ยืมเงินกองทุนสงฆ์อาพาธไปช่วยชีวิตคนผิดไหม ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย glassbuddha2009, 16 ตุลาคม 2013.

  1. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    ผมขอคำปรึกษาจากท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุก ๆ ท่านครับ ( ที่รู้จริง ๆ ตามหลักการของพระพุทธศาสนาตามหลักพระไตรปิฏก ) ผมบอกบุญตั้งกองทุนเพื่อซ่อมที่พักสงฆ์อาพาธนวมินทร์ 88 และเป็นค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานสงฆ์อาพาธทั้งหมดทั้งสิ้น ( ซึ่งก็เท่ากับกองทุนนี้เป็นกองทุนเพื่อพระอาพาธ ) กองทุนมีเงินโอนเข้ามาจำนวนหนึ่งประมาณ 2 หมื่นบาทเศษ ต่อมามีคุณย่าคนหนึ่งในสลัมที่ลูกตัวและลูกเขยและลูกสะใภ้ติดคุกหมดทุกคน ปล่อยให้คุณย่าเลี้ยงหลานถึง 4 คน ( คุณปู่ สามีของคุณย่าเสียชีวิตไปนานแล้ว ) จึงเท่ากับคุณย่าคนเดียวต้องเลี้ยงหลานอายุตั้งแต่ 10 เดือนถึงไม่เกิน 10 ขวบจำนวนรวม 4 คน รวมคุณย่าด้วยเป็น 5 คน อาชีพของคุณย่าคือเก็บขวดพลาสติคตามถังขยะไปขาย รายได้วันละประมาณ 1 - 300.- บาท หลายครั้งที่ฝนตก, ไม่สบาย, หรือมีเหตุบางประการไปเก็บขยะไม่ได้ รายได้ไม่มี ทำให้ความเป็นอยู่ลำบากมาก ตัวคุณย่าเองบัตรประชาชนขาดอายุไปเมื่อ 10 กว่าหรือ 20 ปีที่แล้ว ( อยู่ต่างจังหวัดไกล ) และหลานชายอายุ 10 เดือนนั้นก็ไม่มีใบเกิดเนื่องจากเหตุบางประการ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หลานวัย 10 เดือนนี้ป่วยอย่างหนัก ทำท่าจะตาย คุณย่าอุ้มหลานไปโรงพยาบาลก็ถูกปฏิเสธหมด รวมทั้ง รพ. เด็กด้วยเนื่องจากเตียงเต็มและไม่มีสิทธิเพราะไม่มีใบเกิด เมื่ออุ้มกลับมาบ้านเด็กป่วยหนักปอดบวมรุนแรงมาก คุณย่าขอความช่วยเหลือจากผม ผมจึงนำความนี้กราบเรียนปรึกษากับพระ อ. ภาคภูมิ สุภัทโท ท่านบอกให้ช่วยชีวิตคนก่อน เงินสงฆ์อาพาธใช้ได้หากเรานำความมาลงกระทู้อย่างชัดเจน ผมจึงกราบเรียนถามพระ อ. สมสุข ( กรรมการบริหารกองทุนสงฆ์อาพาธนวมินทร์ 88 ) ท่านเป็นผู้บริหารกองทุนนี้ด้วย แต่ผมเป็นผู้ถือบัญชีคนเดียว พระ อ. สมสุขบอกว่าชีวิตคนสำคัญ ให้ช่วยชีวิตก่อน แล้วค่อยหากลับมาคืน ถือว่ายืมก็ได้

    ดังนั้น ผมจึงมีคำถามขอเรียนถามจากท่านผู้รู้ทุกท่านครับว่า การยืมเงินกองทุนสงฆ์อาพาธเพื่อช่วยชีวิตคนนี้ ผิดตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? อย่างไรครับ ?

    รายละเอียดของการช่วยชีวิตเด็กน้อยวัย 10 เดือนนี้ ผมทำลิ๊งค์มาด้วยตามลิ๊งค์ด้านล่างนี้ครับ ผมขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่ช่วยตอบตามหลัีกพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงครับ


    PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ

    ช่วยเหลือชีวิตเด็กชายวัย 10 เดือน ( ด่วน )

    เริ่มช่วยชีวิตเด็กน้อยตั้งแต่ตรงนี้ครับ #112

    http://palungjit.org/threads/ช่วยเหลือชีวิตเด็กชายวัย-10-เดือน-ด่วน.509479/page-6
     
  2. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    ขณะนี้เด็กรอดปลอดภัยแล้ว และมีคนที่เห็นเหตุการณ์ผมช่วยชีวิตเด็กด้วยการนำเงินสงฆ์อาพาธมาช่วย เขาบอกว่า ชีวิตคนในสลัมไม่มีคุณค่าแต่อย่างไร ? เพราะพวกนี้ทำตัวเอง ไปขายยาบ้า ติดคุก ในเมื่อพ่อแม่เขาขายยาบ้า ไปติดคุกก็น่าจะปล่อยให้ชีวิตพวกนี้เป็นไปตามยถากรรม ผมกราบเรียนพระ อ. สมสุข พระ อ. สมสุขบอกว่า เด็กไม่ผิด ชีวิตมีค่า
     
  3. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ในสมัยพุทธกาลไม่มีการตั้งกองทุนเพื่อพระสงฆ์อาพาธ

    เงินกองทุนที่นำมาใช้ ก่อนใช้ได้ปรึกษาพระแล้วไม่ใช่งุบงิบทำเอง แสดงว่าเจตนาบริสุทธิ์
    และเมื่อถามพระท่านแล้วพระบอกว่า ใช้ได้เพราะเป็นเงินยืม ก็ใช้ได้ตามที่ท่านพูด
    เพราะยืมแล้วคืน ให้ดูที่เจตนาเป็นสำคัญ แต่หากเอาไปใช้แล้วไม่คืนจึงจะผิดวัตถุประสงค์
    ผิดเจตนาเมื่อถึงตอนนั้นมีโทษแน่ ๆ
     
  4. พรพรพรพรพ

    พรพรพรพรพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +1,298
    รีบแจ้งแกไขเจตนารมณ์จาก ยืม เปลี่ยนเป็น ขอ
    โดยด่วน ก่อนที่จะสาย
    และมีเมื่อไหร่ค่อยทยอยถวายคืนกองทุนเรื่อยๆ จะปลอดภัยกว่า

    เพราะถ้า ยืม และมีเหตุให้ต้องตายก่อนที่จะใช้คืนหมด โทษคือยักยอกของสงฆ์ หนักมาก แต่ถ้าขอ (มักจะพูดเองเออเองว่า) พระท่านให้แล้ว ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเราในทันที มีเมื่อไหร่ค่อยทยอยใช้คืน
     
  5. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ไม่ได้ครับอย่าเลี่ยงบาลี จะพูดเองเออเองก็ผิด นี่ยิ่งขี้ฉ้อเข้าไปอีก

    เงินพระเงินสงฆ์เขาถวายมาตั้งเจตนามาอย่างไรก็ต้องใช้ตามนั้น

    เพราะเจตนาแรกให้ของเขาให้เพื่อกองทุนรักษาพระอาพาธ หากมีคนร่วมทำบุญเขาก็ตั้งเจตนาอธิษฐานไว้แล้วว่า รักษาพระอาพาธ เราไปเอาเงินเขามาแล้วกลับเจตนาเอาไปใช้อย่างอื่นเท่ากับ ฉ้อโกง ผิดเต็มที่

    ศัพท์พระเรียกว่า ย้ายเจดีย์ โทษหนัก แต่ถ้ายืมแล้วคืน นำใช้ได้ไม่มีปัญหา
    แต่ถ้าตายก่อนคืนยุ่งแน่


