไปกราบทูลถามองคฺสมเด็จพระจอมไตรว่า จะเสด็จไปเมืองไพสาลี หรือ พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไป ตถาคตจะไปสงเคราะห์ แต่ว่าจะไปไม่นาน จะต้องกลับมาเข้าพรรษาที่พระเวฬุวัน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน 10 วันกว่า ๆ จะเข้าพรรษา พระเจ้าพิมพิสาร ได้กลาบทูลว่า ก่อนที่พระองค์เสด็จไป รอข้าพระพุทธเจ้าก่อน ขอให้ปรับพื้นที่ให้ดีเสียก่อน พื้นที่ยังไม่ ราบเรียบ จึงได้ทรงสั่งให้พนักงานปรับพื้นที่ให้เรียบเดินสะดวก ๆ สำหรับพระพุทธเจ้ากับบรรดา พระสงฆ์ 500 รูป ระยะทางสิ้นทางไกล 5 โยชน์ แล้วก็จัดดอกไม้ 5 สี โปรยปรายด้วยทุกทางสูง แค่เข่า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็กราบทูลให้เสด็จพระพุทธดำเนิน

    เวลา นั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ จะเอาร่มเอาฉัตร 2 ชั้นกั้นให้พระพุทธเจ้า ฉัตรชั้นเดียวกั้นให้ พระสงฆ์ 500 รูป คือ 1 รูป 1 องค์ ต่อฉัตร 1 คัน ก็หลังจากนั้นไปถึงแม่น้ำแล้วต้องข้ามฟาก ก็เอาเรือ 2 ลำเข้ามาเทียบกัน ทำเป็นเรือกัญญา ประดับประดาสวยสดงดงาม เวลาที่เรือถอยออกไป สำหรับพระพุทธเจ้าเรือพระพุทธเจ้าเรือต้องใช้มาก 500 องค์ แต่เรือของพระพุทธเจ้านี่ประดับประดาสวยงาม

    พระเจ้าพิมพิสารไปส่ง เรือถึงน้ำแค่คอ เรือถอยออกไป ท่านก็เดินตามเรือไป มือพนมไป ไหว้พระพุทธเจ้าลงทั้งเครื่องทรง ไม่ใช่มีแต่ผ้าขาวม้า น้ำแค่คอ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จกลับเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะคอยพระองค์อยู่ที่นี่จนกว่าจะเสด็จกลับ

    พระ พุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไปทางเรือ ซึ่งระยะทาง 3 โยชน์ แล้วก็จึงขึ้นฝั่ง ที่ฝั่งโน้นก็เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทำอย่างนั้น พระราชาเมืองไพสาลี ก็ลงมารับแค่คอเหมือนกัน น้ำแค่คอเหมือนกัน จัดที่ให้เรียบเป็นระยะทาง 3 โยชน์ ถึงเมืองแล้วก็เอาดอกไม้โปรยปรายเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นจัดหนักของพระพุทธเจ้า ฝั่งนี้จัดฉัตร 2 ชั้น ฝั่งโน้นจัดฉัตร 4 ชั้นรับพระพุทธเจ้า ฝั่งพระเจ้าพิมพิสาร จัดฉัตร 1 ชั้น กั้นให้แก่บรรดาพระสงฆ์ ฉัตรคือร่ม ฉัตรแปลว่าร่ม แต่ฝั่งโน้นเอาร่ม 2 ชั้น ฝั่งนี้เอาร่ม 1 ชั้น ทำให้เกินกัน

    พอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นดิน ฝั่งโน้นของเมืองไพสาลี มหาเมฆใหญ่ตั้งขึ้น ฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตานับเป็นชั่วโมง ๆ นาบางแห่งน้ำท่วมแค่เข่าบ้าง บางแห่งน้ำท่วมแค่อก น้ำก็พัดพาเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ ลงในแม่น้ำคงคา ทำให้บ้านเมืองสะอาดขึ้นมาเยอะ และไอ้สิ่งปฎิกูลพวกซากศพทั้งหลายเหล่านั้น ก็หล่นไหลลงมาในแม่น้ำลำคลองหมด ส่วนเลอะเทอะต่าง ๆ ก็มาตามพื้นดินสะอาด ความ ชุ่มชื่นก็ปรากฎ คนก็เริ่มมีความสบายเพราะฝนไม่ตกนาน

