ความรู้สึกสุดแปลกที่เกิดขึ้นกับผมเวลาได้ทำบุญ ใครเป็นเหมือนผมบ้างครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 25 มกราคม 2015.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ย้อนหลังไป 5 ปีที่แล้วจนถึงวันที่ผมเกิดมาบนโลกนี้ ตอนนั้นผมเป็นคนที่ขี้เหนียว ขี้งก สุดๆ คนเหนือ
    เรียกว่าเป็นคน "ขี้จิ๊ขนาด" คือแบบว่าไม่เคยทำบุญทำทานอะไรเลย วัดก็ไม่ชอบเข้าเหมือนเด็กและ
    วัยรุ่นทั่วไป ทั้งที่พ่อของผมท่านเคยบวชเรียนมาแล้วลาสิกขาครองเรือนเป็นฆาราวาส แต่ท่านก็ไม่ชอบชวน
    ผมเข้าวัดทำบุญใดๆเลย ผมเลยมีนิสัย ขี้จิ๊ขนาด ติดตัวมาตั้งแต่เด็กอย่างไม่ต้องสงสัย

    จนมาถึงเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมได้ฟังเสียงธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านพูดเทศน์ เรื่องนรก สวรรค์
    ซึ่งเรื่องลึกลับแบบนี้ผมชอบเป็นพิเศษ ช่วงนั้นเลยฟังเสียงธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีทุกวันทุกเวลาที่ว่างๆ และ
    ท่านก็ได้พูดถึงเรื่องการให้ทานและอานิสงส์ของการให้ทานด้วย

    จากคนทีี่ขี้เหนียวสุดๆ ก็เริ่มอยากให้ทานมาแล้วบ้าง โดยครั้งแรกได้ไปซื้อ ถังสังฆทานสีเหลืองๆ ไปถวายพระที่วัด
    ที่วัดนั้นก็ดูสะอาดสบายตาดี ข้างในสถานที่ที่จะถวายทานก็มีความสะอาดเป็นระเบียบ และที่ดีคือ มีพระพุทธรูป
    เป็นโต๊ะหมู่บูชาให้เราได้กราบไว้เสียก่อนให้ทาน อันนี้ดีมาก จากนั้นก็ได้ตั้งใจถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์ 1 รูป
    คิดว่าคงเป็นตัวแทนของสงฆ์ทั้งหลาย แล้วกรวดน้ำด้วย ตอนนั้นรู้สึกอิ่มใจมาก พึ่งรู้และอ๋อในใจว่า การทำบุญนี้มันดี
    อย่างนี้นี่เอง จิตใจมีความสุขมากเลย ตอนนั้นรู้สึกดีกับการทำบุญขึ้นมาแล้ว

    ผ่านมาจนถึงปัจจุบันผมลองคิดย้อนไปถึงตอนที่ผมได้ทำทานถวายถังสังฆทานสีเหลืองใบนั้นเป็นครั้งแรก ผมยัง
    รู้สึกดีเหมือนเดิมเลย คือภาพความทรงจำดีๆที่เราพึ่งได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อนในชีวิต และเวลาทำแล้ว
    ก็ทำให้จิตใจของเรามีความสุขสดชื่นอิ่มที่สุดแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ได้เลยจริงๆ

    เวลาของการได้ถวายสังฆทานครั้งแรกในชีวิตและแฮ๊ปปี้สุุดๆเวลานั้น ก็ได้ผ่านมาแล้ว 5 ปีกว่าๆแล้ว และหลัง
    จากนั้นพฤติกรรมของผมก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คือชอบทำบุญเพิ่มมากขึ้นทีละนิดๆ วัดที่ไม่เคยเข้าเลย ผมก็
    เริ่มเข้า เพื่อไปทำบุญ คำว่าทำบุญ นี้มันมีความยิ่งใหญ่สำหรับจิตใจผมจริงๆ ขนาดยังไม่ได้ไปทำ แค่คิดว่าจะ
    ไปทำบุญ ถวายทานขึ้นมาเฉยๆ แบบตัั้งใจไว้ก่อน ความรู้สึกดีก็ผุดขึ้นมาในใจให้ผมได้รับความอิ่มความหรรษา
    ก่อนเลย นี่เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ

    ปัจจุบันผมกลายเป็นคนที่ทำบุญเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว คือทุกวันผมจะต้องไปใส่บาตรพระตอนเช้า ซึ่ง
    เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำในอดีตเหมือนกัน และทุกวันอาทิตย์ ผมต้องไปถวายสังฆทานที่วัด อันนี้ทำมายาวนาน
    พอสมควร ตอนนี้ผมไปทำบุญเพราะมีความรู้สึกแปลกๆใหม่ๆเข้ามาในจิตใจซึ่งมีแรงผลักดันที่จะไปทำให้ได้เป็น
    ปรกติอยู่มากยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเลยความชอบที่จะทำมาได้พักใหญ่แล้ว คือเมื่อก่อนไปทำบุญ จะหวังให้บุญ
    นั้นกลับมาหาเราบ้างไม่ว่าทางใดหรือทางหนึ่งและหวังปีติจากบุญหวังความอิ่มใจจากการได้ทำบุญให้ทาน
    แต่พักหลังมานี้หนักเข้าไอ้ความรู้สึกหวังต่างๆนั้นมันลดลงไปจนหายไปตอนไหนไม่รู้ เกิดความรู้สึกแปลกๆใหม่
    ขึ้นมาแทนของเดิม คือ

