ความลับของคำว่า " ไฟดับแล้ว ไม่ปรากฎว่าอยู่ที่ใด "

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 20 ธันวาคม 2007.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    .....งงเหมือนกันเนอะ....

    สรุปง่ายๆ

    ถ้าอยากจะลา ก็ขอให้ลาได้สง่างามหมดจรดเหมือนหลวงปู่มั่น

    ถ้าลาแบบนี้ไม่ได้ ก็ไม่น่าจะลา

    ถ้าลาตอนนี้ก็เกรงว่างามไม่เท่า -- ขอโอกาสหน้านู้นจะดีกว่า
     
  2. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    มิกล้า มิกล้า

    สมาชิกในเว็บนี้ คนที่มีภูมิธรรมสูงกว่าผม มีอยู่ไม่เกิน 10 คน หนึ่งในนั้นคือ เล่าปัง

    แล้วมีหรือ ผมจะกล้าชี้แนะท่าน ถ้าจะรอ ก็คงอีกสัก 2-3 ปี คงพอได้ อิอิ...
     
  3. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ท่านจะเอาความสง่างามไปทำอะไรหรือครับท่าน

    ผมเห็นว่า ลาได้ก็ลา จะได้ไปเร็วๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร

    เรื่องสวยๆ งามๆ ผมก็ชอบนะ หุๆๆ แต่ก็ต้องยั้งๆ ไว้หน่อยก็ดี กลัวติดโลกเกินไป
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่หรอก เราเป็นพวกจับจด

    บางเรื่องพวกคุณก็คุยกันสูงกว่าที่เรารู้

    ก็ดูอย่าง คห#143 ไง แจ่มเลย
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณวิมุตติ ถ้าทางธรรมนะอีกสอง สามปีกว่าจะตามเล่าปังทัน
    แต่ถ้าทางโลก นี้ อีก อสงไขยหนึ่ง
    เพราะจริตพุทธภูมิ ปัญญามาก วิมุตติตามเล่าปังไม่ทันหรอก

    ด้วยจริต สาวกภูมิ ผมเห็นในตัวคุณวิมุตติเต็มเปี่ยม เพราะนำด้วยศรัทธา
    แต่จริตท่านเล่าปัง นั้นนำด้วยการเห็นของตนเอง

    ท่านเล่าปัง ท่านถอนไม่ได้หรอกรอไปเถิด สร้างกุศลต่อไปเถิด หากชาตินี้ท่านเข้าถึง ปรมัตถบารมี คือ ดับรูปดับนามได้ สังโยชน์ไม่ต้องถอน ค้างไว้ที่ โคตรภูญาณ จะเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ไปอบายภูมิหรอก
    กรรมแต่งท่านมาแบบนั้นแล้ว คงยากจะถอน
    ส่วนวิมุตติ ถ้าท่านจะหมายเอา ในชาตินี้ ได้แน่ ถ้าท่านออกบวช เพราะท่านมาไกลแล้ว เหลืออีกนิดนึง คือ กุศลจิต มีให้มากกว่านี้ พรหมวิหารสี่ เอาให้มาก กายคตาสติ เอาให้มาก อาหาเรปฏิกูลสัญญา พิจารณาตอนจิตสบายๆ อสุภะ นี้ พิจารณาให้บ่อย มันจะถอนความสวยงามได้
    แต่ทั้งนี้ เอาไว้ทำตอนบวชก็ได้ ทำตอนนี้เดี๋ยวจะเบื่อหน่ายโลก


    ผมเดาเอานะ ปัญญามันบอกมาอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    "....ดับรูปดับนามได้ สังโยชน์ไม่ต้องถอน ค้างไว้ที่ โคตรภู.."

