ความเสื่อมของคนห่มจีวรพระ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย แสงแข, 23 กุมภาพันธ์ 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. แสงแข

    แสงแข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    7,935
    ค่าพลัง:
    +44,410
    เปลว สีเงิน

    Monday, 23 February, 2015 - 00:00


    แยกพระ-แยกโจร 'คนผ้าเหลือง'


    " พุทธศาสนา" เปรียบดั่ง "แก้วรัตนะ" มีชิ้นเดียวใน ๓ โลก ธุลี-เครื่องทำให้เศร้าหมอง เป็นเพียงสิ่งจรมา

    กรณีธัมมชโย ก็ดี กรณีมหาเถรสมาคมวินิจฉัยว่า ธัมมชโยโกงแล้วคืนถือว่าไม่ผิด ไม่เป็นปาราชิก ก็ดี

    นั่น....เหมือนฝุ่นธุลี ปลิวมาแปดเปื้อน

    เหมือนแมลงวัน สัตว์ที่กินอาจมเป็นวัตร บินมาเกาะแก้วรัตนะ!

    เราทั้งหลายในความเป็นพุทธบริษัทที่ "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ตรัสฝากแก้วรัตนะดวงนี้ไว้ให้ช่วยกันรักษาเป็นสมบัติมนุษยชาติ

    ก็ควรใช้ผ้าสะอาด เช็ด-ปัด ฝุ่นธุลี มีสติ ทะนุถนอม ด้วยมือเบา ระวังมิให้พลาดพลั้ง กระทบกระทั่งถึง "แก้วรัตนะ" กระเทือน

    การขับไล่สัตว์-ด้วง-หนอน และ "แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น" อันมีมูตรคูถและกองขยะเน่าเป็นที่เกาะอยู่กิน ก็เช่นกัน

    เราอย่าใช้ความรัก ความหวงแหนในแก้วรัตนะ ทำหน้าที่พุทธบริษัทแบบหุนหันพลันแล่น คว้ามีด คว้าไม้ คว้าอะไรได้ ก็ด่าขรม ฟาดเปรี้ยงปร้าง โครมคราม

    แบบนั้น...สัตว์ร้าย ด้วง หนอน แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น.......

    นอกจาก "ไม่ไป และ ไม่ตาย"!

    แต่ "แก้วรัตนะ" จะแตกกระจายไปก่อน จากการทำหน้าที่ผลีผลาม ขาดสติ ขาดหลักการและขาดความรับผิดชอบเท่าที่ควร

    สรุป คือ อย่าพูด-โพสต์ ข้อความและภาพ ด้วยข้อความและคำหยาบช้า "ด่าพระ"!

    เพราะ "พระ" ในองค์รวมแห่งความเป็นพุทธบุตรแท้จริง พระคุณเจ้าจะไม่ทำอะไรเป็นเหตุให้ต้องใช้ถ้อยคำและความรู้สึกด้านลบตอบสนองเช่นนั้น

    แต่ที่ทำเป็นเหตุให้ไม่ชอบใจ โกรธ ต้องด่ากันอยู่เวลานี้ นั่นเป็นพวกอลัชชี-เดียรถีย์ เป็นตาลยอดด้วน เป็นเถนเฒ่าเอาพรรษา อาศัยผ้าธงชัยพระพุทธศาสนาคลุม

    ซึ่งเป็นธรรมดาในแต่ละสังคม-องค์กร-ศาสนา ซึ่งประกอบด้วยชนหมู่มาก มีที่มาหยาบ-ละเอียดต่างกัน ไหลรวมเข้ามาปะปนบ้างเป็นธรรมดา

    ดังนั้น แยกส่วนด้วยจิตใคร่ครวญให้ดี ค่อยทำไปด้วย "แยกแยะ" วัด-พระ-ผ้าเหลือง-ศาสนา-องค์ธรรม-อลัชชี-โจรแฝง และแมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น บนความรับผิดชอบที่ถูก-ที่ควรเถิด

    แม้สมัยพุทธกาล ก็มี-ก็เป็น เช่นนี้!

