ธัมมังเทสนังในโลกุตระธัมมัง โลกียะธัมมัง (ตอนที่1)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย iofeast, 1 สิงหาคม 2007.

  1. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    โลกกุตระธัมมัง คืออะไร? โลกียะธัมมังคืออะไร?
    เป็นธัมมังที่ควรจะเข้าใจและรู้ความหมายว่าต่างกันอย่างไร โดยปกติแล้วสัตว์โลกนี้จะมีเพียงโลกียะธัมมังเท่านั้น เพราะว่าส่วนมากจะปฎิบัติพระธัมมังไปตามโลก หรือปฎิบัติตามโลกาภิวัฒนา เป็นความเจริญความเสื่อมโลกานั้นเป็นหลัก ในขณะที่ไม่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นก็จะเป้นโลกียะธัมมังเป็นส่วนใหญ่
    แต่ถ้าในสมัยใดมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น จึงมีทั้งโลกุตระธัมมังและโลกียะธัมมัง

    โลกุตระธัมมังหมายถึง พระธัมโมที่พ้นจากทุกขัง ทุกขาทั้งหลายพ้นจากโลกนี้ คือผู้ปฎิบัติตามโลกุตระธัมมังนั้นก็เปฎิบัติพื่อพ้นจากโลกานี้ พ้นจากทุกขัง ทุกขา ทั้งหลายในโลกานี้ แต่ผู้ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นโลกกุตระธัมมังนั้นมีเพียงพระสัมมาสัมพุทธโธเท่านั้น ถ้าตราบใดที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธโธเกิดในโลกานี้ ก็จะไม่มีใครรุ้ว่าโลกุตระธัมมังคืออะไร

    หรืออาจจะมีโลกุตระธัมมังโดยเพียงเป็นนามะ นามัง เป็นชื่อเท่านั้น เหมือนพระอรหันต์ อรหันต์ก็มีชื่อว่าผู้นั้นผู้นี้เป็นพระอรหันต์ แต่ว่าเป็นพระอรหันต์ปลอม ความเป็นพระอรหันต์จริงไม่มีเพราะไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในโลกนี้เลย ฉะนั้นโลกุตระธัมมังจึงมีขึ้นในสมัยพระสัมมาสัมพุทโธได้ตรัสรู้ในโลกนี้เท่านั้น ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธโธตรัสรู้ในโลกนี้ โลกุตระธัมมังก็ไม่มี

    เมื่อพระปัจเจกพุทธโธที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่สามารถจะสั่งสอนประชาชนมนุสสาทั้งหลายได้ ไม่สามารถจะประกาศโลกุตระธัมมังได้ จึงมีแต่พระสัมมาสัมพุทโธเท่านั้น ที่ประกาศโลกุตระธัมมังได้ เพราะเหตุนั้นการไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเกิดขึ้นในโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้โดยชัดเจนว่าโลกุตระธัมมังคืออะไร เพราะฉะนั้นจึงมีแต่โลกียะธัมมัง เว้นแต่ในสมัยนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธโธอุบัติขึ้นในโลก ถึงจะมีโลกุตระธัมมังได้

    โลกุตระธัมมัง ธัมโม นั้นคือพระธัมโมที่ใช้ปฎิบัติเพื่อมรรค ผล และนิพพาน เพื่อพ้นจากทุกขัง ทุกขา ในวัฎฎะสังสารนี้ คือผู้ปฎิบัติตามโลกุตระธัมมังแล้ว เมื่อเข้าสู่มรรค ผล นิพพานแล้ว ก็จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะอยู่ในนิพพานังตลอดไป ด้วยเหตุนั้นโลกุตระธัมโมหรือธัมมัง จึงหมายถึงมัชฌิมาปฎิปทาที่พระสัมมาสัมพุทธโธได้ประกาศไว้แล้วนั้น ที่พระสัมมาสัมพุทธโธปฎิบัติตามมาแล้วเข้าสู่มรรค ผล นิพพานได้ พระธัมโม นั้นคือมัชฌิมาปฎิปทา

    พระธัมโมเกิดจากอริยสัจจานิ พระธัมโมนั้นก็คือศีล สมาธิ ปัญญา คือ ทุกขนิโรโธ คามินีปฎิปทาอริยสัจจัง ซึ่งเป็นพระธัมมังที่ปฎิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพานได้ โดยเฉพาะ ถ้ามีพระธัมมังใด ธัมโมใดปฎิบัติแล้วผู้ปฎิบัติตาทแล้วไม่สามารถเข้าสู่ มรรค ผล นิพพานได้ เค้าเรียกว่าพระธัมมังนั้นไม่ใช่โลกุตระธัมมัง เป็นโลกียะธัมมังเท่านั้น ถ้ามีผู้ปฎิบัติตามแล้วอนุโพธะโกมรรค ผล นิพพานได้ จึงเรียกว่า โลกุตรัธัมมัง

