อะไรคือตัวที่เรียกว่า..ปัญญา..นี่ใช่มั้ย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 10 พฤษภาคม 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    10/05/2013
    ผมแค่อยากรู้ว่าจริงๆแล้วตัวปัญญาที่แท้จริงคืออะไร และมันเกิดได้อย่างไร ตอนไหน ทำอย่างไร เพราะผมคิดว่าหาคำตอบได้แล้วหลังจากสงสัยกับมันมานานนับ10กว่าปี คือหาคำตอบไปเล่นๆเรื่อยมา ทั้งที่คำตอบมันมีมาแล้วในพระไตรปิฎกแต่ผมไม่เคยสนใจอยากหาคำตอบเอง จนคิดว่ามันใช่ น่าจะใช่แน่นอน เพราะคำว่าปัญญาของผมหมายถึงการหลุดพ้นต่อสิ่งต่างๆที่มีและเป็นอยู่ เพราะเมื่อก่อนผมจะสงสัยว่าทำไม ต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ คือยังมีสงสัยติดคาใจอยู่ว่าสักวันต้องหาคำตอบให้ได้
    ยกตัวอย่างเช่น วันนี้มีคนมาด่า ว่า ดูถูกเรา เราก็รู้อยู่ตามที่ได้ยินได้ฟังมาคือ ปล่อยวาง คืออย่าไปยึดติด แต่แค่ความคิดแบบนี้ผมยังมองว่าไม่ใช่ตัวปัญญาอย่างแท้จริง เพราะมันจะ เกิดมาอีก และดับไปอีกเรื่อยไป มันจะมีความสงสัยอยู่อีก ถ้ามันเกิด เพราะส่วนมากที่เราได้ยินได้ฟังมานั้นจะบอกอยู่เสมอบ่อยๆว่าปล่อยวาง และมีคำต่อท้ายที่ยาวมาก เพราะผมมีความคิดว่าถ้าเราเจอปัญหาแล้วหนีปัญหาผมมองว่ามันไม่ใช่ตัวปัญญา มันเป็นแค่สติชั่วคราวที่คิดได้ประมาณว่าปล่อยวางมันออกไปชั่วขณะเราไปอยู่ที่อื่นยังต้องเจอปัญหาต่อแน่
    เพราะเรายังไม่ได้เคลียปัญหาเดิมอยู่แบบลงเห็นเป็นไตรลักษณ์ เมื่อเรากระทำให้เห็นเป็นไตรลักษณ์แล้ว เราจะไปเจอปัญหาอื่นใด เราจะไม่มีความสงสัยในปัญหาอื่นนั้นได้เลย เพราะที่ผ่านมาคนเราทำได้เพียงแค่การเรียนรู้ แต่ยังขาดขั้นตอนในการปฏิบัติ
    ผมมีความภาคภูมิและปราบปลื้มมากที่วันนี้ได้คำตอบให้กับตัวเองแล้ว ที่ติดอยู่ในใจมานับ10กว่าปี เป็นข้อคิดที่มีอยู่แล้วมาแล้ว ในครูบาอาจารย์ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าูผู้เป็นพระสัพพัญญู เป็นครูในภพทั้งสาม แต่ก็อยากเห็นแบบไห้เป็นไตรลักษณ์ลงไปแบบไม่ต้องกลับไปคิดอีกว่าสิ่งที่เกิดมานั้นมันเป็นเพราะเหตุใด ผมได้หมดสงสัยในความข้อนี้แล้ว เหลือเพึยงแค่การปฏิบัติ มันเป็นข้อธรรมที่ง่ายมากๆเลย แต่ผมยังไม่บอกน่ะครับ ผมอยากได้คำแนะนำจากเพื่อนๆพี่น้อง น้า อา ลุง ทุกท่าน เอาแบบง่ายๆไม่ต้องยาวว่า ปัญญา นั้นจะหยั่งลงไปให้เห็นเป็นไตรลักษณ์เลยว่า คำว่าปัญญาที่แท้จริง คืออะไร ทำอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ เพราะผมเห็นเป็นไตรลักษณ์ได้เฉพาะในด้านของความคิด แต่ยังขาดการปฏิบัติลงไปให้เห็นเป็นวิมุติน่ะครับ
    ขอย้ำน่ะครับว่ามันเป็นความเห็นส่วนตัว แต่อาจจะถูกหรือผิดก็เป็นได้ แต่ขอความเห็นจากทุกท่านก่อนน่ะครับ เพราะทุกท่านมีภูมิธรรมที่ได้รู้ได้ยินได้ฝึกฝนมาดีแล้วได้มากกว่าผม ขอแค่เป็นธรรมทานต่อไปให้แก่บุคคลอื่น เพราะสักวันหนึ่งถ้าธรรมที่ผมได้รู้นี้ถูกต้อง ผมจะนำไปบอกกล่าว บรรยายให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง เพราะธรรมนั้นมีใจความที่ซับซ้อนและลายละเอียดเยอะมากๆที่อยู่ใน 84000 พระธรรมขันต์นั้น ผมคิดว่า ผมได้คำตอบที่สั้นมากๆ เลยอยากได้ยินได้ฟังจากท่านทั้งหลาย ในหัวข้อที่ว่า ปัญญา คืออะไร และทำอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ เอาเป็นธรรมที่เข้าใจได้ง่าย น่ะครับ เดี๋ยวผมจะมาเฉลยความที่ผมคิดได้ว่าถูกมั้ยทีหลังครับ ขอคำแนะนำเป็นธรรมทานจากท่านก่อนครับ เพราะจะมีประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่นในอนาคตครับ ขอบคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2013
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    คำว่าปัญญา ในทางปฏิบัติ