    ครั้น เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จเข้าไปในเขตเมืองไพสาลี เข้าไปในเขตพระราชฐาน แล้วองค์สมเด็จพระทีปแก้วก็ทรงเรียก พระอานนท์ ว่าอานันทะ ดูกร อานนท์ จงมานี่ เธอจงไปเรียน รัตนสูตร รัตนสูตร คือบท ยานีธ ภูตานิ เรียน รัตนสูตร ไป แล้วก็ไปเดินไปบริกรรมรอบ ๆ เขตของ เมืองไพสาลี ทั้ง 4 ทิศ

    พระอานนท์ เรียน รัตนสูตร แล้ว หลังจากนั้นก็เอาบาตรขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เอาบาตรของพระพุทธเจ้าใส่น้ำเห็นไหม เริ่มทำน้ำมนต์ วิธีทำน้ำมนต์ของพระอานนท์ก็คือ

    [/FONT] [FONT=trebuchet ms,sans-serif]1. อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า 30 ทัศ คือบารมีปกติที่เรียกว่าบารมีเฉย ๆ 10 ทัศ อุปบารมี 10 ทัศ ปรมัตถบารมี 10 ทัศ แล้วก็
    2. มหาความดีของพระพุทธเจ้าอีกอันหนึ่ง คือ มหาบริจาค * 5 ประการ แล้วก็
    3. จริยา 3 ประการ คือโลกัตถจริยา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่โลก ญาตัตถจริยา ที่พระ พุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติ พุทธัตจริยา ทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า คือสอนคนให้บรรลุมรรคผล แล้วก็
    4. อาราธนาความดีขององค์สมเด็จพระชินศรี ในการก้าวลงสู่พระครรภ์ในภพที่สุด คือชาติ สุดท้าย แล้วการความดีของการประสูติ ความดีในการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงทำความเพียรถึง 6 ปี ต่อมาความดีของพระองค์ บารมีช่วยให้ขณะที่ ตลอดจนอาราธนาความดีที่แทงตลอด สัพพัญญุตญาณ เหนือโพธิบัลลังก์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ การยังธรรมจักรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธรรมจักร ให้เป็นไปกับปัญจวัคคีย์ฤาษี ทั้ง 5 ให้เป็นไปในโลก
    * มหาบริจาค การสละอย่างใหญ่ของพระโพธิสัตว์ 5 อย่างคือ
    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]1. ธนบริจาค สละทรัพย์สมบัติเป็นทาน
    2. อังคบริจาค สละอวัยวะเป็นทาน
    3. ชีวิตบริจาค สละชีวิตเป็นทาน
    4. บุตรบริจาค สละลูกเป็นทาน
    5. ทารบริจาค สละเมียเป็นทาน
    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]5. แล้วก็อาราธนา โลกุตตรธรรม 9 ประการ คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล พระอรหัตผล แล้วก็นิพพาน อีก 1 เป็น 9

    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]หลัง จากอาราธนาบารมีทั้งหมดเสร็จ พระอานนท์ก็เข้าไปยังเขตของเมืองในพระนคร เที่ยวทำ พระปริต คือสวด ยานีธ ภูตานิ เรื่อยไปในกำแพงทั้ง 3 ด้าน คือเดินกำแพง 3 ด้าน ตลอด 3 ยาม ในราตรีนั้น เดินไปเดินมาก็สวด รัตนสูตร ยานีธ ภูมินิ สมาคตนิ ภุมมานิ วา ยานิว อันตลิกเข ท่านรู้ แต่ท่านบอกว่า เมื่อพระอานนท์ใช้ศัพท์คำว่า ยังกิญจิ เท่านั้นล่ะ เป็นต้น เป็นอันว่าพระเถระกล่าวเท่านั้น น้ำที่สาดท่านก็สาดน้ำไปด้วยน้ำมนต์ อย่าลืมนะ ทำน้ำมนต์น่ะบทนี้นะ เมื่อสาดน้ำขึ้นไปเบื้องบน น้ำขึ้นไปลอยเบื้องบนตกลงมากระหม่อม กระหม่อมของอมนุษย์ทั้งหลายคือเปรต อสุรกาย เป็นต้น พวกนั้นทนไม่ไหว วิ่งกันพล่านไปหมด จำเดิมแต่การกล่าวคาถา ยานีธ ภูตานิ เป็นต้น หยาดน้ำเป็นราวกับว่า เทริดเงิน คือชฎาพุ่งขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาเบื้องบน ตกลงมาบนหัวของบรรดามนุษย์ ทั้งหลายผู้ป่วย บรรดาคนป่วยทั้งหลาย หายโรคทันทีทันใด นั้นเองเห็นไหมล่ะ แล้วก็ลุกขึ้นแวดล้อมพระเถระ