    ขอจดไว้ก่อน
     
  7. 00008

    00008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +63
    ดังที่กล่าวมานี้ผมเข้าใจว่า จิตของพระอรหันต์นั้นก็ว่าง ใช่ไหมครับ
     
  8. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ^
    ^
    ^
    จิตของพระอรหันต์ว่างจากิเลสทั้งปวงครับ
    ไม่มีอกุศลจิตเกิดขึ้นได้เลย มีแต่กุศลจิตเท่านั้นครับ

    พวกจิตว่าง จะเป็นพวกพรหมชั้นที่ 15 กับ 20 มากกว่าครับ
    (พรหมชั้นที่ 17-19 ผมไม่แน่ใจว่าจิตว่าด้วยเปล่านะ)

    ปล.พรหมชั้นที่ 17-20 เป็นพวก อรูปพรหมครับ
     
  9. 00008

    00008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +63
    หากจิตของพระอรหันต์ว่างไร้การปรุงแต่ง แล้วอะไรหรือที่เป็นเหตุทำให้
    พระอรหันต์ต้องทำงาน เช่น

    การออกเผยแผ่ธรรมแก่สรรพสัตว์ ครับคุณขันธ์
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขันธ์ ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยนั่นแหละครับ เป็นตัวผลักดัน คำว่าว่างในที่นี้ ไม่ใช่ว่าเอาของไปไว้ไม่ได้ แต่มันว่าง จนเอาอะไรไปใส่ก็ได้ แต่ไม่ยึดในสิ่งนั้น

    อะไรเกิดขึ้นก็ดับพร้อม เรายกตัวอย่างเสียง ที่พูด พูดเดี๋ยวนี้ดับลงไปเดี๋ยวนี้ อายตนะทั้งหลายของผู้ทรงธรรมก็เป็นอย่างนั้น
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    จิตอรหันต์ ก็เหมือนดังเปลวไฟที่หายวับไป ไม่ปรากฏให้เห็น

    แต่เชื้อนั้นบางส่วนกลายตัว เป็นถ่านไฟ ยังลุกแดง ยังลุกโชนภายใน
    แลยังมีควันไฟให้แสบตา

    แต่ถ่านนั้นจะสุมจนทำให้เกิดเปลวไฟให้เห็นขึ้นมาอีกนั้น ย่อมไม่ได้
    แต่ความร้อนมีอยู่ เว้นแต่จะใส่เชื้อลงไปก็อาจมีไฟสว่างขึ้นได้

    ดังพระโมคคัลลานะ ท่านยังหนี วิบากกรรม ที่ยังลุกโชน

    ผู้ตามล้างจองเวรส่งกรรมนั้น คือถ่านไฟ คือวิบาก คือ อาสวะ

    การหนีนั้นคือเชื้อที่จะเติมเข้าไป

    พระพุทธองค์จึงยังต้องเตือน

    การปล่อยให้ถ่านมันลุกแดงต่อไป โดยไม่เติมเชื้อ มันก็จะสิ้นเป็นเถ้าถุลี

    จบพรหมจรรย์ที่ไม่ต้องไปคอยรักษา พรหมจรรย์อยู่ได้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2008
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ปัญญาทางโลก ผมไม่คิดตามคุณ เล่าปัง อยู่แล้ว ขืนตามสิ มีหวังไปไม่ถึงไหน ก็ตกม้าตายเสียก่อน

    ปัญญาทางธรรม จะรีบตามไปติดๆ เอาแบบวิ่งสุดชีวิต ไม่ต้องหายใจ หายคอ กันไปเลย

    ผมรู้ตัวว่าออกสตาร์ทมาได้สักระยะหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ตรงไหน เมื่อไหร่จะถึงก็ไม่รู้ และก็ ถึงบัดนี้ ไม่สนใจแล้วด้วย ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว และก็จะไม่ออกนอกรันเวย์ด้วย กลัวไปผิดทาง

    ส่วนเรื่องบวชหรือไม่ ก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้บวช อันนี้แล้วแต่วิบาก ยังไม่แน่นอน แล้วถ้าไม่บวช จะถึงเส้นชัยไหมเอ่ย ผมยังไม่มีเมียเลย ก็อยากมีกับเค้าเหมือนกันนะ เหอๆๆๆ ก็เห็นคนอื่นเค้าชอบมีกัน ไม่รู้จะปวดหัวสักแค่ไหนเนอะ ราคะดับเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกทีเนอะ หุๆๆๆ...
     