    ควรต้องเข้าใจ ศีลของพระ ๒๒๗ ข้อ มิใช่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเอง หากแต่บัญญัติแต่ละข้อในขณะพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นแหละ

    คือมีคนเข้ามาบวช แล้วทำไม่เหมาะ-ไม่งาม ชาวบ้านต่างตำหนิ ติเตียน ว่าเป็นการกระทำไม่เหมาะภาวะสงฆ์สาวก

    เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงเรียกประชุมสงฆ์ และตรัสไต่ถามเรื่องราวจากพระที่ก่อเหตุ

    ได้ความแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้าม เรียกว่า "อาบัติ" พระรูปใดทำอีกต้องถูกปรับอาบัติ ตามความหนัก-เบา

    ส่วนพระรูปที่เป็นต้นเหตุ ถือเป็น "ต้นบัญญัติ" นับจากบัญญัติเป็นข้อห้ามแล้ว ทำอีกต้องอาบัติทันที

    ในเว็บ "มูลนิธิศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา" มีผู้ถาม-ตอบไว้สรุปย่อๆ ดังนี้

    "อาบัติ" คือ การตกไป ตกไปจากความดี

    เป็นโทษ ที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อ (พระวินัยบัญญัติ) ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้าม

    กล่าวโดยชื่อ อาบัติมี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก/สังฆาทิเสส/ถุลลัจจัย/ปาจิตตีย์/ปาฏิเทสนียะ/ทุกกฏ/ทุพภาษิต

    กล่าวโดย โทษมี ๓ สถาน คือ

    ๑.อาบัติอย่างหนัก ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ขาดจากความเป็นภิกษุ อันหมายถึง "ปาราชิก" ซึ่งเป็นอาบัติที่แก้ไขไม่ได้ เรียกว่า อเตกิจฉา

    ๒.อาบัติอย่างกลาง ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้นต้องอยู่กรรม (ปริวาส หรือมานัตโดยประพฤติวัตรอย่างหนึ่งเพื่อทรมานตน อันหมายถึง สังฆาทิเสส)

    ๓.อาบัติอย่างเบา ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ต้องประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน แล้วจึงจะพ้นโทษนั้นได้ ได้แก่ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต


    อาบัติอย่างกลางและอย่างเบานั้น เป็นอาบัติที่ยังแก้ไขได้ เรียกว่า สเตกิจฉา

    ความหมายของอาบัติแต่ละอย่าง


    (๑) อาบัติปาราชิก ผู้พ่ายแพ้ ขาดจากความเป็นภิกษุ

    (๒) อาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาศัยสงฆ์ในการออกจากอาบัติ

    (๓) อาบัติถุลลัจจัย อาบัติที่เกิดจากการกระทำที่หยาบคาย

    (๔) อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติที่ทำให้ความดีงามตกไป

    (๕) อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติที่ต้องแสดงคืนกับบุคคลที่ทำให้ต้องอาบัติ

    (๖) อาบัติทุกกฏ อาบัติที่เกิดจากการทำที่ไม่ดีไม่เหมาะสม

    (๗) อาบัติทุพภาษิต อาบัติที่เกิดจากการพูดไม่ดีไม่เหมาะสม

    ครับ...เพียงอยากเสริมเป็นความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เบื้องต้น เพราะหมู่นี้ เรื่องพระ-เรื่องศาสนาจะฮิต เพื่อการพูด/ฟัง/โพสต์ ที่เหมาะสม ศึกษาไว้หน่อยก็ดี

    กรณีธัมมชโยและมหาเถรสมาคม ไม่ถือเป็น "ต้นบัญญัติ" เพราะสิ่งที่ทำ เคยมีพระนอกรีต-นอกรอยทำมาก่อน แล้วพระพุทธองค์ทรงบัญญัติเป็นข้อไว้กว่า ๒๕๕๘ ปีมาแล้ว

    ห้ามทำ ถ้าทำเป็นอาบัติทันที!

    ฉะนั้น ธัมมชโยยักยอกทรัพย์เป็นของตน แม้คืน ก็ต้องอาบัติขั้นครุกาบัติ คือร้ายแรง ขาดจากความเป็นพระสถานเดียว

    แต่การที่มหาเถร กลับช่วยกันปกปิด-บิดเบือนอาบัติ โดยอ้างว่า "เรื่องนานกว่า ๑๗ ปีแล้ว ยกประโยชน์ให้แมลงวันหัวเหลือง-หัวโล้น เพื่อ 'ความปรองดอง' ไปเถอะ"!


    นั่น...ไม่มีในพุทธบัญญัติ ตั้งกว่า ๒ พันปี ไม่เคยมีใครอัปรีย์อ้างปรองดองลบพระวินัย ก็เพิ่งมี "มหาเถรกลายธรรม" ยุคนี้แหละ ทึกทัก ๑๗ ปี ปรองดอง ล้างอาบัติปาราชิก!

    ก็ขอกราบเรียนพระคุณเจ้า...........

