อะไรคือตัวที่เรียกว่า..ปัญญา..นี่ใช่มั้ย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 10 พฤษภาคม 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ดีครับ..ช่วยๆกันแชร์ประสบการณ์ความรู้เห็นตามอย่างที่ตัวเองได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง ปฏิบัติมา ไม่แสดงความขัดแย้งไม่ปรามาสซึ่งกันและกันว่ากันไปตามกำลังที่ตัวเองมีอยู่ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ถึงความคิดอันหลากหลาย ที่เป็นหรือมีอยู่ว่า เรานั้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร ทั้งๆในตำราก็มีอยู่ เมื่อเราเกิดความสงสัยเราจึงได้มาไตร่ถาม เพื่อหาคำตอบ อย่างน้อยเราก็เกิดคำถามว่า นี่ใช่ของแท้หริอจริงหรือไม่ เมื่อเรามีโอกาสได้ปฏิบัติหรือไปพบครูบาอาจารย์เข้าถึงแล้ว เราก็จะได้เรียนรู้ไตร่ถามกับคำถามที่เรามีอยู่ สนทนาธรรมมีความนอบน้อมให้เกียรติซึ่งกันและกัน
    แต่ผมก็ยังสงสัยประโยคนี้อ่ะครับว่า สรุปคือ ความสงบยังไม่เพียงพอ ครับ แค่มารู้ทัน ว่า มีสภาวะนั้นเกิดมาแล้วและมีผลกระทบบีบคั้นต่อจิตแล้ว และ รอดูผลการดับไปเองเท่านั้นครับ ซึ่งไม่ต้องเข้าไปมีเจตนาเพื่อดับสภาวะแต่อย่างใดเลย แค่จิตสงบ นิ่ง เฉย ให้ได้ สภาวะต่างๆ มันก็ดับของมันอยู่แล้ว รู้แบบนี้ ยังไม่ไช่ปัญญาที่แท้จริงครับ ปัญญาที่แท้จริง ต้อง รู้เห็น ก่อนเกิด การเกิด การตั้งอยู่ การดับไป ให้ครบ ครับ ทุกสภาวะของทุกสภาวะที่เกิดดับครับ นั่นก็คือ ต้องฝึกสติและความสงบให้มากกว่านี้ครับ

    เพราะการ รู้ทันสภาวะว่ามีอยู่ และ ดับไปนั้น ถือว่า ปลายเหตุครับ ไม่ไช่ต้นเหตุ
    งั้นแสดงว่าตัวปัญญาต้องเกิดก่อนตัวรู้เหรอครับ เพราะที่ผมคิดคือ ต้องใช้สติเข้าไปรู้ ดู พิจรณา แล้วจึงเกิดปัญญา ผมไม่ได้มาหักล้างน่ะครับแค่สงสัยจริงๆ ว่าที่ผมคิดนั้นถูกหรือผิด เพราะผมคิดเอาเอง ยังไม่ได้ไปหาข้อมูลน่ะครับ แค่คิดเอาเองอย่างกระจางแจ้งที่ตรงนี้ครับ มันติดที่คำว่า ก่อน นี่แหละครับ
    มันแย้งกันตรงนี้แหละครับ มรรค แปลว่า ผล หรือ ปัญญา ที่ได้จากการรู้แจ้งเห็นจริง ของ การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง นั่นเอง เพราะเขาบอกว่าปัญญา คือ ผล งั้นแสดงว่าตรงนี้ ปัญญาได้มาทีหลัง ขอความกระจ่างหน่อยครับ ผมจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ผมชอบประโยคนี้มากเลยครับ แค่จิตสงบ นิ่ง เฉย ให้ได้ สภาวะต่างๆ มันก็ดับของมันอยู่แล้ว รู้แบบนี้ ยังไม่ไช่ปัญญาที่แท้จริงครับ ขอบคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  2. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อันนี้ เป็นความพอใจ ความเข้าใจที่คุณ จะรู้ด้วยตนเองครับว่า ตนเองรู้แบบนี้ คือ พอแล้ว ถูกแล้ว มันไม่ทุกข์แล้ว

