เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ไม่เอาตำรา ไม่อ้างคัมภีร์จริงๆอ่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 21 มิถุนายน 2015.

แท็ก: แก้ไข

หน้า 1 ของ 4

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493
[FONT=&quot]ได้ยินบ้อยบ่อยยย
[/FONT]

[FONT=&quot] คำพูดค่อนทำนองว่า อ้างตำราบ้างล่ะ ไม่เอาตำราไม่เอาคัมภีร์บ้างล่ะ ฯลฯ สรุปง่ายๆคือเขาปฏิเสธตำรา ปฏิเสธคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาว่างั้นเถอะ [/FONT]

[FONT=&quot]อ้าว....แล้วที่พูดๆกัน เช่น กสิณ ฌาน นิพพาน เป็นต้นเนี่ย ไปนำไปเอาจากไหนมาพูดกันหรอ ถ้าไม่ได้เอามาจากคัมภีร์เอามาจากตำราทางพระพุทธศาสนา หือ....:z8[/FONT]


http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 21 มิถุนายน 2015

#1
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ

ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

วันที่สมัครสมาชิก:

8 มิถุนายน 2010

โพสต์:

947

ค่าพลัง:

+1,210
ไม่มีใครบอกนะครับว่าไม่เอาตำรา

ผ่านมาเฉยๆ, 21 มิถุนายน 2015

#2
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493

"ภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญมิจฉาปฏิปทา ไม่ว่าของบรรพชิต หรือของคฤหัสถ์ บรรพชิตก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม ปฏิบัติผิดแล้ว เพราะการปฏิบัติผิดนั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จไม่ได้ ก็มิจฉาปฏิปทา คืออะไร ? คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ

"เราย่อมสรรเสริญสัมมาปฏิปทา ไม่ว่าของบรรพชิต หรือของคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ปฏิบัติชอบแล้ว เพราะการปฏิบัติชอบนั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จได้ ก็สัมมาปฏิปทา คืออะไร ? คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

(สํ.ม.19/68/23- ญายะหรือญายธรรม หมายถึง โลกุตรมรรค สัจธรรม หรือนิพพาน)

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 21 มิถุนายน 2015

#3
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493

ผ่านมาเฉยๆ said: ↑

ไม่มีใครบอกนะครับว่าไม่เอาตำรา
Click to expand...

แล้วบอกว่าไงล่ะ

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 21 มิถุนายน 2015

#4
Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

27 มิถุนายน 2010

โพสต์:

2,287

ค่าพลัง:

+4,704
คนที่ไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาก็มักจะพูดในทำนองนี้แหละ
เพียงได้ยินได้ยินว่าทำสมาธิได้ฌานได้อภิญญา ก็เกิดอยากได้มั่งก็ไปนั่งหลับตา
ในท่าสมาธิแล้วก็กำหนดลมใจเข้าหายใจออก ตามที่ได้ยินมาอย่างคุ้นหู

ทีนี้พอนั่งภาวนาไปผลก็ย่อมเกิดทำให้จิตสงบ พอจิตสงบก็ย่อมเกิดอะะไรต่อมิอะไรอย่าง
ที่ตัวเองไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน จนบางคนเข้าใจไปว่าตนเองบรรลุบ้างหละ
อันเกี่ยวกับตนเองไม่รู้ไม่ได้ศึกษามาก่อน จึงทำให้หลงไหลใชชอน
ไครจะทักท้วงยังไงก็ไม่ยอมฟัง ซึ่งมันจะไม่เป็นผลดีแก่เขาเหล่านั้นเลย

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2015

ขอมุ่งตรงสู่พระนิพพาน

Samarnl, 21 มิถุนายน 2015

#5
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493
ลุงแมวครับ หนังสือเหลือบานเบอะเลย ตกลงจะเอาหสังสือปฏิบัติใช่ไหม
http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 21 มิถุนายน 2015

#6
บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

วันที่สมัครสมาชิก:

20 กุมภาพันธ์ 2009

โพสต์:

17,441

กระทู้เรื่องเด่น:

2

ค่าพลัง:

+27,814
มาจากดิน said: ↑

[FONT=&quot]ได้ยินบ้อยบ่อยยย [/FONT]

[FONT=&quot]คำพูดค่อนทำนองว่า อ้างตำราบ้างล่ะ ไม่เอาตำราไม่เอาคัมภีร์บ้างล่ะ ฯลฯ สรุปง่ายๆคือเขาปฏิเสธตำรา ปฏิเสธคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาว่างั้นเถอะ [/FONT]

[FONT=&quot]อ้าว....แล้วที่พูดๆกัน เช่น กสิณ ฌาน นิพพาน เป็นต้นเนี่ย ไปนำไปเอาจากไหนมาพูดกันหรอ ถ้าไม่ได้เอามาจากคัมภีร์เอามาจากตำราทางพระพุทธศาสนา หือ....:z8[/FONT]
Click to expand...