    มหาเถรองค์ใด ช่วยปกปิดอาบัติทั้งอาบัติตัวเอง และอาบัติผู้อื่น เช่น ธัมมชโย รวมทั้งตัดสินอธิกรณ์แบบ "บิดเบือนพระวินัย" อันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว

    ล้วนผิดศีล ต้องอาบัติ คือเป็นผู้ตกไปจากความดี ความข้อนี้ พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลาย ทราบ "ด้วยจิตละอาย" รู้อยู่...แต่ก็ยังทำ ใช่ไหมขอรับ?

    วันนี้ ขึ้น ๖ ค่ำ อีก ๙ วัน ก็จะเป็นวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ!

    ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีนี้ สำคัญยิ่ง เพราะตรงกับวันที่ ๔ มีนาคม เป็น "วันมาฆบูชา"

    วันมาฆบูชา คือวันที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันเป็น "หัวใจพระพุทธศาสนา" คือ "โอวาทปาติโมกข์" ต่อพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เป็นครั้งแรก

    พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลาย อันมีคณะกรรมการ "มหาเถรสมาคม" ปกครอง โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ทำหน้าที่สังฆราชะ
    พระคุณเจ้าทราบใช่ไหมขอรับ....?

    ว่าการทำให้ "สังฆกรรมวิบัติ" ด้วยเจตนา เป็นอกุศลกรรม เท่ากับปิดประตูสวรรค์-นิพพาน และเปิดประตูนรกรับ โดยเฉพาะกับ "พระผู้เป็นเสียเอง"!

    การลงพระอุโบสถ ร่วมฟังพระปาติโมกข์ทุกวันพระ ๑๕ ค่ำ นั่นคือสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้มีศีลวิบัติเข้าร่วม

    และคำว่าศีลวิบัติ ไม่เพียงอลัชชีอย่างธัมมชโยเท่านั้น พระผู้ปกปิดอาบัติ ต่อให้สูงชั้นอภิมหาสมเด็จ ถ้าไม่แสดงอาบัติตามขั้นตอนความผิด หนัก-กลาง-เบา ให้ถูกต้อง-ครบถ้วนก่อน

    ถ้าร่วมสังฆกรรม ก็จะทำให้สังฆกรรมนั้นวิบัติ!

    ดังนั้น วันพระ ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันมาฆบูชาที่จะถึงนี้......!

    พระคุณเจ้าผู้ทรงสมณศักดิ์สูงในฐานะ "มหาเถรสมาคม" ผู้มีศีลบริสุทธิ์-บริบูรณ์ครบถ้วนดีแล้วทั้งหลาย

    จงสดับโอวาทปาติโมกข์ สำเหนียกด้วยจิตธรรมเถิด..........

    แล้วน้อมโอวาทปาติโมกข์ ข้อ ๒ อันเป็นบัญญัติตามคำสั่งของ "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" เข้ามาเปรียบเทียบ-ใคร่ครวญกับองค์พฤติกรรมความผิดของธัมมชโย ที่พระคุณเจ้าตัดสินไปว่า "ไม่ผิด" นั้น

    ว่า............

    พระพุทธองค์ "ตรัสผิด" ไปจากที่มหาเถรกลายธรรม ทำ เพื่อธัมมชโย

    หรือ....

    มหาเถรกลายธรรม "ทำผิด" ไปจากคำที่พระพุทธองค์ตรัส เพื่อธัมมชโย?

    โย ปน ภิกฺขุ คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิเยยฺย, ยถารูเป อทินฺนาทาเน ราชาโน โจรํ คเหตฺวา หเนยฺยุ วา พนฺเธยฺยํ วา ปพฺพาเชยฺยํ วา, โจโรสิ พาโลสิ มูโฬฺหสิ เถโนสีติ ตถารูปํ ภิกฺขุ อทินฺนํ อาทิยมาโน, อยมฺปิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโส.

    คำด่า ต่อให้ โซ่ หวาย ไม่ทำให้ "ผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ" ระลึกสำนึกรู้ในผิด-ถูก-ชั่ว-ดี ได้

    กับความเป็น "ภิกษุภาวะ" ส่วนมาก จะมีพื้นฐานมาจากการเป็นผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ

    ฉะนั้น การปฏิบัติจากพุทธบริษัท ด้วยหันหลังให้ เป็นการ "คว่ำบาตร" พระรูปนั้น หมู่คณะนั้น และคำเตือน-คำตำหนิ อันประกอบด้วยธรรม

    จะมีน้ำหนัก ยิ่งกว่า โซ่-แส้-หวาย และคำด่าทอใดๆ

    เพราะคำประกอบด้วยธรรม จะเฆี่ยนตี-โบย "จิตสำนึก" สมณะนั้นๆ ให้ตกนรกหมกไหม้ "ตายทั้งเป็น" ซึ่งมันเป็นความตาย ลึกและทรมานกว่า "นรกขุมที่ ๘" สำหรับพระที่ "ยิ่งยศ-ยิ่งใหญ่"

    แต่...."เหยียบย่ำ-ทำลาย" พุทธธรรมจากโอษฐ์พุทธองค์!