  13. 00008

    00008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +63
    พระโมคคัลลานะ ท่านยังหนี วิบากกรรม ที่ยังลุกโชน

    ผู้ตามล้างจองเวรส่งกรรมนั้น คือถ่านไฟ คือวิบาก คือ อาสวะ

    การหนีนั้นคือเชื้อที่จะเติมเข้าไป

    พระพุทธองค์จึงยังต้องเตือน

    การปล่อยให้ถ่านมันลุกแดงต่อไป โดยไม่เติมเชื้อ มันก็จะสิ้นเป็นเถ้าถุลี

    จบพรหมจรรย์ที่ไม่ต้องไปคอยรักษา พรหมจรรย์อยู่ได้เอง


    ข้อความของคุณเล่าปังนี้ผมเข้าใจว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานะหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อยังไม่สิ้นอาสาวะนั้นก็เปลี่ยบดังกองไฟที่ลุกโชดช่วงและ
    เต็มไปด้วยเชื้อของไฟที่คอยเติมเข้ามาสู่กองแห่งไฟ เพราะไม่รู้เท่าทัน เกิดการยึดมั่นถือมั่น เกิดการปรุงแต่ง ปล่อยจิตให้ไหลไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะอายตนะทั้งภายใน ภายนอกกระทบกัน จิตรับรู้และปรุงแต่ง จึงเกิดอารมณ์ และเพราะไม่รู้เท่าทันอารมณ์ จึงสร้างกรรมก่อเวรตามอารมณ์ที่เกิดนั้น เมื่อใดที่จิตรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดนั้น ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ รู้สาเหตุของการเกิดขึ้นของอารมณ์ต่างๆนั้นว่า มาจากการที่จิตไปยึดติดกับการกระทบกันของอายตนะทั้งนอกทั้งในและจิตไปปรุงแต่งจึงเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้น เป็นผู้ไม่ป้อนเชื้อแห่งไฟเข้าสู่กองแห่งไฟอีก กองไฟนั้นก็ดับลงไป แต่กองไฟนั้นยังมีความร้อน ยังมีควันไฟ หากนำเชื้อของไฟไปเติมอีก ก็สามารถลุกขึ้นเป็นเปลวไฟได้อีก

    ผมเข้าใจดังนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือผิดครับผม ขอให้ช่วยอธิบายให้ผมหน่อยนะครับ ทั้ง คุณขันธ์ และคุณเล่าปัง <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  14. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เห็นแล้วอยากตอบ ตอบสั้นๆ แล้วกัน เข้าใจได้เกือบถูก มีคลาดเคลื่อนเล็กน้อย เอาไว้ให้เจ้าของข้อความ มาตอบเพิ่มเติมเองดีกว่า...
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมไม่รู้อะไร แต่บอกว่า ความไม่รู้ตัวเดียวทำให้เราเข้าใจอะไรผิดๆ แก้ปัญหาแบบผิด ๆ
    ด้วยการสนองตัณหา ที่มีในใจ
    แต่ถ้าเท่าทันตัณหา ก็จบ ทุกอย่างแก้ไขอย่างมีสติ ด้วยปัญญา

    เปรียบเหมือนคนตาบอด จับอะไรไม่ถูก พอต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ต้องควานหา ต้องคลำ
    มันก็มืดแปดด้าน ในตอนแรก
    แต่ถ้า สว่างแล้ว มันก็ไม่เป็นปัญหา เพราะมองเห็นหมด