({) l สวัสดีครับคุณ มาจากดิน และพี่น้องทั้งหลาย ขอพูดแบบแลกเปลี่ยนนะครับ การฟังอะไรมา หรือได้ยินอะไรมา เราควร รู้ก่อนว่า เขามีเจตนาอย่างไร เรื่องเอาตำรามาพูดได้ แต่ควรจะ ทำเองด้วย ถึงจะรู้ว่า การทำ มันเป็นแบบไหน ไม่งั้น จะรู้ได้ไงว่า อารมย์ที่ทำอยู่ มันสงบหรือไม่สงบ หรือ สงบแค่ไหน หรือ ทุกข์ อารมย์ฟุ้ง ซ่าน ใช้ตำรามาพูด อย่างเดียว มันไม่รู้จริง พูดแต่ตำรา แต่การรู้จริง มันก็รู้ไปตามขั้ญญษ ของคนๆนั้น ต่างหาก การสั่งสมมาไม่เสมอกันครับ

เอาความรู้แบบคนโง่ๆก่อนนี่แหละ ทุกคนมีปัญญา เหมือนกันหมด เพียงจะเอาออกมาใช้หรือเปล่า เท่านั้นเองครับ แต่เมื่ออ่านของเขาแล้ว ควรคิดไตร่ ตรองให้ดีก่อนครับ ว่าเขาคุยกันในลักษณะใด บางทีไปตีความผิด ก็มี คนที่เขาทำตรง โดยบอกไม่ได้เรียนมา ก็คือไม่ได้ไปสึกษา มาแบบสูง ที่คนนั้นเขาอ้าง แต่คนนั้นเขาอาศัย ประสบการณ์ ทำตรง จึงไม่อ้างตำรา จึงบอกว่า ไม่อ้างตำรา อย่างน้อยเขาสึกษา จาก ครูอาจารย์ แล้วนำไปปฏิบัติ เหมือนคน ซ่อมเครื่องยนต์ กินเอง ทำเอง ชงเอง รื้อเอง แล้วจะไปพูดทำไม ล่ะว่าเรียนมา ก็เขา ทำอยู่ทุกวี่วัน เขาเรียก เรียนของจริง

คนเอาตำรามาอ้างก็ถูก แต่ไม่รู้ว่า ของจริง เป็นพันไร ได้แต่อ้างตำราอย่าง หลับหูหลับตาพูด จริงๆ เขาศึกษา ศิล ๕ อย่างเดียว รักษา ไม่ต้องไปศึกษามากก็ได้ เขาย่อมมีปัญญา รู้อะไรผิดถูกได้ แยกแยะได้ ดีกว่าคนไม่มีศิล อีกนะครับ ถึงเรียนมามากก็ตาม บางทีก็เอาความรู้ เหมือนไปข่ม แต่ถ้าบอกด้วยใจบริสุทธฺ ก็ยังดี แต่อย่าลืม คนเรามีปัญญาไม่เสมอกัน ตนเรา เรียนมาสูง ระดับดอ๊กเตอร์ แต่หามีปัญญาไม่ มีแต่สัญญา ความจำในการเรียน อย่างเดียวเท่านั้น แต่ขาดปัญญา ในการไตร่ ตรอง อะไรถูกผิด แยกแยะไม่เป็น เห็นมีถมไป ที่เจอมาครับ

บุญทรงพระเครื่อง, 22 มิถุนายน 2015

#7
- ถูกใจ x 3
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493
บุญทรงพระเครื่อง said: ↑

({) l สวัสดีครับคุณ มาจากดิน และพี่น้องทั้งหลาย ขอพูดแบบแลกเปลี่ยนนะครับ การฟังอะไรมา หรือได้ยินอะไรมา เราควร รู้ก่อนว่า เขามีเจตนาอย่างไร เรื่องเอาตำรามาพูดได้ แต่ควรจะ ทำเองด้วย ถึงจะรู้ว่า การทำ มันเป็นแบบไหน ไม่งั้น จะรู้ได้ไงว่า อารมย์ที่ทำอยู่ มันสงบหรือไม่สงบ หรือ สงบแค่ไหน หรือ ทุกข์ อารมย์ฟุ้ง ซ่าน ใช้ตำรามาพูด อย่างเดียว มันไม่รู้จริง พูดแต่ตำรา แต่การรู้จริง มันก็รู้ไปตามขั้ญญษ ของคนๆนั้น ต่างหาก การสั่งสมมาไม่เสมอกันครับ