    เป็นชื่อเรียก สภาวะ ลักษณะ ของจิต ที่ปล่อยวางด้วยตัวเอง

    ลักษณะของจิตที่ปล่อยวางด้วยตัวเอง
    ความสงสัยจะไม่เกิดขึ้น ไม่ถือไว้ในท่ามกลาง ความสงบก็บังเกิด

    แต่หากไปเอาคำว่าปัญญาในภาษาไทย ก็คือความรอบรู้ ความรู้
     
  3. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับ ธรรมที่มีอยู่ในตัวของคุณ ปราบเทวดา ไม่ธรรมดาเลยน่ะครับ ที่ตอบได้ภาษาที่สวยงามมากครับ ในกระบวนการคิดของผม ผมมองว่าใช่เลยครับ ภาษาคำพูดแบบนี้ผมยังมองว่ามันยังยากสำหรับบุคคลที่พึ่งได้เรียนที่จะรู้และนำไปปฏิบัติกับบุคคลที่ยังไม่มีความเคารพนับถือเลื่อมใส หรือมีแต่มีน้อยครับ ย้ำน่ะครับอย่าหาว่าผมถือตัวอวดเก่งอะไรเลยน่ะครับ ผมอยากให้ทุกท่านได้แชร์ประสบการณ์หรือความรู้สึก ไม่มีความคิดที่จะยกตัวข่มท่านทั้งหลายที่เข้ามาตอบกระทู้เลยน่ะครับ แค่ผมได้แง่คิดบางอย่างที่เกิดขึ้นมาเองโดยการวิเคราะห์หรือความน่าจะเป็นในสิ่งที่ผมได้รู้คำตอบของมันแล้ว เลยอยากจะได้ฟังสิ่งเหล่านี้ที่ได้เกิดแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ว่าของผมมันถูกต้องหรือไม่ ก็แค่นั้นไม่มีความคิดที่จะอวดตัวใดๆเลย เพราะจะเป็นการปรามาสแก่ผู้มีธรรมไปเปล่าๆ ทุกท่านย่อมรู้ดีน่ะครับ ด้วยความเคารพครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2013
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พระธรรมคือปัญญา
    ป่าราบเสมอกัน
    ความบริสุทธิ์เสมอกัน
    ฉะนั้นแล้ว หากเรายังให้ค่าอย่างใดอย่างนึง
    ยังต้องการคำตอบจากผู้อื่น
    อันนั้นยังไม่ใช่
     
  5. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ปัญญา คือ ไม่มีปัญหา เมื่อคนอื่นเกิดปัญหา ก็เอาปัญญาแก้ได้ ช่วยได้ ให้หมดปัญหาไป และการแก้นั้น ต้องแก้แบบให้คนอื่นหมดปัญหาไปด้วย ก็คือแก้ปัญหาและให้ปัญญาไปด้วย

    ความจริงแล้ว ไตรลักษณ์มันมีอยู่กับทุกสมมุติในโลกนี้ เพียงแต่จะเห็นครบในสิ่งนั้นๆ ว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ครบหรือไม่ เพราะ บางอย่าง เกิดช้า ตั้งอยู่นานกว่าจะดับ เช่น ตะปู ดอกหนึ่ง กว่าจะเกิดสนิมกัดกร่อน กว่าจะย่อยสลาย ดับไปได้ ก็ใช้เวลานานมาก หรือที่เห็นได้ชัดก็ ถั่วงอก ที่ ปลูกปุ๊บกินปั๊บหมดปุ๊บ หรือไม้ขีดไฟที่จุดปุ๊บไม่นานก็ดับ