    อีกอย่างเงินตามวัดที่เขาหย่อนตู้ ใส่พานถวาย เรี่ยไรมา ต้องใช้ในงานของสงฆ์ใช้ในงานสาธารณะประโยชน์ในพระศาสนา ห้ามเอาไปใช้ส่วนตัว

    ถ้าเจ้าอาวาสหรือพระรูปอื่นหรือกรรมการวัด คนในวัดกั๊กไว้เป็นของตนเอง ใช้ส่วนตัว ไม่ใช่ส่วนรวมในกิจการพระศาสนา เท่ากับขโมยของสงฆ์โทษหนักเหมือนกัน
     
  6. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    การกระทำที่ผิดกฎหมาย ก็คือผิดกฎหมาย แต่กฎหมายก็ดูที่เจตนาเป็นหลัก หากมีเจตนาแต่เป็นการป้องกัน หรือช่วยเหลือผู้อื่น ก็จะลดหย่อนผ่อนโทษให้ เจตนาของท่านบริสุทธิ์แล้ว อย่ากังวลกับเรื่องไม่เป็นเื่รื่องเลย ผลานิสงค์ผลบุญจะด่างพร้อยไปเปล่า ๆ ท่านมองเห็นเด็กหายแล้วท่านเสียใจหรือดีใจปลื้มปิติ วัดตรงนั้นแหละครับ คิดตรงนั้นก็พอ กรรมจากการนำเงินไปใช้โดยโดยผิดวัตถุประสงค์ น้อยกว่าผลานิสงค์ผลบุญที่เราทำครับ ขออนุโมทนา (ข้อมูลมาจากฟังเทศน์ของแม่ชีทศพรครับ)
     
  7. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ช่วยให้คำตอบครับ ผมคงเลือกวิธีว่า ยืม เพราะพระ อ. สมสุขท่านเอ่ยออกมาโดยไม่มีเจตนา ถือว่าท่านเมตตาให้นำเงินกองทุนออกมาใช้ได้ ตอนแรกพระ อ. ภาคภูมิก็เกือบจะพูดว่า่ ให้แก้ไขเปลี่ยนวัตถุประสงค์ แต่ยังพูดไม่ทันจบ ผมก็คิดว่า คงไม่ควรเปลี่ยนเป็น " ขอ " ดังนั้น การช่วยคนที่ไม่ใช่พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาและผู้ปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ต่อไปผมคงไม่ค่อยจะกล้าช่วยด้วยกองทุนสงฆ์แล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงเช่นกัน ใครจะทราบความตายแม้วันนี้

    ครั้งต่อไปคงต้องหากองทุนที่เปิดวัตถุประสงค์ไว้กว้างมาก ๆ คือให้เป็นวัตถุประสงค์ทำบุญทำทานทุกชนิดไม่ยกเว้นใด ๆ เลยจึงจะดีที่สุดครับ
     
  8. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    นี่เป็นตัวอย่างเทียบเคียง

    ....................................................................

    จะถวายพระพุทธรูป มีคนร่วมทำบุญด้วย จะเอาเงินที่ได้มาไปใช้ได้ไหม ?

    ถาม : ถ้าผมเช่าพระพุทธรูปมาถวายพระ แล้วญาติโยมเขาเห็น เขาอยากทำบุญด้วย ก็ให้เงินมา ผมจะเอาเงินที่ได้มาไปใช้ได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ไม่ได้...เงินทั้งหมดที่รับมาอย่าให้เกินมูลค่าพระพุทธรูป เกินเมื่อไรเอ็งซวยเมื่อนั้น สมมติว่าพระพุทธรูปราคา ๒,๐๐๐ บาท รับจากคนอื่นมาได้แค่ ๑,๙๙๙.๙๙ บาท ถ้าไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาทก็เป็นสิทธิ์ของคุณ เกินเมื่อไรเป็นของสงฆ์ทันที รีบเอาไปถวายพระเสีย จริงๆ แล้วก็คือเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะเขาตั้งใจถวายพระพุทธรูปแก่พระ ในเมื่อเป็นดังนั้นก็ไม่ใช่สิทธิ์ของเรา ต้องถวายพระไปด้วย

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    1.หนี้สงฆ์ครับ ที่พักสงฆ์ วิหารทาน ซะด้วย หึๆ

    เพราะคนบริจาค วัตถุประสงฆ์ เป็นเงินของสงฆ์ครับ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ไม่ตรงวัตถุประสงฆ์ สรุปให้สั้นๆ ว่า เป็นหนี้สงฆ์

    2.คุณยืมออกมาแล้ว แนะนำว่า ให้คุณหาเงินใช้คืนโดยด่วน เพราะถ้าเกิดเป็นอะไรตายขึ้นมาก่อนใช้หนี้สงฆ์ อเวจี ครับ

    แยกให้ออกนะครับ หนี้สงฆ์ ส่วนหนี้สงฆ์ครับ

    ยืมเงินก็ต้องใช้คืนครับ เป็นหนี้ ก็ต้องใช้หนี้ ครับ


    ส่วนผลบุญที่ช่วยเด็ก ก็เป็น บูญกุศล เอามาหักล้างกันไม่ได้ครับ

    ดังนั้น ถ้าเป็นคนดูแลเรื่องเงินสงฆ์ ต้องระวังตัวให้ดีครับ



    แนะนำว่า ให้ตั้งกองทุนแยกออกไปเลย ขอบริจาคเงินช่วยเหลือเด็ก แล้วเอาเงินที่ได้ส่วนนี้ ไปใช้คืน ครับ


    แล้ววันหลัง เวลาตั้งกองทุน ให้แยกกันไปเลยครับจะช่วยพระ หรือจะช่วยคนอื่นๆก็ว่ากันไปครับ

    แนะนำว่าอย่าไปตั้งรวมกัน เพราะถ้าบางคนที่บริจาคเงิน เกิดเค้า อธิฐานบริจาคให้เป็นของสงฆ์ แต่เอาไปใช้อย่างอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับสงฆ์ นี่ก็รับกรรมไปเต็มๆเหมือนกัน ครับ


    .

    ส่วนเรื่อง ขอ ขอพระ นั้น อยากจะบอกว่า พระไม่ได้เป็นเจ้าของเงินในบัญชี คุณไปขอผิดคนแล้วนะครับ ถ้าคุณจะขอเงินจากพระ ก็ต้องขอเงินส่วนตัวของพระ ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2013
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    การชำระหนี้สงฆ์
    23/10/2012 View: 1,983
    การชำระหนี้สงฆ์



    การชำระหนี้สงฆ์


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
    หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์ และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งนำ เกร็ดความรู้ที่ได้ ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ ต่อท่านทั้งหลายจะได้นำประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกัน ตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับของพระ สงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    "ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า เป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของ หรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามาก หรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทน ให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิด ลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย"
    อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่า เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่า เป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่า เป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงหรือ วัดที่มีฐานะอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้นเป็นของสงฆ์หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้ เป็นสมบัติ ส่วนตัวละก็ ถือว่า ซวยขนาดหนัก แบบนี้ มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์ เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจาก อเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะ บุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่า เป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด หรือว่า มีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่า ไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฝาง ที่มันอยู่กลางทุ่งสถานที่นั้นอาจ จะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่า สภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดิน ก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นไม้ต้นเดียวมาก็บาป แล้วโทษของสงฆ์ หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ว่า ใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกัน แล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตามไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควร ก็ขอให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย ไม่ เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า ค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องหนัก
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวน นั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลาย อาจสงสับว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากรื้อหรือนำไปใช้แล้ว เกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำ ว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่า เป็นของฉันจะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้ เขาไม่เว้นใครหรอก
    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตามเขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ถ้าว่าเขาตาย หรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์นหนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์ ต้องลงมติอนุมัติจึงถือว่าไม่เป็นโทษ
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมากระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่งแกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคา 60 บาท ท่านก็เลยขอยืมเงิน ที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ "ไอ้เงิน 60 บาท ดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่นักพระยายม"
    เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอน สบายๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่ง เป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า "มาทำไม" เขาบอกว่า "ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ"
    เลยบอกว่า "แกไปข้างหน้าฉันตามไป"
    ตามไป หน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยว ผมต้องไปตามอีก 2 องค์ แกไปตามอีก 2 องค์ "
    เราก็ตรงไปพอถึงก็พบท่านทิม อยู่ที่ สำนักพระยายม จึงถามว่า "ไง....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า"
    แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่ 60 บาท "
    ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ" แกบอก "เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆ นี่เรียกว่า ตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วน นี้เขาไปซื้อยา "
    จึงเข้าไปถามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า "ยังไงนี่"
    ลุงบอกว่า "ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน "
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวกันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่ พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า "ท่านเองเงินสงฆ์ไปใช้ 60 บาท ใช่ไหม" ท่านตอบว่า "ใช่" ไปใช้เพื่ออะไร" บอกว่า "มันป่วย หมอเขาสั่งยามา "
    จิตคิดอย่างไร" จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์ แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม" แกตอบว่า "ใช่"
    แล้วท่านถามว่า "จะว่าอย่างไร" ท่านบอกว่า "ไม่มีเรื่องจะว่า"