เอาความรู้แบบคนโง่ๆก่อนนี่แหละ ทุกคนมีปัญญา เหมือนกันหมด เพียงจะเอาออกมาใช้หรือเปล่า เท่านั้นเองครับ แต่เมื่ออ่านของเขาแล้ว ควรคิดไตร่ ตรองให้ดีก่อนครับ ว่าเขาคุยกันในลักษณะใด บางทีไปตีความผิด ก็มี คนที่เขาทำตรง โดยบอกไม่ได้เรียนมา ก็คือไม่ได้ไปสึกษา มาแบบสูง ที่คนนั้นเขาอ้าง แต่คนนั้นเขาอาศัย ประสบการณ์ ทำตรง จึงไม่อ้างตำรา จึงบอกว่า ไม่อ้างตำรา อย่างน้อยเขาสึกษา จาก ครูอาจารย์ แล้วนำไปปฏิบัติ เหมือนคน ซ่อมเครื่องยนต์ กินเอง ทำเอง ชงเอง รื้อเอง แล้วจะไปพูดทำไม ล่ะว่าเรียนมา ก็เขา ทำอยู่ทุกวี่วัน เขาเรียก เรียนของจริง

คนเอาตำรามาอ้างก็ถูก แต่ไม่รู้ว่า ของจริง เป็นพันไร ได้แต่อ้างตำราอย่าง หลับหูหลับตาพูด จริงๆ เขาศึกษา ศิล ๕ อย่างเดียว รักษา ไม่ต้องไปศึกษามากก็ได้ เขาย่อมมีปัญญา รู้อะไรผิดถูกได้ แยกแยะได้ ดีกว่าคนไม่มีศิล อีกนะครับ ถึงเรียนมามากก็ตาม บางทีก็เอาความรู้ เหมือนไปข่ม แต่ถ้าบอกด้วยใจบริสุทธฺ ก็ยังดี แต่อย่าลืม คนเรามีปัญญาไม่เสมอกัน ตนเรา เรียนมาสูง ระดับดอ๊กเตอร์ แต่หามีปัญญาไม่ มีแต่สัญญา ความจำในการเรียน อย่างเดียวเท่านั้น แต่ขาดปัญญา ในการไตร่ ตรอง อะไรถูกผิด แยกแยะไม่เป็น เห็นมีถมไป ที่เจอมาครับ
Click to expand...

ศัทพ์แสงที่เรานำมาใช้มาพูด ล้วนมาจากตำราจากคัมภีร์ทางศาสนาทั้งสิ้น คงไม่มีใครบัญญัติขึ้นมาเองดอกนะ ถึงตนจะได้ยินได้ฟังจำต่อๆๆกันมาจากใครๆ จากอาจารย์ แต่บุคคลดังกล่าว ก็นำมาจากตำราจากคัมภีร์ เป็นทอดๆมา

ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ คือ เมื่อนำของเขามาใช้แล้ว ตนไม่ดูความหมายเดิมของเขามาด้วย เอาแต่ศัพท์ของเขามา แล้วมาพูดมาอธิบายกันเอาเอง ย้ำ มาพูดมาอธิบายกันเอาเอง ทีนี้ มันก็ไม่ตรงกับของเดิมเขาสิ (ความหมายเพี้ยน) นี่คือต้นตอของปัญหาในปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "กสิณ" นี่ก็ของเขา (ตำราทางศาสนา) ซึ่งเขามีความหมายของเขาอยู่แล้ว แต่เราเองไม่ศึกษา เพราะกลัวคำว่าเอามาจากตำรา กลัวติดตำรา ติดคัมภีร์ :d เอาแต่ศัพท์ของเขามาพูด แล้วตนมาให้ความหมายใหม่ อธิบายเองตามมติของตน เมื่อตัวนำไปทำไปปฏิบัติ ก็ :d บลา บลา บลา

คุณบุญทรงว่าจริงไหมครับ

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 22 มิถุนายน 2015

#8
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493

คคห.ลุงแมวเกี่ยวกับคัมภีร์ศาสนา

"ลุงแมวเห็นว่าคุณนพเขาไม่ได้มีอคติกับใครนะ
แถมปรารถนาดีอีกต่างหาก

มจด.ไม่นิยมเขาก็อย่าไปเกรียนกะเขาดีกว่า
มีแต่จะพาตัวเองเสื่อม เพราะมีแค่คัมภีร์ก็ควร
สู้กับคัมภีร์ด้วยกันดีกว่า
ไม่เข้าเนื้อตัวเองมากนะฮะ"

http://palungjit.org/threads/กสิณ.551382/page-2

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 22 มิถุนายน 2015

#9
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
เรื่องการ เพ่งกสิณ เวลาทำแล้ว มันได้ อานิสงค์ที่เรียกว่า " ฌาณวิสัย "