    ยกตัวอย่าง กรณี ที่ไม่ทัน สมมติว่า มีคนๆหนึ่งไปเห็นเพื่อนบ้านมีรถใหม่ เกิดความอยากได้ เขาก็ไปหาทางให้ได้เงินมา ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งปัญหาของเขาที่เขาไม่มีสติ และทำตามตัณหา เขาก็ไปขวนขวายมา ยากเย็นแสนเข็ญ ที่สุดได้เงินมา พอได้เงินมาก็ดีใจ ฉลองกันใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อรถ พอได้รถก็ดีใจ พอขับรถไปชนก็เสียใจ พอเสียใจไม่นาน ถูกลอตเตอรรี่ ได้เงินมาก็ดีใจอีก ดีใจได้ไม่นานหันมามองที่ รถ ก็เสียใจอีก
    เพราะรถมันบุบ

    ที่เล่าให้ฟังนี้ แค่เรื่องเดียว คือ อยากได้รถ มันทำให้ทั้งเสียใจดีใจ เพราะฉะนั้นรถนั้นมันไม่เกี่ยว มันเกี่ยวที่ใจเรา
    เราก็ต้องมองที่ใจเราว่า อารมณ์ของเรา ที่มันเต็มไปด้วยตัณหานั้น จะทำอย่างไรจะขจัดมันออกไปได้

    หากว่าเรา ดุมันพินิจพิเคราะห์มันแล้ว เราจะเห็นว่า เรานี่บ้าตามเหตุการณ์นะ โดยขาดสติไตร่ตรองว่า ทำไมเราจะต้องไปมีอารมณ์ที่แปรปรวน เจอไอ้นั่นนี่หน่อย ไอ้นี่นิด ก็แกว่งไป เพราะว่า จิตใจที่ไม่ปล่อยวาง

    พอมองตัณหา มองทุกอย่าง เป็นไตรลักษณ์ ใจเราจะมองว่า เปล่าประโยชน์ ที่เราจะแกว่งไปทางนั้นที ทางนี้ทีตามเหตุการณ์ เพราะมันไม่มีประโยชน์ ปัญหาใดๆ ที่เรามี หากมันล่วงมาแล้ว เราหยิบฉวยอะไรไม่ได้ เราก็เห็นมันเป็นเช่นนั้น เอง เหมือนกับเรามองเห็น คนอื่นจน คนอื่นรวยแล้วเราเฉยๆ หรือ เราเห็นโจทย์คณิตศาสตร์แล้วเราเฉยๆ ทั้งที่มันก็คือปัญหา แต่เราไม่เอาใจไปผูก เรามองดูแบบชนิดที่เป็นธรรมดา ถ้าขยันก้หาทางแก้ ถ้าไม่ชยันก็ เห็นว่ามันมีขึ้นลง

    ขยับมาถึงใจ ที่ว่า วันนี้ทุกข์ใจ เราก็เฉยกับมัน เพราะว่า ตอนนอนหลับไม่เห็นมันจะทุกข์ แล้วเราจะต้องไปใส่ใจทำไม

    ให้ระลึกเอาไว้ว่า ทุกข์ใดๆ ก็ตาม มันหลอกลวง อย่าคิดว่าเราทุกข์ ให้เราอย่าไปกังวลกับมัน เพราะพอเราทำอารมณ์ให้คลายจากมัน ปัญหาทั้งปวงก็จะเป็นเรื่องเล็ก

    ก็ พูดแบบง่ายๆ นะ เผื่อใครที่ไม่เข้าใจศัพท์ ก็จะได้ประโยชน์บ้าง
     
  16. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    พูดแบบง่ายๆ แต่ความหมายลึกทีเดียว

    ความทุกข์ ใครๆ ก็รู้ว่าไม่ดี แต่วางไม่ได้ อุปาทานมันเหนียวแน่น หมากฝรั่งเรียกพี่ ดินเหนียวเรียกพ่อ

    จิตเป็นผู้รู้อารมณ์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีโลก ถ้ามีจิต ก็มีโลก โลกที่ยึด กับ โลกที่วาง วางได้ก็เป็นสุข ความสุขเพราะไม่ยึดทุกข์ ทุกข์เป็นไตรลักษณ์ เห็นไตรลักษณ์ ก็เห็นธรรม

    แต่ผมเห็นว่า จะวางให้ได้ระดับนั้น สักกายทิฏฐิน่าจะขาดแล้ว

    ตอนนอนหลับ จิตเข้าภวังค์ ก็พอหลบทุกข์ได้ ถ้าไม่ตามไปฝันกันต่อ แต่พอตื่นนอน มันวิ่งใส่ทันที นี่แหล่ะหนา มนุษย์ผู้มากด้วยกิเลส อวิชชา ตัญหา อุปาทาน...
     