    แต่ ตามที่คุณพูดมา ว่าแค่จิตสงบ นิ่งเฉย ให้ได้ สภาวะต่างๆมันก็จะดับของมันเองอยู่แล้ว อันนี้ ก็จริงครับ และที่จริงกว่านั้นก็คือ ในเมื่อ คุณก็รู้แล้ว ว่า สภาวะที่มันเกิดขึ้นมานั้น มันจะดับเองของมันอยู่แล้ว ผมก็จะพูดต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่ต้องเสียเวลา ทำจิตให้สงบ นิ่ง เฉย หรอกนะครับ เพราะ ถึงคุณไม่ทำจิตให้สงบ นิ่งเฉย สภาวะเหล่านั้น มันก็ เกิดขึ้น และจะดับไปเองของมันอยู่แล้ว ไช่มั้ยครับ ไม่จำเป็นต้อง ทำจิตให้สงบนิ่งแต่อย่างใดเลย ตามที่คุณ เข้าใจ ไช่มั้ยครับ

    แต่ ที่ ทำไม ผมพูดต่อว่า ต้องรู้ก่อน การเกิด ก็เพื่อ ถ้าคุณ ยังคงมีความสงสัยต่อคำว่า ตัวคุณเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน คุณยังมีนรก สวรรค์ อยู่มั้ย คุณยังสงสัย อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่มั้ย นี่คือ สิ่งที่ผม หมายถึงครับ

    แต่ถ้าคุณ ไม่มีความสงสัยใดใดแล้วก็ ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  3. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ไม่มีความสงสัยในภพภูมิต่างๆ
    ไม่มีความสงสัยในเรื่องของจักรวาล
    ไม่มีความสงสัยในความเป็นพระพุทธเจ้า
    ไม่มีความสงสัยในเรื่องอจินไตยทั้งหลาย
    ผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  4. จิตเปโม

    จิตเปโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +253
    คือการแตกแขนงผมหมายถึงว่า คำว่าวิปัสนาปัญญานั้นไม่ใช่จะเห็นไตรลักษณ์ เห็นการเกิดดับอย่างเดียว
    ผมยังคงใว้ที่วง กาย ใจ อยู่ ไม่ได้หลงออกไปรู้สิ่งภายนอก
    คือมันยังมีการปรุงแต่งของจิตอีกมากที่วิปัสนาปัญญาเข้าไปเห็น
    คือผมจะไม่อ้างคนอื่น จะพยายามเอาความรู้ที่ได้เห็นเองมาเล่านะครับ

    ยกมาอีกเคสนะครับ คือวันหนึ่งผมออกกะกลางคืนมาแล้วต้องเข้างานอีกตอนบ่ายโมง
    มันต้องรีบนอนให้เพียงพอ ทำโอที นอนน้อย ไมเกรนก็ขึ้น ปวดมากจนนอนไม่ได้กินยาแล้วมันยังไม่แรงพอ

    ยิ่งดิ้นรน ต้องตื่นเร็วไปทำงานให้ทัน ปวดหัวแต่ก็พยายามนอนสมาธิ พุทโธไปทำความรู้สึกตัวไป สติเกิดทีมันก็หลุดโล่งทีแล้วก็ปวดหัวมากเหมือนเดิม
    สู้ไปจนเหนื่อยจนอ่อน ปวดเกือบตาย เลยบอกตัวเองว่า ตายแน่วันนี้
    มันเหมือนจะตายจริงๆครับ
    ก็ปล่อย เอ้า ตายก็ตาย ตอนหยุดทำใจ มันมีตัวหนึ่งแว๊ปไปเห็น จิตวิ่งไปจับที่ความปวด
    จับซ้ายป่ายขวาแบบอาการที่เราเรียกว่าจิตกระสับกระส่ายนี่แหละ
    แค่นั้นแหละจิตมันก็ตั่งมั่นดีดตัวออกมาอยู่ห่างๆ จิตมันสงบอยู่ส่วนหนึ่งเห็นความปวดอยู่ส่วนหนึ่ง มันแยกอยู่ไม่เข้าไปเกาะกัน
    แปลกมากทีอาการปวดที่ว่าแรงๆ นะมันเบามากเมื่อจิตไม่เข้าไปยุ่งกับมัน