ฌาณวิสัย ถูกอธิบายในทางตำราว่า " มันพ้นการพรรณา " เป็น " อจิณไตย "

คำว่า " อจิณไตย " ที่ตำราแปลว่า เป็นสิ่งไม่ควรเข้าไปคิดค้น คาดเดา เพราะ คนนั้นจะเป็น
บ้า ...ตรงนี้ หากอ่านตามตำรา เขาก็หมายถึง ห้ามพวกที่อาศัยคิดๆ นึกๆ แปลตาม
ตำราเข้าไป ยุ่งวุ่นวาย เรื่องของเขา

คำว่า ห้ามคิดเอา เดาเอา ตรงนี้ พระพุทธองค์หมายลงไปที่ ลงมือปฏิบัติไปเลย อย่าไป
หาตำรามาอ้างอิง จะบ้าเอาเปล่าๆ

ฌาณวิสัย เป็นของที่ คนอาศัยคิด จะทะลึงมาคิดไม่ได้ จะทำให้ บ้า และ ฉิหาย

ฌาณวิสัย เป็นของคนที่ ลงมือปฏิบัติแล้วก็ ล้มลุกคลุกคลานกันไปแบบ เลือดตก
ยากออก .....เหมือน คนทำสงครามที่ออกรบจริงๆ ถึงแม้นจะบาดเจ็บจริง ถลำจริง
แต่มันจะมี ความรู้ชัดในเรื่องการรบ !!! ต่างจากพวก เปิดหนังสือ หาศัพท์ หาคำอธิบาย
สถาณการณ์ แล้วสำคัญว่า ตัวเองได้รู้ได้เห็น

พระพุทธองค์ ยังเปรียบเปรยในตำราไว้อีกว่า เหมือน คนเราได้ยินชื่อเสียงของสาวสวย
ในแคว้นห่างไกล ....คนทีลงมือปฏิบัติ เพ่งกสิณ เขาจะดั้นด้นเดินไปถึง ไปเห็นสาว พอเห็น
แล้วก็อาจจะ ตกหลุมรัก ลุ่มหลงไปบ้าง

แต่ อย่างไรก็ดี มันต่างจาก พวกเปิดตำรา หาคำศัพท์อธิบายสาวคนนั้น ทราบว่าสวยอย่าง
ไร อธิบายได้ แต่ เคยเห็นไหม ไม่เคย !!!

เมื่อไม่เคย ไม่มีประสบการณ์ คนจานลายเท่านั้น จะอ้างว่า รู้เห็นจริง สิ่งเหล่านั้น อุปทาน
กัดกบาล กิเลส ตัณหาบานตไท แล้วไม่รู้ว่า ตัวเอง โดนอุปทานรับประทาน( เป็น บ้า
หรือ สัญญาวิปลาส นั่นเอง )

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#10
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
อนึ่ง คำว่า แต่ละคน มีปัญญาต่างกัน พระพุทธองค์ได้เคยอธิบายในตำราไว้ว่า

เป็นเพราะ " สัญญาที่ออกมาจากจิต " มันต่างกัน

คนที่เพ่งกสิณ หรือ อาศัย บ่อกสิณสัญญา เป็นทาง เพื่อกำหนดรู้ การเผลอ
ไผลเข้าไปในภพ ในชาติ การถอดจิต การไปคุยกับสัตว์ในภพอื่น คือ การอุบัติ
ขึ้นของชาติ เมื่อกำหนดรู้ การเกิดขึ้นของชาติด้วยการ " สัมผัสด้วยนามกาย "
เอากายเป็นสักขี(บางพวกที่ ไปด้วยกายเนื้อได้เลย) เหล่านี้ ก็อุปมาเหมือน ไปหา
สาว...แล้วอาจจะเผลอไผล เข้าไปแอ้ม ด้วย

ต่างจาก พวกที่ใช้สัญญาที่เป็น ทิฏฐิ ที่เป็น เงาของสาวในหนังสือ เป็นคำบรรยาย
ความสวยงามของสาวด้วยตัวหนังสือ แล้ว อุปทานว่าได้แอ้มสาว รู้ทุกแง่มุมของสาว
นั้นหมด