    คือปฎิบัติแล้วพ้นจากทุกขัง ทุกขาได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป โลกกุตระธัมมังนั้นเราเรียกว่านะวะโลกุตระธัมมา คือพระธัมโมเพื่อ จัตตาริมัคคานัง และจัตตาริพลานัง แล้วก็เอกะนิพพานนัง เราจะเรียกว่าโลกุตระธัมมัง9 พระธัมมังใดก็ตาม พระธัมโมใดก็ตามเป็นพระมโม พระธัมมังที่สำหรับปฎิบัติเพื่อเข้าสู่ มรรค ผล นิพพานได้ อันนั้นแหละเรียกว่าโลกุตระธัมโม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธโธนั้นแท้จริงแล้ว เป็นโลกุตระธัมมัง โลกุตระธัมโม

    โลกียะธัมมังนั้นเป็นพระธัมมังของผู้บำเพ็ญบารมี บำเพ็ญกุศล เพื่อไปสู่เทวโลกหรือพรหมโลก หรือไปเกิดในมนุษย์โลก เช่นปัญจะสีลานิ สีลานิ อะไรก็ตามปฎิบัติเพื่อไปเทวาโลก พรหมโลกได้นั้นเรียกว่าโลกียะธัมมัง พระธัมโมใดปฎิบัติเพื่อเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เพื่ออยู่ใน วัฎฎะสังสาระโลเก นี้เรียกว่าโลกียะธัมมัง

    ลัทธิศาสนาต่างๆนั้น ลัทธิศาสนาใดๆ ก็ตามเป็นโลกียะธัมมังหมด เพราะว่าผู้ที่สอนธัมมัง ธัมโมเหล่านั้น ยังเป็นปุถุชโน ปุถุชนาอยู่ เพราะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธโธ หรือ อริยสาวก การสั่งสอนพระพุทธธัมมังก็ถูกบ้างผิดบ้าง โลกุตระธัมมังจะเกิดขึ้นมาก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธโธ ได้ประกาศพระธัมมังพระธัมโมเกิดขึ้นมาในโลกนี้เท่านั้น สมัยก่อนพุทธกาลก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธโธจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ไม่มี โลกุตระธัมมัง ถ้ามีก็ของปลอมไม่ใช่ของจริง แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธโธได้อุบัติขึ้นในโลกนี้แล้วเรียกว่า อริยสัมมาสัมพุทธโธ อุปันโนโลเก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2007
  2. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    โดย หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  3. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ตอนที่ 2

    การเกิดของพระสัมมาสัมพุทธโน้นไม่เคยมีบ่อยๆ ชั่วพุทธันดรหนึ่งก็นานหนักหนาเหมือนกัน โลกกุตระธรรมนั้นเป็นพระธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้น ในลัทธิศาสนาต่างๆไม่มีโลกุตระธรรม มีแต่โลกียะธรรมเท่านั้น ในพระธรรมที่เข้าสู่นิพพานได้พ้นจากโลกนี้ได้เรียกว่า โลกุตระธรรม ผู้มีวิสุทธิจิตที่เทียบเท่ากับนิพพานได้จึงเข้าสู่นิพพาน เมื่อวิสุทธิจิตเข้าสู่นิพพานแล้วไม่ต้องเกิดอีก อยู่ในนิพพานตลอดไป พระธรรมที่พ้นจากโลกนี้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้อีกแล้วเรียกว่าโลกุตระธรรม ส่วนพระธรรมใดที่ตรงข้ามกับโลกุตระธรรม คือ เมื่อปฎิบัติแล้วยังเกิดอีก หรือปฎิบัติตามแล้วก็เพื่อไปเกิดในภพภูมิต่างๆ จึงไม่สามารถจะทำลายชาติการเกิดได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดตามกรรมที่แต่ละบุคคลกระทำไว้นั้น

    พระสัมมาสัมพุทธโธที่ประกาศโลกุตระธรรมคือ มัชฌิมาปฎิปทา หรือ ย่อเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือย่อเป็น 4 คือมหาสติ 4 อย่าง หรือ ย่ออีกคือเป็นสัมมาทิฎฐิ ตามหลักนี้เป็นพระธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้เพื่อความพ้น ทุกขัง ทุกขา ทั้งหลายใทโลกนี้ เพื่อเข้าสู่นิพพานโดยเฉพาะมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่มี จะปฎิบัติไปตามธรรมใดก็ตาม ที่มุ่งหน้าสู่มัชฌิมาปฎิปทาเข้าสู่ ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าปฎิบัติเพื่อโลกุตระธรรมโยแท้ เพราะเมื่อปฎิบัติไปแล้ว ก็เข้าสู่นิพพานได้ อนุโพธะโกเป็นพระโสดาบัน ขึ้นไปได้


    ด้วยเหตุนี้ เพราะพระธรรมที่ทรงประกาศไว้เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายปฎิบัติตามเพื่อเข้าสู่มรรค ผล นิพพานได้ เรียกว่า โลกุตระธรรม นอกนั้นเป็นโลกียะธรรมหมด ผู้ปฎิบัติตาม โลกียะธรรมก็จะมีกิเลสตัณหาเกิดขึ้นมากมาย เพราะไม่ใช่ทางที่พ้นจาก ทุกขัง ทุกขา ทั้งหลายก็เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป


    มัชฌิมาปฎิปทา คือ โลกุตระธรรม คืออะไร?