    หนังสือท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านบอกจำเดิมแต่บทว่า ยังกิญจิ เป็นต้น อันพระเถระกล่าวแล้ว บรรดาอมนุษย์คือพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสีทั้งหลาย ถูกเมล็ดน้ำกระทบแล้วทนไม่ไหว รีบวิ่งกันหนีกันพล่านไปก่อน คนที่อาศัยที่กองหยากเยื่อก็ดี ส่วนแห่งฝาเรือนเป็นต้นก็ดี ก็หนี หนีไปแล้วโดยประตู ออกประตูนั้นบ้าง ประตูนี้บ้าง เท่าที่มีประตู ท่านบอกบรรดาประตูทั้งหลายไม่มีช่องว่างเลย พวกนี้มันดันกันหมด เบียดกันออกไป บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไม่ได้โอกาสก็ทำลายกำแพงหนีไป มหาชนประพรมท้องพระโรงในท่ามกลางแห่งพระนคร ด้วยของหอมต่าง ๆ แล้วก็ผูกผ้าเพดานอันวิจิตรนั้นด้วยดาวทอง เป็นต้น ตกแต่งพุทธอาสน์นำเสด็จสมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไป

    แหม! วันนี้ไม่ทันจะถึงไหนเลย นาฬิกากริ๊งซะก่อนแล้ว ไม่พูดอะไรกัน เวลามันหมดแล้ว ก็ขอบอกว่าเรื่องน้ำมนต์ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลถ้าทำถูก.

    https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/-27


    [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์[/FONT]
     
  11. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมแก้ข้อนี้ไปแล้วในหน้า 1 ทำไมไม่อ่านให้ดี ๆ ล่ะ เชื่อว่าท่านอ่านแล้ว แต่ไม่เชื่อ จะตู่ให้ผมด่าพระพุทธองค์ให้ได้
    แต่ผมขอกล่าวหาว่าท่าน ไม่เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  12. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    พึงสังเกตว่าท่านไม่ได้ทำวิชาพวกนี้บ่อย ๆ และท่านก็ปรามสาวกไว้ว่าอย่าพยายามใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เสียด้วย ถ้าท่านอยากให้ทำน้ำมนต์อะไรจริงก็คงไม่มีสูตรนี้หรอกครับ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    มหาศีล
    ติรัจฉานวิชา

    [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า-
    ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
    สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา ๑- เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ๒- ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.


    [๒๐] ๒. ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้าทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ
    @๑. หมายเอาวิชาที่ขวางทางสวรรค์ทางนิพพาน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ธรรมปฏิบัติ.
    @๒. คือสิ่งที่ตกจากเบื้องบน เช่นอสนีบาตเป็นต้น.
    ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทาทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.


    [๒๑] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออกพระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิดพระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัยเพราะเหตุนี้ๆ.


    [๒๒] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราสดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทางดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้องดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้
    ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.


    [๒๓] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่ายจักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์ ๑-


    [๒๔] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอนดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงเป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.


    [๒๕] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.
    จบมหาศีล.
    @๑. ตำราว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับโลกชวนให้ตื่นเต้นอันไม่น่าเชื่อ เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งของเดียรถีย์ ถ้าอาศัยตำรานี้แล้ว
    @ก็ไม่ยังจิตคิดทำบุญให้เกิดขึ้น.