    ส่วนปัญญานั้น ที่เรียกว่าปัญญานั้น มันต้องเกิดกับใจ ไม่ไช่เกิดกับ ภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่มันต้อง เกิดรู้ ในใจ ครับ รู้ไตรลักษณ์ในใจ ก็คือ ใจเข้าใจไตรลักษณ์ ครบทั้ง อดีต ปัจจุบัน อนาคต หรือ เข้าใจทั้ง ก่อนเกิด เวลาเกิด เวลาตั้งอยู่ เวลาดับไป และ หลังดับไป ที่เรียกปัญญาก็เพราะ ไตรลักษณ์นี้ คือ ความเหมือนกันของ สรรพสิ่ง ที่เรียกว่า ถ้าสมมุติใดใด เกิดได้ สิ่งนั้น ก็ จะมี คุณสมบัติของไตรลักษณ์ครบ หรือ ถ้าสิ่งใดเคลื่อน ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน สิ่งนั้นมีคุณสมบัติของไตรลักษณ์

    ดังนั้น ปัญญาที่เข้าใจก็คือ ปัญญาที่ไม่ทุกข์กับ สิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งที่เคลื่อน สิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่เกิดมาได้ ทั้งหลายเหล่านี้ รวมทั้ง ตัวเรา ตัวเขาด้วย เพราะ ทั้งหมด ล้วนอยู่ในวัฏฏะ ก็คือ วงจรการเกิดที่ไม่เที่ยงนี้ ทั้งนั้น
     
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ขอคำชี้แนะด้วยครับ เพราะผมเห็นเป็นไตรลักษณ์ได้เฉพาะในด้านของความคิด แต่ยังขาดการปฏิบัติลงไปให้เห็นเป็นวิมุติน่ะครับ...........................................................
    ไตรลักษณ์ มันเห็นรู้ทาง กาย คือ ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ลงที่ใจ ที่ความคิดครับ
    แต่ปัญญา ที่จริง ก็คือ ใจเองก็ต้องรู้ตัวเองว่า ใจเองก็ เป็นหนึ่งในไตรลักษณ์ด้วยคือ เกิดมาพร้อมกาย ตั้งอยู่พร้อมกาย และจะดับลงพร้อมกาย นั่นเอง

    ใจต้อง รู้และเข้าใจตนเอง ด้วยว่า ใจเองก็ไม่เที่ยง เคลื่อน ไม่แน่นอน ต้องดับ เหมือนกัน
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    จะเห็นว่าใจคือไตรลักษณ์ ก็ด้วยการฝึกสติครับ สติปัฏฐานสี่นั่นเอง
     
  8. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับสิ่งนี้ก็อยู่ในความคิดของผมเหมือนกันครับ
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แล้วท่านเจ้าของกระทู้ มีวิธีการเอาใจเข้าถึงไตรลักษณ์ที่เรียบง่าย อย่างไรบ้างครับ
    อย่างที่คุณพูดมา ว่า ปัญญาคือ ไม่สงสัยก็ถูกครับ
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    งั้นผมพูดก่อนแล้วกันว่า สติก็ เป็น ไตรลักษณ์ หรือ ที่คนอื่น เรียกว่า จิตผู้รู้ ก็ไตรลักษณ์ ทุกสมมุติก็ไตรลักษณ์ และมีอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นเองที่เป็นปัญญา นั่นก็คือ ความจริงสิ่งเดียว ที่ว่า ทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ความจริงนี้แหล่ะคือ ปัญญา
     
  11. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ปัญญาคือ รู้
    ผมคงอธิบายอะไรไม่ได้มาก
    เพราะปัญญาที่คุณพูดถึงคือปัญญาในชั้นพระอริยเจ้า
    ซึ่งผมไม่ได้เป็น แล้วจะไปตอบได้อย่างไร
     
  12. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แล้วคุณ รู้ ได้ยังไง ว่า ปัญญาคือรู้ ที่คุยกันนี่ เป็นของอริยะเจ้า

    ผมก็รู้ คุณก็รู้ คนอื่นก็รู้ ก็รู้ได้เหมือนกัน แล้ว คุณจะมาบอกว่า คุณไม่ได้เป็น
    แล้วคุณรู้ได้ยังไงครับว่า คนอื่นเป็น คุณต่างหากที่ รู้เกินที่คนอื่นเขากำลังคุยกันอยู่
    พวกเรา คนธรรมดานี่แหล่ะครับ ผมไม่เห็นรู้เลยว่า ใครเป็นอริยะ
    ก็รู้เหมือนกัน รู้แล้วสบายกาย สบายใจ ก็พอครับ ไม่เป็นไม่มีไม่เอา รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้
     
  13. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ความคิด กับ ปัญญา---คล้ายๆกันน่ะ แต่ไม่ใช่
    ความคิด----มันไม่จบ
    ปัญญา ----มันจบ!!





    ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม...
     
  14. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ก็เฉลยแบบที่ผมรู้ก็แล้วกันน่ะครับเป็นแบบที่คุยแล้วเข้าใจง่าย สิ่งที่เป็นของง่ายแก่การเรียนรู้คือ การฝึกครับ คือการรู้เรียนปล่อยวางรู้ฝึกจิตให้มีสติตามรู้เห็นสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงไม่มีการปรุงแต่งของจิตหรือวัตถุใดๆที่มากระทบทั้งรูปและนาม หมั่นฝึกฝนอยู่เนืองๆมันจะมีปัญญา คือรู้ตามเป็นจริงได้แบบนั้น เพราะผมมองว่าแค่ความรู้ที่เราได้ยินได้ัฟังมานั้นยังไม่ใช่ปัญญา ปัญญาคือการรู้เห็นตามนั้นเป็นของจริงว่าใช่ รู้โดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว จะมองสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติกระทำเรียนรู้ได้โดยอัตโนมัติ ไม่มีการปรุ่งแต่งหรือหาข้อสงสัยในความเป็นสิ่งนั้นได้อีก ยกตัวอย่างเช่น(ที่เราได้เรียนรู้กันมา)1+1=2เราได้คำถามมาแล้วว่า1+1เท่ากับเท่าไร เราก็ตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่า2เพราะเรารู้จริงตามสมมุติืได้ตามนั้นไม่เป็นอื่น หรือเรากำลังเล่นกีฬาชนิดหนึ่ง ยกตัวอย่าง สนุ๊กเกอร์ ตอนเริ่มแรกเราฝึกท่าทาง เหลี่ยม จังหวะในการแทง ว่าเราจะเล่นแบบนี้ กินสีลูกนี้ แบบนี้ เมื่อเราทำการฝึกฝนบ่อยๆ เราก็จะหาเหลี่ยมตบลูกตามที่เราได้ฝึกมานั้นได้เป็นอย่างดี ได้โดยอัตโนมัติ แต่จริงๆเราจะเอาความข้อนี้มาเปรียบเทียบไม่ได้กับคำว่าปัญญา เพราะผมรู้ว่า ปัญญา คือความไม่มีแห่งสมมุติรูปนามแล้ว แต่แค่เอามาเปรียบเทียบให้เห็นในด้านแห่งการเรียนรู้และปฏิบัติ เพราะต้องเริ่มด้วยการฝึก ปัญญานั้นในสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาจากหลายๆอาจารย์หลายๆเว็ป ปัญญาเกิดได้ทั้งการ ได้ยิน ไีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีด้ฟัง สมาธิภาวนา เงื่อนไขเหล่านี้ก็ยังอยู่ที่ต้องหมั่นปฏิบัติทั้งสิ้น ได้เร็วหรือช้าอยู่ที่บารมีของแต่ล่ะบุคคลด้วย ว่าได้สั่งสมอบรมองค์ความรู้มายาวนานแค่ไหน สิ่งนี้ผมไม่รู้ว่า ผมมองถูกหรือไม่ คือต้องฝึกไห้เขาเรียนรู้เรื่องสติตามวิปัสนา อยู่เนืองๆบ่อยๆเมื่อทำเช่นนี้เป็นประจำบ่อยๆแล้วเขาจะมีปัญญาได้เองว่ามันก็เป็นอยู่แบบนี้เดี๋ยวเขาก็คลายความมีรูปและนามไปเอง เพราะความคิดผมยังอยู่ที่ว่า ถ้าเราหนีปัญหามันยังเป็นแค่สติ เป็นการฝึกฝนเรียนรู้สติ แต่การอยู่กับปัญหาและแก้ใขให้หยั่งลงถึงรากเง้าของปัญหาผมมองว่านี่แหละคือปัญญาอย่างแท้จริง
     
  15. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับนี่แหละที่เราเข้าไปไม่ถึงครับ เพราะเราเรียนรู้ รู้ได้แค่ทางโลกว่านี่ต้องปัญญา
    เพราะเราขาดการฝึกและปฏิบัติครับ เพราะปัญญาที่จริงเขาคงไม่ไปรู้หรอกใช่ไหมครับ
     