    คือ สัมมาทั้ง 8 เป็นได้ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์แบบ ผู้ปฎิบัติตามเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ได้ เกิดสมาธิ เกิด ปัญญาได้ เกิด วิสุทธิศีล วิสุทธิสมาธิ วิสุทธิปัญญาได้

    ส่วนโลกียะธรรมนั้น ไม่สามารถเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ได้ ถ้ามีศีลก็มีศีลอย่างเดียว มีสมาธิก็สมาธิอย่างเดียว มีปัญญาก็ปัญญาอย่างเดียว แต่เป็นปัญญาที่เป็นโลกียะธรรม เพราะไม่ได้ปฎิบัติตามมัชฌิมาปฎิปทา นั่นเอง จึงเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้



    ทุกเขญานัง ทุกขสมุทเยญานัง มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในทุกขัง ทุกขา ทุกโข ทั้งหลาย
    มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขสมุทโย ทุกขสมุทเย ที่มาที่เกิดของทุกขัง ทุกโข ทั้งหลาย
    มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขนิโรเธญานัง ในการดับ ทุกขัง ทุกขาทั้งหลาย
    มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขนิโร ธะคามินีปทายะญานัง
    มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขนิโรธะคามินี ปฎิปทาอริยสัจจัง เป็นทางปฎิบัติเพื่อพ้นจากทุกขัง ทุกขา ทั้งหลาย เพื่อเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน เรียกว่าสัมมาทิฎฐิ
    ผู้ที่ตรัสรู้อริยสัจจานิเท่านั้นเป็นผู้เข้าสู่นิพพานได้


    เมื่อกำหนดรู้ทุกขัง ทุกขาทั้งหลายแล้ว ว่า ทุกข์แต่ละตัวมาจากอะไร มาจากสมุทโย รู้โดยชัดแจ้งชัดเจนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทักโข ทุกขา อะไรก็ตาม รู้หมดว่าอะไรคือสมุทโย ของทุกขังทุกขานั้น
    ฉะนั้นเกิดความรู้ขึ้นมาอย่างนี้ เกิดปัญญาขึ้นมาอย่างนี้เรียกว่า ทุกเขญานัง
    เมื่อญานังมีก็จะเกิดยานัง เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดอาโลโก ขึ้นมา
    เมื่อเกิดญานัง ปัญยา วิชชา อาโลโก ขึ้นมาในจิตของผู้ปฎิบัติตามแล้ว อวิชชาก็ดับไป
    อวิชชาดับไปก็เข้าสู่อริยสัจจานิ จึงเรียกว่าเป็นผู้มี สัมมาทิฎฐิ

    เมื่อรู้ทุกขัง ทุกขา แต่ละตัวแล้วก็รู้ ทุกขสมุทโย
    เมื่อรู้ทุกขสมุทโย ทุกอย่างทุกประการตามทุกขัง ทุกโข นี้ก็เกิด ทุกขสมุทเยญานัง ขึ้นมา เกิดญานังขึ้นมา
    เมื่อรู้ทุกขสมุทโย ทุกตัวแล้วก็ทำลายมันเสีย เรียกว่า ปหาตัพพันติ ทุกขสมุทโย จึงมีสามอย่างคือ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ผู้ใดทำลาย ทั้ง3 นี้แล้ว ถือว่าเป็นผู้ทำลาย ทุกขสมุทโย
    เมื่อรู้ ทุกขสมุทโย ก็รู้ ทุกขนิโรโธ ตามมา เพราะมันเกี่ยวโยงกัน เมื่อเห็นที่เกิดของตัณหาทั้งหลาย ก็เห็นที่ดับ เหมือนอย่างรู้บุญ ก็รู้ บาป ตามมารู้สัมมาทิฎฐิ รู้มิจฉาทิฎฐิ รู้โลกุตระธรรม รู้โลกียะธรรม