อย่างไรก็ดี

มันเป็น สัญญาเสมอกัน มีเวทนาเข้าไปปัก ทำให้เกิดภพ เหมือนกัน

ดังนั้น หากกำหนดรู้ สัญญาตามวิสัยของแต่ละคน สุดท้ายมันจะยกเห็น การเกิดดับ
ของสัญญา ที่ล่อลวงดุจแสงไฟ แล้ว หากมีเวทนาเข้าไปปัก ก็จะเกิด การสำคัญว่า
ตนเข้าไปประจักษ์สิ่งนั้น เมื่อเกิดการดำริ เกิดทิฏฐิ การเห็นผิดจะเริ่มขึ้น ชาติอุบัติ
มีการสำคัญว่า ตนรู้ ตนเห็น ก็จะ โง่บานลาย เสมอกัน

และหากกำหนดรู้ อาการของขันธ์ อาการของจิต เห็น สัญญาพยับแดดนั้นได้ เห็น
เวทนาพาไปปัก มีการเกิดดับ ไม่ได้อยู้ในภพนั้นจริง มีชรา มีมรณะ มีอาการเหนียว
หนืดดึงกลับ เพราะ เวทนามันดับ จะยื้อก็ยื้อไม่ได้ ...เมือ่เห็น เวทนาเกิดดับได้
จะเริ่มสาวไปหา ตัวเหตุ คือ จิตที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง มาช้านาน มันจะ กำหนดรู้
การเกิดดับ การตั้งอยู่ไม่ได้ ของ จิตด้วย

เมื่อกำหนดรู้แบบนี้ จนไม่ยึดถือจิต มันจะเกิด วิมุตติ ที่เสมอกัน ทุกประการ

แต่ จะแตกต่างกันระหว่าง เห็นสาว แอ้มสาว กับ พวก อุปทานว่าได้แอ้มสาวตามตัวหนังสือ

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#11
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
ตำรา หรือ คำพูด หรือ คำบรรยาย มาจากไหน

คำพูด คำบรรยาย ที่เป็น ภาษาบาลี ก็คือ ภาษามนุษย์

คำพูด คำบรรยาย ที่เป็น ภาษาไทย ก็คือ ภาษามนุษย์

คำพูด คำบรรยาย ที่เป็น ออกมาจากมุนษย์ที่ไม่ได้หัดเรียนเขียนอ่าน ก็คือ ภาษามนุษย์

เสมอกัน ด้วย สิ่งที่ ออกมาจากจากปาก จากการกะเทือนของ ขันธ์ ด้วยอาการ
สัญญาหมาย มีเวทนาปัก มีจิตเคลื่อนเข้าไปครองสำคัญว่าเป็น " เสียงสัตว์ "

เอาคนสองคน ที่มี ภาษาต่างกัน มาคุบกัน สองคันนั้น จะคุยกันได้ไหม หรือว่า
ต้องเข้า เว็บกรุปวันจันทร์สาระเลวเพื่อเปิดดิกเสียก่อน จึงจะคุบกันได้ .....

เปล่าเลย คนสองคน ต่างภาษา จะคุยกันได้ ทันทีที่ ขันธ์5แสดงอาการสัญญา
อย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดความพอใจ ไม่พอใจ หรือ เฉยๆ ต่อสัญญานั้น ( มีเวทนาปัก)
มีการเข้าไปครอง อุปทานจิตว่าเป็น ภาษาใช้สื่อสารระหว่างสัตว์ คนสองคนนั้นก็
จะทำท่าทำทาง ฮาอะไรก็ได้ แล้วคุยกันได้ หัวเราะกันได้ โดยที่ ไม่มีภาษาในดิกเล่มไหน เขียนเอาไว้

ดังนั้น ภาษาที่ สัตว์สื่อสารกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนออกมา มาทำตัวเป็น คนลัทธิพราหณ์
อาลักษณ์ เข้ามาปลอมปนใน พระพุทธศาสนา ภาษาที่ สัตว์สื่อสารกันได้ โดยไม่จำเป็นต้อง
เขียนออกมา นั้นมีอยู่

การสื่อสารนั้น บางครั้งใช้แสง เช่น พระพุทธองค์ ทรงทำแสงโอภาสไปในจักรวาล เทวดา
พรหม ยม ยักษ์ ที่ต้องแสงนั้น ก็ บรรลุธรรมได้ มีเป็นโกฏิ แสนล้าน (อันนี้ มีในตำรา
นะจ๊ะ พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อ พระอานนท์)

รูปแบบการสื่อสาร หรือ สัญญา หรือ ฌาณวิสัย จึงพ้น พรรณาๆ หากใคร ได้แค่
คิดๆ นึกๆ ด้นเด้าจำแต่ ตัวหนังสือตามตำรา อย่า สะเออะ ว่า รู้ถ้วน ...เพราะนั่นคือ
สัญญาวิปลาส สถาณเดียว

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#12
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
วิธีการ กำหนดรู้ การสรรเสริญฌาณ

ก็ให้เอา คนสองคน มานั่งใกล้ๆ

โดย คนหนึ่งเป็นคนชอบเพ่งกสิณ แล้วอีกคนหนึ่งเป็นพวกเรียนจากตำรา

หลังจากนั้น เอาอาหาร คาว หวาน รสเลิศ มาวางตรงหน้า .......