    http://84000.org/tip...?B=9&A=0&Z=1071

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ทีนี้เรามาวิเคราะห์กันชัด ๆ
    1.การพ่นน้ำมนต์ เสกน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชาชัดเจนตามบันทึก ดังนั้นพวกผมจะพูดว่าการเสกน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชาย่อมไม่ผิด
    เพียงแต่พวกผมไม่ได้ปรามาศพระพุทธเจ้า เพราะ ผมรู้ตามบันทึกว่า
    2.พระพุทธองค์สั่งพระอานนท์ให้ทำน้ำมนต์ ก็แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทำเอง แต่เป็นผู้บอกวิธีการทำให้พระอานนท์ แต่การกระทำในครั้งนี้พระพุทธองค์ไม่ได้กระทำการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยดิรัจฉานวิชา ไม่มีการซื้อขายวัตถุมงคล ไม่มีการรับปัจจัย ฯลฯ เหมือนสมัยนี้
    3.พระองค์ไม่ได้ทำวิชานี้บ่อย ๆ และยังปรามสาวกไม่ให้ใช้อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ พร่ำเพรื่อ อีกด้วย ทำไมหรือ ตีความกันเอาเอง ส่วนตัวผมเองตีความว่า พระองค์ไม่อยากให้สาวกมานับถือศาสนาของพระองค์เนื่องจากความศรัทธาในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ มากไปกว่าที่ จะหันมานับถือศาสนาของพระองค์เพราะต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของพุทธศาสนานั่นเอง
    เมื่อพระองค์ไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชาโดยทางผิดแล้วแล้ว จะมากล่าวตู่ว่าพวกผมที่ ต่อต้าน การทำดิรัจฉานวิชาแลกกับเงินของนักบวช นักบวชนอกศาสนา อาจารยฺ์อาคมต่าง ๆ ในสมัยนี้ ว่าเป็นการปรามาศพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
    พระพุทธองค์ทำเพื่อช่วยคนและไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อและไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ พระสมัยนี้ทำแล้วรับซองและทำพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น ยังไงก็เทียบกันไม่ได้

    พระพุทธองค์ทรงบัญญัติธรรมตามกาล บางที พระพุทธองค์อาจจะสอนพระสูตรนี้ หลังจากที่พระองค์ทรงทำน้ำมนต์ดังกล่าวก็เป็นได้ ถึงพระพุทธองค์สอนให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์จริง แต่เมื่อมีสูตรนี้ขึ้นมา และมีอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกับเรื่องราวที่มีการบันทึกว่าพระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ให้ทำน้ำมนต์ ก็ต้องเอาสูตรนี้เป็นหลักเนื่องจากอาจสันนิษฐานได้ว่า พระสูตรนี้ถูกบันทึกขึ้นมาทีหลังเหตุการนั้น ดังนั้น ผมมีหลักฐานว่าที่ผมกล่าวว่าการทำน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชานั้นย่อมไม่ผิด(เพราะพระสูตรบอกว่าการทำน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชา) และไม่เป็นการปรามาศพระพุทธเจ้า เพราะได้มีบันทึกว่า"[๒๕] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล" ผมพูดมีเหตุผลหรือเปล่าก็ขอให้คิดกันดูดี ๆ



    อีกทั้งพระองค์ได้ห้ามสาวกของท่าน ทำดิรัจฉานวิชาเอาไว้แล้ว เมื่อท่านห้ามไว้แล้ว คนที่มาทำหลังจากท่านห้าม ก็คือทำผิดพระวินัย
    ไม่ใช่จะมาหาเรื่องว่า ก็พระพุทธองค์ยังทรงทำ เราจะทำไม่ได้เหรอ ก็่อนที่จะห้ามสาวกทำอะไร พระพุทธเจ้าท่านตรึกตรองดีแล้ว คำนวนไว้แล้วว่าทำอะไรมันจะส่งผลไปในทิศทางไหน ดังนั้นท่านห้ามก็ควรจะเชื่อฟังไม่ใช่หรือ

    เพราะพระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัยห้ามไว้ ดังนั้น การที่ผมจะต่อต้าน ดิรัจฉานวิชา ย่อมไม่ผิดใด ๆ แน่นอน
    อ้อ แต่ผมว่าพึงระวังไว้ในการต่อต้านก็ดีนะครับ สำหรับผู้ที่อยากต่อต้านควรต้่อต้านวัตถุมากกว่าตัวบุคคลครับ จะเสี่ยงน้อยกว่า เพราะถ้าต่อต้านตัวบุคคล อาจไปพลาดพลั้งตำหนิอย่างอื่นที่ท่านไม่ได้ทำผิดได้ครับ

    สำหรับผม เน้นต่อต้านการใช้วัตถุมงคลและดิรัจฉานวิชาครับ


    อ้อ วินัยนี้ท่านให้เป็นศีลแก่ภิกษุครับ พระรูปไหนไม่ทำตามคือพระทุศีล ผมพูดถูกมั้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ดูการกระทำ ปากพูดอย่าง การกระทำอีกอย่าง

    ใครทำอะไรก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ

    กฏแห่งกรรม สร้างกรรมอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น ^^



    เที่ยวจับผิด พระทำน้ำมนต์ วัตถุมงคล เป็นอย่างไรในนรกโน้นนี้ อ่านแล้วก็คงพิจารณาดูกันได้ด้วยตัวเอง

    เรื่องอื่นๆ คงไม่ต้องพูดถึง ^^

    .