    จากนั้นผมก็ทำสมถะต่อจนหลับ

    มันมีอีกนะครับ แต่เป็นความรู้ที่ไม่หนีออกจากวงกาย ใจ ไปใหน
    แบบปาฏิหารย์ก็มีนะครับ เอาใว้เล่ากระทู้ถัดไปก็ได้
     
  5. จิตเปโม

    จิตเปโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +253
    กระทู้ข้างบนผมอ้างอิงผิดที่ ขอโทษนะครับ
    ผมว่าผมพอดีกว่า จะนอนแล้ว พอได้รดได้ชาด ขอบคุณที่ร่วมสนทนานะครับ
     
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เรียกว่า จิตเห็นจิต ครับ คุณจิตเปโม

    จิตที่เห็นคือสติหรือตัวรู้ จิตที่ถูกเห็นคือ ความปวดของกายใจที่ร่วมกันปวด(ใจรับรู้ความปวด)
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    :cool:
    ...พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อธิปัญญาสิกขา เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายภิกษุในกรณีนี้ กระทำให้แจ้ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันาอาสวะไม่ได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฎฐิธรรมนี้เองแล้วแลอยู่ ภิกษุทั้งหลายนี้เรากล่าวว่า อธิปัญญาสิกขา"------------------------------------หรือคำกล่าวของ ภิกษุณีธัมทินาเถรี กล่าวกับนางวิสาขา...สัมมาทิฎฐิ(ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ(ความดำริชอบ)สงเคราะห์ใน "ปัญญาขันธิ์"........ก็ลอง พิจาณณาดูละกันครับ....:cool:
     