    ลุงพุฒ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า "ท่าน 3 องค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า "ยังมีเรื่องว่าอยู่" "ว่ายังไงล่ะ" "ทำอย่างพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมบัติ ควรจะไปเป็นพรหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌานฌานยังตั้งไม่ได้"
    เลยถามว่า "ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์"
    ก็บอกว่า "ต้องสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ หน้าตัก 12 นิ้ว"
    เราเลยบอกว่า "เรื่องเล็ก เอาสัก 10 องค์ก็ยังได้" ท่านบอกว่า "องค์เดียวพอ"
    แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น 3 องค์ เราบอกว่า "อย่างนี้ ฮ้อ ตกลง" ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี"
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า "อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน"
    ถามลุงว่า "การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม"
    ท่านบอกว่า "ได้" เราก็เลยบอกท่านทิมว่า "จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม"
    เขาถามว่า "อะไรล่ะ" ก็เลยบอกว่า "เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ" บอก "จำได้" "จำได้ก็ขอไปตามนั้น"
    นั่นมันฌาน 4 ท่านทิม เลยไปเป็นพรหมชั้นที่ 11 ถ้าไปตอนนั้น ก็ไปด๊อกแด๊ก อยู่แค่ กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มัน พ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒ แกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่ 2 องค์ อีกองค์หนึ่ง เป็นพระอยุธยาหนุ่ม เลยละองค์นั้น ตอนนั้น ฉันก็อายุสัก 40 กว่าๆ องค์ที่ อยู่อยุธยา ก็อยู่ในเกณฑ์ 30 เศษๆ แต่ไม่รู้ว่า วัดไหน รูปร่างสูงๆ ดำๆ อีกองค์หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไป ตามก็มี 3 องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป 12 นิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระ 12 นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหม มันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่าทำไมท่านจึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกันเป็นพวก เดียวกัน เดินทางแนวเดินกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก 2 องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกัน มาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้น บ้าๆ บวมๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่ง ที่รูปร่าง หน้าตาดี ๆ บอกว่า อยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่าน บ้า ๆ บวมๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ ทิม ก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรก เราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นๆ นิดเดียว ถ้าบอกว่า อาจารย์ทิม เริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์ เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตา กับ อุเบกขา
    บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌาน 4 สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหมแจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่อง ของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกง ไม่มีทางช่วย เรี่ยไร มา 10 บาท เอาของเขาไปใช้ 9 บาท 90 สตางค์ อีก 10 สตางค์ ก็เอาเข้ากระเป๋าอย่างนี้ ลงอเวจีมหานรก
    ของสงฆ์นี่ แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้ แล้วเห็นว่า มันดีนี่เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวังตกดัง ตูม อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
    ในสมัยของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพลสมัย พระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่ 4 องค์ เวลานั้น ข้าวยาก หมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหาข้าวที่จะกินเข้าไปมัน ไม่พอข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุง เลี้ยงเพื่อนคิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้พระ 4 องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่า จะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ
    ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่า ไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจาก อเวจีมหานรกแล้ว ก็ตกนรกบริวารผ่านมา 4 ขุมแล้วก็ยมโลกีนรกอีก 10 ขุมมาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น 12 ระดับ ระดับที่ 1 ถึงระดับที่ 11 ไม่มีโอกาสจะได้โมทนา บุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่ 12 ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาสในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ 1 ถึงที่ 11 ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์
    ถามท่านว่า เมื่อไหร่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าว กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไปน้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไป ก็ปรากฏว่า เป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธ เจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศลแล้ว เธอหมดทุกคน ได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน
    จนกระทั่ง เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวาย พระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทาน แก่พระพุทธเจ้า พร้อม ด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญคร้งแรกยังไม่ รู้ว่า ทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล
    เปรตทุกคนที่คอยอยู่ ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามา ในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมา พระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่า เสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ตกใจในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้าไปถามว่าเมื่อ คืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าดๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน
    พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่า อุทิศ แปลว่า เจาะจง นะอุทิศนี่นะ เขาแปลว่า เจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้า ฉัน เสร็จก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ
    ใช้คำว่า อิทังโนญา ตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้นะละ การกรวดน้ำ ครั้งแรกเปรตทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อได้โมทนา แล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่า เป็นเทวดาชีเปลือย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่า ในสมัย ก่อนเมื่อจะตาย ไม่ได้เคยทำบุญ ถวายผ้าผ่อน ท่อนสไบ ไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวย แต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกง นี่มันก็แย่เหมือนกันก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอน ยืนน่ะ สงสัยนะว่า จะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสาร แปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า
    ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวาย ผ้าไตรจีวรไว้ใน พุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงามผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสาร ถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาจะได้เครื่อง ประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้นแต่ พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏแล้วนับตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก
    นี่เล่าถึง เรื่องของสงฆ์ ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืม ยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่า เราไปเอามา โดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษ ขนาดไหน
    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขา นำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ตายแล้วไปลง อเวจี แล้วถามมาเกิดเป็นเปรต
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้วทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ
    หลวงพ่อ : "ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้นไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอาหาร ที่ เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือ เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระ องค์นั้น เป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระที่มี ข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้ว ทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเอง ยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    บางทีกินอาหาร ที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้ว ไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอ แล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยก คนที่กินกับท่าน ลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่า อาหารมาก ไหมถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวล นำอาหารไปให้ใคร ที่ท่าน มีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจ ก็ต้องถือว่า แย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์
    และ อาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจี สะดวก สบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไป ถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นความดี เพราะเป็น พุทธานุสสติ ด้วย เป็น พุทธบูชา ด้วย แต่อาหารประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะ พระพุทธรูป ไม่ได้ฉัน ท่านจะฉัน หรือไม่ฉัน ก็ตาม อาตมาคิดว่า ทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆและมากๆ ไปทุ่มเทถวาย พระพุทธรูป
    เมื่อพระฉันเสร็จแล้วต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายก ทายิกาได้ เฉพาะอาหารที่เหลือเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเอง เป็น "ลูกศิษย์พระพุทธรูป" แต่ประการ ใด
    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือ ของในวัดทุกประเภท ที่เขาภวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ในวัด เศษไม้ที่คิดว่า ทำอะไร ไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่น เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างจง อย่าคิดว่า ไม่ทำบาป แม้แต่ เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัดถ้าท่านเจ้า ของยังอยู่ในเขตวัดนั้น และท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาปด้วย ท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ ให้ได้ รับมาได้ ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูก ออกไปจากวัดนั้น หรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามา มีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
    และอีกประการหนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียว แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็น หนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัย หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำ ให้คนชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาท สลึงสองสลึง บางคน ไม่มี เงิน เอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอา ค่าแรง"
    ผู้ถาม : "แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ..?"
    หลวงพ่อ : "เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชาญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่า จะถามอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระ ท่านลอยมา ท่านบอก "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็น เงินเท่าไรก็ไม่พอให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก"
    พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่า เป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆมาถือเป็นการหมดไป"
    ฉันพูดแล้ว ก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้น ก็ถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีก ซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า
    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ"
    คำว่า "คณะ" หมายความว่า บุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่ เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อ เป็นหนี้ใหม่ เหมือน กันนะ
    ผู้ถาม : "ถ้าหากถามว่า เรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ...?
    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า ชำระหนี้สงฆ์" คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาท สองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่า จะสร้างพระนี่ เขาถามก็บอก ท่านมาบอก อัตรานี้โละกันเลยนะคือ ไม่ ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย
    มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์" ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิดท่านลงนรกเองไม่ต้อง ห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย
    เงินชำระหนี้สงฆ์ มันมีค่ากว่า เงินสังฆทาน และวิหารทาน
    ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลางอันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไปใช่ไหม"
    ผู้ถาม : " ถ้ามีญาติโยม เอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยม ไปออกดอก ออกช่อบ้าง อยาก ทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอนิสงฆ์สมบูรณ์แบบ หรือไม่เจ้าคะ...? "
    หลวงพ่อ : "เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนใน วัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขา ครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่น เอาไปใช่ไหม อย่าไปยุงกับเขาเลยนะ
    อานิสงส์ได้ ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิด ธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษ คนนั้นลงอเวจีแน่"


    คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ และหนังสือสมบัติ พ่อให้
    ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี

    ttps://www.google.co.th/#q=%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B9%8D%E0%B8%B2+%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C+%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2013
  11. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านครับโดยเฉพาะคุณ Saber ยกตัวอย่างมาถึงแม้ตัวอักษรจะมาก และเยื้อนไปด้านหลังมากไปหน่อย แต่เท่ากับมีตัวอย่างเต็ม ทำให้เข้าใจได้ง่ายครับ

    ในตัวอย่างมีเรื่องคนไปวัดแล้วทานอาหาร ถ้าวัดที่เขามีการทำพิธีสวยยัคเฆ มีการอุปโลกพระภิกษุขึ้นมารูปหนึ่งทำการยัคเฆ ( คือการประกาศว่า ถวายพระมหาเถระ เถระ มัชฌิมา นวกะ จากนั้นก็อนุญาตให้แก่คนธรรมดา ) ถ้าวัดที่มีพิธีนี้ก็ทานอาหารได้สะดวกใจ แต่ปัจจุบันผมเริ่มเห็นมีหลาย ๆ วัดและหลาย ๆ สำนักสงฆ์ เขาเริ่มไม่ยัคเฆกันแล้ว ผมไปเรียนถามพระภิกษุเจ้าอาวาสบ้าง หรือพระเถระในวัดนั้นบ้างว่า ทำไมไม่มีพิธียัคเฆ ท่านบอกว่า ปัจจุบันไม่ต้อง รู้อยู่แล้วว่าพอพระฉันเสร็จ ของก็เหลือ และพระภิกษุก็พยักหน้า คือทำหน้าผงกขึ้นลง แปลว่า อนุญาต ก็การอนุญาตเช่นนี้ก็ต้องรู้แล้วสิว่า อนุญาต แต่ผมยังเห็นว่า น่าจะยังไม่เพียงพอ น่าจะมีการทำพิธียัคเฆเหมือนในอดีต ท่านที่มีความรู้ช่วยตอบคำถามนี้หน่อยนะครับว่า วัดและสำนักสงฆ์รุ่นใหม่ทำแบบนี้ กับแบบเก่า แบบใหม่นี้ใช้ได้หรือไม่ ?

    ผมจะรีบประกาศหาทุนมาคืนสงฆ์และให้เช่าบูชาวัตถุมงคลด้วย และรวมทั้งเงินส่วนตัวด้วยเพื่อใช้คืนให้กองทุนฯกลับมามีเท่าเดิมโดยเร็วที่สุดครับ
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระเลิกฉันแล้ว อาหารเหลือ ทานในวัด ไม่เป็นอะไรครับ ทานในบริเวณวัด ห้ามนำกลับบ้านนะ หรือเอาไปฝากคนอื่นก็ไม่ได้ครับ
     
  13. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    ถ้าเช่นนั้นในกรณีคนยากคนจนที่มักมีในบางวัด บางแหล่งชุมชนแออัด หรือแม้แต่ในต่างจังหวัดผมก็เคยเห็น ไม่ได้เป็นชุมชนแออัด เป็นชาวนาชาวไร่ พอพระฉันเหลือ ก็ใส่ถุงเอากลับบ้านไปฝากญาติสนิทมิตรสหาย ถ้าพระภิกษุท่านเคยบอกไว้ หรือเคยพูดไว้ครั้งสองครั้ง จากนั้นคนที่ทำเช่นนี้ก็ทำเช่นนี้มาตลอดนานนับเดือนนับปี โดยที่พระภิกษุในวัดก็ไม่เคยได้กล่าวอีกเลย เช่นนี้ได้หรือไม่ ? ขอยกตัวอย่างหน่อยได้ไหมครับ ?

    คนที่รับประทานโดยไม่รู้เช่นเด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้ ฟังก็อาจจะยังไม่เข้าใจภาษาด้วย ถ้าเช่นนี้ เขาทานไปจนโต มีผิดหรือไม่ ? และจะแก้อย่างไร ?
     
  14. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมเข้าใจว่าทำไม่ได้นะครับ ถ้าเป็นของส่วนกลาง แม้พระรูปเดียวอนุญาตก็ไม่ได้ ต้องเป็นมติของสงฆ์ในแต่ละครั้งเท่านั้น ทางที่ดีอย่าเอากลับบ้านจะปลอดภัยที่สุด ถ้าทำโดยเข้าใจเอาเอง มีสิทธิ์ลงอบายภูมิได้ครับ ส่วนผู้ที่ได้ร่วมรับประทานนี่ผมยังไม่แน่ใจ แต่ก็เสี่ยงอยู่ครับ ควรแก้ไขด้วยการร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ครับ(กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง) กันเหนียวไว้ก่อน อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้

    เงินที่บริจาคเข้าวัดเป็นของสงฆ์ แม้เราจะเป็นคนรวบรวมเงินนั้นจากหลายๆท่านเพื่อนำส่ง แม้เงินนั้นยังอยู่ที่เรา(ระหว่างการรวบรวมเพื่อรอส่งเงิน) ก็ไม่ควรนำเงินนั้นมาใช้จ่ายในลักษณะยืมออกมาใช้ชั่วคราวแล้วค่อยใส่คืนจนครบแล้วส่งให้วัด จะมีโทษได้ครับ(เพราะนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แม้จะใช้คืนภายหลังก็ตาม) เพราะเคยอ่านเจอกรณีนี้ครับ เงินที่เกี่ยวกับของสงฆ์ต้องระวังมากๆครับ พลาดไปไม่คุ้มกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  15. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    [​IMG]
    ป้าวิมลชื่อจริงว่านางสุธา มากมั่งมี อายุ 67 ปี ลูกทั้งหมดได้ทิ้งคุณป้าไป ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน และไม่เคยส่งเสียมาเกือบ 10 เดือนแล้ว หลานทั้ง 4 คนคุณย่าวิมลเลี้ยงดูด้วยความยากลำบากแสนเข็น ด้วยการไปเก็บของเก่าด้วยรถเดินเข็นเล็ก ๆ คันนึง อาหารไปเอามาจากวัดใหม่เสนา