ให้สังเกต การหยิบจับ อาหารมากิน ใครเล่า จะกินมากกว่ากัน ใครเล่าจะ
เลือกนั่น เลือกนี่ สำคัญว่ามีปัญญาสำรอกกิเลส

มันแน่นอนอยู่แล้วว่า คนเพ่งฌาณในบางอารมณ์ ในบางจังหวะ เขาก็ไม่กิน
ข้าวปลาอาหารนั้นเลย หรือ จะกิน ก็กินแต่พอให้มีกำลังในการดำรงค์ขันธ์

ส่วนไอ้ที่อ่านหนังสือเอา ไม่เคยเห็นหน้าตากิเลส รู้แต่คำบรรยาย จิ้มโบ๊ะ จิ้มโบ๊ะ
หมุมหมับปากมัน หน้าตาส่ายตลอด กูไม่มีกิเลส กูรู้ธรรมพันเปอร์เซนต์

ดังนั้น

จะให้ คนไม่มี ศาสนามาก่อน มาสรรเสริญ คนสองคนนี้ คนไม่มีศาสนานั้น จะสรรเสริญใคร !?

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#13
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
อย่างไรก็ดี

พึงทราบว่า

พระจักขุบาล เป็น พระอรหันต์ประเภท " สุขวิปัสสโก "

แต่ .........!

แต่ ศรัธาวิหาริกของ พระจักขุบาล จำนวนทั้งสิ้น 500 องค์ เป็น พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด

ดังนั้น ระวัง ตรรกศาสตร์จากผู้รู้ไม่จริง ที่อาจจะทำให้เรา ประมาทในธรรม ไปสำคัญว่า
พวกเรียนตำราบางประเภท สอนอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ไม่ได้

แม้นแต่ พระโปฏิละ พระใบลานเปล่า ท่านก็ไม่ได้สำเร็จธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ ศิษยานุศิษย์
ใน ศรัทธาวิหาริกของท่าน สำเร็จอรหันต์ทุกประเภท !!! เน้นว่า มีทุกประเภท ทั้งๆที่ เรียนเอาจาก
คนไม่สำเร็จอะไรเลย !!!

พระพุทธองค์ จึงตรัสธรรมมีกถาว่า เราไม่เห็นอะไรเลย จะเลิศไปกว่า ความไม่ประมาท และ ความไม่ประมาท
นั้นคือ บุพภาคแห่งมรรค คือ ต้นเค้าที่จะทำมาให้ได้ซึ่ง มรรคผลนิพพาน

แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2015

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#14
- ถูกใจ x 2
- ดูรายการ
ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

16 มิถุนายน 2015

โพสต์:

551

ค่าพลัง:

+248
เอาสิตำรา เอาสิคำภีร์ มาหนุนใจ หนุนธรรมในตนเจริญขึ้นสิ

เอาตำราคัมภีร์มาทุ่มใส่กระบาลตัวเอง ใจหาความเจริญในศีล สมาธิ ไม่ได้เลยมันก็โง่
จะว่าปัญญามันเจริญ มันก็ไม่เข้าท่าด้อกก

อาจหาญชายชัย ไม่หวั่นเกรงต่ออารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึก

ชมทรัพย์, 22 มิถุนายน 2015

#15
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493
สัทธรรม ธรรมที่ดี, ธรรมที่แท้, ธรรมของคนดี, ธรรมของสัตบุรุษ สัทธรรมมี ๓ คือ

๑. ปริยัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งที่พึงเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์

๒. ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งพึงปฏิบัติ ได้แก่ ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปญญา)

๓. ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรมคือผลที่พึงบรรลุ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน

สัทธรรมทั้งสามประเภทนี้ เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่ง มีความสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่ประมวลพุทธพจน์หรือหลักคำ สอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด โดยต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนจะน้อมนำหลักธรรมอันเป็นพุทธพจน์นั้นไป ปฏิบัติตาม ดังนั้น ปริยัติ จึงเปรียบเหมือนแผนที่ลายแทงแสวงหาขุมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเสียก่อนเป็นเบื้องต้น