    แยกพระ-แยกโจร 'คนผ้าเหลือง' | ไทยโพสต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2015
  2. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    ใช่ไหมมมมมมมมม???
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2015
  3. แสงแข

    แสงแข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    7,935
    ค่าพลัง:
    +44,410
    ใช่เลยยยยยยยยยค่า
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ชั่ยยยยย.......เลยยยยย..... ลุง
     
  5. แสงแข

    แสงแข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    7,935
    ค่าพลัง:
    +44,410
    เปลว สีเงิน

    Tuesday, 24 February, 2015 - 00:00

    'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน'



    ต้องเข้าใจกันไว้เป็น "แกนยึด" ในมุมมองว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ล้วนมี "เหตุ-ปัจจัย" ทำให้เกิดทั้งนั้น

    กระทั่งเรื่องมหาเถรฯ อันมี "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ เป็นประธาน "บิดพระวินัย"

    ตัดสินอธิกรณ์ "ธัมมชโย" ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยยักยอกเงิน-ที่ดินผู้อื่นร่วมพันล้านมาเป็นของตน ว่า..........

    "ยักยอกแล้วคืน-ไม่ผิด"!?

    นั่นก็เหตุมาจาก "ตัณหาบังหน้าธรรม" ด้วยมหาเถรฯ ส่วนใหญ่หลงในลาภสักการะที่ธัมมชโย "โกงแล้วแบ่งปัน" ปรนเปรอ จนเป็นประหนึ่ง "นกติดตัง"

    จึง "ขายพระธรรม-วินัย" ให้กับธัมมชโยที่เบื้องหน้าประหนึ่งพระ แต่เบื้องหลังโจรครอบงำพระศาสนาเป็นอาณาจักรธรรมกาย ประสานอาณาจักรแดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา

    ใช้วิธีแปลงพุทธะให้วิปริต บิดพระธรรมอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไปเป็นลัทธิ-นิกาย "เพื่อการค้า-การเมือง ทางใต้ดิน"!

    ฉากหน้า ทำว่าเป็นอาณาจักรพุทธะ ขายบุญ-ขายสวรรค์ ใช้ศาสนาและผ้าเหลือง สมคบด้วยข้าราชการและนักการเมืองบางส่วน ขยายอิทธิพล-บารมี แทรกซึมด้วยรูปแบบ "พุทธ-พรางตา"

    หวังโน้มน้าวให้คนหลงศรัทธาทั้งในและนอกประเทศ คืบคลานครอบงำพุทธศาสนาในไทย ได้มหาเถร ได้มหานิกาย ได้มหาวิทยาลัยสงฆ์ ได้วัดน้อย-ใหญ่ และทั่งได้ธรรมยุตบางส่วน

    โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดขยายฐาน ใช้ปัจจัยเป็นเหยื่อล่อ จุดหมายปลายทาง ลัทธิธรรมกาย "เทกโอเวอร์" พุทธศาสนาครบวงจร ประสานการเมือง

    เป็น ๒ อาณาจักรประสาน!

    พระทั้งประเทศมีแค่ ๒-๓ แสน แต่ธรรมกาย ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจมหาเถร ส่วนมหานิกายและสำนักพุทธฯ เกิดอาชีพ "รับจ้างโกนหัว-ห่มเหลือง" ทำการตลาด เรียกว่าบวช ทีละหมื่นคน แสนคน ล้านคน

    ซึ่งถ้าบวชเป็นพระจริงๆ จะมีชายครบคุณสมบัติบวช และมีศรัทธาบวช มากมายขนาดนั้นทุกปี และปีละหลายครั้งอย่างนั้นหรือ?

    ก็คงเข้าทำนอง "ดารารับจ้าง" เข้าฉากธรรมกายพิทักษ์พระพุทธศาสนา ก็ใช้ผ้าเหลืองคลุม ถ้าเข้าฉากปกป้องประชาธิปไตย ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลือง เป็นผ้าแดงคลุม!

    มหาเถรฯ ปล่อยให้ธัมมชโยเดินแผน "แยกพระศาสนาให้แตกเป็นสอง" ด้วยสยบต่อซองปัจจัยอยู่ได้อย่างไร พระคุณเจ้าเอ๋ย?