    ในตำราพระไตรปิฏก มีไหม ที่พระพุทธเจ้าเทศน์สอนว่า ทำวัตถุมงคล ทำน้ำมนต์ แล้วจะไปอยู่ในนรก ลงนรก ครับ

    ช่วยหามาให้ผมดูหน่อยนะครับ อยากจะเห็น



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  14. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ท่านเองก็ยังพูดถึงเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา

    การที่พระพุทธองค์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ ดิรัจฉานวิชา ท่านก็ให้เป็นศีล มา

    ท่านพูดเอง ทานไม่ถึงศีลก็ไม่ได้
    ศีลไม่ได้ ภาวนาก็ไม่ได้

    ในเมื่อพระพุทธเจ้า ท่านให้ข้อนี้เป็นศีลมา ท่านจะไม่ถือข้อนี้เป็นศีลจริง ๆ หรือ ก็คิดดูเอาเอง - - พระสูตรก็บอกชัด แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    งั้นไหนคุณลองบอกหน่อยสิ ที่คุณยกๆมานั้นนะ

    คุณเห็นพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า เป็น พระสมณโคดม หรือครับ



    ถ้าไม่เข้าใจคำถามผม ผมก็จะ ยกมาข้อความของคุณมาให้อ่าน



    พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา


    ไหนคุณลองว่ามาสิ อยากฟังความคิดเห็น ว่าตกลงคุณว่าอย่างไรอะไรกันแน่

    .



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  16. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมเชื่อว่าท่านมีครูบาอาจารย์ที่สามารถไปเห็นได้ หรือถ้าไม่มีก็หมั่นไปสอบถามเรื่องนี้จากพระอาจารย์ตามวัดต่าง ๆ ที่ท่านมีญาณทัศนะสูง ๆ เอา ผมฟังธรรมจากพระหลาย ๆ รูปมา ก็พบว่า มีพระภิกษุที่ทำวัตถุมลคล ต้องกรรมได้ลงอบายภูมิหลายรูปอยู่เหมือนกัน ท่านที่นิพพานไปแล้วก็นิพพานไปแล้ว ไม่ได้รับกรรม เพราะนิพพานแล้วไม่มีตัวรับกรรม
    ก็พิจารณาตามเอา เปิดใจครับ ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่พิจารณาตามเลย
     
  17. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    เน้นคำว่าโดยทางผิด เพราะขณะนั้นพระองค์ไม่ได้เลี้ยงชีพโดยทางผิดครับ พระองค์เพียงแต่ช่วยคนจริง ๆ ส่วน พระสูตรที่บันทึกไว้ แม้จะขัดแย้งกับที่พระองค์ทรงกระธรรม แต่พึงระรึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติพระธรรมทันทีที่พระองค์ตรัสรู้เสียหน่อย แต่พระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยตามกาล เมื่อมีเหตุการณ์อันใดที่เกิดขึ้้นแล้วจะเกิดผลกระทบต่อ ๆ ไปในภายภาคหน้า ท่านเล็งเห็นแล้วท่านค่อยบัญญัติพระวินัย

    ดังนั้นข้อห้ามต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้นในพระสูตร ก็คงเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นมาในภายหลัง

    ดังนั้นการโจมตีดิรัจฉานวิชาในสมัยนี้ กับครั้งที่พระพุทธองค์ทรงทำจึงไม่เกี่ยวเนี่องด้วยกัน