ปฏิบัติ เป็นกระบวนการฝึกควบคุมกาย วาจา และพัฒนาจิตใจเพื่อให้สงบระงับกิเลสและเกิดปัญญาเห็นสภาวธรรมตามความเป็น จริง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยที่ตัวของเราเอง เป็นการดำเนินงานเพื่อความสิ้นทุกข์ตามความมุ่งหมายของ ปริยัติ กล่าวง่ายๆได้แก่ การนำหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญามาบูรณาการเป็นกระบวนการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ปฏิบัติ จึงเปรียบเหมือนการเดินทางแสวงหาขุมทรัพย์ตามแผนที่ลายแทง

ปฏิเวธ เป็นผลทีได้จากการปฏิบัติ คือการบรรลุรู้แจ้งธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งสามารถบรรลุได้ตั้งแต่ผลขั้นต้นไปจนถึงผลขั้นสูงสุดคือภาวะสิ้นสุดแห่ง ทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นเหตุ ดังนั้น ปฏิเวธ จึงเปรียบเหมือนการพบขุมทรัพย์

สัทธรรมทั้ง ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ นี้ เป็นเหตุเป็นผลที่ผู้ปรารถนาจะสำเร็จประโยชน์จากการนับถือพระพุทธศาสนาต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่บูรณาการกันทั้งปริยัติและปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธ เพราะเมื่อปริยัติไม่มี ปฏิบัติก็ไม่ถูก เมื่อปฏิบัติไม่ถูก จึงไม่เกิดปฏิเวธ

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 22 มิถุนายน 2015

#16
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493

ฅนไร้บ้าน said: ↑

เอาสิตำรา เอาสิคำภีร์ มาหนุนใจ หนุนธรรมในตนเจริญขึ้นสิ

เอาตำราคัมภีร์มาทุ่มใส่กระบาลตัวเอง ใจหาความเจริญในศีล สมาธิ ไม่ได้เลยมันก็โง่
จะว่าปัญญามันเจริญ มันก็ไม่เข้าท่าด้อกก
Click to expand...

เอาเลยครับ ว่าไป ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มาจากตำราไหมครับ

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 22 มิถุนายน 2015

#17
มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

9 เมษายน 2008

โพสต์:

5,913

กระทู้เรื่องเด่น:

10

ค่าพลัง:

+2,493

เอกวีร์ said: ↑

วิธีการ กำหนดรู้ การสรรเสริญฌาณ

ก็ให้เอา คนสองคน มานั่งใกล้ๆ

โดย คนหนึ่งเป็นคนชอบเพ่งกสิณ แล้วอีกคนหนึ่งเป็นพวกเรียนจากตำรา

หลังจากนั้น เอาอาหาร คาว หวาน รสเลิศ มาวางตรงหน้า .......

ให้สังเกต การหยิบจับ อาหารมากิน ใครเล่า จะกินมากกว่ากัน ใครเล่าจะ
เลือกนั่น เลือกนี่ สำคัญว่ามีปัญญาสำรอกกิเลส

มันแน่นอนอยู่แล้วว่า คนเพ่งฌาณในบางอารมณ์ ในบางจังหวะ เขาก็ไม่กิน
ข้าวปลาอาหารนั้นเลย หรือ จะกิน ก็กินแต่พอให้มีกำลังในการดำรงค์ขันธ์

ส่วนไอ้ที่อ่านหนังสือเอา ไม่เคยเห็นหน้าตากิเลส รู้แต่คำบรรยาย จิ้มโบ๊ะ จิ้มโบ๊ะ
หมุมหมับปากมัน หน้าตาส่ายตลอด กูไม่มีกิเลส กูรู้ธรรมพันเปอร์เซนต์

ดังนั้น

จะให้ คนไม่มี ศาสนามาก่อน มาสรรเสริญ คนสองคนนี้ คนไม่มีศาสนานั้น จะสรรเสริญใคร !?
Click to expand...

เอาปัจจุบันนี้ไปเลยเถอะเอกวีร์ ว่าไปแนะนำเขาไปสิครับ ทำยังไงว่าไป

เอาให้ชัดพอที่คนอ่าน อ่านแล้วนำไปทำไปปฏิบัติกันเองได้

ขออาราธนาว่าไปครับผม:d

http://group.wunjun.com/#!/meditation http://group.wunjun.com/whatisnippana

มาจากดิน, 22 มิถุนายน 2015

#18
ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

16 มิถุนายน 2015

โพสต์:

551

ค่าพลัง:

+248
มาจากดิน said: ↑

เอาเลยครับ ว่าไป ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มาจากตำราไหมครับ
Click to expand...