  8. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ต่ออีกหน่อยครับเพื่อความเข้าใจในการที่ผมตั้งกระทู้ เรื่องของเรื่องจากกระทู้ข้างบนแรกๆ ผมเอาความรู้หรือความเห็นที่ผมสัมผัสได้ แบบว่าเมื่อก่อนผมจะได้ยินได้ฟังว่าเมื่อ ความสุข ทุกข์ เวทนาอะไรต่างๆเกิดขึ้นในตำราหรือครูบาอาจารย์บอกว่า ให้สงสบนิ่ง รู้เห็น ปล่อยวาง ครับประมาณนี้ เราก็ทำตาม พยายามปล่อยวาง วางได้สักพักมันก็เก็บมาคิดอีก แล้วก็ปล่อยวางอีก มันเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย คือมันคิดได้เกิดแล้วปล่อย ปล่อยแล้วเกิด เลยคิดว่า เอมันยังไงน่ะ ทำอย่างไรหรือเป็นอย่างไรมันถึงจะเข้าไปแก้หรือหาวิธีการของต้นเหตุว่าทำไมเราต้องคิดอยู่แบบนี้ จะหยุดมันอย่างไรกับปัญหา คือไม่ต้องไปสงสัยมันอีก แบบถาวร หาคำตอบมาหลายปีมาก พอดีไปแบบว่าคุยธรรมมะให้คนที่รู้จักฟัง คือธรรมะพื้นๆ คุยไปคุยมา มันแปล็บเข้ามาในใจเลยว่า อ๋อ ต้องใช้สติไปจดจ่อ รู้ หยุด นามและรูปนั้น โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อคือเมื่อก่อนอยากจะไปหาคำตอบกับมันว่า มีต้นตอมาอย่างไร คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก จนปวดหัว ก็หาคำตอบไม่ได้สักที ทำอย่างไรถึงจะหยุดมันได้ คือประมาณว่า เมื่อก่อนเรารู้ตามตำรา ได้ยิน ได้ฟังมา ก็เก็บเอามาทำตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำอย่างไรจะไปหาที่ต้นเหตุของการเกิดปัญหาได้ แต่ก็รู้มาว่าต้องหยุดอย่างเดียว (การรู้ที่ได้ฟังได้อ่านมานั้น มันเป็นเพียงแค่ได้ยินได้อ่านบอกเล่ามา แต่พอรู้จริงๆคือมันไปรู้ที่ สติ ในใจ จิต นี้เลยว่า มันต้องใช้สติหยุดรู้ พิจรณา หยุดอยู่ ดูสักพักไม่ปรุงแต่ง มันก็จะดับไปเอง พอมันเกิดอีกก็ทำแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องคิดติดตามไปว่า อะไรคือสิ่งที่ให้มันเกิดแบบนี้จะดับความสงสัยได้อย่างไร คือมันรู้แบบนี้มันรู้และสั่งให้ทำมันมาจากข้างในเลย มันไม่ได้มาจาก สิ่งที่รู้ ได้ยิน ฟังมาจากข้างนอก คือมันเห็นที่ใจเลย ผมเลยมองว่า เออนี่หรือเปล่า ที่เขาเรียกว่า ปัญญา ผมเลยมาตั้งกระทู้ถาม ถึงมันไม่ใช่ปัญญาแบบ วิมุติ แต่ก็เป็นปัญญาชนิดหนึ่งที่คนๆหนึ่ง มีกำลังเพียงแค่นี้ที่คิดได้ คือได้มาจากใจที่เราพยายามหาคำตอบให้ตัวเองเรื่อยมา คือรู้ที่ใจตนเอง ผมเลยมองว่า สิ่งนี้ถ้าเรามีโอกาส ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง เราจะใช้การกระทำแบบนี้ทุกวันชั่วโมงหรือนาที ที่เราจะทำได้ สักวันสิ่งที่เรามุ่งหวัง ที่ทรงสติกำลังไว้ จะต้องใด้ผลในสิ่งที่เรามุ่งหวัง อย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2013
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......ถ้าเจริญมรรคอยู่ คงสรุปไม่ได้ว่า เป็นอะไร หรือ อาจจะไม่จำเป็นต้องสรุป....เพราะมันมีคำว่า บริบูรณ์ อินทรีย์ที่ยังอ่อนแก่ไม่เท่ากัน...อริยมรรคมีองค์แปด........-----------------------พระวจนะ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่มาก่อน นั้นเป็นนิมิตล่วงหน้า กล่าวคือ รุ่งอรุณ ภิกษุทั้งหลายข้อนี้ก็ฉันนั้น นั่นเป็นสิ่งที่มาก่อน นั้นเป็นนิมิตล่วงหน้า แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย สิ่งนั้นคือ สัมมาทิฎฐิ ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาทิฎฐิ สัมมาวาจา ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะ ย่อมมีอย่างเต็มที่แก่ผู้มี สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาวายามะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาสติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ย่อมมีอย่างเต็มที่แก่ผู้มี สัมมาสติ สัมมาญานะ ย่อมมีอย่างเต็มที่แก่ผู้มี สัมมาสมาธิ สัมมาวิมุติ ย่อมมีอย่างเต็มที่แก่ผู้มีสัมมาญานะ---ทสก.อํ.24/254/121...:cool:
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................สัมมาวายามะ(ความเพียร เจริญกุศล ละอกุศล หรือ อุเทสคือสัมัปธานสี่) ย่อมมีเพียงพอแก่ผู้มี สัมมาอาชีวะ(ส่วน ศิล) และ สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) ย่อมมีเพียงพอแก่ผู้มี สัมมาวายามะ(สัมมัปธานสี่ เจริญกุศลละอกุศล)................ทุกอย่างเป็นปัจจัยแก่กัน สิล สมาธิ ปัญญา...คงต้องเจริญทุกอย่างอย่างสัมพันธิ์กัน:cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......................อย่าเพิ่งหยุดเรียนรู้ .......อย่าพึงกล่าวว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า.....:cool:
     
  12. จิตเปโม

    จิตเปโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +253
    แล้วแต่จะเรียก แต่นี่มันเป็นแค่ความรู้พื้นๆ จิตเห็นความจริงนั้นแล้วไม่เข้าไปยุ่งกับอาการปวดอีก

    มันยังเห็นในมุมอื่นๆ อีกมาก แต่ไม่เกินกาย ใจ ออกไปที่ใด เดี๋ยวถ้าเห็นว่าสมควรผมจะเล่าให้ฟัง เรื่องการเข้าไปเห็นกระบวนการคิดของจิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สติปัญญาแบบจิ๋วๆ มันเข้าไปรู้ครับ
     
  13. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,354
    ผู้มี ปัญญาในทางปฏิบัติ
    คือผู้ที่เข้าไปตามเห็นการเกิดดับของขันทั้งห้า

