ผมมีเหตุการณ์อยู่อันหนึ่ง ถามว่ามีหรือทำดีได้ดี ทำเลวมีแต่คนชื่นชอบ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย colapop, 9 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริง และ มีหลายที่ประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้ และบอกได้เลยว่า คนทำดีไม่มีได้ดีหลอก ทำเลวได้ดีมีเยอะไป อันนี้เป็น

    เหตุการณ์จริงได้มาจาก Facebook ของคนหนึ่งและได้ไปดูและประสบมา

    ก็คือ มีร้านขายข้าวอยู่ร้านหนึ่ง มีคนกินเยอะที่เดียว ร้านนี้ละ ที่เลวสุดแต่คนที่มากินบอกว่าเค้าเป็นคนดีไม่รู้เรื่องอะไร และเป็นต้นเหตุของปัญหา

    ของร้านที่อยู่ข้างที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอยู่เฉย ก็โดนกล่าวหาว่า เลว เป็นคนเห็นแต่ตัว เป็นที่น่ารังเกียจ

    เหตุการณ์จริง ร้านนี้เป็นตึกแถว มีร้านขายข้าว ร้านนี้มีคนมากินเยอะ แต่ที่จอดรถมีจอดได้ไม่กี่คัน แต่เค้าทำที่นั่งให้นั่งกินเป็น 40- 50 ที่

    นั่งนั้นหมายถึงต้องมีรถมาจอดมากขึ้น 40-50 คัน ถ้าดูจากที่จอด ร้านที่เดือดร้อนก็แถบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะโดนเอาที่จอดไปหมด ขนาด

    จอดรถช่อง เล็กช่องน้อยยังยัดไม่ให้เหลือ เข้าออกบ้านยังลำบาก ทั้งจอดบังหน้าร้าน เอามอเตอร์ไซต์ออกยังไม่ได้เลย ไปบอกคนจอดก็โดนเกียจ โดน

    โมโห มีปัญหามากหรือไหง แต่ร้านขายข้าวไม่มีใครกล้าไปจอดหน้าร้านเค้า มีช่องเข้าออกสบาย เพราะถ้าใครไปจอดเด่วไม่ได้กินข้าว แต่พอร้านที่

    เดือดร้อนเอาที่กั้นมากั้นเท่านั้น เป็นสัตว์ได้ทุกชนิด มากั้นขว้างเค้าทำไมคนจะจอดกินข้าว กล้ายสัตว์ไปเลย ส่วนร้านข้าวเป็นพระเจ้าไปแล้ว

    สรุป ร้านขายข้าวสร้างความเดือดร้อนให้ เพื่อนบ้านเรื่องที่จอดรถหรือพุดง่ายหากินบนความเดือดร้อนของคนอื่นๆ [ที่จอดรถ ]
    ร้านเพื่อนบ้าน ค้าขายไม่ได้เลย แถมโดนคน ด่า โมโห ประมาณ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ เป็นคนนำมาเลย แต่คนที่นำเรื่องมาให้เป็นร้านขายข้าวทั้งหมด
    หามาให้หมด แต่คนกินเหล่านั้น บอกว่าร้านนี้เค้าดีนะ ไม่ได้เลว เพื่อนบ้านเลว กั้นที่จอดไม่ให้เค้าจอดรถเพื่อกินข้าว เห็นแก่ตัว ทั้งที่รถที่จอดมา

    จอดทั้งหมด มากินข้าวทั้งหมด ทางเข้าออกจากร้านยังไม่มีเลย แต่โดนกล่าวหาว่าเห็นแต่ตัว น่ารังเกียจ จริงนะก็คิดเอา เอาที่จอดรถทั้งหมดไปเป็น

    ของร้านข้าวทั้งหมด พอจะขอที่จอดซักช่องบางกลับโดนหาว่าเห็นแต่ตัวจริงๆ ถามว่าใครเห็นแต่ตัวกันคับนิ มีจริงโลกนี้ คนทั้งเค้ากับเป็นคนดี คน

    โดนทำกับเป็นเลว ไม่ต้องใช้สื่อออก TV เลยมันเป็นโดน Auto ตามเหตุการณ์ที่ลิขิตเลย

    ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำเลวได้ดีมีถมไป มีจริงและมีเยอะด้วย
    ทุกอย่างอยู่ที่ฟ้า สิขิตมากกว่า ดูร้านข้างทีเดือดร้อน เค้าเป็นคนทำดีมาตลอดๆ แต่พอถึงเวลาเหมือนโดนบังคับให้ เลวเลย

    [ ถ้าถามพระ พระบอกว่าเป็นกรรมเก่าเมื่อชาติก่อน ] จากคำพูดที่พระบอกนี้ ผมอยากถามคำถาม มันก็เหมือน ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกั้น
    กรรมก็คือ วงกลม สร้างกรรมใช้กรรมกันไป พอชาติหน้าก็มาใช้กรรมกันต่ออีก แล้วคนที่ทำกรรมกับคนนั้น ที่เป็นคนแรกที่สร้างกรรมนะ ใครกัน
    แล้วเหตุการณ์หรือฟ้าสิขิต ที่ให้คนทำกรรมคนแรกทำวงกลมของกรรม จนกรรมเกิดการหมุน ถ้าไม่มีเหตุการณ์หรือ ลิขิตให้เกิด วงกลมของ

    กรรมจะเกิดได้หรือ ขอถามผู้รู้ทางกรรม พูดง่ายๆ คนจะดีจะชัวอยู่ที่ฟ้าลิขิต มากกว่า
     
  2. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    ถ้าพูดถึงกรรม ชาติหน้า บ้านที่เดือดร้อนจะเป็นผู้ไปกระทำกรรม ให้กับคนที่มากินข้าวทั้งหมดใช้ไหม
     
  3. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    กฏธรรมดาของสัตว์โลก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

    สัตว์ที่มีกำลังกว่า ย่อมเบียดเบียนสัตว์ีท่อ่อนแอกว่า

    ผู้ที่มีเหล่เหลี่ยม ก็ย่อมเอาเปรียบผู้ที่โง่เขลา

    กฏธรรมดาของโลกมันเป็นแบบนี้ ที่แห่งไหนบนโลกก็เป็นแบบนี้

    เราจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์โลกล่ะ

    ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราก็ต้องแบ่งแยก ไห้อออกว่าอะไรดี อะไรชั่ว

    อะไรไม่ควรทำ และอะไรควรทำ

    เชื่อในบาป ในบุญ ไม่ใช่เชื่อด้วยศรัทธา แต่ต้องประกอบไปด้วยปัญญา

    ให้รู้ ให้เข้าใจ จริงๆ แจ่มแจ้งว่า ทำดีจะได้รับผล ดี คือความสุข กายและใจ จริงๆ

    ทำชั่ว จะได้รับผล ชั่ว ก็คือทุกข์ ทุกข์ทั้งทางกาย และใจ

    ...............................................................
     