    [​IMG]
    หลานคนเล็กสุดอายุ 10 เดือนชื่อจุงเบย ไม่มีใบเกิด ไม่เคยฉีดวัคซีน กินนมที่วัดให้ ขณะที่เข็นรถมานี้เพิ่งกลับมาจากวัดใหม่เสนา ได้อาหารมาที่แขวนไว้ข้างรถเข็น ซึ่งเมื่อมาเห็นเพื่อนบ้านที่ต้องแบ่งอีกหลายคน จะเพียงพอได้อย่างไร

    [​IMG]
    [​IMG]
    คุณป้าวิมลปลูกกระต๋อบอยู่บนที่ดินที่คุณกานดาดูแลให้อยู่ฟรี แต่ค่าน้ำและค่าไฟไม่ฟรีแถมมีชาร์จแพงพิเศษ

    [​IMG]
    หนูจุงเบย บางคนเรียก เณรคำน้อย

    [​IMG]
    จุงเบยไม่เคยได้กินนมผง กินแต่นมกล่องที่คุณป้าไปวัด...ได้วันละหลายกล่องที่ต้องมาแบ่งกับเพื่อนบ้านที่แทบทุกคนก็มีปัญหารุนแรงและหนักหน่วงกันทั้งนั้น

    [​IMG]
    ผ้าอ้อมไซร้ M ที่จุงเบยใช้

    [​IMG]
    รถเข็นเก็บขยะไปขายเลี้ยงชีพ
     
  16. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    [​IMG]
    ข้าวและกับข้าวทั้งถุงใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างรถเข็นเด็ก คุณป้าวิมลไปรับจากวัดทุกวัน ถ้าทางวัดไม่ได้ทำพิธีสวดยัคเฆแล้วล่ะก็ คืออาจเป็นไปได้ที่ทางวัดเคยสั่งไว้ว่า หยิบไปได้เลย เอาไปเลี้ยงคนยากคนจนได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ทั้งคนที่หยิบออกจากวัด ทั้งคนกิน เพื่อนบ้านอีกอื้อเลยที่แบ่งกันกิน คงลำบากจากความไม่รู้นี้

    เอาไว้ผมมีโอกาสจะไปวัด... ที่ป้าวิมลไปเอาข้าวไปแบ่งกันกิน ดูซิว่า มีการทำพิธีสวดยัคเฆกันหรือไม่ ?
     
  17. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    [​IMG]
    หลังจากที่ รพ. เมโยรับเด็กชายเล็ก แย้มกลีบอายุ 11 เดือนเข้าเป็นคนไข้ในของโรงพยาบาลแล้วพักใหญ่ ๆ เจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ของ รพ. เด็ก ( ภาพซ้าย ) ได้ติดต่อเข้ามาหาป้าวิมลด้วยโทรศัพท์ของป้ากานดา เมื่อทราบว่าเข้าเป็นคนไข้ในแล้วก็รีบเดินทางมาพบเพื่อให้ความแน่ใจว่า พรุ่งนี้วันจันทร์ จะทำเรื่องประชาสงเคราะห์รอไว้ก่อน เมื่อ รพ. เมโยทำใบส่งตัวก็จะได้เข้าได้ในทันที

    ผมได้ถามเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ของ รพ. เด็กว่า แล้วทำไมเมื่อวานจึงไม่รับเด็กไว้ เจ้าหน้าที่บอกว่า เด็กไม่มีใบเกิด ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว เนื่องจากพ่อแม่อยู่ในทัณฑสถานทั้งหมดไม่มีเหลือเลยสักคนเดียว มีแต่ย่าที่ต้องเลี้ยงหลาน 4 คน ซึ่งถือว่าหนักมาก และไม่สามารถอ้างอิงได้ทันต่อเวลา จึงจำเป็นที่ทางประชาสงเคราะห์จะต้องยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คุณป้าวิมลได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายภาคปกติปฏิเสธเนื่องจากไม่มีหลักฐานใด ๆ เลย และอาการก็หนักมาก คุณป้าวิมลอุ้มหลานออกจาก รพ. เด็กก่อน ยังโชคดีที่ทิ้งเบอร์โทรป้ากานดาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ รพ. เด็กบอกว่า ถือว่าเด็กโชคดีมากที่ได้กองทุนฯมารับเอาไว้ โดยเฉพาะความเห็นชอบของพระ อ. สมสุขที่อนุมัติใช้เงินกองทุนฯต่อยืดอายุของเด็กชายเล็กไว้


    [​IMG]

    ตอนที่ถ่ายเอ๊กเรย์ป้าวิมลพบว่า ปอดบวมชัดเจน แพทย์ รพ. เมโยต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานแต่ก็ไม่ยอมให้แทงน้ำเกลือ เพราะป้าวิมลห่วงว่าจะไม่มีคนดูแลหลานจุงเบย ต้องขอกราบขอบพระคุณคุณหมอเจ้าของไข้คุณป้าวิมลที่ รพ. เมโย ท่านบอกว่า ท่านไม่คิดค่าตรวจค่าแรงของแพทย์กับเคสนี้ ( นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งครับที่แพทย์ของ รพ. เมโยร่วมบุญกับเราด้วยการไม่คิดค่าแรงครับ ) ขออนุโมทนาคุณหมอหลายท่านของ รพ. เมโยครับ

    [​IMG]
    คุณป้าวิมลไม่ยอมแทงน้ำเกลืออย่างเดียว ไม่ยอมอะไรหมด เพราะห่วงไม่มีคนดูแลหลานจุงเบย

    [​IMG]
    พอดีพระ อ. สมสุขโทรเข้ามาสอบถามความคืบหน้า ทราบว่าป้าไม่ยอมให้แพทย์รักษา ไม่ยอมให้แทงน้ำเกลือเพื่อให้ยาต่อเนื่องทั้งคืนวันนี้ พระ อ. สมสุขได้ยินเสียงโวยวายลั่น จึงขอคุยกับป้าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ยอมแทงเข็มน้ำเกลือ

    [​IMG]
    แล้วในที่สุดป้าวิมลก็ยอมให้แพทย์ รพ. เมโยรับเข้าเป็นคนไข้ในอีกคน ยอมให้แทงน้ำเกลือได้

    [​IMG]
    ผมได้ถอนเงินออกจากบัญชีทุกบัญชีเท่าที่มีเพื่อป้องกันว่า ต้องพอสำหรับการเช็คเอ้าท์ พอหยิบออกมาให้ป้าดูว่า ไม่ต้องห่วงนะ มีค่ารักษาแน่นอน จุงเบยทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ก็เอื้อมมือมาหยิบเงินไปถือเฉยเลย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    รมยาทั้งเช้าและเที่ยง แล้วก็หลับ

    พระ อ. สมสุขทราบว่าผมจะมาเช็คเอ้าท์ประมาณเที่ยงวันนี้ และผมได้กราบเรียนท่านว่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าเงินจะพอหรือไม่ ? ท่านจึงบอกว่า ท่านให้ยืมก่อนด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีกสิกรไทย สงฆ์อาพาธ88 จำนวน 5,000.- บาท เมื่อมีแล้วให้คืนท่าน

    ส่วนเงินในบัญชีสงฆ์อาพาธนี้ให้ถือว่า เราได้ยืมออกมาช่วยชีวิตมนุษย์ แล้วต้องหาทางคืนเข้าบัญชีสงฆ์อาพาธนวมินทร์ 88 นี้ให้ครบทุกบาททุกสตางค์จะขาดไม่ได้ เนื่องจากว่าถ้าตามวัตถุประสงค์นี้เป็นเงินของสงฆ์อาพาธนั่นเอง