    บุคคลใดปฎิบัติตาม มัชฌิมาปฎิปทา เข้าสู่สัมมาทิฎฐิได้ จนเกิดญานังขึ้นมา เกิดญาณะทัสสนะขึ้นมาดังกล่าว นั้นคือเกิด ทุกเขญานัง ทุกขสมุทเยญานัง ทุกขนิโรเธญานัง ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทาญานังขึ้นมาได้
    และเกิด สัจจะญานัง กิจจะญานัง ตะตะญานัง ขึ้นมา ผู้นั้นเป็นผู้เข้าสู่การ อนุโพธะโก เข้าสู่นิพพานด้วยปัญญาของตน
    เมื่อเกิด ญานังวิชชา อาโลโกขึ้นมา เกิดวิชชาก็ทำลายอวิชชา
    รู้ทุกขสมุทโย ก็รู้ทุกขนิโรโธ เพราะมันเกี่ยวโยงกัน เหมือนอย่างรู้บุญก็รู้บาป เพราะมันตรงข้ามกัน
    เมื่อรู้ทุกขนิโรโธ ทุกขนิโรเธ แล้วเกิดทุกขนิเธญานังขึ้นมา
    โดยวิธีการดับ ทุกขัง ทุกขา นั้นก็จะเกิดปัญญา วิชชา อาโลโก ขึ้นมาเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน
    เมื่อเกิด ญานัง วิชชา อาโลโก ขึ้นมา ก็ทำลาย อวิชชาได้
    เมื่อมีทุกเขญานัง ทุกขสมุทเยญานัง ทุกขนิโรเธญานัง ทุกขนิโรธคา ก็เกิดขึ้นเพราะมันเกี่ยวกันหมด เหมือน อนุโพธะโก ตัวหนึ่ง ก็ไปเชื่อมอีกตัวหนึ่ง ปัญญาเกิดขึ้นแล้วมันโยงถึงกันหมด


    เพราะฉะนั้นผู่ที่เกิด ทุกเขญานัง ทุกขสมุทเยญานัง ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทานะญานัง เรียกว่าผู้เข้าสู่ จัตตาริอริยสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสติ
    คือรู้ อริยสัจจานิ 4 ด้วยปัญญาของตน เป็นผู้เข้าสู่สัมมาทิฎฐิ อนุโพธะโก พระธรรม เป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกิทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง ตามแต่บุญบารมี ที่ได้สร้างสมไว้



    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  4. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ตอนที่ 3

    เมื่อเกิดปัญญา วิชชา อาโลโลกขึ้นมา เกิด จัตตาริ อริยสัจจานิ ก็ทำลายอวิชชาให้หมดสิ้นไปได้ ทำลายมิจฉาทิฎฐิ ทำลาย ความยึดมั่นถือมั่นได้ ทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป เป็นผู้มีสุสุททังจิตตัง วิสุทธิจิตตัง จึงเข้าสู่มรรค ผล นิพพานได้
    คนเหล่านั้นที่เข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้เพราะปำบัติตาม โลกียะธรรม ไม่ใช่โลกุตระธรรม
    ปฎิบัติตามโลกียะธรรม ก็เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้ เพราะทำลาย วิชชา ตัณหา อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นไม่หมดสิ้น

    มื่ออิชชาดับไปโดยไม่เหลือ สังขาร ก็ดับไปด้วย สังขารคือ เจตสิกที่ปรุงแต่ง ให้ทำบุญบ้าง บาปบ้าง ไม่แน่นอน เป็นอนิจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่าสังขาร คือเจตสิก ที่ปรุงแต่งให้ทำดีและชั่ว

    เมื่อสังขารดับไป วิญญาณ ก็ดับไปด้วย วิญญาณ 6 คือ จักขุวิญญาณ โสตะวิญญาณ เป็นต้น ซึ่งวิญญาณทั้งหลายนี้ ตั้งอยู่ตรงไหน ก็จะเกิดเวทนา ตัณหาอยู่ตรงนั้น เกิดที่จักขุก็ตั้งอยู่ที่จักขุ เกิดที่ฆานะก็ตั้งอยู่ที่ฆานะ เกิดที่ตรงไหนก็ตั้งอยู่ที่นั้น ถ้าไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่ละ ไม่ถอน ไม่ทิ้ง ไม่ทำลาย ก็ต้องอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าปล่อยวางเมื่อไหร่ เข้าสู่ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในอนัตตา
    แล้วทำลาย กิเลสตัณหาทั้งหลาย ด้วย จาโค (สละ) ปฎินิคสัคโก (ปล่อยวาง) มุตติ (ปล่อยพ้นไป) อนาลโย (ไม่ใยดี)

    วิญญาณดับไป วิญญาณทั้ง 6 ก็ดับไป วิญญาณนิโรโธ วิญญาณะนิโรธา ฉะฬายะตะนะนิโรโธ ฉะฬายะตะนะนิโรธา

    เมื่อวิญญาณทั้ง 6 ดับไป ฉะฬะยะตะนะ ก็ดับไปด้วยคือ จักขุวิญญาณัง โสตะวิญญาณัง ฆานะวิญญาณัง ชิวหาวิญญาณัง กายะวิญญาณัง มโนวิญญาณัง ไม่สามารถพบปะกันเพราะมันสัมพัน
    การเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา เรียกว่าชิวหาแห่งกิเลสตัณหานั่นคือ ฉะฬะยะตะนะ ที่เรียกว่าดับไป เพราะนามรูปดับไป

    เมื่อ นามรูปดับไป ฉะฬะยะตะนะนิโรโธ ฉะฬะยะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ ผัสสะนิโรธา
    เมื่อ ฉะฬะยะตะนะ ดับไป ผัสสะก็ดับไป รวมทั้งตัวสัญญา

    เมื่อ ผัสสะดับไป เวทนา ก็ดับไป ผัสสะนิโรโธ ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ ตัณหานิโรธา