  4. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอท่านให้ความกระจ่าง อีกนิดได้ไหม ยังไม่รู้ถึงจุดที่บอกเลย
    หรือ ความดี ความชั่วอยู่ที่ ตัวคิดใช้หรือเปล่า
    แล้วโดนเบียนเบียดอยู่ตลอด อยู่เฉยก็โดนจี้ ดิ้ินล้นก็โดนเกลียด แล้วจะให้ทำอย่างไหง
    ช่วยแนะนำ แนวทางการคิดให้หน่อยคับ ให้ใจได้สงบ
     
  5. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    โทรแจ้ง กทม. ให้มาจัดระเบียบการจอดรถบริเวณนั้นเลย
    เมืองไทยคนส่วนใหญ่ไม่มีวินัย ไม่เคารพระเบียบ กฏหมาย เพราะมีจิตสาธารณะน้อย เห็นแก่ตัวกันมาก
    เลยเป็นช่องทาง เป็นโอกาสให้คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้ง่ายๆ
    เพราะแบบนี้ละ ใครๆ ถึงได้พากันคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  6. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    อันที่ท่านบอกคงอยาก จราจรมานั่งกินฟรีทุกเดือนเป็นฝูง แถมมีใส่ถุงติดมือกับไปบ้านอีก เลิกคิดได้เลย
    ขอบคุณที่ช่วย ชี้แนะ
     
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    นั่นซิ จะว่าไปข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยหวังอะไรกับเจ้าหน้าที่รัฐในยุคนี้หรอก โดยเฉพาะตำรวจ
     
  8. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ถ้าโลกนี้มันสบายนักคงไม่มีใครอยากไปนิพพานกันหรอก
    ถ้าคิดว่าคนเลวสบายลองไปเลวกับเขาดูบ้างก็ได้ จะได้เข้าใจ
     
  9. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    เอาง่ายๆก่อนนะ อย่างของคุณเห็นจะเป็นข้อเบียดเบียน

    เราถูกเบียดเบียน ถูกเอารัดเอาเปรียบ เราเองเรารู้สึกอยู่แล้ว

    ถามคนเบียดเบียน ที่ได้ประโยขน์จากเรา เค้าก็รู้ดีไงละครับ

    ในมุมกลับกับ ถ้าเค้าโดนเบียดเบียน แบบเราบ้าง

    เค้าก็คน เราก็คน ความรู้สึกก็ไม่แต่งต่างจากเรา

    ใช่ไหม ความรู้สึกเดียวกัน นี่ละบาปเกิดตรงนี้ ภพชาติเกิดตรงนี้

    ความทุกข์ ไม่จบไม่สิ้นเกิดตรงนี้

    ที่คุณมาโอดครวญนี่ก็ทุกข์ทั้งนั้น คุณจะต่อกรรม หรือตัดกรรมล่ะ

    วันหนึ่งข้างหน้า พวกเค้าเหล่านั้น ก็จะต้องเจอแบบคุณ ไม่ช้าก็เร็ว

    (ทำสมาธิเยอะๆ แล้วจะเห็นผลกรรม ของคนที่ทำชั่ว ของตัวเราเอง)

    บนโลกใบนี้ ทำชั่ว ทำผิด ยังหนี ยังปกปิดได้

    แต่พอตายแล้วนี่ละ ติดตัวเราจริงๆ มีสองอย่าง

    ความดี และความชั่ว บาปและบุญนั่นเอง

    เงินแม้แต่บาทเดียว เสื้อผ้า ลูกเมีย ญาติ เพื่อนๆ

    เส้นผมสักเส้น มันก็อยุ่กะโลกนี่ละ

    ส่วนเรา ตัวเรา ไปตามกฏของกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  10. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    เห็นพระตกนรก
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือ พระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในฤทธิ์ทางใจ หรือ มีวิชามโนมยิทธิ ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ท่านได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งตกนรกจากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน ว่า

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เห็นพระตกนรก
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือ พระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในฤทธิ์ทางใจ หรือ มีวิชามโนมยิทธิ ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ท่านได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งตกนรกจากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน ว่า

    ครั้งหนึ่งมีพระผู้ทรงสมณศักดิ์รูปหนึ่งเป็นถึงระดับท่านเจ้าคุณอยู่ที่วัดฝั่งพระนคร โดยที่พระรูปนี้ท่านกล่าวเอาไว้ว่า “บวชพระมาสามสิบปีเศษแล้วไม่เคยเห็นนรกสักนิด” ซึ่งนับเป็นความเห็นที่ผิดมาก ยิ่งได้อยู่ในสถานะที่เป็นพระภิกษุด้วยแล้วจึงยิ่งให้ผลกรรมหนักมากขึ้นเพราะตลอดชีวิตของพระสมณะรูปนี้ได้กระทำผิดพระวินัยมากมาย ทำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไม่เคยชอบใจเลยที่จะต้องไปพบกับพระรูปนี้

    เมื่อพระสมณะรูปนี้ได้มรณภาพลง ครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำขึ้นได้นั่งสมาธิภาวนาเพื่อที่จะลงไปดูนรก โดยที่เมื่อไปถึงก็ได้พบกับพระยายมราช โดยที่ท่านจะเรียกพระยายมราชว่า “ท่านลุง” โดยพระยายมราชได้กล่าวเล่าถึงผลการตัดสินโทษของพระสมณะที่เพิ่งตายลงมารูปนั้นว่า

    “ยมบาลเขาตัดสินแล้วขณะนี้ พระรูปนั้นอยู่ในอเวจีมหานรก” ซึ่งทำให้ท่านเกิดความสงสัยจึงถามว่า “พระตกนรกด้วยหรือ” พระยายมราชก็ตอบว่า “พระภิกษุนั้นตกนรกเป็นประจำ เพราะพระเหล่านั้นบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระ ก็ต้องตกนรกเป็นธรรมดา”

    หลวงพ่อเกิดความสงสัยจึงถามท่านต่อว่า “พระที่เทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก” ท่านจึงตอบว่า “ก็พระดีแต่สอนชาวบ้านแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดีแต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมดและก็มีโทษหนักมาก”

    หลวงพ่อท่านจึงปรารภว่า “ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ” ซึ่งท่านหมายถึงพระรูปที่ตกนรกนั่นเอง

    พระยายมราชจึงได้ยกมือขึ้น ก็ปรากฏว่ามีภาพอเวจีมหานรกมาปรากฏใกล้ตัวท่านและภาพท่านเจ้าคุณผู้นั้นก็ปรากฏเป็นลักษณะดังนี้

    ท่านต้องยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดานหัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น มีหอกปักด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้ามตรึงติดกำแพงเหล็ก กล่าวคือสภาพร่างกายทั่วตัวมีหอกปักตรึงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว และมีเปลวไฟละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาอยู่ตลอดเวลา

    เหตุที่ทำให้พระเจ้าคุณรูปนี้ต้องรับโทษเช่นนี้ก็เพราะว่า พระรูปนี้ได้ทำผิดสร้างกรรมเอาไว้มากมายเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์โดย

    1. เมื่อบวชแล้วท่านไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่สนใจในการปฏิบัติสมถะภาวนา ไม่เคยวิปัสสนากรรมฐานใดๆ ซึ่งผิดวิสัยความเป็นพระ เมื่อทำตนไม่สมควรในความเป็นพระ จึงจัดเป็นความผิด คือเป็นคนลวงโลก หลอกชาวบ้านว่าเป็นพระคอยเอาเปรียบผู้อื่น

    2. เมื่อได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว ไม่ยอมประพฤติตามธรรมนั้น โดยมุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน โดยเป็นไปในทางหวังเพื่อให้เกิดทรัพย์สินแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์สินนั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา โดยเอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ออกเงินให้กู้ ซึ่งเป็นวิสัยของฆราวาส พระภิกษุรูปอื่นท่านห้ามไม่ให้ทำแต่ก็ยังฝืนทำ

    3. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศ คิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ แม้แต่เห็นผู้ที่ทรงฌานแล้วก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง

    4. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องมาก และมีลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งอะไรก็ต้องเสียเงินให้ตามอัตรา เวลามาขอยศขอตำแหน่ง ก็ต้องหาพานมาประเคนโดยมีเงินเป็นที่ตั้ง