    [​IMG]
    และเรื่องใบเกิดหรือสูติบัตรที่ตอนแรกคุณป้าวิมลบอกว่า ไม่มี และเด็กเกิดในทัณฑสถานนั้น ก็กลายเป็นว่าไม่ใช่ กลายเป็นมีการคุมคนออกมาคลอดที่ รพ. ใบเกิดเท่ากับว่ามีแล้ว เพียงแต่ว่า คนที่เก็บใบรับ คือใบที่ต้องนำไปรับใบเกิดนั้น ขณะนี้ไปเป็นกรรมกรรับจ้างตอกเสาเข็มซึ่งบางวันออกแต่เช้าตรู่และกลับถึงบ้านไม่แน่นอน ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ด้วย บางครั้ง 4 - 5 ทุ่มก็มี และถ้าจะตามหาให้พบอาจต้องไปตามหาหลายเที่ยวมากซึ่งป้าวิมลเองก็ไม่รู้จะไปตามอย่างไร นอกจากจะต้องมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ซึ่งคุณป้าก็ไม่มี คุณหมอที่ รพ. เมโยเป็นผู้สอบถามคุณป้าวิมลจนกระทั่งได้ใบนี้ออกมา ซึ่งนับว่ามีประโยชน์มาก ทำให้รู้ว่า คุณป้าควรต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ได้ใบเกิดซึ่งจะนำมาซึ่งสิทธิในการรักษาของเด็ก แต่น่าเสียดายที่ว่า ญาตคนนี้หาตัวยากมากและเวลาไม่เคยแน่นอน ดังนั้น จึงเป็นกรรมของสัตว์โลกที่มีญาติแบบนี้

    ตอนกลับบ้าน ผมได้กราบเรียนรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์การช่วยเหลือชีวิตเด็กน้อยคนนี้ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งกับพระ อ. สมสุข ท่านได้บอกว่า การช่วยเหลือชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำบุญและทำบาปได้อย่างถึงที่สุด ดังนั้น ชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในความหมายนี้ การต่อชีวิต การยืดชีวิต หรือการให้ความช่วยเหลือต่อชีวิตมนุษย์ในลักษณะอย่างนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นคนยากจนถึงที่สุด และถูกสังคมดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ายังไงก็ตาม การช่วยต่อชีวิตให้ยืดออกไปเพื่อทำความดี ย่อมมีความหมายทั้งสิ้น

    ส่วนเรื่องญาติของเด็กน้อยที่ต้องทำหน้าที่ไปรับใบเกิดแล้วไม่ยอมไปรับ ไม่เห็นหน้าที่ของญาติที่ดีนั้น ตรงนั้นเราไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยผ่านไปเลย เราหมดหน้าที่ตรงที่ช่วยชีวิตเขาครั้งนี้ตรงที่เราทำดีที่สุดเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ เราคงไปทำอะไรให้ดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ มันเป็นอกุศลวิบากของเขา สิ่งที่เราทำเป็นกุศลวิบากของเรา และไม่ต้องไปคิดที่จะให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราคิด ต้องทำอย่างที่เราคิด กุศลวิบากของเราขณะนี้คือการได้ช่วยชีวิตมนุษย์เท่านั้น


    [​IMG]
    ค่ารักษาของ ด.ช. เล็ก แย้มกลีบ ( จุงเบย )


    [​IMG]
    ผมฝากเงินที่ยังไม่เกินงบที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกไว้ที่ รพ. เมโย อีก 5,000.- บาท หากมีอาการยังไม่ดีขึ้น ต้องกลับมาฉีดยา พ่นยา ให้ใช้งบนี้ได้เลย
     
  18. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,844
    หากมีครั้งต่อไปที่จะต้องช่วยชีวิตคน ผมคงไม่กล้าเสี่ยงเหมือนอย่างครั้งนี้ที่ได้รับคำปรึกษาจากพระภิกษุที่เป็นระดับพระอาจารย์ถึง 2 รูป คงต้องวางอุเบกขา " สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม "
     
  19. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    ถาม : ถ้าหากว่ามีคนฝากทำบุญ แล้วเราไม่ได้ทำให้เขา ?
    ตอบ : อันนั้นก็เสร็จแน่ ๆ สิ เท่ากับว่าสิ่งที่เป็นกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ คือของที่เขาตั้งใจทำบุญ แต่ยังไม่ถึงมือพระ โทษจะเหมือนกากเปรต กากเปรตนี่เขาตั้งใจเอาอาหารมาถวายพระ พี่แกโฉบไปกินเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นอีกา ตายแล้วกลายเป็นเปรตไป ของเขาตั้งใจทำบุญอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนตายรีบทำให้เขาซะ

    ถาม : ถ้าหากว่าทำบุญผิดวัตถุประสงค์ล่ะคะ ? สร้างโบสถ์อย่างนี้ เอาไปถวายเป็นอย่างอื่น ?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเขาปรับโทษย้ายเจดีย์จ้ะ ถ้าเขาตั้งเจตนามาต้องทำตามนั้น เขาปรับโทษย้ายเจดีย์ ยกเว้นอย่างเดียวหากว่าพระที่รับเงินเขาตั้งใจเป็นสังฆทาน เราเอาไปทำเป็นวิหารทานได้ เป็นธรรมทานได้เพราะบุญใหญ่กว่า แต่ส่วนที่เล็กกว่าเราทำไม่ได้ คือทำให้มากกว่าที่เขาต้องการ แต่ขณะเดียวกันถ้าของโยมเขาตั้งใจเจตนาอย่างไร ? เราต้องทำให้เขาอย่างนั้น ผิดเจตนาเขาไม่ได้

    ถาม : อะไรที่เป็นของสงฆ์ ?
    ตอบ : ลำบากมากเลยจ้ะ โทษหนัก เขาปรับง่ายที่สุดอเวจีไว้ก่อน เรื่องอื่นว่ากันไว้ทีหลัง...!

    ถาม : สมมุติอย่างวัดแถวบ้านนอก เวลาเขามีงานบุญ เด็ก ๆ ไปกินขนมบางครั้งเราก็ไปกินของพระบ้างอย่างนี้ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นของเหลือจากพระฉันแล้ว อันนั้นน่ะเรากินได้ แต่ว่าควรจะกินอยู่ที่วัด ไม่ควรเอากลับบ้าน แต่ถ้าหากว่าวัดไหนที่เขามีการอุปโลกน์สังฆทานเวลาถวายอาหารพระ เขาจะมีพระอยู่องค์หนี่งที่สมมติตนเป็นภัตตุเทศน์ เขาจะขึ้น "ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ" ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดจงฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ ท่านทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธาได้น้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร เพื่อถวายเป็นสังฆทานในท่ามกลางหมู่สงฆ์ อันชื่อว่าสังฆทานนั้น สมเด็จพระพุทธองค์จะเจาะจงให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หาได้ไม่ ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นของที่สมควรแก่สงฆ์ทั่วทั้งสังฆทานมณฑล ท่านอนุญาตให้แจกกันตามบรรดาภิกษุทั้งหลายที่มาถึง บัดนี้ข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ สงฆ์ทั้งหลายจะเห็นสมควรหรือไม่สมควร ถ้าเห็นเป็นการไม่สมควรก็จงทักท้วงขึ้นอย่าได้เกรงใจ แต่ถ้าเป็นการสมควรแล้วไซร์ ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้นิ่งอยู่ คราวนี้พอเห็นพระทั้งหมดเงียบ ท่านจะสรุปว่า บัดนี้สงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขออนุญาตแจกภัตตาหาร ณ บัดนี้ ท่านจะขึ้น "อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะ ปาปุณาติ" ส่วนนที่หนี่งพึงถึงแด่พระมหาเถระผู้เป็นใหญ่เหนือข้าพเจ้า "อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง สามเณรรานัญจะ ปาปุณาติ" ส่วนที่เหลือควรพึงถึงข้าพเจ้าตามลำดับไปตลอดจนภิกษุ สามเณรทั้งหลายที่มาถึง และทายก ทายิกา อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความปรารถนา ขอให้มีส่วนในสังฆทานนี้โดยทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ แล้วพระทั้งหมดก็สาธุ พอสาธุเสร็จ คราวนี้ฉันจากพระเหลือแล้วโยมฟาดไปเถอะ เขาอนุญาตแล้วนี่ เพราะฉะนั้น...พระต้องมีความเห็นเป็นอันหนี่งอันเดียวกัน อนุญาตให้ อย่างนั้นได้ ถ้าไม่พูดเลย ถ้ากินเหลือกินได้ แต่อย่าเอาไปบ้าน ถ้าไม่ใช่เหลือแล้วไปฉวยมาเองนี่ ติดหนี้สงฆ์ทันทีเลย