    แล้วปล่อยให้ยึดถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อ้างทำบุญตักบาตร ช่วยโน่น-ช่วยนี่ และอ้างเดินธุดงค์ "บังหน้า"

    เนื้อแท้ เป็นการโฆษณาเคลื่อนที่ "แบรนด์ธรรมกาย" มีโล้นนะจ๊ะกับจานบินเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งทักษิณตั้งเป้าจะทำ "จานบินธรรมกาย" นี้ให้เป็นเหมือนเมกะ!

    ส่วนฉากหลัง ธรรมกายเป็นอาณาจักรลึกลับ-ซับซ้อน ที่เห็นด้วยตาภายนอก ล้วนตรงข้ามกับเนื้อใน

    "เนื้อใน" นั้น กินพื้นที่หลายพันไร่ "คนภายนอก" ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้าไปดูได้ว่า เส้นทางภายในสัมพันธ์ขบวนการแตกชาติ แตกศาสนาหรือไม่ อย่างไร?

    รู้แต่ว่า ธรรมกายกับ "แดงทั้งแผ่นดิน" กับเถนเฒ่าเยาว์ปัญญา มหาวิทยาลัยสงฆ์บางแห่ง และวัดวาส่วนหนึ่ง

    ผนึกอยู่ใต้ระบอบทักษิณด้วยกัน!

    เงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่นายศุภชัย "มือหาเงิน" ยักยอกให้ธรรมกายและธัมมชโยนั้น ไปถามดีเอสไอ ปปง.ดูเถอะว่า....

    ส่วนหนึ่งเป็นร้อย-เป็นพันล้าน นายศุภชัยผันเข้าบัญชีบริษัทสาวกระบอบทักษิณด้วยใช่มั้ย?

    เห็นทั้งรัฐมนตรีกฎหมายอังดรัวต์ ทั้งระดับหัวหน้าพรรค ยืนเรียงแถวถ่ายรูปกันจมูกบาน หัวขาวโพลน ฉลองเปิดสำนักงาน "เงินโจรผัน" กันโจ๋งครึ่ม!

    ก็ไม่กล้าแถลง ว่าการยักยอกนี้ นอกจากพันธรรมกายแล้ว ยังพันพวกนักการเมืองระบอบทักษิณขนาดไหน?

    ยังดีที่ พ.ต.อ.สีหนาท ไม่โบ้ยว่าเงินที่ผันเข้าบริษัทระบอบทักษิณถูกแปลงเป็นที่ดินวัด ยึด-อายัดไม่ได้ ก็นับว่าบุญแล้ว!

    ปูมข้อมูลเรื่องยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนี่ ต้องชมเชย และยกย่อง "สำนักข่าวไทย พับลิก้า"

    เขาตามเรื่องนี้ในเชิงสืบสวน-สอบสวน ประมวลด้วยข้อมูลเชื่อมโยงมีหลักฐานยืนยันชัดเจน เชื่อถือได้ สมบูรณ์ที่สุด ผมก็อาศัยงานข่าวของไทยพับลิก้านี่แหละเป็น "บันทึกช่วยจำ"

    ก็อารัมภบทมาซะยาวในประเด็น "เหตุ-ปัจจัย" อยากบอกอีกนิดว่า ทุกอย่างในโลกนี้........"ไม่มีทางตัน"

    นั่นคือ...ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา มีทางออก-ทางไป และทางจบ......!

    ไม่ว่าเรื่องธัมมชโย เรื่องธรรมกาย เรื่องมหาเถร กระทั่งเรื่อง "ระบอบทักษิณ" ที่เป็นเสี้ยนตำตีนสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้

    เอาเฉพาะเรื่องมหาเถรกับธรรมกายก่อน เมื่อสังคมตื่นและเอาจริง คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ก็เอาจริง

    ทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.ก็ปรับหางเสือ ทำท่า "เอาจริง" ด้วยเช่นกัน!

    เรื่องมหาเถรตัดสิน "โกงแล้วคืนไม่อาบัติ" หลายคนมึนว่า กับพระ-กับเจ้า ชั้นสมเด็จ ชั้นพรหม ชั้นเทพ ชั้นธรรม เป็นรัฐบาลสงฆ์ สูงสุดทางอำนาจปกครอง

    เมื่อทั้งนายกสงฆ์ และรัฐมนตรีสงฆ์ ทำผิดพระวินัยเสียเอง แล้วใครจะจัดการได้ล่ะ?