    เวลานิมนต์เทศน์ต้องติดเงินก้อนใหญ่ๆให้ ทำให้ท่านกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้มาก คือมีเงินให้กู้มากๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผิดวิสัยสงฆ์ชัดเจน ซึ่งหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็ได้ถามกับ ท่านเจ้าคุณผู้ตกนรกเกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ก็สามารถบอกได้ทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง

    5. ในฐานะที่พระรูปนี้เป็นพระปลอม คือบวชแต่ตัวและมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดี เป็นถึงพระอริยเจ้ามากราบไหว้ท่าน ท่านก็เลยหลงในอำนาจทำวางอำนาจบาตรใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมข้อนี้อีกข้อหนึ่งที่ทำให้ท่านลงอเวจีมหานรก

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้พังเรื่องราวนี้จบแล้ว ท่านก็ดีใจกราบลาท่านลุงกลับบ้านแล้วนำเรื่องราวที่ท่านได้ไปท่องนรกมาบอกกล่าวแก่ญาติโยมโดยเฉพาะคุณยายที่เคยสนิทสนมกับอดีตท่านเจ้าคุณรูปนี้ให้ฟังถึงผลกรรมที่ท่านเจ้าคุณเคยกระทำไว้เมื่อยังมีชีวิตว่า ผลกรรมที่ทำเพราะความโลภ และความหลงในตนนั้นมีผลร้ายแรงกว่าทำในขณะที่เป็นฆราวาสมากมายนัก


    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เห็นพระสมณะตกนรก
    เรื่องนี้นำมาจากหนังสือ “ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน” อีกเช่นเดียวกันซึ่งเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เล่าถ่ายทอดเอาไว้ถึง กรรมของพระภิกษุรูปหนึ่งทำให้ต้องตกนรกเมื่อท่านมรณภาพตอนที่อายุ 72 ปี มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอแล้ว

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านปรารภว่า วันหนึ่งใกล้เวลาสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็ได้นอนหลับพักผ่อนเป็นปกติ เมื่อจะหลับไปก็เห็นเทวดาองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า พอเหลียวไปดูท่านก็นั่งคุกเข่ายกมือขึ้นพนม จึงได้ถามขึ้นว่า

    “ท่านมาทำไม” เทวดาตนนั้นก็บอกว่า “ท่านใหญ่ให้มานิมนต์ครับ”

    คำว่า “ท่านใหญ่” นั้นก็หมายความถึงท่านพระยายมราช ท่านมีสถานะเป็นระดับพรหมไม่ใช่พวกเจ้าหน้าที่ในนรก ซึ่งสำนักของพระยายมราชไม่ใช่อยู่ในแดนนรกแต่อยู่ใกล้แดนนรก มีหน้าที่กันคนลงนรกพอหลวงพ่อไปถึง ก็ถามท่านพระยายมราชว่า “ท่านลุงมีธุระอะไร”

    ท่านตอบว่า “ไม่มีธุระอะไรมากหรอก เพื่อนท่านเขามาอีกหนึ่งแล้ว” ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าพระมาลงนรกสักรูปหนึ่ง ก็มีอันต้องให้มีคนมาตามมาดูซึ่งพระยายมราชก็บอกว่า “ไปเยี่ยมเขาหน่อยซิ”

    เมื่อสอบถามแล้วก็ทราบว่าพระรูปที่ตายลงมาอยู่ในนรกขุมที่ 7 เรียกว่า “มหาตาปะนรก” มีอายุครึ่งกัป

    พอท่านไปถึงก็เห็นเขากำลังลงโทษพระรูปนั้นอยู่ ซึ่งท่านเองก็ทราบดีว่า การจะไปบอกให้นายนริยบาลหยุดการลงโทษเพื่อขอพูดคุยกับนักโทษนั้นโดยลำพังเพียงคนเดียวเขาจะไม่ยอมจะต้องนำคนจากสำนักของพระยายมราชไปด้วยจึงจะสามารถทำได้

    และโชคดีที่วันนั้นท่านพระยายมราชไปด้วยตัวของท่านเองก็ได้รับความสะดวก เมื่อไปถึง ท่านก็บอกว่า “เอาคนนั้นขึ้นมา”

    พอท่านเพียงบอกว่าเอาคนนั้นขึ้นมา นักโทษคนนั้นก็หลุดจากเครื่องพันธนาการ เขาก็ขึ้นมาจากขุมนรก พอขึ้นมาแล้วก็แต่งตัวเป็นพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีรูปร่างหน้าตาดีมาก หากพิจารณาดูแล้วช่วงสมัยหนุ่มๆ คงรูปหล่อเหลาเอาการทีเดียว ขึ้นมาแล้วหลวงพ่อก็ถามว่า

    “ท่านบวชตอนอายุเท่าไร และตายอายุเท่าไร”
    “กระผมบวชเมื่ออายุ 20 ปีเศษ และตายเมื่ออายุ 72 ย่าง 73 ครับ”
    “ท่านบวชได้ตั้ง 52 พรรษาแล้วมีตำแหน่งอะไร”
    “ผมเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ และก็เป็นพระอุปัชฌาย์”

    หลวงพ่อก็ระลึกได้ว่าเวลานั้นท่านเพิ่งจะบวชได้สองพรรษา ส่วนพระรูปนี้บวชได้ถึง 52 พรรษาแล้วเรียกได้ว่าบวชได้เท่าเศษพรรษาของเขาพอดี หลวงพ่อจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงตกนรก” พระรูปนี้ตอบว่า

    “ตอนบวชนั้นผมเป็นสมมุติสงฆ์จริงๆ อยู่สองพรรษา ยังมีความประพฤติบกพร่องบ้างอยู่สองพรรษา นอกนั้นอีกห้าสิบปีคือมีพฤติกรรมหมดจากความเป็นพระ แต่ก็ยังครองผ้าเหลืองอยู่ กรรมมันก็เลยหนัก”

    การครองผ้าเหลืองอยู่แล้วทำตนเป็นดังเช่นฆราวาสนั้นถือเป็นกรรมหนักมากจัดเป็นการหลอกลวงผู้อื่นและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นอนันตริยกรรมเลยทีเดียวซึ่งตามปกติแล้วจะต้องลงนรกอเวจี

    หลวงพ่อถามต่อไปว่า “หมดความเป็นพระประเภทนี้มันน่าจะลงอเวจี แต่ทำไมจึงไม่ลง”

    “ผมมารู้สึกตัวตอนใกล้ๆ จะตายสักสองปี ก็พยายามทำความดีทุกอย่างแต่มันชดใช้กรรมที่เคยทำเอาไว้ไม่ได้”

    หลวงพ่อระลึกได้ว่า ถือว่ายังดีที่ไม่ได้ลงนรกอเวจี แต่ลงแค่ขุมที่ 7 เท่านั้น แต่ว่าก็ต้องใช้เวลาอีกนานชนิดที่ เกิดแล้วตายอีกร้อยครั้ง พระองค์นี้ก็ยังไม่ขึ้นมาเลยเพราะขุมนี้มีอายุครึ่งกัป ถ้ามีโทษอะไรอีกก็จะต้องมาไล่เบี้ยขุมใหญ่อีกคือ

    เมื่อออกจากขุมที่ 7 แล้วก็จะต้องผ่านนรกบริวารอีก 4 ขุม แต่ละขุมมีอายุไม่แน่นอน เขาจะกักไว้กี่ร้อยกัปก็ได้ นอกจากนรกบริวาร 4 ขุมแล้วถ้ามีโทษอย่างอื่นอีก ก็จะต้องไปตกนรกขุมใหญ่อีก ออกจากขุมนั้นก็ต้องตกนรกบริวารอีก 4 ขุม เป็นอย่างนี้เรื่อยไป