    ถาม : ต้องสร้างพระถึงชำระหนี้สงฆ์ได้ ?
    ตอบ : ต้องเป็นพระที่หน้าตักอย่างน้อย ๔ ศอก ๔ ศอกคือ ๒ เมตร ถ้าหากว่าสร้างพระแล้วไม่ปิดทองได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว มีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ แต่ถ้าหากว่าสร้างพระ ๔ ศอกแล้วปิดทองด้วย จะเป็นคณะกี่หมื่นกี่แสนคนก็มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้เหมือนกันทุกคน

    ถาม : ชำระหนี้สงฆ์แล้ว ถ้าหากว่าเราตายไปต้องรับไหมคะ ?
    ตอบ : โทษนี้จบกันไปเลย ยกเว้นเราจะไปติดหนี้ใหม่ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเคยทำอะไรมาไว้ เป็นอันว่ายกเลิกกันไป ถ้าอนาคตทำใหม่แล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง

    ถาม : บางคนทำเยอะมาก บางคนทำนิดเดียวอย่างนี้ล่ะคะ ?
    ตอบ : จะเยอะจะน้อยอะไรก็ตาม โทษต่ำสุดคืออเวจี เพียงแต่อยู่นานกว่ากันหรือเปล่าเท่านั้นเอง ต่อให้ทำมากทำน้อยอย่างไรก็ตาม เขากำหนดเอาไว้ในอัตรานี้ ถ้าหากว่าให้มาเป็นอันว่าจบกันไป แล้วอย่าลืมว่าพระ ๔ ศอก ไม่ได้สร้างง่าย ยิ่งสมัยก่อนที่จะสร้างพระใหญ่ ๆ อย่างนี้ มีแต่บรรดาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ หรือบรรดาพวกเสนาบดี มหาอำมาตย์ ผู้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นถึงมีบารมีพอที่จะสร้างได้ มาสมัยของเราต้องเรียกว่าบุญมันดี ของทุกอย่างพร้อม ง่ายสะดวกไปหมด มีโอกาสทำก็รีบทำ

    ถาม : ถ้าเราเอาสตางค์พระมาใช้ล่ะคะ ? เป็นลุงบวชอยู่
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาถวายท่านเป็นการส่วนตัว แล้วท่านอนุญาตให้เราใช้ได้ อันนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเป็นของที่ถวายสงฆ์ ถึงท่านอนุญาตก็ไม่ได้ เพราะว่าของถ้าหากว่าตั้งใจถวายอย่างเงินสังฆทานนี่ไม่ได้เลย ต้องพระทั้งวัดเห็นสมควรถึงจะได้ อย่างของอาตมาตอนนี้เงินที่ให้โยมใช้มีส่วนเดียว คือส่วนที่เป็นส่วนตัว อย่างเช่น คนเขาขับรถให้ ถึงเวลาเราให้เงินเขากินข้าวกินน้ำบ้างอย่างนี้ได้อยู่ แต่ต้องเป็นเงินส่วนตัวจริง ๆ นะ ถ้าไปยักเงินสงฆ์มาเมื่อไร ตัวเองเป็นหนี้แทน เพราะตั้งใจให้เขา เราต้องชำระหนี้แทนเขา

    ถาม : ถ้าเราไม่ทราบว่าเงินนี้มาจากไหน ?
    ตอบ : ทำการชำระหนี้สงฆ์ไปอย่างที่ว่านั่นแหละ ถ้ารู้จำนวนคืนตามจำนวน ถ้าไม่รู้จำนวนก็สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไป พวกข้าวของเหมือนกัน ถ้ารู้ว่าเท่าไร ? เช่น ปิ่นโตกี่เถา ช้อนกี่คัน จานกี่ใบอย่างนี้ ซื้อคืนไป แต่ถ้าหากว่าไม่รู้ ต้องทำการชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเขาสร้างพระก็ไปร่วมกับเขา ถ้าเขาไม่สร้างก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเสียเอง อันนี้ลำบากหน่อย

    ถาม : ถ้าอย่างนี้หนูรู้ใช่ไหมคะว่าเป็นหนี้สงฆ์ ถ้าหากเป็นญาติที่บ้านยังเป็นปกติอยู่ ?
    ตอบ : ค่อย ๆ ชี้แจงให้เขาฟังสิ คนทำต่อให้รู้หรือไม่รู้ก็ผิด จะบอกว่ากินยาพิษโดยไม่รู้แล้วไม่ตายเป็นไปไม่ได้หรอก มีโทษอยู่แล้ว แต่จริง ๆ น่าตำหนิที่สุดคือ ตัวนักบวชที่ไม่รู้ แล้วทำให้ญาติโยมเขาลำบากเพราะว่าเจอมามากต่อมาก เวลาบวชอยู่มีข้าวของอะไรก็เอาไปให้ญาติโยมของตัวเอง ประเภทโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เจอมาแล้ว เขาขนกันไปเป็นคันรถเลย ไอ้นั่นลำบาก จะเป็นหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องหนักใจหรอกจ้ะ ตอนนี้มีโครงการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์อยู่ ของเราเองถ้าหากว่ามีความสามารถหาปัจจัยรวม ๆ กันมาเป็นคณะของเรา คณะหนึ่งก็หนึ่งแสนบาท ถ้าหากว่าไม่มี เดี๋ยวรอคนอื่นเขาเป็นเจ้าภาพ เราร่วมกับเขาไปกี่สตางค์ก็ได้ ตั้งใจว่าเขาสร้างกี่องค์เราเอาเท่านั้นด้วย อย่ากำหนดว่าองค์เดียว เรื่องหนี้สงฆ์อันตรายมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วไม่เข้าใจกัน จะเป็นโทษกันบ่อย

    อย่างญาติพระเจ้าพิมพิสารเป็นเปรตซะ ๙๑ กัป อันนั้นจริง ๆ แล้วแกไม่ได้ติดหนี้สงฆ์หรอก กินอาหารเหลือจากพระด้วยซ้ำไป แต่คราวนี้แกกินแล้วแกไม่พอ แกขนกลับบ้านด้วย ตอนขนกลับบ้านด้วยนี่ถึงจะเหลือก็เถอะ มันเป็นของวัดอยู่ "วิทาสาโท" คือกินของเหลือจากพระกินได้ แต่ไม่ใช่ให้แบกไปด้วย

    ถาม : .............................
    ตอบ : สร้างพระชำระหนี้สงฆ์จ้ะ เขากำหนดกติกาแล้วถ้าทำได้อย่างนี้เป็นอันว่าจบกัน ก็แปลว่าจบกันแค่นั้น แต่ถ้าเรารู้สึกว่ายังไม่สะใจ จะทำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่า