    แนะนำเทปบรรยาย ที่จะทำให้เข้าใจมากขึ้นครับว่า
    ปัญญาที่แท้จริงคืออะไร และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nzQH0tk99VI" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ตามอ่าน ๆ ดู ของคุณโซ ก็ดูมีความเข้าใจตรงดีนะครับ
    เห็นทุกข์เห็นโทษของเขาหรือยังครับ
     
  15. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ทำไมเรารู้สึกว่าคุณคุยด้วยความคิดมากกว่าใช้ความรู้สึก
     
  16. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณครับ ผมยังมีภาระอยู่กับทางโลกอยู่ครับผมยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ติดที่ พ่อและแม่อยู่ คืออยากเก็บเงินไว้ให้ท่านได้ใช้จ่ายในยามที่ท่านแก่ลงไปเรื่อยๆ ผมยังต้องดิ้นรนสู้ในทางโลก แต่ทุกวันก็พยายามเจริญสตินึกคิดพิจรณาถึงธรรมอยู่เมื่อมีเวลาโอกาส เพราะตั้งแต่เด็กถึงทุกวันนี้ผมยังเฝ้าคิดเสมอตลอดเวลาว่า จะบวชแบบไม่สึก ตอนนี้พยายามฝึกจิตตนเองอยู่ ตั้งมั่นในความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยวนในส่วนของกิเลสต่างๆ ผมเลยมองว่าถ้าเราอดทนต่อสิ่งต่างๆที่เกิดในทางโลกไม่ได้ ฉนั้นเมื่อเราไปบวชสมัยนี้เป็นยุคสมัยแบบว่า พุทธพานิชย์ ย่อมมีกิเลสเกิดขึ้นมากมาย เมื่อเราอดทนในตอนนี้ไม่ได้แล้วยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ เช่นกันมุมมองของผมก็จะเป็นแบบว่าจะไปอยู่ที่ใดก็จะเป็นคนแบบว่าจะยอมไปทุกที่(แล้วแต่มุมมองของแต่ล่ะคนน่ะครับ) ถ้าผมได้บวชคืออยากแบบว่าบวชเรียนก่อนให้รู้ธรรมมากๆ แล้วเอาไปเผยแพร่จะได้ไม่ผิดหลักธรรมที่มีอยู่ได้อย่างถูกต้อง เพราะบางที่สมัยนี้เทคโนโลยีมันก้าวไปมาก คนรู้เยอะก็มีมาก ถ้าเราไม่รู้จริง ปฏิบัติได้จริง จะไปสอนใคร คงเข้าถึงใจบุคคลนั้นได้ยาก ตอนนี้ผมอยู่ทางโลกก็พยายามหาเวลาศึกษาธรรมแบบนี้ไปก่อน คิดเองบ้าง เออออเองบ้าง หาอ่านดูบ้าง สอบถามตั้งกระทู้ แชร์มุมมองบ้าง ผิด ถูกบ้าง ก็นำมาแก้ใข ไม่แย้งใคร เพราะเป็นธรรมที่รู้แบบเดียวกัน เห็นผิดถูกไม่เป็นไร สักวันตัวบุคคลเติมเต็มได้แล้ว ก็จะรู้แบบเดียวกันได้เองแหละครับ
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อาการลิงโลดฟูออกในความเห็นจากการปฏิบัติแล้วนำมาคิดต่อจนความคิดเข้าไปสรุปบังอาการปฏิบัติ ตรงนี้จะเข้าไปขวางการปฏิบัติให้วนอยู่กับผลของความคิดครับ(กลายเป็นฟุ้งจนอาจเห็นผลสำเร็จบางอย่าง)
    ยิ่งออกมากล่าวแนวสรุปความเห็นจะยิ่งออกนอกแนวปฏิบัติที่ต้องเพียรย้ำๆเข้าไปเรื่อยๆ
    คงต้องเบาๆเรื่องคำถาม ความคิด ความรู้ ลงน่ะครับ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าเป็นแบบข้างบนนี้ ก็ให้รู้ลงไปว่า ศึกษาธรรมะด้วยวิธี ตรรกศาสตร์

    ซึ่ง จะไม่ได้อะไรเลย แถมยังมี แวว จะได้ มิจฉาทิฏฐิ เข้าทาง อุทเฉท
    หรือ ขาดสูญเข้าไปเรื่อยๆ