    เมื่อ เวทนาดับไป ตัณหาก็ดับไป ผัสสะนิโรโธ ผัสสะนิโรธา ตัณหานิโรโธ ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ อุปาทานะนิโรธา อุปทานก็ดับไปเช่นกัน

    เมื่อ ตัณหาดับไป อุปาทานะนิโรโธ อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ ภะวะนิโรธา ภะวะก็ดับไปด้วย

    เมื่อ อุปทานดับหมด อุปทานดับไปแล้ว ภะวะนิโรโธ ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ ชาตินิโรธา ภะวะภูมิดับไป ไม่มีที่จะเกิดแล้ว ก็ไม่ต้องเกิด ชาติก็ดับไปไม่เหลือ

    เมือ ชาติดับไป ชรา มรณะ ก็ดับไป ทุกขังต่างๆ ทุกโข ทุกขาดับไปหมด


    เป็นผู้เข้าสู่นิพพานัง ปรมังสุขัง มีสุทธิจิต วิสุทธิจิต ตลอดไป ไม่ต้องเวียน ว่ายตายเกิดอีกต่อไป ทำลายการเกิดหมดแล้ว

    สัมมาทิฎฐิเรียกว่าคุมได้หมดแล้ว เพราะมัชฌิมาทั้ง 8 ทางนั้นมารวมในสัมมาทิฎฐิหมดนั้นเอง
    สัมมาสังกัปโป ปฎิบัติเพื่อออกจาก วัฎฎะสังสาระโลกา ไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ปฎิบัติเพื่อไม่พยาบาทจองเวร คือ อพายาปาทะสังกัปโป ปฎิบัติเพื่อไม่เบียดเบียนผู้อื่นเรียกว่า อวิหิงสาสังกัปโป



    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  5. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ตอนที่ 4

    สัมมาวาจา คืออะไร?
    ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ

    สัมมากัมมันโต คือรักษาศีลให้บริสุทธิ ตามศีลของตนต้งแต่ ศีล5 ขึ้นไป ถึงภิกษุศีล รักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ เรียกว่า สัมมากัมมันโต

    สัมมาอาชีโว คือเลี้ยงชีพโดยถูกต้องไม่ผิดศีลของตน ภิกษุเลี้ยงชีพโดย สิกขา 3 ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    สัมมาวายาโม พยายามทำบุญ กุศลฏรรมเท่านั้น ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศลกรรม มีศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่า สัมมาวายาโม

    สัมมาสติ มีสติตามสัจจธรรม รู้ในมหาสติ 4 อย่าง คือ มีสติในกายะ กาเยนุปัสสี เวทนานุปัสสี จิตเตจิตตานุปัสสี ในธัมโม ธัมมัง ธัมเมสุธัมมานุปัสสี มีอาตาปิ มีความขยัน มากที่สุด เผากิเลส ทั้งหลาย มีสติรู้ทันตามสัจธรรม มีสัมปชัญญะ เรียกว่าสัมมาสติ

    สัมมาสมาธิ คือ สัมถะวิปัสสนา กัมมัฎฐาน ปำบัติตามสมถะนั้น ใช้บริกรรมอะไรก็ได้ ใช้ พุทธโกได้ เมื่อเข้าสู่สัมมาทิฎฐิและสัมมาสติเสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วก็เป็นผู้เข้า สู่ มรรค ผล นิพพาน แล้วก็เกิด ปัญญา เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ บริบูรณ์ จึงรู้ทางปฎิบัติโดยถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน ถ้าไม่ถูกต้องก็ผิดเพี้ยนไป ก็ปฎิบัติโดยเปล่าประโยชน์



    หลวงพ๋อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2007
  6. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    สัมมาสมาธิคืออะไร? สัมมาสมาธิคือ สมะถะกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฎฐาน ปฎิบัติจะบริกรรมหรือ เพ่งกสิน เพื่อให้เกิด ปฐมฌาน ถึง จตุตฌาน

    ปฎิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐานเพื่อให้เกิดปัญญาตามสัมมาสติดังกล่าวนี้ ผู้ปฎิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐานก็เพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นมา เมื่อรู้โดยปัญญา ก็ไม่ติดในตัวผู้รู้โดยปัญญานั้น เหมือนได้ฌานก็ไม่ติดในฌาน ไม่ติดสุขอุเบกขาในฌานนั้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นปล่อยวางหมด จึงเรียกว่า สัมมาสมาธิ