    พอพ้นจากเขตนรกนั้นแล้วแล้วยังต้องไปตกยมโลกียนรกอีก 10 ขุม และยมโลกียนรกก็ไม่มีอายุเหมือนกัน ไม่บอกเวลาแน่นอน การตกนรกขุมนี้เขาจะไล่เบี้ยตั้งแต่กรรม ปาณาติบาตไปเรื่อยจนครบทั้ง 5 ข้อ

    นอกจากนั้นถ้ายังมีคดโกง เช่นการคดโกงจากการเรี่ยไรเงินมาแล้วเอามาเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเอง อย่างนี้เขาจะลงโทษไว้หมดเลย ซึ่งไม่รู้ว่าใช้เวลาทั้งหมดกี่ร้อยกัป หลังจากนั้นจะต้องมาเป็นเปรตอีก 12 ระดับ กว่าจะพ้นแต่ละระดับก็แสนจะยาก

    จากเปรตก็มาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายก็ต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานกว่าจะไปเกิดเป็นคนหรือเทวดาได้ด้วยบุญเดิม ก็จะต้องเป็นสัตว์ที่รู้ภาษามาก ต้องมีคนเมตตาอุทิศบุญให้

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านได้ให้ข้อคิดกับการเข้ามาบวชพระในพระพุทธศาสนาว่า

    “ในเมื่อเราตั้งใจบวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติความดีก็ต้องคิดว่า พระอรหันต์ทุกองค์ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่กำเนิด ท่านก็ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นแบบเดียวกับพวกเรานี่แหละ ทำไปแก้ข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ มีความพากเพียรเป็นปกติ มีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วน จะทำสิ่งใดมันก็ต้องสำเร็จจนได้และสำเร็จทุกอย่าง”

    “มหาตาปะนรกที่ว่าเป็นอย่างไร”
    มหาตาปนะนรก เป็นนรกใหญ่ที่ 7 ชื่อมหาตาปนนรกนั้น เพราะว่าในนรกนี้มีความร้อน ทวียิ่งขึ้นไปกว่าความร้อนในนรกขุมที่ 6 คือตาปนนรก และมหาตาปนนรกนี้ มีลักษณะเป็นสัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยกว้างยาวและลึกนั้นได้ประมาณ 100 โยชน์ มีฝาผนังทั้ง 4 ด้านโดยเป็นเหล็กหนา 9 โยชน์ มีประตู 4 ประตูด้านละประตู

    ในภายในมหาตาปนนรกนั้น จะมีภูเขาเหล็กใหญ่สูงเงื้อมน่ากลัวยิ่งนัก โดยนายนิรยบาลทั้งหลาย มีมือถือเครื่องศาสตราวุธต่างๆ ไล่ทิ่ม แทง สับ ฟัน ทุบตี ต้อนสัตว์นรกทั้งหลาย ให้ขึ้นไปบนภูเขานั้น สัตว์นรกเหล่านั้นแม้กลัวอำนาจนายนิรยบาลก็อุตส่าห์ปีนป่ายตะเกียกตะกายขึ้นไป แต่พอขึ้นไปถึงยอดภูเขาแล้ว จะมีลมนรกเกิดขึ้น เป็นพายุใหญ่พัดมาโดยรอบ

    ลมนรกนั้นจะพัดอย่างแรงกล้ายิ่งนักเกินกว่ากำลังที่สัตว์นรกเหล่านั้น จะทรงกายอยู่บนภูเขานั้นได้ สัตว์นรกเหล่านั้นจะพลัดตกลงมาจากยอดภูเขานั้น แต่พอตกลงมายังไม่ทันถึงแผ่นดินเหล็ก หลาวเหล็กใหญ่ประมาณเท่าลำตาล ก็ผุดขึ้นคอยรองรับอยู่ เสียบกายสัตว์นรกเหล่านั้น ตั้งแต่ศีรษะตราบเท่าตลอดออกทางทวารหนัก

    สัตว์นรกบางตัวนั้นหลาวเหล็กจะร้อยอยู่ 2 เล่มบ้าง 3 เล่มบ้าง 4 เล่มบ้าง 5 เล่มบ้าง หลาวเหล็กแต่ละเล่มๆ นั้น ลุกเป็นเปลวเพลิงอยู่เสมอๆ เผาเนื้อและเลือดเผากายภายในออกมา เพลิงที่แผ่นดินเหล็กนั้น ก็ลุกไหม้จากกายภายนอกเข้าไป ไฟจากภายในกายกับไฟนอกกายนั้น ก็ไหม้กระทบปะทะกัน

    เมื่อไฟไหม้กายสัตว์นรกเหล่านี้ย่อยเป็นผงธุลีไปแล้ว ก็กลับไปเกิดเป็นร่างกายมีเนื้อ และเลือดดังเดิม นายนิรยบาลทั้งหลายก็ทำโทษเช่นเดิมได้ความทุกข์ทรมาน ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นสิ้นกาลช้านาน ประมาณได้กึ่งอันตรากัปหนึ่ง

    คือนับตั้งแต่มนุษย์ทั้งหลายมีอายุได้ 10 ปีเป็นอายุขัย แล้วมีอายุมากขึ้นไปถึงหนึ่งอสงไขย แล้วก็นับเวลาอายุขัยให้ถอยน้อยลงมาๆ จนอายุได้ 10 ปี เป็นอายุขัยอีก ดังนี้แหละชื่อว่า หนึ่งอันตรากัปหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุรูปที่ท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้พบนั้นต้องถูกลงโทษถึงครึ่งกัป ก็นับว่าเป็นเวลาที่แสนยาวนานมาก เพราะได้ทำกรรมหนักไว้เมื่อเป็นพระ แต่มีมิจฉาทิฐิ เอาเปรียบชาวบ้านและไม่ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นพระจึงต้องรับกรรมเช่นนี้

    ยังมีเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่พระภิกษุรูปหนึ่งต้องกลายเป็นเปรต เพราะกรรมแห่งความตระหนี่เป็นเรื่องเล่าจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโมแห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีได้เล่าไว้ในหนังสือ เล่าเรื่องกรรมดังนี้ว่า
     
  11. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การคาดเดาสุ่ม ส่งตัดสินเอาเอง...แล้วสรุปว่าทำดีได้ดีมีที่ใหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ย่อมเป็นความเสียหายแก่ตนอย่างยิ่งแต่ถ่ายเดียว ข้อนั้นเพราะเหตุไร?...เพราะเขาผู้นั้น ได้ทำปัญญาที่ถูกควรของตนให้ทุรพลย่อยยับไปด้วยอำนาจกิเลสคือโมหะ โทสะและโลภะ ที่ตนชำนาญมาเป็นมาตรตัดสินบุญ-บาปด้วยอาการลูบคลำ เเต่ไม่เคยเงี่ยโสตลงสดับคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าเลย จึงไม่ได้ปัจจัยเเห่ง"ปัญญา"อันสามารถยังตนไว้ได้ในความเห็นที่ถูกตรง ได้....โอกาสที่จะเห็นสิ่งจริงตามจริงได้ ย่อมไม่ใช่ฐานะ..