    เพราะมันขาดกันด้วยพระธรรมวินัยแล้ว

    อะไรผิดตามธรรมวินัย ว่าไปตามผิดครับ


    ยกตัวอย่าง

    พระพุทธเจ้าทรงห้ามเรื่องพระภิกษุเสพเมถุนธรรมไว้ เพราะกรณีของพระภิกษุที่ชื่อ สุทิน กลันทบุตร
    ในพระวินัยปิฎกแสดงไว้ โดยสรุปก็คือว่า พระสุทิน กลันทบุตร บวชด้วยศรัทธา ไม่ต้องการจะลาสิกขา แม้บิดามารดาจะนำเอาสมบัติมาล่อให้สึก จนสุดท้าย พ่อแม่ก็ขอเชื้อสายไว้สืบสกุล ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการตั้งอาบัติห้ามภิกษุเสพเมถุน พระสุทินจึงคิดเอาเองว่าน่าจะสามารถทำได้ จึงได้พาภรรยาไปเสพเมถุนในป่า จนกระทั่งภรรยาได้ตั้งครรภ์ขึ้น
    การกระทำของท่าน ทำให้ท่านเองทุกข์ใจมากเพราะมาคิดทีหลังว่าแม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงห้ามแต่ในการประพฤติพรหมจรรย์บวชในพระพุทธศาสนาก็น่าาจะรักษาความประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เมื่อวิตกกังวลมากๆ เข้า ท่านจึงซูบผอมและผิวพรรณไม่ผ่องใส เพื่อนภิกษุเห็นผิดปกติจึงสอบถาม เมื่อได้ทราบว่าท่านเสพเมถุนธรรมกับภรรยาเพื่อให้มีลูกสืบสกุล จึงพากันติเตียนแล้วกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า
    พระพุทธองค์ทรงติเตียนโดยประการต่างๆ แล้วตรัสบัญญัติปาราชิกสิกขาบทขึ้น ภิกษุใดทำเข้าแล้วขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีเมื่อขณะทำ

    เครดิต : https://www.facebook.com/Buddhistword/posts/225491260934774
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    งั้นไหนคุณลองบอกหน่อยสิ ที่คุณยกๆมานั้นนะ

    คุณเห็นพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า เป็น พระสมณโคดม หรือครับ



    ถ้าไม่เข้าใจคำถามผม ผมก็จะ ยกมาข้อความของคุณมาให้อ่าน



    พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา


    ไหนคุณลองว่ามาสิ อยากฟังความคิดเห็น ว่าตกลงคุณว่าอย่างไรอะไรกันแน่

    .



    .
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แสดงว่าคุณไม่เข้าใจคำถามผมจริงๆนั้นละ


    ผมก็จะถามใหม่ว่า


    มีศีลข้อไหน ที่พระพุทธเจ้า ห้าม สาวก ทำน้ำมนต์ ทำวัตถุมงคล ครับ


    **********************************************************

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

    พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต

    ***********************************************************

    นี่ผมยกออกมาให้เห็น ตกลงนี่ คุณเห็นว่า

    คุณเห็นพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า เป็น พระสมณโคดม หรือครับ หรือว่ายังไงเอ๋ย




    แล้วตกลง มีศีลข้อไหน หน้าไหนในพระไตรปิฏก ที่พระพุทธเจ้า ห้าม สาวก ทำน้ำมนต์ ทำวัตถุมงคล ครับ

    หรือ ทำน้ำมนต์ ทำวัตถุมงคล แล้วลงนรก ครับ


    ช่วยเอามาลงให้ผมดูหน่อยนะครับ เพื่อผมจะตกไม่ได้อ่าน


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2015
  20. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    แล้วทำไมไม่อ่านตรงนี้ด้วยล่ะครับ
    คราวที่แล้วพระสูตรนี้กล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงทำเช่นไร คราวนี้ขอยกพระสูตรที่ว่า ภิกษุควรทำเช่นไรในพระวินัยนี้


    (ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการทำเดรัจฉานวิชา)
    (คัดลอกจาก) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๖๔ – ๖๗ ข้อที่ ๑๑๔ - ๑๒๑ (บาลี ๙/๘๙ – ๙๓/๑๑๔ – ๑๒๑)

    มหาศีล
    [๑๑๔] ๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๕] ๒. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๖] ๓. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๗] ๔. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมอง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๘] ๕. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษา
    หาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์ โลกายศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๑๙] ๖. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์ หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๒๐] ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตาปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

    [๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลยเพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

    เครดิต : https://plus.google.com/101137730808...ts/bCbZsA66J5q
     

แชร์หน้านี้

Loading...