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๙๔ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2013
  20. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    ถาม : มีคนเขาบอกว่า "คนที่ไปวัดแล้วไปรับข้าวจากพระ คือพระฉันเสร็จแล้วก็เอาข้าวไปให้กับโรงทาน เขาว่าเป็นบาป ?"
    ตอบ : อันนั้นจริง ๆ ได้จ้ะ ถ้าหากว่าพระฉันเหลือแล้ว เขาเรียก "วิทาสาโท" เป็นของเหลือเดนแล้ว เรากินได้แต่อย่าเอาไปบ้าน กินที่นั่นให้อิ่ม ฟาดไปเท่าไรก็ได้ ถ้าหากว่าเหลือแล้วได้จ้ะ แต่ว่าหลายวัดท่านจะมีการอุปโลกน์สังฆทาน เขาจะประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ท่านทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธาได้น้อมนำมาซึ่งภัตตาหารถวายไว้เป็นทานในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ อันว่าสังฆทานนั้นจะจำเพาะเจาะจงให้เป็นของผู้หนึ่งผู้ใดก็หามิได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ให้เป็นส่วนของสงฆ์ที่อยู่ในที่นั้นทุกคน ดังนั้นข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ สงฆ์ทั้งหลายจะเห็นสมควรหรือไม่สมควร ถ้าเห็นเป็นการไม่สมควรก็ให้ทักท้วงขึ้นท่ามกลางสงฆ์อย่าได้เกรงใจ แต่ถ้าเห็นสมควรแล้วไซร้ ก็ขอให้เป็นผู้นิ่งอยู่ แล้วคราวนี้ว่าสงฆ์ทั้งหมดนิ่งอยู่ บัดนี้สงฆ์ทั้งหมดนิ่งอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นการสมควรแล้ว ก็ขอแจกภัตตาหารพระสงฆ์ตั้งแต่บัดนี้ ท่านว่าบาลีว่า อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะ ปาปุนาติ ส่วนที่หนึ่งพึงถึงแก่มหาเถระผู้อยู่เหนือข้าพเจ้า อะวะเสสาภาคา อัมหากัง สามเณรานัญจะ ปาปุนาติ ส่วนที่เหลือต่อไปควรพึงถึงแก่ข้าพเจ้า ตลอดจนพระภิกษุสามเณรทั้งปวง และท่านทายกทายิกา ผู้มีจิตศรัทธาตลอดจนบรรดาประชาชนทั่วไป และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วหน้าทุกท่านทุกคนเทอญ พระสงฆ์ทั้งหลายให้การสาธุ ก็แปลว่าอนุญาตให้

    คราวนี้วัดท่านไม่ได้อุปโลกน์สังฆทานในลักษณะอย่างนี้ ถ้าท่านกินเหลืออย่างไร ใช้งานต่อไม่ได้อยู่แล้ว ของเรากินได้แต่อย่าเอาไปบ้าน แต่ที่อันตรายมากคือว่า ข้าวพระ ข้าวพระถ้าถวายที่บ้านเรา เราลามากินมาใช้ก็ได้ แต่ข้าวพระที่เขาถวายที่วัดเป็นของสงฆ์ ส่วนใหญ่บรรดาทายกก็เลือกแต่ข้าวดี ๆ กับดี ๆ ถวายพระพุทธ พอถึงเวลาไปลาก็โซ้ยเองซะด้วย

    อาตมาสมัยก่อนเคยทำประจำเลย อย่างนั้นจะติดหนี้สงฆ์จ้ะ คราวนี้พอติดหนี้สงฆ์จะต้องมีการชำระหนี้สงฆ์กัน การชำระหนี้สงฆ์เขาชดใช้ในอัตราราคาของปัจจุบัน สมมติว่าสมัยก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละ ๑ บาท แต่สมัยนี้ ๒๐ บาท ถ้าเราเคยกินสมัยบาทหนึ่ง ต้องมาใช้ ๒๐ บาทของตอนนี้ เขาใช้ในอัตราปัจจุบัน... ถ้าหากว่าทำมาเสียจนนึกไม่ออกว่าทำไปเท่าไร เขาให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ พระชำระหนี้สงฆ์เป็นพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก คือ ๒ เมตร หรือ ๘๐ นิ้ว ถ้าหากว่าสร้างโดยไม่ปิดทองก็ได้แค่คนเดียว แต่ถ้าสร้างแล้วปิดทอง ร่วมเป็นคณะเท่าไรก็ได้ มีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์เสมอกันหมด

    ถาม : .........................
    ตอบ : ได้ แต่ทำให้เป็น กินเองซะคำหนึ่งก่อน จะได้เป็นของเหลือของเรา หาที่นั่งให้ดี แล้วก็โซ้ยซะก่อน แต่ของพระเขามีกติกาอยู่ โดยเฉพาะพวกอธิษฐานอาสนะเดียว นั่งลงถ้าลุกขึ้นแล้วจะไม่ฉันอีกเลยในวันนั้น ถ้าอย่างนั้นถ้าเรากินคำเดียวก็เจ๊งเลย หาที่เหมาะ ๆ ว่าไปให้เต็มที่ไว้ก่อน หรือไม่ก็เรียกเขาตามไปวัด เดี๋ยวค่อยให้ ให้มันเหลือก่อน

    มีหลวงพี่อยู่องค์หนึ่งท่านอยู่ทางวัดช่างเหล็กที่ธนบุรี มีลูกศิษย์เรียนมัธยมอยู่ คราวนี้บิณฑบาตกลับมา ท่านเองยังไม่ทันจะฉัน ลูกศิษย์รอไม่ได้ ใกล้เวลาเรียน ท่านก็เทใส่จาน แล้วตัวเองก็จ้วงไปคำหนึ่งก่อน แล้วท่านก็ยกจานให้ลูกศิษย์ของท่าน ท่านเองก็นั่งว่าของท่านต่อไป จะได้ไม่ต้องรอ (หัวเราะ)
    ถาม : ..............................
    ตอบ : จริง ๆ เขาให้เป็นค่าอาหาร คือส่วนของอาหารพระ จริง ๆ แล้วเป็นสังฆทาน ถ้าเอาไปช่วยในเรื่องของสังฆทาน วิหารทาน หรือธรรมทานที่บุญสูงกว่า หรือเสมอกันได้ แต่ว่าจริง ๆ เจตนาเขาให้เป็นอาหารพระ น่าจะให้พระประเภทเรียกว่าให้เต็มที่ก่อนเหลือแล้วค่อยว่ากัน แต่อันนี้เล่นบีบตัวเองว่าต้องให้ได้ล้านหนึ่งเลย ก็ยุ่งเหมือนกัน

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๐๒ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕



    ถาม : มีครั้งหนึ่งผมเคยเอาข้าวมาจากวัดครับ ?
    ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือพระท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านสละแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือไปเอามาเฉย ๆ ถ้าอย่างหลังเป็นหนี้สงฆ์หัวโต..!

    ถาม : คนอื่นเขาเอามาให้อีกทีครับ
    ตอบ : เราก็โดนหางเลขไปด้วย ไม่ได้เจตนาหรอก แต่เพื่อนพาจน

    ถาม : แล้วอย่างเอาข้าวของที่วัดกลับมาบ้านเล่าครับ ?
    ตอบ : แบบนั้นซวยมาเยอะแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “เอาไฟเผาบ้านดีกว่า” ไฟเผาบ้านก็เจ๊งครั้งเดียว แต่เอาของสงฆ์กลับมาบ้านเจ๊งกันเป็นกัป เพราะลงอเวจี ส่วนใหญ่เขาไม่รู้ มีอะไรก็เอาไปให้ลูกให้หลาน
    เอาเถอะ..แก้ไขกันไปตามเพลง จะตั้งใจสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หรืออะไรก็ว่าไป

    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ : เราไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร แต่มีข้อแม้อยู่นิดหนึ่งว่าก่อนตายรีบเอาไปคืนเขา ที่เป็นหนี้สงฆ์เพราะเจตนาเอาเป็นของตน ส่วนเราทำงาน ไม่มีเจตนาเอาไม่เป็นไร

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...