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    กรรมของการยกคำนอกพระสูตรเนอะ เลยต้องมาแก้เอง

    * ถ่านไฟ ที่ลุกอยู่ ผมแยกดูได้ 2 กรณี เพราะเนื่องจากไม่ได้เป็นท่าน
    แลไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าอยู่ในสมัยนั้น จึงต้องเดาด้วยเนื้อหาของความในพระสูตร

    1. วิบากกรรมที่ท่านเคยทุบตีบิดา มารดามาแต่อดีตชาติ คือ ปัจจัย ที่รอ
    การสนองกรรม ที่ท่านหนี เหมือนกลัวการตาย ซึ่งก็อาจมีเหตุจูงใจอื่นๆ (ถ่านแดง) ที่ทำ
    ให้ยังไม่อยากสิ้นไป อันเป็นอาสวะอยู่

    2. วิบากกรรมที่ท่านได้จากการเป็นเลิศทางฤทธิ์ ยึดมั่นว่าสิ่งนี้คือคุณวิเศษ ที่
    ผ่าผ่านผ้นภัยได้ เท่ากับติดวิชชาอภิญญา อันเป็นอาสวะอยู่ ( ย่อมได้มาหลายชาติ )

    ด้วยกรณีทั้งสอง ก็ไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าเป็นข้อไหนแน่ เพราะในพระสูตรที่
    อธิบายต่อท้าย ก็ล้วนปิด และครอบคลุมทั้งสองกรณี

    ทั้งนี้ก็แยกพิจารณาได้อีกทางหนึ่งคือ

    สังโยชน์ ส่วน สังโยชน์

    กิเลส ส่วน กิเลส

    อาสวะกิเลส ส่วน อาสวะกิเลส

    ทั้งสามไม่เกี่ยวกัน

    อาสวะกิเลส เป็นกิเลส ที่มองเห็นได้ยากสุดด้วยตัวของเขา
    เพราะชินกับสิ่งนั้นมากๆ นั่นเอง และมีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น
    ที่เห็นได้ครบถ้วน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2008
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านเล่าปัง กล่าวดีแล้ว ในส่วนที่ เป็นอาสวะกิเลส ที่ท่านเล่าปังพูดมา เข้าใจถูกต้องแต่อาจจะใช้ศัพท์ไม่ตรง แต่ไม่ใช่ปัญหา
    จริงๆ แล้ว สิ่งที่พระอรหันต์ท่านเหลืออยู่ เรียกว่า อนุสัย คือ นิสัยที่ดองอยู่ นั่นเอง ถ้าผมจำศัพท์ไม่ผิดนะ

    เช่นว่า บางท่าน มีอนุสัยที่โมโห ชอบตวาด แบบนี้ เพราะว่า ชาติก่อนท่านเป็นราชสีห์มาก่อน
    อย่างพระโมคคัลลานะ ท่านมีอนุสัยคือ ใช้ฤทธิ์ เพราะท่านมีฤทธิ์มาก แต่พูดตามตรง ท่านจะหลบหลีกกกรรมเสียก็ได้
     
  19. 00008

    00008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +63
    สังโยชน์ ส่วน สังโยชน์