ใช่แล้วครับตำรา ให้พิจารนาแล้วเอามาหนุนให้ใจเจริญด้วยศีลด้วยสมาธิไงครับ
หัดฟังคนอื่นพูดแล้วก็คิดตามบ้างก็ดีนะครับ อย่าเอาแต่ตั้งท่าสวนอย่างเดียว

อาจหาญชายชัย ไม่หวั่นเกรงต่ออารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึก

ชมทรัพย์, 22 มิถุนายน 2015

#19
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241
สุตตมัยปัญญา คืออะไร

เอาตามพระไตรปิฏก ไม่เอาตาม ตำรา "งุดงะงรรม" จานลาย สุตตมัยยะปัญญา
คือ ผลของการปฏิบัติแล้วประจักษ์ผลตรงตามตำรา

เช่น ฝึกกสิณจดแยกกายได้ 1000 คน ทำได้จริงดังนั้นแล้ว ก็ยังเป็นแค่ สุตตมัยปัญญา

ฝึกกสิณจนสำรอกหรือ กำหนดรู้ สัญญา กับ เวทนา คือ ธรรมสองอย่าง ทีเป็น บ่อเกิดกสิณ
เป็นประตูการแล่นเข้าหา ภพ ชาติ มี ชรา มรณะ รออยู่ แม้นรู้ได้อย่างนี้ สำรอกจิต สำรอก
ขันธ์ออก ก็ยังจัดเป็น สุตตมัยยะปํญญา ยังไม่ใช่ การตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง แต่อย่างใด

ดังนั้น เขาลงมือปฏิบัติ ประจักษ์ผล ได้ยินเสียงร่ำลือของสาว แล้ว ไปหาสาว ได้จับ สัมผัส
ในทาง ปริยัติธรรม หรือ พระไตรปิฏก ก็ยังกล่าวว่า นั่นแค่ สุตตมัยยปัญญา

เพราะ ได้ยินเสียงประกาศซึ่ง ธรรมนั้นมีอยู่ ตนจึง ลงมือกระทำจน ประสบ พบเจอ ตรงตาม
ที่กล่าวประกาศนั้น เพราะ เหตนั้น จึงชื่อ " สุตตมัยปัญญา "

ก็แม้นการประจักษ์ สัมผัส ด้วยกาย ด้วยใจ จริงๆ ยังจัดเป็น ความรู้แบบตำรา (สุตตมัยยปัญญา)

ไอ้ที่ อ่าน แล้ว ยึด สำคัญว่าต้องพูดเป็น ศัพท์แสง ภาษานั้นภาษานี้เท่านั้น ภาษาอื่นเปล่า
ก็ไม่ต้องไปพูดถึง ยิ่งห่างไกลคำว่า มีความรู้ทางตำรา

ปฏิเวธ แปลแบบ ถาดทองรองหมาเยี่ยว มันจะ กร่อนธรรม เอา การพ้นกิเลสชั่วคราว
เอา โวหารอ้างว่าตนไม่มีกิเลสในเวลาที่ปัจจัยมันไม่มีเหตุให้เกิด นี่เป็น พวกจานลาย
กร่อนธรรม

ปฏิเวธ ในทาง พระไตรปิฏก มหายเอา การบรรลุโสดาบันเป็นต้นไป เท่านั้น และเป็น
ภาวนามัยยปัญญา ไม่ต้อง อิงตำราไหนๆอีก ไม่ต้อง ฟังธรรมจากผู้ใดหน้าไหนอีก
พ้นการฟังแบบ สุตตมัยยปัญญา(ไปเรื่อยๆ ล่วงส่วนไปเรื่อยๆ )

ดังนั้น

บุคคลใดที่ สำเร็จ ปฏิเวธ เป็น โสดาบันขึ้นไป โยนตำราทิ้งได้เลย ไม่จำเป็นต้องอ่านอีกก็ได้
[ เพราะต่อให้ ตามเห็นการสิ้นไปของกิเลส ก็ยังเป็น สุตตมัยยปัญญา อยู่ วันยันค่ำ ... เว้นแต่กำหนดรู้ เหตุ
และ การดับของเหตุ พร้อมทั้งรู้ปฏิปทาของการดับของเหตเหล่านั้น และได้ประกอบแล้ว ก็ พอวางใจ ]

แต่พวก มิจฉาวิมุตติ จะตรงกันข้าม สำคัญว่าตัวเองเป็น โสดาบัน แทบจะเอา ฟันกัดกินตำรา ไม่ปล่อย
ใครพูดผิดตำรา ก็ ส่งเสียงคำราม !!!!

แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2015

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 22 มิถุนายน 2015

#20
- ถูกใจ x 1
- ดูรายการ

(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)

หน้า 1 ของ 4

แชร์หน้านี้

Loading...