    ท่านจขกท จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน..?..ว่าเจ้าของร้านข้าว ตั้งเจตนาให้ลูกค้าไปจอดรถขวางทางชาว บ้าน หรือ ลูกค้าร้านข้าว มีเจตนาไปจอดรถขวางหน้าบ้านเขาเพราะตนมีตัณหาอยากกินอาหารอร่อย?..ตกลงเจตนา ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นของร้านข้าวหรือลูกค้าัแน่?....เจตนาเกิดที่ใด กรรมย่อมปรากฏสำเร็จที่นั่น..ท่านจขกท สำคัญว่า คนขายข้าว ตั้งร้านขายข้าวเพื่อทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหรือเพื่อความอยู่รอดของเขาเองจากราย ได้ในการขายข้าวครับ?..หากท่านจขกท กล้าพอ ลองไปถามเจ้าของร้านดูว่าเขาดีใจใหมที่ลูกค้าไปทำความเดือดร้อนแก่เพื่อน บ้าน..?.บางทีจะทราบว่า ใครกันที่ทำบาปแท้จริง...เจ้าของร้านหรือลูกค้า?

    การ วิเคราะห์ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว ไม่ใช่นึกเอาเองได้ แม้พระเจ้าก็ยังจำแนกไม่เป็นเลย มีแต่พระสัพพัญญุตตญานของพระพุทธเจ้าเืท่านั้นที่ทรงจำแนกได้ ปุถุชนบอดเขลาเช่นเราท่าน ต้องฟังคำตรัสสอนของท่านจึงพอจะได้แนวทางในการแยกแยะได้...

    ดูจาก เรื่องที่ไปก็อปปี้มา ท่านจขกท ย่อมทราบได้ว่า ร้านข้าวขายดี แน่นอนที่มีรายได้ไหลหลั่งมา พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องเหตุและผลไว้มากว่าผลทั้งหลายย่อมมีได้ต้องมีเหตุ ไม่อาจปิ๊งปั๊งด้วยอำนาจดลบันดาลอะไรๆจากใหนไม่....ก็พึงทราบว่า ด้วยอำนาจบุญเก่า ในอดีตที่เขาทำมาดีแล้วอย่างหนึ่ง กับความเพียรในการงานอาชีพในปัจจุบันนี้อีกอย่างหนึ่งประกอบกัน จึงได้มีความเจริญในกิจการแลทรัพย์ได้เช่นนั้น ...

    ในขณะเดียวกัน เขาถูกเพื่อนบ้านโพนทะนารังเกียจเกลียดชัง ท่านจขกท คิดว่าคนร้านข้าวสุขใจดีอยู่หรือเปล่า นอนหลับได้โดยไม่กระสับกระส่ายหรือว่าฝันร้ายทุกคืนด้วยอาการสะดุ้งผวาว่าชาวบ้านจะมาสร้างความวิบัติใดๆกับทรัพย์สินของตนบ้างหรือไม่?..นี่คือผลบาปที่เขาเองก็เคยทำไว้เช่นกันในอดีต ซึ่งได้ปัจจัยจากการทำอาชีพปัจจุบันมากระตุ้นให้ส่งผลในปัจจุบัน..

    ส่วนเพื่อนบ้านที่ถูกรบกวนเดือดร้อนก็ไม่ได้เกิดเพราะซวยฟลุคหรือเจ้ากรรมฯที่ใหนมาเล่นตลกอะไรๆ แม้ฟ้าก็ไม่อาจบันดาลอะไรๆให้เกิดได้นอกจากส่งฝน บ้าง ลูกเห็บบ้าง หิมะบ้าง ลงมาตามฤดูกาล ไม่มีจิตใจจะทำร้ายหรืออำนวยโชคแก่ใครได้...แต่เขาเหล่านั้นย่อมเคยขวางกั้น ทำความไม่สะดวกแก่ใครๆมาแล้ว จะในอดีตหรือปัจจุบัน เจตนานั้นไม่สูญเปล่า..มีแต่ในลัทธิมิจฉาทิฏฐิหรืออกิริยทิฏฐิเท่านั้นที่ ประกาศว่า กรรมไม่มี สิ่งต่างๆเกิดเองตามความเฮ็งซวยแบบมั่วๆ คนที่เชื่ออย่างนี้เมื่อจบฉากในอัตภาพมนุษย์ก็พากันไปผุดโตทันทีในที่อันไม่มีความสุข ไม่มีโอกาสแม้จะมาตั้งคำถามในเว็บดีๆเช่นนี้อีก และกลายเป็นตอของวัฏฏะเพราะความเห็นผิดที่ติดตามไปรับใช้อย่างซื่อสัตย์ไม่ หนีทิ้งไปง่ายๆเพราะเขาสั่งสมไว้แน่นหนามีกำลังเสียแล้ว เมื่อดิ่งแล้ว แม้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอาจแก้ไขอะไรเขาได้น่าสังเวชยิ่งนัก..

    สำหรับนคำถามหากรรมแรกของท่านจขกทนั้น พึงทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า..



    อจินไตย4 เป็นเรื่องไม่ควรคิด ไม่ควรสงสัย เพราะไม่มีประโยชน์ต่อการหลุดพ้น ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด คิดไปก็คิดไม่ออก คิดไปจะเป็นบ้า เดือดร้อน เป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผล ที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ วิทยาศาสตร์ก็ยังเข้าไม่ถึง ที่เราคิดสงสัยเพราะยังมีกิเลส เมื่อเราเข้าถึงความจริงแล้ว เราจะหมดความสงสัยไปเอง

    ประกอบด้วย
    - พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า ความเป็นมาของ พระพุทธเจ้า
    - ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ธรรมชาติของณาน ฌานและอภินิหาร เช่น ตาทิพย์
    - วิบากแห่งกรรม การตอบสนองของกรรม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
    - ความคิดเรื่องโลก กำเนิดของโลกและชีวิต เช่น จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนสร้าง


    ดังนั้นท่านพึงทราบว่าความสงสัยของท่านนั้นไม่นำประโยชน์อันใดมาสู่ตนเลย ด้วยว่าการสงสัยเช่นนี้เป็นอาหารอย่างดีของการพาตนเข้าสู่
    ความนิยมในลัทธิมิจฉาทิฏฐิอย่างมั่นคงที่ ไม่อาจถอนออกได้อีกต่อไป ..พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าการมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะผูกสัตว์ติดไว้ในสังสารวัฏจนออกไม่ได้นั่นเอง


    ท่านจขกท พึงพิจารณาไปด้วยดี รักษาตนไว้ในความสวัสดีแห่งการได้และมีความเห็นถูกเถิด ท่านเท่านั้น ทำร้ายตนเองหรือหวังดีแก่ตนเองได้ คนนอกนั้นไม่อาจทำได้ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  12. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เข้ามาตอบแบบเข้าใจค่ะ ดิฉันเคยโพสต์ทำนองคล้ายอย่างนี้มาก่อน เพราะหน้าบ้านทำเลดีมาก
    คนหลายคนหลายแบบ..ชอบบบ และเมื่อก่อนก็ทำหอด้วย ทำให้เจอะอะไรหลายอย่าง เยอะกว่าปัญหาที่เจ้าของกระทู้เล่า

    ปัญหาเก่าไป ปัญหาใหม่มาต่อ ข้างใหม่บ้านนี้เอง คราวนี้ดิฉ้นแรงกว่าเดิมเยอะมาก ต้องโทรเรียกแม่คุยกับทางนั้นด้วย ดิฉันโวยเองด้วย เพราะต้องใช้คำว่า ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม (เห็นแบบเต็มพิกัดก็พูดเลย ไม่นับครั้งเล็กครั้งน้อยที่ผ่านมาแล้ว อันนั้นเฉยๆ แค่มองและคิดว่าท่าจะไม่ดีแน่ รีบๆตัดไฟเสีย)
    ปรากฏว่าได้ผล เขายอมไปจอดหน้าบ้านตัวเอง (เพราะดิฉันชี้ว่า แล้วที่บ้านตัวเองทำไม ไม่จอด )
    แต่อีกใจก็คิดว่า น่าจะมีปัญหาอีกก็ได้(มั้ง) รอดูไปอีก