    กิเลส ส่วน กิเลส

    อาสวะกิเลส ส่วน อาสวะกิเลส

    ทั้งสามไม่เกี่ยวกัน


    คำตอบของคุณเล่าปังผมยังงงอยู่เลยครับ แต่ก็อดสงสัยต่อไม่ได้จึงขอถาม

    ต่อ เห็นคุณเล่าปัง บอกว่า ทั้งสามนันไม่เกี่ยวกัน หมายถึงไม่ใช่ตัวเดียวกัน

    ใช่หรือไม่ครับ หากไม่ใช่ตัวเดียวกันแล้ว คำที่ว่า

    สังโยชน์ คืออะไรหมายความว่าอย่างไรครับ

    กิเลส คืออะไรหมายความว่าอย่างไรครับ

    อาสวะกิเลส คืออะไรหมายความว่าอย่างไรครับ

    ตอบตามความเข้าใจของคุณเล่าปังเองหรือตามที่ได้ศึกษามาก็ได้ครับผม

    ขอบคุณนะครับ
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    โดยส่วนประกอบ แน่นอนละมันเนื่องๆกันมา

    แต่ยกคำนี้ให้เด็ดขาดออกจากกัน มันจะนำสู่การอธิบายบางเรื่องได้

    กรณีนี้คือ จิตอรหันต์ หลายคนตีความกันไปมา

    เราก็เลยแยกให้ดู คือ

    ถ้าพูดว่า กิเลส จิต อรหันต์ ไม่มี

    ถ้าพูดว่า สังโยชน์ จิต อรหันต์ ไม่มี

    ถ้าพูดว่า อนุสัย จิต อรหันต์ มีหรือไม่ก็ดูตัวอย่างพระโมคคัลลานะ

    ซึ่งถ้าดูจากพระสูตร ก็ย่อมต้องกล่าวว่า มีอนุสัย หลงเหลือ
    จนพระองค์ต้องชี้ให้ ถึงระลึกได้

    ที่นี้ถ้าผมจะพูดวกวน อนุสัย ก็คือ กิเลส(ที่ลึกมากๆ) บางอย่างก็ส่ง
    เป็นวิบากสลัดออกไม่ได้ เพราะเนื่องกับสังขารที่ยังคงมีอยู่

    และพูดก้ำเกินไปกว่าอีก ก็คือ จิต อรหันต์ มีกิเลสอยู่
    ก็อย่างที่คุณขันท์ว่า บางองค์เสียงดังก็เหมือนตวาด
    บางองค์ก็ชอบกระโดดไปมา บางองค์ชอบสอน(โพธิเก่า)ก็สอน
    และบางองค์ชอบฤทธิ์ ก็อาจจะใช้อยู่เนืองๆ

    ถามว่า แล้วเสียหายไหม ก็ตอบง่ายๆ เมื่อไหร่ละสังขารจริง ก็หมดไปเอง

    แล้วถามว่า ถ้ายังไม่ละสังขาร ทิ้งได้ไหม ย่อมสลัดบางอย่างไม่ได้
    ย่อมไม่หรอกตัวเอง เสแสร้ง เช่นเป็นคนเสียงดัง ก็คงไม่พูดจาดังนก
    แต่อาจจะไม่หยิบจับแรงนัก เสียงก็อาจจะราบเรียบได้ ที่ชอบกระโดด
    อาจจะไม่กระโดดเลย แต่ไม่ใช่กดข่มไว้ เพียงแต่ถ้ารู้ ก็ไม่ให้มัน
    ทำงานได้ มีฤทธิ์ก็อาจนานๆใช้ที ไม่ใช่ใช้เป็นสรณะ อยากกินก็เสก
    ไม่ออกไปบิณฑบาตร อย่างนี้ก็คงไม่ทำ กล่าวคือมีกิเลสอนุสัยอยู่
    ส่งผลจากสังขารมาที่จิตอยู่ แต่ไม่ย้อมติดจิต( ไม่เผลอตลอดเวลา )
    แต่จะกล่าวว่าไม่มีกิเลสนั้น คงกล่าวชัดลงไปไม่ได้

    แบบนี้พอจะถือเป็นคำอธิบายได้ไหม

    สรุปคือ ที่พูดให้ดูแยกๆ จะได้ยอมทำความเข้าใจ
    ถ้าอยู่ดีๆ พูดว่า อรหันต์มีกิเลส ก็จะค้านกันเสียก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...