    ซึ่งอะไรแบบนี้ หากศึกษาไปแล้ว เอาไปใช้ในทางโลก เขาจะ อู้หู อ้าหา
    เห็นว่า " เรานั้นสุดยอด " และ การที่เราไปฟังเสียง " อู้หู อ้าหา "(สดับ
    ธรรมผิด) เพราะไปฟังเสียงสะท้อนจากปุถุชน(ทั้ง ภายใน และ ภายนอก )
    ก็จะทำให้เข้าใจผิดคิดว่า นี่คือทาง นี่คือเกรียติ นี่คือฐานะหรือยศ

    แต่เป็นอะไรที่ น่าอดสู น่าสมเพช เพราะ เวลา ปัญหาประดังเข้ามา มัน
    จะน้อยเนื้อต่ำใจสุดๆ แล้วมีแนวโน้มจะทำให้ ปัญหามันขาดสูญ ทื่อแข็ง
    หรือ ดื้อด้าน ไปเลย ..........สังเกต คนประเภทนี้ได้จาก "สำนักอภิธรรม
    ใหญ่ๆ บางสำนัก "

    *****************

    ทีนี้ เมื่อคุณไปทางนี้แล้ว ในทางธรรมเขาถือว่า มีธาตุไปทางนี้ หรือ มีต้น
    ทุนไปทางนี้ การภาวนานั้นไม่จำกัดลีลาการเปื้อนโคลน การเดินเข้าไปทาง
    ผิด การเหยียบในสิ่งโสโครก เพราะ โลกสมมติทั้งหมด มีความโสโครกเสมอกัน

    ดังนั้น ให้พิจารณาไปที่ คุณ และ โทษ จาก หนทางที่ตนปักใจเชื่อ

    คุณ(benifit) มันก็มี คือ ทำให้เรา มีสามัญสำนึกในการเป็นคนดี คอยกระซิบให้ทำดี
    แต่ก็ยังลูกผีลูกคนไปจนวันตาย ไม่อาจบอกกับตัวเองได้ว่า รู้อะไร เห็นแต่
    เพียงว่า ทำไปก่อน ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่า ว่างเปล่า ไม่ได้อะไรเลย

    โทษ(bankrupt) มันก็มี คือ มันทำให้เรา หันรีหันขวาง ต้องคอยเวลากระซิบถูก ต้อง
    ตกอยู่ในความประมาท ต้องตายเปล่า

    พิจารณา คุณ และ โทษ ไปแบบนี้

    แล้ว ตามเห็นว่า วันใดจิตสว่าง(อวิชชา)มันก็ พูด บอกทาง ได้เป็นต่อยหอย

    วันใดจิตมืด(ลงไปเก็บกิน นิวรณ์ เพื่อให้ อวิชชา ทำจิตให้ ส่องสว่าง) ก็จะ
    มืดแปดด้าน ไม่รู้อะไรคือ หนทาง ไม่รู้อะไรคือ การลุกออกจาก ไม่เห็น
    สัมมาอาชีวะ ที่บัณฑิตทั้งหลายเขารู้ เขาเห็น

    ตามเห็นจิตสว่าง(ด้วยอวิชชา กระซิบหลอก)(เจริญตามความเข้าใจผิด)
    สลับกับ จิตมีนิวรณ์(เสื่อม) ไปเนืองๆ ทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ต้องอดทนไม่
    ย้อท้อแม้จะรู้ทั้งรู้ว่ายังเดินทางผิด

    แล้วมันจะค่อยๆเห็นว่า ที่แท้มันออกมาจาก "......" ทั้งคู่

    แต่ "......" นั้นเป็นอะไรที่ไป นิยาม หรือ ให้ค่า ไม่ได้ ไม่มีสามัญมนุษย์
    คนไหนเห็นสิ่งนั้นได้ แต่รู้อยู่ว่า หากตามเห็นความแปรปรวน ความไม่เที่ยง
    อย่างนี้อนู้เนืองๆ ปลายอุโมงค์มันจะต้องมี

    *********


    ความสูญเปล่านั้นอาจจะมีอยู่ แต่จะไม่สนใจ หากคนๆนั้นมี ศีล ( ที่เพียงพอ )