    ดิฉันอยู่ตรงนี้ต้องใช้คำว่าตัดไฟแต่ต้นลม เพราะเวลาปล่อยให้ไฟมันไหม้ไปแล้วก็จะโดนแบบเจ้าของกระทู้โดน ทั้งคำหยาบ /ขึ้นมาว่าถึงในบ้าน /เกือบโดนชก (ตอนนั้นพูดจาดีๆ กับพ่อค้าค่ะ กลับมาคิดใหม่ว่า ถ้าดิฉันพูดแรงอาจจะไม่โดนชกก็ได้) ทั้งๆที่ ที่นี่บ้าน(แม่)ดิฉันแท้ๆ โดนด่ากันแบบเจ้าของบ้าน (ดิฉัน) ร้องไห้ เคยโดนมาเยอะมาก จนต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง

    ถ้าเจ้าของกระทู้คิดว่าตัวเองถูกจริงๆ หากได้รับคำว่าแบบหยาบๆ ขอให้เฉยไว้ อย่าไปคิดหรือฟังหรือใส่ใจ

    แต่รับรองด้วยประสบการณ์ว่า ถ้าไฟไหม้แล้วดับยากค่ะ

    คุณเป็นผู้ชายกว่าดิฉันอีกต้องหาทางด้วยตัวเองค่ะ คุณโดนแค่ว่าเท่านั้นเอง ดิฉันตัวนิดเดียว เมื่อก่อนเสียงก็เบามากๆ

    เพิ่มเติม เรื่องแบบนี้ตำรวจไม่ช่วยค่ะ ตอบว่า ถ้าตามกฎหมายแล้ว หมดเขตเราที่ตัวบ้าน ใครจะทำอะไรก็ไม่ผิด ตำรวจช่วยอะไรไม่ได้ ได้คำตอบแบบนั้นดิฉันเข้าใจเลยว่า พึ่งใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  13. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    ผมเคยสงสัยมานานมากแล้ว คำถามนี้เป็นคำถามแนวทางวิทยาศาสตร์กับวิญาณ นะคับ

    คือคนเอาตาย จิตก็ออกจากร่างไปแล้ว ทำไมคนตกนรกมีหอกแท่งได้รับความเจ็บปวด ผมถามทางวิทยาศาสตร์ คนตายออกจากร่างไปแล้ว จะได้รับความเจ็บปวดได้ไหง ในเมื่อ ร่างกายส่วนต่างๆ เมื่อโดนแท่งจะส่งกระแสไปที่สมองบอกถึงความเจ็บ แต่คนที่ตายเป็นจิตไม่มีร่างกาย แล้วจะมีกระแสจากไหนส่งบอกถึงความเจ็บ เป็นคำถามทางวิทยาศาสตร์จากเพื่อนผม ประเภทอยากเรียแพทษ์
     
  14. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    จาก Thanks-Epi ขอตอบต่อ
    ตอนนี้เค้าใช้ Facebook เป็นตัวระบายให้คนกินทราบ แต่ก็ได้ไม่กี่เบอร์เซนต์ แต่มันเป็น ดาบสองคม

    คมแรก คือช่วยคนที่มากิน และชอบเล่น Facebook ได้อ่านเจอ เค้าเข้าใจ ก็จะไม่มายุ่ง กับเราทำ และอีกประเภท ข้าใหญ่จะจอดสักอย่าง โดยเฉพาะประเภททำงานราชการแบบตำแหน่งดีหน่อย จะเบ่งมากหน่อย แต่ชอบเล่น Facebook พวกนี้จะหายไป และลดลง ไม่มายุ่ง แต่ไม่รู้ด้านหลังจะอย่างไง แต่ก็ช่วยลดแรงกดดันไปได้เยอะ สำหรับคนเข้าใจ

    คมสอง เหมือนเป็นกาารโฆษณาร้านข้าวให้เค้าให้คนรู้ัจักมากขึ้น บางคนคิดไปอีกแบบในทางไม่ดีกับเรา คือคนที่ไม่เคยประสบแบบเราเค้าไม่เข้าใจ เค้ารู้ว่าร้านนี้น่าจะอร่อย สำหรับประเภทไม่เข้าใจ

    แต่ก็ขอ ขอบคุณทุกความคิด จะได้ในเค้ามีแนวทางในการคิดทำให้จิตได้สงบลง อย่างน้อยได้ ระบายออกให้คนอีกหลายคนได้รับรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  15. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ไม่ใช่สมองหรอกครับที่บอกอาการเจ็บปวด ..ตัวที่รับรู้ถึงการเจ็บปวดคือจิต..
    คนตายมีสมอง แต่ไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่มีจิตในกายนั้น..
    จะเอาไปเผาก็ไม่ร้องสักแอะเพราะไม่รู้สึก ถ้าสมองเป็นตัวบอกความเจ็บปวด ตอนตายสมองยังมีอยู่ เวลาเอาไปผ่าพิสูจน์ศพหรือเผา คงแหกปากร้องเพราะเจ็บแล้วจิงใหมครับ?..


    คนตายเกิดใหม่ทันทีครับ ที่ใครๆเรียกผีบ้าง วิญญานบ้าง เหล่านั้นคือสัตว์ประเภทเปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือเทวดา การเกิดของสัตว์เหล่านั้นย่อมมีทั้งกายและจิตอยู่ในร่างนั้นเสมอ ไม่ได้มีแต่กายหรือจิตอย่างใดแต่อย่างเดียวหรอก ..

    ดังนั้น เมื่อมีกายก็มีกายปสาท ที่รับความรู้สึกได้ และเมื่อมีจิต ก็ย่อมรับรู้เวทนาที่เกิดได้เมื่อถูกหอกทิ่มหรือไฟเผา..จึงไม่แปลกเลยที่สัตว์ที่เกิดเหล่านั้นจะเจ็บปวดเมื่อถูกทิ่มด้วยหอก..

    เรื่องของจิตนั้นวิทยาศาสตร์ยังล้าหลังมากเมื่อเทียบกับความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้..

     
  16. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,057
    เป็นกรรมนำพาให้มาเจอปัญหาเช่นนี้ได้เหมือนกันค่ะ

    อาจเคยทำกรรมร่วมกันมาก่อน จึงต้องมามีปัญหาหงุดหงิดใจกันไปอย่างนี้


    แต่ถ้ามองทางโลก นั่นคือ การที่เราไม่รักษาระเบียบวินัย

    เรามองเป็นเรื่องเล็กน้อย พอมันสะสมมากเข้า เราจะรู้ได้เอง ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

    ยกตัวอย่างในหมู่บ้านที่มากิอยูู่ เพื่อนบ้านสองหลังมีปัญหาเรื่องทิ้งขยะ

    คือ ว่าถังขยะจัดมาให้ 1ถังต่อบ้าน 2 หลัง

    และก็จะวางไว้ เพียงที่หน้าบ้านหลังใดหลังหนึ่ง


    แต่มากิมองเห็นปัญหาที่จะเกิดตามมา มากิไปหาถังขยะมาเองและวางไว้หน้าบ้านตัวเอง

    รถขยะมาเก็บขยะไป มากิก็จะเอาถังขยะ กลับเข้าไปไว้ในบ้าน

    ตัดปัญหา ไม่ต้องมีใครมาทิ้งร่วมทำเลอะ เพราะว่าถังนี้เป็นถังขยะส่วนตัวที่เราหามาเอง