    ตอนนี้เวลาผมได้ทำบุญทุกครั้ง ผมจะรู้สึกว่ากิเลสความโลภของผมมันได้สลัดออกไปจากใจทีละนิดๆ และเวลา
    ทำแล้วความเบาความโล่งมันจะเกิดขึ้นเองจริงๆ ความรู้สึกนี้จะผุดขึ้นมาในใจทุกครั้งที่ผมได้ทำบุญเลย ก่อนหน้านี้
    ทำบุญแบบหวังได้ความอิ่มความปีติใจมันก็ได้อยู่ ได้มากด้วยอิ่มใจมากๆ แต่มันเป็นอารมณ์หนักๆ มันไม่โปร่ง
    เหมือนตอนนี้ ตอนนี้ทำบุญทีไร อย่างเช่นเมื่อเช้าไปใส่บาตรมา นึกในใจเวลาใส่เลย ว่า "กิเลสความโลภเราได้
    หายไปแล้วอีกชิ้นหนึ่งแล้ว เราใกล้พระนิพพานไปเรื่อยๆทุกทีแล้ว" คิดแค่เนี๊ยะคุณเชื่อไหม มันโล่งมันเบาใจ
    ขึ้นมาทันทีทันได อันนี้ของจริง ผมยืนยัน มันรู้สึกเหมือนกับเราได้ทำลายความรู้สึกหนักๆบางอย่างในใจไปเรื่อยๆ
    ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันผุดขึ้นมาในใจผมได้อย่างไร แต่มันดีกว่าแบบแรกเยอะเลย และผม
    ก็มีกำลังใจที่จะให้ทานเพื่อกำจัดความโลภในจิตใจตนเองอย่างไปท้อแท้หวั่นไหวด้วย เพราะมันรู้สึกดีมากๆคุณๆเอ๋ย

    ถ้าใครไม่ได้รับความรู้สึกแบบนี้คงจะเดากันไม่ออกบอกกันไม่ถูกหรอกว่ามันรู้สึกดีกว่าปีติธรรมดามากๆเลย เออ!
    เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเนาะ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าผมจะเปลี่ยนมาได้ขนาดนี้จากคนขี้งกสุดๆ จนวันนี้ผมต้องได้ให้
    ทานทุกวันเพื่อทำลายกิเลสความโลภภายในจิตใจของตนเอง มันลดลงเท่าไรผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือ เวลาผมคิดตั้งจิต
    ว่าจะไปทำบุญเพื่อทำลายกิเลสความโลภในใจของตนเองให้หมดไปอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้นแหละ กำลังใจมันจะวิ่งปี๊ดเข้า
    มาเลย เพราะรู้สึกว่าใจมันเริ่มชอบแบบนี้เข้าให้แล้ว

    ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้อยู่ในขั้นของปรมัตถบารมีหรือเปล่า เพราะผมไม่สันทัดเรื่องของทฤษฏี แต่ที่แน่ๆผมรู้ว่า
    ตอนนี้เวลาผมได้ทำบุญ ความโลภผมหายไปแล้วอีกชิ้นหนึ่งแล้ว ความอยากร่ำรวยด้วยบุญที่ทำผมไม่มีความ
    รู้สึกนั้น ผมไม่ต้องการให้บุญที่ผมทำจะต้องกลับมาตอบแทนผม เพราะผมยินดีที่จะทำบุญเพื่อทำลายกิเลสความ
    โลภภายในใจของผมมากกว่าสิ่งใด ซึ่งสิ่งตอบแทนที่แสนคุ้มค่าที่ผมได้รับนั้นคือ ความโล่งใจจริงๆ เบาใจจริงๆ
    มันไม่เกาะอะไรแล้วจริงๆ อย่างชนิดที่ว่า ผมก็ไม่รู้จะใช้ภาษาไทยคำไหนมาเขียน ความรู้สึกแบบนั้นให้ท่าน
    ผู้อ่านทั้งหลายได้รับรู้ความรู้สึกวิเศษนั้น เหมือนกับที่ผมได้รู้สึกทุกครั้งเวลาทำบุญ และจะรู้สึกยิ่งๆขึ้นไป
    อย่างแน่นอน ผมคิดไว้อย่างนั้น และมันจะไม่ผิดแน่นอน!

    ความรู้สึกสุดแปลกที่เกิดขึ้นกับผมเวลาได้ทำบุญ ใครเป็นเหมือนผมบ้างครับ?
     