    สัมมาสติ หรือ สัมมาทิฎฐิ ทางปฎิบัตินี้จึงเรียกว่า โลกุตระธรรม เพราะว่าเป็นการปฎิบัติเพื่อ มรรค ผล นิพพาน โดยแท้
    ถ้าผู้ใดปฎิบัติแล้ว มีเจตนาเพื่อเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ผู้นั้นเรียกว่าเข้าสู่ โลกุตระธรรม
    แต่ถ้าปฎิบัติตามพระธรรมนั้นเพื่อสุข เพื่อเป็นสุขชั่วครู่ชั่วขณะบางเวลา เป็นไปเพื่อ โลกียะธรรม ไม่ใช่เพื่อ มรรค ผล นิพพาน ก็เป็น โลกียะธรรมไป
    ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนาที่ผู้ปฎิบัติธรรมต้องการอะไร ต้องการพ้นทุกทั้งหลาย ต้องการ มรรค ผล นิพพาน เท่านั้น ก็เข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ได้
    แต่ถ้าต้องการเกิดอีก ก็เป็น ภะวะตัณหา นี้ไม่ใช่ โลกุตระธรรม เป็น โลกียะธรรมแล้ว
    โลกุตระธรรมจึงเป็นพระธรรม เพื่อการพ้นจากโลกนี้โดยตรงโดยยฉพาะ เพื่อมรรค ผล นิพพาน เพราะว่า พระนิพพาน เป็นปรมังสุขขัง ที่ผู้มีปัญญาต้องการ พ้นจากทุกทั้งหลาย
    ส่วนผู้ไม่มีปัญญาเพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น ในโลกียะธรรมของตน ยังยึดมั่นใน กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ก็เข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้
    เมื่อเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้ ก็เรียกว่าไม่ได้เข้าสู่ โลกุตระธรรม ไม่สามารถจะพ้นจาก ทุกขัง ทุกขา ใน วัฎฎะสังสารนี้ได้ เมื่อมีความเชื่อมั่นในลัทธิของตนไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง เพื่ออนุโพธะโก โลกุตระธรรมแล้ว ปฎิบัติเพื่อ พรหมโลก เทวโลก หรือไปเกิดใน ภพภูมิต่างๆ เรียกว่าโลกียะธรรม ไม่ใช่โลกุตระธรรม
    ผู้ปฎิบัติตามโลกียะธรรม ยังมี กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา อยู่ ยังมีอวิชชายังมีมิจฉาทิฎฐิอยู่ จึงไม่สามารถทำลายอวิชชาได้ ไม่สามารถทำลายมิจฉาทิฎฐิได้ นั่นแหละคือโลกียะธรรม
    แต่พระธรรมใดสามารถทำลาย อวิชชา ทำลายตัณหาได้ จึงเป็นโลกุตระธรรมเพื่อนิพพานโดยแท้


    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  7. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    กามะตัณหา

    เพราะเหตุใดจึงทรงสอนให้ทำลาย กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ?


    ก็เพราะว่า กามะตัณหา คือ ความรัก ความชอบ อยากได้ อยากเป็น อยากเสพ อยากบริโภค เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกขัง ทุกขา ทุกโข เป็นศูนย์รวมของ สมุทโย คือที่มาที่เกิดของทุกขังต่างๆ ทุกชนิด ซึ่งเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นก็ยึดไว้ เมื่อฟังก็ยึดไว้ เมื่อดมก็ยึดไว้ เมื่อกินดื่มก็ยึดไว้ เมื่อถูกต้องทางกายก็ยึดไว้ เมื่อรู้เมื่อคิดก็ยึดไว้
    จึงทำให้เกิด กิเลสตัณหาต่างๆทุกชนิด และอยากเกิดอีกในชาติต่อไป
    จนเป็นภะวะตัณหา (ติดภพติดชาติ)
    และวิภะวะตัณหา (ติดความสูญ ความว่าง ความไม่มีตัวตนในอรูปฌาน)



    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  8. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ทุกกฎ ข้อห้ามทุกอย่าง หรือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นในโลกทุกคำ ย่อมเป็นวินัย เป็นศีลที่มนุษย์ หรือ สัตว์โลกจะต้องปฎิบัติตาม เมื่อได้รู้ได้นับถือแล้ว จะทำเฉยเมยไม่ได้ ผู้ใดละเมิดย่อมเป็นบาป อกุศลกรรมอย่างแน่นอน เพราะว่าพระพุทธพจน์ หรือ พระวาจา เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ทำให้ผู้ละเมิดตกนรกได้ เพราะพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่มีกิเลสตัณหา ไม่มีอาสวะกิเลสใดๆ เป็นพระสุสุทโธ หรือ พระสุวิสุทโธ หมดจรดสะอาดจากมิจฉาความผิดทุกชนิดแล้ว จึงมีแต่ความถูกต้องทุกสิ่งทุกประการ

    หลังจากพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว ผู้นับถือศาสนาพุทธได้นำเอา ลัทธิ ศาสนาต่างๆ เข้ามาปะปน มีการบวงสรวงเส้นไหว้ เทวา มีไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ มีทรงเจ้าเข้าผีมาปะปน มีการทำพิธีพราหมณาในชนทั่วไป ทุกเหล่ากอจึงเป็น กามะสุขัลลิกานุโยโค และมีลัทธิศาสนา เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก และในชนทั่วไปด้วย
    มีการสอนให้เกิดอีกมีภะวะตัณหา สอนให้ไปเกิดกับตน หรือไปเกิดกับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จึงเป็น กามะสุขัลลิกานุโยโค เป็นกามะตัณหา และภะวะตัณหา เป็นการละเมิดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงกล่าวในปฐมเทศนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2007
  9. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ทางสู่นิพพาน คือ มัชฌิมาปฎิปทา เริ่มต้นปฎิบัติตรงนี้ (ตอนที่ 1 )