    แต่กับอีกบ้านที่เขามีปัญหากัน ก็มีบ้านหนึ่งทิ้งขยะแบบ อืมกระจัดกระจายไม่ปิดฝาถัง ทิ้งจนล้น สุนัขมาคุ้ย

    โดยที่ถังขยะนั้น ตั้งอยู่ที่บ้านตรงข้ามของเพื่อนบ้านมากิ คือ เขาทิ้งร่วมกัน

    ทีนี้ก็เลยเกิดปํญหาขึ้นมาตามที่คิดไว้ไม่มีผิด เป็นเรื่องกันเลยทีเดียว

    เพื่อนบ้านทั้งสอง ต้องผิดใจกัน

    เราก็ได้แต่รับฟัง อีกฝ่ายบอกว่าไม่พอใจที่บ้านนั้นมาทิ้งขยะเลอะเทอะจนล้นทุกวัน

    กลิ่นขยะมันเข้าไปในบ้านเขา

    ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่า เพื่อนบ้านคนนั้น เห็นแก่ตัว รักสะอาดเกิ๊น เรื่องแค่นี้ ใจดำ

    เอาล่ะซี ใครเป็นฝ่ายผิดล่ะทีนี้

    ด้วยเรื่องทิ้งขยะ ซึ่งที่จริงแล้ว หากทุกคนเคารพ กฏมีระเบียบวินัย ปํญหาย่อมไม่เกิด

    เรื่องขยะ บางคนก็ว่าเป็นเรื่องเล็ก จริงๆไม่เล็กเลย

    ยังมี อีกนะคะ ก่อนนี้ มากิอยุู่ที่บ้านหลังเก่า ที่นั่นเขา เก็บค่าขยะและค่าถัง

    ใครอยากทิ้งก็ให้จ่ายตังค์เป็นรายเดือน บ้านทุกหลังก็จ่ายค่ะ แต่มีอยู่หลังนึง บอกว่าไม่เอาถังขยะ

    อ่ะนั่นแน่ ดูซิ เขาจะเอาขยะไปทิ้งที่ไหน

    เขาแอบมาทิ้งที่ถังที่บ้านมากิค่ะ มากิอยู่คนเดียวไม่ค่อยมีขยะ

    คือ สรุปว่า เราไม่ค่อยได้ทิ้ง แต่มีคนอื่นมาทิ้งจนเต็มเลยทุกวัน

    เราก็พูดไม่ออกน่ะซี ก็ปล่อยไปเหอะ ไม่กล้าไปว่าอะไรเขาอยู่แล้ว

    แต่ก็ทำให้ได้รู้ปัญหาค่ะ และเป็นกรณีศึกษาได้ด้วย

    เรื่องจอดรถหน้าบ้าน ขวางทางเข้าบ้านผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กที่เราจะปล่อยไปตลอดอย่างนั้นค่ะ

    อิอิ ตอนนี้ก็เจอค่ะ เป็นบ้านติดกันนี่แหล่ะ แต่ว่าสนิทกัน บ้านเขามีรถส่งของ

    มีบ่อยครั้งมาจอดปิดหน้าบ้านกันเลยทีเดียว เราก็ ทำไงได้ ก็ยิ้มสิ ลงไปบอก

    แต่ว่าเพื่อนบ้านก็ดีนะคะ คือ เขาจะขอโทษเราทุกครั้ง แต่เราก็ใจเย็นอยู่แล้วค่ะ

    ถ้ามองอีกแง่ เอ๊อ ทำไมน๊า เราต้องมาคอยบอกเขาว่า พี่คะ หนูขอเข้าบ้านหน่อยค่ะ

    คงต้อง ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นล่ะ ไม่มีทางอื่นนี่ เพื่อนบ้านเราเสียด้วย เฮือก

    ดูเหมือนเราจะมองข้ามเรื่องเล็ก เหล่านี้ไปเยอะเลย

    แล้วมันก็เกิดปัญหาจนได้ แก้ยากค่ะ ต้องแก้จากพื้นฐานโน่นเลย

    ตัดสินได้ยากจริงๆ

    แนะนำอย่างนี้ค่ะ คือ ถ้ามีผู้เดือดร้อนหลายๆคน ลองรวมตัวกันไปคุยกับคนร้านนั้นดูสิคะ

    คุยกันเพื่อหาทางออก และเราะได้ฟังคามคิดของคนร้านนั้นว่า เขาคิดกับเรื่องนี้อย่างไร

    หากเขาไม่คิดจะแก้อะไร ขอให้ลองไปคยกันดีๆ ใจเย็นๆ ไปคุยกันดูนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2014
  17. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    น้อง colapop ลองพิจารณาดูซิคะ ทำไมร้านเราไม่มีลูกค้าทำไมข้างบ้านมีแต่ลูกค้า จนรถจอดเลยหน้าร้านเราทุกวัน อาหารเราอร่อยหรือไม่ ฝีมือสู้เค้าได้หรือไม่ ลองจัดฮวงจุ้ยใหม่ให้ดี ดูดีสะอาด ปรับปรุงร้านใหม่ ทาสีให้สดใส ถ้ามีเจ้าที่ก็ตั้งให้ดี เปิดร้านก็จุดธูปบอกท่าน ขอให้มีลูกค้าเยอะ แล้วยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายเสียงเจี่อยแจ๊ว เชิญครับๆๆๆ ต้องเปิดใจกว้าง ทักทายปราศัยให้ดีๆ ไม่ต้องสนใจใครชั่วได้ดี ลองคิดกลับกัน ถ้าร้านเราขายดีจนรถไปจอดเลยหน้าบ้านข้างบ้านบ้าง แล้วข้างบ้านก็คิดด่าอยู่ในใจแบบเราบ้างละ จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครดีไปกว่าใครหรอก ไม่แน่นะ วันไหนร้านค้าเค้าเต็ม ลูกค้ามาไม่มีที่นั่งก็ย้ายมากินร้านเราก็ได้
     