  2. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    สาธุด้วยครับท่าน ทำอีกทำไปเลย ทำแล้วมีความสุขทำโลด
     
  3. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    ความดี คือบุญ การทำบุญก็คือการทำความดี การให้ทานเมื่อให้แล้วย่อมรู้สึกอยากให้อยู่เรื่อยๆ มันคือกำลังใจ คือบารมีที่เพิ่มขึ้นของเรา

    สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องทำการบำเพ็ญบารมี 10 ทัศให้เต็ม คำว่าทำให้เต็มนั้นคือในบารมีแต่ละทัศนั้นจะแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 ระดับ คือบารมีขั้นต้น กลาง และสูงสุด รวมทั้งหมดเป็นบารมี 30 ทัศ ต้องถึงระดับปรมัตถบารมีทั้งหมด

    1.บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น
    2.บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น
    3.บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น

    สำหรับปุถุชนคนธรรมดา มักจะมีบารมีอยู่ในระดับต้นและกลาง เพราะไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ แต่บารมีจะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลในระดับโสดาบันขึ้นไป แต่ถ้าผู้ใดรู้ตัวว่ามีบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมีในขณะที่เป็นคนธรรมดาก็แสดงว่าอาจเคยตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้ามาในอดีตชาติ ซึ่งหนทางยังอีกยาวไกล เพราะแค่บารมีขั้นที่ 1 คือการให้ทานกว่าจะไปถึงขั้นปรมัตถบารมีได้ก็ต้องพยายามกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ซึ่งบารมีที่ทำได้ยากที่สุดคือบารมีตัวที่ 10 อุเบกขาบารมี อีกทั้งต้องได้รับการพยาการณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาด้วยเพื่อเป็น นิตยโพธิสัตว์(ความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน และไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจในการบำเพ็ญบุญบารมีกลางคันได้)

    แต่การได้บารมีถึง 30 ทัศอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ยังไม่ได้การันตีว่าพระโพธิสัตว์นั้นจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ยังต้องพึ่ง ธรรมสโมธาน 8 ประการอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องการเก็บตกคุณสมบัติต่างๆให้ครบทั้ง 8 ข้อ ซึ่งธรรมสโมธานข้อที่น่าจะหาทำได้ยากที่สุดคือ ข้อที่ 4 ซึ่งระบุไว้ว่า"ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์"ซึ่งก็จะเกี่ยวเนื่องกับการได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าด้วยนั่นแหละเกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่ธรรมสโมทานในบางข้อก็จะมาได้ในชาติสุดท้าย เมื่อทุกอย่างครบแล้ว การตรัสรู้ก็จะเกิดขึ้น บังเกิดพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก

    เกือบลืมตอบคำถามของ จขกท. การให้ทานที่ จขกท.กระทำถือเป็นบารมีขั้นต้นในส่วนของทานบารมี(ขออภัยด้วยดูผิดไป พอดีอ่านเร็วไปหน่อย เพราะรีบเข้ามาตอบแต่ดันมาทีหลังคุณน้องใหม่ 2008 ซะได้ ตอนแรกเห็นแล้วว่ายังไม่มีใครตอบ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2015
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ ที่ทดสอบมาถ้าเราคิดปรุงแต่งจิตให้ดีก่อนทำบุญก็จะเบิกบานใจได้ แต่ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเวลาให้ทานมันจะมีความสุขมากกว่า บางทีปีติจนตัวสั่นเลย แต่ก็ไม่ได้เป็นตลอด หลังๆ มานี้ก่อนจะให้ทานก็ต้องทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันก่อนแล้วค่อยให้
     
  5. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    บารมีขั้นต้น กับ เนกขัมมะบารมี คนละเรื่องกัน
    ไปอ่านที่ตัวเองก๊อปมาใหม่ให้เข้าใจ
     
  6. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    ผมไม่ได้เป็นเจ้าของกระทู้นะครับ ถ้าอยากคุยก็ไปคุยกับคุณนิพพานสุขโน่น เข้ามาในกระทู้นี้เพื่อจะคุยกับผมหรอครับ ผมนึกว่าคุณจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ให้ จขกท.บ้างซะอีก ผมกล้าพอที่จะยืนในที่โล่งแจ้งเสมอ ไม่ใช่เต่าหดหัวในกระดอง อยากจะเข้าไปดูกระทู้ไหนบางทีต้อง Log out ให้เป็นบุคคลภายนอก เห็นแล้วน่าสมเพช ผมจะไม่เล่นเกมอะไรด้วยนะครับ
     
  7. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ไม่ได้เล่นเกมและไม่เคยล็อคเอ๊าท์
    ถ้าไม่บอกก็ผิดคาอยู่อย่างนั้น
    อย่าทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว

    ถ้าไม่ต้องการให้ใครท้วงติงอะไรก็อย่าเอารูปที่เกี่ยวพันไปถึงครูบาอาจารย์มาเป็นรูปแทนตัว
    รับรองว่าจะปล่อยตามเวรตามกรรมแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มกราคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...