    ประเด็นมีว่า ผิดทางพระวินัย ถือเป็นเรื่องในอ้อมแขนมหาเถร ญาติโยมภายนอกเข้าไปทำแทนไม่ได้


    แต่คณะสงฆ์ก็อยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองด้วย นั่นคือ วินัยเป็นกฎหมายเฉพาะพระ เมื่อผิดวินัย พระก็ต้องไปว่ากันเอง

    แต่เมื่อพระผิดกฎหมายบ้านเมือง พระก็ต้องถูกทางบ้านเมืองพิจารณาโทษด้วยกฎหมายพระ ที่เรียกว่า "พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕/๒๕๓๕/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด"

    ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา ๑๕ ตรี (๔) บัญญัติให้มหาเถรสมาคม "รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา"

    การที่มหาเถรมีมติว่าพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนายักยอกทรัพย์สิน รวมทั้งได้นำเอาทรัพย์สินมาคืนแล้ว จึงไม่ถือว่าปาราชิกนั้น มีประเด็นต้องพิจารณาว่า....

    "มติดังกล่าว ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ซึ่งมหาเถรสมาคมมีหน้าที่ต้องรักษาหรือไม่?"

    พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑

    (๑๒๓) ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ

    มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑

    ในทางกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเจ้าพนักงานยักยอกที่นำทรัพย์ที่ยักยอกมาคืน โดยศาลวินิจฉัยว่า....

    "เป็นความผิดสำเร็จ"!

    คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕๒๗ สารวัตรใหญ่สั่งให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจ การที่จำเลยนำเงินดังกล่าวไปฝากพี่สาว มิได้นำมาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ หรือหากไม่มีตู้นิรภัย ควรจะเก็บเงินอย่างใด จำเลยก็จะต้องขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

    พฤติการณ์แสดงว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนในภายหลัง ก็มีความผิดตาม ป.อ. ม.๑๔๗

    เนี่ย...ชัดเป๊ะ!

    มติของมหาเถรดังกล่าว เป็นมติที่ขัดทั้งหลักธรรมวินัย หลักกฎหมายบ้านเมือง หลักธรรมชาติ หลักศีลธรรมอันดีงาม หลักวิญญูชน

    จึงถือว่า คณะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน (ชาวพุทธ)

    "มหาเถรสมาคม จึงไม่มีอำนาจพิจารณาเพื่อลงมติดังกล่าว"!

    การลงมติดังกล่าวของที่ประชุมมหาเถร เมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ จึงไม่มีผลผูกพันผู้หนึ่งผู้ใด ส่งผลให้มติธัมมชโยโกงแล้วคืน "ไม่ผิด-ไม่ต้องอาบัติปาราชิก" ตกไป

    แล้วอย่างนี้ อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งเป็นพุทธบริษัทจะจัดการทางกฎหมายกับคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มั้ย?

    ได้ซิ...โยม!

    เพราะตาม พ.ร.บ.สงฆ์ คณะกรรมการมหาเถรฯ เป็น "เจ้าพนักงาน" เมื่อเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บอกว่า

    "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"

    นั่นคือ....ชาวพุทธทุกคน สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ออกมติเมื่อ ๒๐ ก.พ.๕๘ ได้ทั่วราชอาณาจักรไทย!

    ยิ่ง สปช. "ไพบูลย์ นิติตะวัน" นำเอกสาร "มติมหาเถรสมาคม" ครั้งที่ ๑๖/๑๕๔๒ มาแสดงเมื่อวาน ชัดแจ้งตามข้อความว่า.........

    ".....ที่ประชุมรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระสังฆราชประทานทั้งหมด มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม

    .......จึงเห็นสมควรส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป"


    นี่เท่ากับ "จับโกหก" ทั้ง ผอ.สำนักพุทธฯ "นายพนม ศรศิลป์" และมหาเถรที่ว่าเมื่อปี ๒๕๔๒ "ไม่มีมติมหาเถรฯ รับทราบพระดำริ 'สมเด็จพระสังฆราช' ว่าธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"!

    ตั้งใจจะชี้ให้เห็นเส้นทางใช้ธรรมกาย "ฟอกเงินโจร" ที่นายศุภชัยยักยอกมาซุกไว้ที่บริษัทมงคลเศรษฐีเอสเตท เครือข่ายธรรมกาย ซักหน่อย

    ด้วยอยากรู้ แบบนี้ พ.ต.อ.สีหนาท ณ ปปง.จะปิดบัญชีว่า "เป็นของวัด" แล้ว ยึดคืนไม่ได้ เหมือนรายทัตตชีโว "ฟอกที่ดิน" เงินโจรไปสร้างเจดีย์ที่กาญจนบุรี ทั้งที่ชื่อนายศุภชัยยังคาโฉนด

    แต่ พ.ต.อ.สีหนาทแถลงเฉย... "เป็นของวัดไปแล้ว อายัดไม่ได้"!?

    แล้วตำแหน่งเลขาฯ ปปง.ล่ะครับ....

    อายัดไว้ตรวจสอบบ้าง ได้มั้ย?