  18. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    ร้านผมไม่ได้ขายอาหารคับ ขนาดมีร้านข้างๆเปิดไม่ได้ขายอาหาร แถมต้องเช่าเดือนละ สามหมื่น เค้าก็ต้องทนอยู่เพราะ ทำไมเค้าต้องเป็นฝ่ายปิดร้าน มีอีกร้านข้างต้องปิด และ มาใหม่ก็ปิดอีก เพราะรายได้ไม่มี มีแต่ค่าเช่า จนตอนนี้ไม่มีใครกล้ามาเช่า กลายเป็นที่จอดรถของร้านข้าวเค้าไปโดยบริยาย แล้วทำไมร้านข้าวเค้าขายดี มีรายได้ทำไมไม่หาสถานที่ใหม่ ที่มีที่จอดรถให้พอกับที่นั่งที่เค้าจัดให้ หรือ ลดเอ้ากี่ออก หรือ ปิดร้านเร็วขึ้น และอีกอย่าง เค้าเอาโต๊ะ เก้าอี่มากลางบนที่จอดรถหน้าบ้านเค้ายาวเป็นแนวอีก พูดง่ายหน้าบ้านเค้ามีโต๊ะ ให้ลูกค้านั่ง แถมไม่บังหน้าร้านเห็นเด่นแต่ไกลทั้งที่ร้านเค้าเป็นห้องเดียวเล็ก แทนที่จะเป็นที่จอดรถ แต่ให้ลูกค้าไปจอดบังร้านอื่นๆเป็นกับว่า มองแต่ไกลเห็นร้านเค้าร้านเดียว ถ้าคุณขับรถมาเห็นมีคนนั่งกินข้าวบนโต๊ะชัดขนาดนั้น ซัก 4-5 คนแบบนั้น คุณก็ต้องจอดรถแล้วลงไปกินใช้ไหมคับ เพระเห็นว่ามีที่นั่ง มีคนกิน เมื่อคุณลงไปกินก็เพิ่มเห็นมีคนมากขึ้น ...
    ผมเคย post ที่ือื่นๆก็มีคนบอกแบบนี้ ขนาดมีคนอ่านแล้วไปกินกับมาบอกว่า คนแถวนี้ เค้าอีฉาริดสยา เห็นเค้าขายดี ก็เลยไม่พอใจเอากับเค้าซิ ผมฟังแล้วขึ้นกันเป็นแถว ที่เค้าไม่พอใจก็คือ ทำไมเค้าจะเอาที่จอดรถเยอะขนาดนั้น ทำไมเค้าไม่ไปหาสถานที่ ให้พอกับที่เค้าอย่างได้ แต่กับไปเบียดเบียนเอากับคนอื่นๆ ทั้งที่กำัลังของเค้าก็มีมากพอ แต่ที่ sirigu พูดนะเป็นเพียง แนวคิดแต่ต้องอยู่ที่ปัจจัยหลายด้านอีกด้วยนะ ถ้าอร่อยแล้วหาลูกค้าที่อื่นๆมากได้ ก็เท่ากับว่าหาลูกค้ามาให้เค้า และยิ่งเป็นการทำให้ที่จอดรถ ยิ่งหนักลงไปอีก ก็จะเหมือนไฟที่ไหมมากขึ้นไปเลยๆ ก็ต่อไปร้านอื่นๆไปเลยๆ ถ้าคุณมาแถวนี้ แล้วขับรถให้ทัวก่อนจะเห็นการกั้นหลายที่มาก กล่าวคือรถมันมากขึ้นแต่ที่จอดมันเท่าเดิม ส่วนมากินมากินแล้วก็ออกไป เค้าไม่ได้ขับรถไปดูให้ทัวออก กับเป็นว่า เค้ากั้นอยู่เจ้าเดียว และหมายถึงให้ คนที่มีกำลังเงินน้อย ต้องไปกูเงิืนมาเพิ่ม พาละให้ตัวเองมากขึ้นทั้งที่กำลังมีน้อยกว่าเยอะ แล้วยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไหง สุดท้ายก็ต้องปิด ย้ายออกไป กลายเป็นที่จอดรถของร้านข้าว เหมือนร้านที่เค้่ายังหาคนเช่าไม่ได้เลย มีคนหนึ่งมาตอนกลางคืนเห็นแล้วมาคุย อยากจะเช่ามาก แต่พอเค้ามาตอนเช้าแล้วเห็น เค้ามาบอกอีกวันว่า เค้าไม่เช่าแล้วเห็นร้านข้าวแล้วเค้ากลัว เพราะที่เก่าก็แบบนี้ บางร้านแถวนั้นเค้าใช้วิธี ปิดร้านก่อน รอให้ร้านข้าวปิดก่อน แล้วค่อยเปิดเพื่อเลียงปัญหา และที่แปลกอีกอย่าง ทุกครั้งที่ไป post ในเน็คเหมือนเราไปต่อว่าสิ่งสัทธ์ของบ้านเค้าหรือไหงไม่ทราบได้ วันรุ่งขึ้นจะมี คนเอารถมาจอดเต็มถนนไปหมดมากกว่าเดิม จนเค้าไม่กล้าจะ Post มาก

    มีอีกอย่างเมื่อก่อน แถวนี้มีซอยหนึ่งเจ้าของเค้าเปิดไว้ไม่ได้ทำอะไร จอดรถได้เป็น 20-30 คัน คนมากินเค้าก็จะไปจอดที่นี้กันหมด ทำให้แถวนี้เค้าไม่เดือดร้อน แต่พอเจ้าของใหม่เค้าทำร้านค้าเล็กในซอยให้คนเช่า แต่ร้านเหล่านี้เค้าเจอปัญหาแบบผมก็อยู่ไม่ได้หนีไปหมด ทำให้เจ้าของซอยโมโหก็เลยปิดซอย ก็คิดเอา รถ 20-30 คันที่เคยจอดจะไปจอดแถวไหน
    แต่ร้านข้าวเค้าจะเอาเ่ท่าเดิม เค้าไม่ยอมเสีย แต่คนอื่นๆเสียได้ โดยเกลียจได้ชังมัน ทั้งที่ปัุญหาที่จอดรถทั้งหมดเกิดจากร้านเค้าทั้งหมด จนร้านแถวนั้นเค้าต้องกั้น ให้ลูกค้าเค้า เพราะผมเคยถามลูกค้าผมว่าทำไมไม่มา เค้าบอกว่ามาแ้ล้วไม่มีที่จอด มาแล้วจอดแล้วออกไม่ได้ มาแล้วต้องเทาะเลาะกับคนมาจอดรถกวนๆ เค้าเลยเบื่อไม่อย่างมา และอีกอย่าง เวลากั้นคนกินข้าวมาจอดก็มาขยับแล้วทำไม่พอใจ บอกว่ามาจอดกินข้าวแป็ปเดียว ของเค้านะแป็ปเดียว พอคุณไปอีกคันก็มาก็บอกว่าแป็ปเดียว พอไปก็แป็ปคันหนึงแป็ปเด่วเกือบชัวโมง ถ้ารถตู้ไม่ต้องพูดถึง ถามว่าได้ที่คุณจอดรถนะมันแป็ปแบบที่คุณพูดไหม รถอยากกินข้าวก็โมโห ทำไมจอดไม่ได้กินข้าวแป็ปเดียวเอง ที่ผมต้องก็คือขอที่จอดรถให้ผมบางได้ทำมาหากินบางมี มีที่ขึ้นของลงของบาง ขนาดจอดซ่อนรถ ยังไม่มีช่องให้ยกของเข้าเลย มอเตอร์ไซต์ยังออกไม่ได้เลย เพราะขนาดมีช่องน้อย ยังพยายาม หมุนรถ 7-8 รอบเพื่อเข้านะ อย่างเอารัดเอาเบียนกันมากเกินไป ถึงคนที่อยากจะกินข้าวเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะไปหาเรื่อง หรือ เบียนที่จอดรถของใครๆอยากที่คนมากินเค้าเข้าใจแบบนั้น ต้องขอจบเท่านี้ก่อน เด่ววันพรุ่งนี้ มีคนแห่มาจอดรถเต็มหน้าบ้าน สงสัยพรุ่งนี้ ซ่อน 3 คันแน่เลย คุยมากไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  19. twentynine

    twentynine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +992
    ผมขอฝากคำถามถึงเพื่อนที่อยากเรียนแพทย์หน่อยครับ ผมเคยฝันว่าผมโดนทำร้ายที่ซี่โครงผมตกใจสะดุ้งตื่น ความรุ้สึกเจ็บเหมือนในฝันนั้นยังคงอยู่ที่ซี่โครงทั้งๆที่ผมตื่นแล้ว ผมอยากทราบว่าผมโดนทำร้ายในฝันทำไมร่างกายถึงเจ็บจริง เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดกับผมแค่คนเดียว พระที่ผมรู้จักก็เล่าให้ฟังว่าท่านฝันโดนตะขาบกัดที่แขนตกใจตื่นที่แขนก็รู้สึกเจ็บ
     
  20. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    แปลกดีนะ

    ข้าพเจ้าก็เคยประสบการณ์คล้าย ๆ อย่างนี้ เหมือนกัน

    คือ ฝันว่าตกเตียง แล้วก็ตกเตียงจริงๆ

    โป๊กกก...เบ่อเร่อ เลย

    ^ ^
     

แชร์หน้านี้

Loading...