    เมื่อทรงแสดงพระเทศสนาเป็นครั้งแรกด้วยพระธรรมจักรนี้ ก็ทรงห้ามบรรพชิตทั้งหลาย ทรงห้ามไม่ให้ปฎิบัติตาม ทาง 2 ทาง คือ กามะสุขัลลิกานุโยโค และ อัตตะกิละมะถานุโยโค
    หิโน เป็นของต่ำ
    คัมโม เป็นของชาวบ้าน
    โปถุชะนิโก เป็นของปุถุชน คือ ผู้มีกิเลสตัณหาทั้งหลาย
    อนริโย ไม่ใช่ของพระอริยะ
    อนัตถะสัญญะหิโต ไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สามารถจะเข้าสู่ มรรค ผล นิพพานได้ ไม่สามารถจะพ้นจาก ทุกขัง ทุกขา ในวัฎฎะนี้ได้

    เพราะว่าทาง 2 ทางนี้เป็นของลัทธิต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ รวมทั้งผู้ที่บำเพ็ญบารมีในศาสนาที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยสอนผิดไปจากพระพุทธเจ้า เอาลัทธิ ศาสนาอื่นๆมาปะปนก็ดี เช่น เอาศาสนา..มาปะปน เอาวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ปะปน โดยมีมิจฉาทิฎฐิ เข้าใจผิด เห็นอัตตาเป็นอนัตตา เห็นนิพพานเป็นอัตตา เป็นต้น

    แทนที่จะสอนให้ออกจากวัฎฎะโลกาพ้นจากทุกขัง ทุกขา ในชาตินี้ กลับบอกให้เกิดกับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หรือเกิดกับตนที่บำเพ็ญบารมีอยู่ ก็เท่ากับว่าเป็นผู้มี ภวตัณหา (คืออยากเกิดอีก)
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำลาย ภวตัณหาเสีย ในเมื่อมีภวตัณหา ก็มี กามะตัณหาตามมาด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมือนกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ จึงไม่ควรปฎิบัติตาม
    ทางเหล่านี้ เป็นกามะสุขัลลิกานุโยโค ถ้าทรมานกายเป็นทุกข์ ก็เป็นอัตตะกิละมะถานุโยโคไป
    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงห้ามไม่ให้ปฎิบัติตามทาง 2 ทางนั้น ให้ปฎิบัติตามมัชฌิมาปฎิปทา ที่พระองค์ทรงปฎิบัติมาไว้ดีแล้ว จน
    เกิดอภิสัมพุทธา ตรัสรู้โดยพระองค์เองเป็นอย่างดี
    เกิดจักขุกรณี คือ ดวงตาเห็นธรรม
    เกิดญาณัง รู้แจ้งชัดเจนที่สุด
    เกิดอุปสะมายะ มีจิตสงบจากกิเลสทั้งหลาย
    เกิดอภิญาญะ มีวิสุทธิศีล วิสุทธิสมาธิ วิสุทธิปัญญา
    เกิดสัมโพธายะ ตรัสรู้พระธรรมด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอนรู้เอง
    เป็นปัจจัตตัง นิพพานะ สังวัตตะติ เข้าสู่นิพพานในที่สุด

    นิพพานจึงเป็นที่อยู่ของ วิสุทธสมโณ วิสุทธิเทวา ผู้มีวิสุทธิจิต สุสุทธะจิต จิตบริสุทธิ์ สะอาดจากกิเลสทั้งหลายแล้ว นั้นคือพระอรหันต์ ที่เข้าสู่นิพพานแล้วก็อยู่นิพพาน พระนิพพานไม่ได้สูญหายไปไหน ยังเป็นวิสุทธิเทโว เทวาอยู่ หรือเป็นผู้มีสุสุทธจิตตกาโย สามารถพบปะสนทนาพระธรรม ฟังพระธรรม ถามปัญหาพระธรรมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    พระนิพพานไม่สูญไปเปล่า สูญแต่กิเลสตัณหาเท่านั้น เมื่อเข้าสู่นิพพานก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เป็นอมตะตลอดไปจึงเรียกว่านิพพานัง ปรมังสุขัง พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราปฎิบัติตามมัชฌิมาปฎิปทาที่พระองค์ปฎิบัติมาแล้วนั้น



    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก
     
  10. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    มัชฌิมาปฎิปทาคืออะไร?