    'ธรรมกาย' กับการเมือง 'ใต้ดิน' | ไทยโพสต์
     
  6. DarKKazE

    DarKKazE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +239
    ถ้าท่านต้องอาบัติปาราชิกจริง

    มีนักบวชลงไปร่วมกับท่านเยอะแน่ครับไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวเหงา

    ปล.ได้ข่าวว่าล่างๆยิ่งลึกคนยิ่งแน่นครับ
     
  7. แสงแข

    แสงแข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    7,935
    ค่าพลัง:
    +44,410
    ความเสื่อมของคนห่มจีวรพระ

    น.ส.พ.ผู้จัดการ

    โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ

    26 กุมภาพันธ์ 2558

    สังคมไทยกำลังตื่นตัวกับกรณีของธรรมกายโดยการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ประจวบกับธรรมกายมีความเกี่ยวพันกับทักษิณและครอบครัว ทั้งยังมีหลักฐานว่า ธรรมกายยังเป็นที่พักพิงและเกื้อหนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้หลายคนมองว่านี่เป็นเรื่องการเมือง

    รวมทั้งเห็นคนเสื้อแดงและพระสายเสื้อแดงหลายคนออกมาแสดงความเห็นปกป้องธรรมกาย จนมองได้ว่า ธรรมกายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณ ที่ทักษิณเดินในแนวทางโลก แต่ธัมมชโยเดินในแนวทางธรรม โดยร่วมมือเกื้อกูลอาศัยกันเพื่อยึดครองประเทศ

    แต่ความจริงแล้วกรณีธรรมกายเป็นเรื่องของความผิดถูกชั่วดีต่อพระธรรมวินัยที่มองเห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยักยอกทรัพย์ที่คนบริจาคมาเป็นของตัวเอง การบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะที่ว่านิพพานเป็นอัตตา การอวดอุตริมนุสธรรมของธัมมชโยหลายครั้ง

    ธัมมชโยเคยถูกพระลิขิตสมเด็จสังฆราชฯ ว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้วตั้งแต่ปี 2542 แต่ธัมมชโยก็หลุดรอดมาได้จากวินัยสงฆ์และอาญาแผ่นดินยืนยงอยู่ได้จนปัจจุบัน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันมานี้มีผู้เรียกร้องให้ตรวจสอบว่า การกระทำของธัมมชโยถือว่าต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ หรือยัง

    หลังการประชุมพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส.ได้อ้างว่าธัมมชโยยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตในการคืนที่ดินทุกประการ โดยได้ทยอยคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกาย ขณะเดียวกัน คณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะปกครอง ได้ดำเนินการสอบสวนความผิดของพระธัมมชโย และได้มีผลสรุปออกมาว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด จึงถือเป็นอันยุติ ตามมติ มส.ที่ตัดสินไว้ตั้งแต่ปี 2549 หลังจากนั้นได้มีการคืนตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ดังนั้นสถานภาพปัจจุบันของธัมมชโยยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและดำรงสมณศักดิ์เช่นเดิม

    ทำให้สังคมไทยตั้งคำถามต่อมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากการเป็นกรรมการโดยสมณศักดิ์ และโดยการแต่งตั้งซึ่งแบ่งเป็นพระเถระจากฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติฝ่ายละ 10 รูป ว่า เป็นมติที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะถือว่าความผิดของธัมมชโยสำเร็จแล้ว และเป็นการคืนทรัพย์สินหลังจากพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ หลายปี โดยมีรายงานข่าวว่าพระเถระฝ่ายมหานิกายทั้ง 10 รูปลงมติสนับสนุนธัมมชโยและมีพระฝ่ายธรรมยุติสองรูปที่สนับสนุน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลือบแคลงสงสัยต่อตัวของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดภาษีเจริญ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม เพราะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับวัดธรรมกาย โดยสมเด็จช่วงเป็นพระอุปัชฌาย์ของธัมมชโยเคยไปร่วมเดินธุดงค์กลางเมือง และมีหลักฐานว่า ธัมมชโยเคยถวายเงินให้สมเด็จช่วงหลักหลายล้านในหลายครั้งรวมถึงการถวายรถเบนซ์

    อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมามีผู้อ้างว่า การประชุมเถรสมาคมวันนั้นไม่มีการลงมติแต่อย่างใด และกรรมการเถรสมาคมบางรูปไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย วันนั้นมีแต่เพียงการนำผลการชี้แจงที่นายสมเกียรติ ธงศรี ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมที่นำมติ มส.ปี 2549 เกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกายที่นำไปชี้แจงยังคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนามารายงานให้ มส.ได้รับทราบเท่านั้น