    แต่ถ้า ไม่มีศีล เป็น นักศึกษาธรรมะเก่งตรรกศาตร์(แบบ สำนักอภิอธรรมใหญ่ๆ
    บางจำพวก ) ก็อาจจะ ฉาบทาด้วย " ทาน " คือการให้ ธรรมทาน เป็นอาธิ ซึ่ง
    ก็เหมือนการเที่ยวแจกยาพิษให้คนอื่นไปเรื่อยๆ ศีลก็ไม่มี ทานก็วิบัติ นอก
    จากจะสูญเปล่าทางธรรมแล้ว นรกอาจจะเป็นที่ไปเสริมอีกต่างหาก

    [ ท่อนนี้ คือให้ สังเกตเรื่อง ศีล กับ ทาน ให้เราพิจารณา การมี ศีล แทน
    การมี ทาน เพราะ การมี ทานนั้น อันนี้มันมีความฉาบฉวย ตลบแตลง ทำ
    ได้ง่าย มักง่าย ...พวก จอมปลอมนิยมใช้เป็นเครื่องมือ หลอกตัวเอง แต่
    ถ้าเราใช้ ศีล ทิฏฐิธรรมจะถูกเพ่งพิสูจน์อยู่ จะดีกว่า ถ้าใช้ ศีลเป็นเครื่องมือ
    "ตรวจสอบ - เป็นหลักเป็นเกณฑ์ " ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2013
  19. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ถ้าคุณมองแบบนั้นผมก็ยอมรับครับ เพราะผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างมีคนให้โจทย์มาว่า ทำอย่างไรในตัวเลขให้ผลลัพภ์ออกมาเป็นสอง คุณอาจจะคิดแบบง่ายๆว่า 1+1=2 แต่สิ่งที่ผมคิดมันได้มากกว่านั้น 25+58-25x45+58-24-352-554+54x5454-255-2544x65 ฯล=2
    รัยประมาณนี้ ถามว่าทำไม เพราะมันต่างจากธรรมที่มีสอนไว้ทำไมต้องไปคิดให้มันมาก ฟุ้งซ่านต่างๆเอาแบบง่ายๆไม่ได้เหรอนั่นมันบ้าไปแล้ว ผมอยู่ทางโลกผมคิดแบบทางโลกผมยังไม่อาจจะกระทำให้ถึงนิพพานได้ในชาตินี้ ผมอาจจะเป็นแบบสัมมาทิฏฐิ ให้ผมเป็นผมก็ยอมรับ ผมมองว่านั่นคืประสบการณ์ถึงมีใครว่ามันไม่ใช่ ไม่จำเป็น ก็ไม่เป็นไร ผมเห็นผมแบบนี้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ไปเรื่อยๆ เพราะผมไม่ทิ้งหลักความเป็นจริง รู้เห็นอยู่ เพราะผมยังเข้าไปไม่ถึง ถึงการปฏิบัติ ใครก้าวไปก่อนผม ก็ไม่เป็นไร
    เพราะในมุมมองผมยังอยู่ที่ว่าต้องการให้ผู้คนได้เข้ามาเรียนรู้หลักธรรมดำเนินไปแบบนี้
    25+58-25x45+58-24-352-554+54x5454-255-2544x65 ฯล=2
    ยังจะไม่เอาแบบนี้ 1+1=2 เพราะผมรู้ว่าคิดแบบนี้ถือว่าถูกต้อง
    ถ้าความคิดแบบนี้ของผมผิด ผมก็จะพิจรณามันไปเรื่อยๆครับ ตามกำลังที่ผมมีอยู่ จะปรับปรุงเรียนรู้ แก้ไข เพราะมันเป็นเพียงความคิดที่มีอยู่ดำเนินอยู่ในทางโลก ยังไม่ใ่ทางธรรม เส้นทางผมยังอีกไม่รู้ในอสงไขยกัปป์เลยละมั้งครับ
     
  20. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    เมื่อไหร่ที่คุณยัง บวก ลบ คุณ และหาร อยู่แสดงว่าคุณยังไม่รู้อะไรเลย เพราะผลรับที่ได้คือไม่มีอะไร เมื่อไหร่ที่เลิกใช้ความคิดและหันมาใช้หัวใจรู้ก็รู้เอง ทุกข์เกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...