    ก็คือ สัมมาทิฎฐิ เห็นโดยถูกต้องแล้ว เห็นทุกข์ทั้งหลายด้วย ญาณของตน ญาณแปลว่ารู้แจ้วเห็นจริงในทางศีล สมาธิ ปัญญา มีญาณรู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขสมุทโย คือที่มาที่เกิดของทุกทั้งหลาย มีญาณรู้แจ้งเห็นจิงใน ทุกขนิโรโธ คือการดับทุกข์ทั้งหลาย คือการทำลายทุกข์ทั้งหลาย มีญาณรู้แจ้งเห็นจริงใน ทุกขนิโรธคามืนีปฎิปทา คือ ทางปฎิบัติเพื่อดับทุกข์ทั้งหลาย
    เมื่อทำลายทุกข์ทั้งหลายนั้นแล้วจึงเกิด สัจจญาณัง กิจจญาณัง กะตะญาณัง ขึ้นมา เกิดญาณทัสสนังขึ้นมา
    นี้เรียกว่าสัมมาทิฎฐิ จึงรู้จุตตาริ อริยสัจจานิ ด้วยปัญญาของตน

    สัมมาสังกัปโป ประพฤติ ปฎิบัติโดยถูกต้อง คือ ปฎิบัติเพื่อออกจากวัฎฎะสังสารโลก คือไม่ต้องเกิดอีกแล้ว ปฎิบัติเพื่อไม่ให้พยาบาทจองเวร ปฎิบัตืเพื่อไม่เบียดเบียน

    สัมมาวาจา คือใช้วาจาโดยถูกต้อง พูดจาโดยถูกต้อง ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ โดยเจตนา

    สัมมากัมมันโต มีการกระทำโดยถูกต้อง การกระทำโดยถูกต้อง คือ การรักษาศีลของตน มีวิสุทธิ มีศีล บริสุทธิ์ตามศีลของตน อยู่ในฐานะใดก็รักษาศีลนั้นให้บริสุทธิ์ เรียกว่าสัมมากัมมันโต

    สัมมาอาชีโว คือการเลี้ยงชีพให้ถูกต้อง เพื่อทำลายมิจฉาอาชีโวเสีย คือ เลี้ยงชีพตามศีลของตน เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เลี้ยงสัตว์ไว้ฆ่า ไว้ขาย ไม่นำสัตว์มาฆ่ามาขาย ไม่ขายอาวุธ ยาเสพติด เป็นต้น
    ภิกษุก็เลี้ยงชีพด้วย สิกขา 3 คือศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ต้องเจริญภวานา ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ไม่มีเลย เลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตรด้วยการไม่ขอ ไม่ออกปากไม่ออกเสียงเดินๆไป จะขอได้ต่อเมื่อบุคคลนั้นเป็นญาติหรือเป็นผู้ปวารณาไว้เท่านั้น สิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    สัมมาวายาโม คือมีการวายาโมโดยถูกต้อง มุ่งมั่นทำแต่กุศลกรรมเท่านั้น ไม่ทำบาปและอกุศลกรรมทั้งปวง เรียกว่า สัมมาวายาโม มีความพอใจ มีวายามะ มีความมุ่งมั่นสูง มีความขยัน มีการตั้งจิต ประครองจืตไว้เพื่อให้ปฎิบัติในการทำความเพียรนั้น

    สัมมาสติ มีสติโดยถูกต้อง ใช้สติโดยถูกต้อง มีสติรู้ทันตามความเป็นจริง มีสติรู้ทันตามอริยสัจจธรรม มีอาตาปิ มีความขยันหมั่นเพียร มีสัมปะชัญญะ รู้ด้วยตนเองว่าทำอะไรอยู่ มีสติรู้ทันตามความเป็นจริงดังกล่าวนั้น เพื่อทำลาย เพื่อกำจัดตัณหา ความโลภะทั้งหลาย ทำความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไป

    สัมมาสมาธิ มีสมาธิโดยถูกต้อง ไม่ยึดติดในฌาน ไม่ติดสุขไม่ติดอุเบกขา ไม่ใช้สมาธิไปในไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ควรใช้สามธิให้เกิดปัญยา เพื่อทำลายตัณหา อวิชชาและอุปทาน และทำลายกิเลสต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากจิตของตน เพือ่ให้เกิดสุสุทธัง จิต เข้านิพานได้ต่อไป


    หลวงพ่อมเธาวี ธัมมะทานโก
     
  11. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
     
  12. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,843
    กลับไปกินหญ้าให้อิ่ม เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้า แล้วอมสตางค์นอนซะ(good)
     
  13. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    คุยแล้วก็หวังว่าจะฉลาดขึ้นนะพ่อคุณ ฮ่าฮ่าฮ่า หวังว่าจะไม่หลงอีกนะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าไปกวนท่านด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะตาบ๊อง
     
  14. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,843
    ไม่เห็นลูกศิษย์ท่านเล่าเลยว่าท่านไปโปรดสัตว์เสียสติ(evil) (evil) (evil) แอบอ้างอีกแล้ว อีแอบ(evil)
     
  15. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    จะว่าไป เราไม่น่านำเบอร์ท่านมาโพสต์เลย ไม่นึกว่าเปรตรวิพังจะโทรฯไปกวนท่านด้วยเรื่องไปเป็นเรื่อง
     
  16. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +511
  17. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ไปเช็กประสาทเถอะนะ หลายจ้อยเอ๋ย 555
     

แชร์หน้านี้

Loading...