    อ้าวหากเป็นเช่นนั้นการออกมาแถลงเป็นตุเป็นตะของพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส.ก็เป็นความเท็จใช่หรือไม่

    ดังนั้นกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปที่เข้าร่วมประชุมวันนั้น จึงควรจะออกมาชี้แจงความจริงต่อประชาชนเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และหากยังไม่มีมติของมหาเถรสมาคมจริงก็ควรจะมีการประชุมอีกครั้งเพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบว่ามติของมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นที่ประชุมของพระสงฆ์ผู้เจริญในยศถาบรรดาศักดิ์นะมีความเห็นต่อเรื่องธัมมชโยอย่างไร

    แต่ถ้ามหาเถรสมาคมเห็นว่า ธัมมชโยยังไม่ปาราชิก พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ไม่มีความหมายจะต้องอธิบายให้ได้ทั้งทางธรรมและทางโลกว่า ไม่ผิดอย่างไร เพราะในทางโลกนั้นถือว่า การกระทำความผิดสำเร็จแล้ว เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้แม้จะคืนทรัพย์สินที่ยักยอกไปกลับคืนมาแล้วก็ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากความผิดได้ ในทางโลกนั้นถือเป็นกฎที่ใช้กับบุคคลธรรมดาในทางสงฆ์ย่อมจะต้องเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยและศีลธรรมยิ่งกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป

    อย่ามาอ้างว่า เพราะหลุดพ้นจากคดีอาญาแล้วจึงไม่มีความผิด เพราะการถอนคดีของนายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดในขณะนั้น เป็นที่เคลือบแคลงว่า ขัดกับหลักของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

    ไม่เพียงแต่เรื่องยักยอกทรัพย์เท่านั้น พฤติกรรมของวัดธรรมกายและธัมมชโยที่ปรากฏต่อสายตานั้น มหาเถระต้องมีมติให้ชาวพุทธที่มองเห็นว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ผิดถูกอย่างไรในสายตาของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในนามมหาเถรสมาคมที่มีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม และรักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา

    ต้องชี้ให้ชัดว่า การอวดอ้างว่า สามารถขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ สามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้าได้ในอายตนะนิพพาน หรือการอ้างว่าใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิของสตีฟ จอบส์ หลังความตายได้ รวมทั้งคำสอนที่ว่ายิ่งทำบุญมากๆ ยิ่งได้ขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นนั้นเป็นอย่างไรถูกต้องกับหลักการของพุทธศาสนาหรือไม่ รวมไปถึงการทำการตลาดแบบแชร์ลูกโซ่ในการหาคนเข้าวัดด้วย

    หลายวันมานี้ ผมเห็นว่า มีพระหลายรูปออกมาปกป้องมหาเถรสมาคมและสมเด็จช่วง โดยอ้างว่านี่เป็นเรื่องการเมือง พระบางองค์บอกว่า เป็นแผนสกัดกั้นเพื่อไม่ให้สมเด็จช่วงซึ่งเป็นฝ่ายมหานิกายได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แต่ผมไม่ได้ยินพระเหล่านั้นกล้าพูดเลยว่าพฤติกรรมของวัดธรรมกายและธัมมชโยถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมวินัยหรือไม่ หรือกล้าที่จะพูดว่า การที่พระยักยอกทรัพย์ของวัดไปเป็นของตัวเองนั้นมีความผิดหรือไม่

    ในขณะนี้ คนที่เป็นพุทธศาสนิกชนนั้นมองเห็นปรากฏการณ์ของธรรมกายและธัมมชโยว่า ผิดแผกไปจากพฤติกรรมและวัตรปฏิบัติของสงฆ์ แต่ถ้าคนเป็นพระแล้วมองไม่เห็นก็ยิ่งเป็นเรื่องมืดมนของวงการสงฆ์อย่างถึงที่สุดแล้ว

    โดยมีคนบอกว่าทุกวันนี้เงินของธรรมกายแผ่กระจายไปสู่วัดวาและพระสงฆ์องค์เจ้าทั่วทุกหัวระแหง และมีคนหน้ามืดตาบอดจำนวนไม่น้อยที่หลงศรัทธา

    อย่างไรก็ตาม อย่าไปกังวลว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ความแท้แห่งพระธรรมไม่มีกำหนดอายุกาล จริงแท้อยู่ตลอดกาล จริงแท้อย่างนั้นทุกยุคทุกสมัย

    ถ้าจะเห็นความเสื่อมก็เป็นเรื่องของคนโกนหัวที่ห่มร่างกายด้วยจีวรของพระสงฆ์เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2015
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...