  16. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ปัญญา ในทางพุทธศาสนา คือ ญาณ การปล่อยวาง ทวนกระแสโลก เพื่อหลุดพ้นจากทุกขสัจ
    ตรงนี้ผู้ที่เข้ามาศึกษาปฏิบัติในพุทธศาสนาย่อมรู้แนวทางดี

    แต่ทีนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้ที่หลุดพ้นเข้าถึงตัวปัญญาก็มีหลายลักษณะ ตามวาสนาบารมีที่สั่งสมมา

    ดังเช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติเอตทัคคะสาวก พระสาวกธรรมดา

    และพระสาวก ก็ยังแบ่งประเภทอีก ทั้ง สุขวิปัสโก เตวิชโช อภิญญาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณ

    ก็ลองสำรวจตนดูว่า เราเป็นบุคคลประเภทใด เพื่อต้องการไปที่จุดหมายถึงตัวปัญญา
    เพื่อเพียงพอแก่การหลุดพ้น ต่อการรู้แจ้งในอริยสัจเดียวกัน

    ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตร ได้อธิบายไว้เยอะมาก เกี่ยวกับลักษณะ ญาณ ทิฏฐิ อินทรีย์ วิโมกข์
    สมเป็นพระอัครสาวก ผู้เลิศด้วยปัญญา

    หากต้องการจะหลุดพ้นเร็วๆ ถามตนเองดูว่า เราไปถึงตัวปัญญา ในขณะปัจจุบัน ดีพอหรือยัง
    เช่น เห็นกระแสขันธโลกภายนอก ภายใน ต่อต้านถกเถียง แก่งแย่งชิงกันไปตามทิฏฐิ ถือลักษณะดีเลว

    ดังนี้แล้ว เรามีญาณน้อมทวนกระแสโลก เห็นทุกข์พิจารณาในความเป็นตัวตน ได้เพียงใด
    พอที่จะเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ เพื่อต้องการจะหลุดพ้นในสิ่งเหล่านั้นจริงๆ

    แต่..ทำได้อย่างหลวงพ่อท่านหนึ่ง ดีพอหรือยัง เรามีความเพียร ทั้งสติ สมาธิ ในระดับใด
    กับการปล่อยวาง ดับเหตุแห่งทุกข์ ดังห่วงโซ่

    จนสู่การ ด้วยการมองโลกในแง่ดี นั่นเพราะมีปัญญาญาณ มีความเป็นกลางในสังขารทั้งปวง เบา โล่ง สบาย

    อะไรๆ ท่านก็ดีเนาะ

    ลองอ่านดู
    http://palungjit.org/threads/หลวงพ่อดีเนาะ.473638/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2013
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ปัญญาในพุทธศาสนานั้นมีหลายระดับ ในแต่ล่ะดับนั้นจะต้องเกิดผลคือรู้เพื่อการละ ถ้าอยากรู้ว่าเราละอะไรได้บ้าง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยสถานการณ์เหตุการณ์จริง เอากิเลสภายนอกก่อนอย่างเช่นการสละทรัพย์ภายนอกเช่นทรัพย์สินเงินทองกล้าที่จะบริจาคบางมั้ย มากบ้างนอยบ้าง ตามฐานะตน ลองพิสูจน์ด้วยการบริจาคเยอะๆดูว่ามีการตระหนี่หรือเปล่า ถ้ายังมีการเสียดายก็นั้นแหล่ะครับยังมีความตระหนี่ที่เป็นมลทิลอยู่มาก แสดงว่าตัวตนท่านยังอยู่เยอะ แสดงว่าปัญญาที่ท่ารรู้มานั้นยังไม่มีกำลังพอที่จะสละตัวตนที่แท้จริงได้ถือว่ายังเป็นเชาว์ปัญญาอยู่ ฉะนั้นยังไม่สามารถกำจัดกิเลสภายในได้จริงๆหรอกครับเพราะแค่ของภายนอกยังสละไม่ได้ ฉะนั้นจาคาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013
  18. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ปัญญา คือความรู้
    ความรู้ เกิดขึ้นที่จิตรู้เห็นสภาวะทุกอย่างตามความจริง
    ความจริง คือเห็นอริยสัจ รวมลงในพระไตรลักษณ์ทั้งหมด
    วิธีการคือ อบรมจิตตะภาวนา
     
  19. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมรู้แค่ว่า ปัญญาทำให้อวิชชาดับไป
    อวิชชาคือความไม่รู้
    ปัญญา คือ รู้

    ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่กำลังคุยอะไรอยู่
    แต่นี่มันบอร์ดการปฏิบัติเพื่อมรรคผล อย่างน้อยก็ฌานสมาบัติ
    แต่ถ้าเรื่องของปัญญา ก็เป็นปัญญาของพระอริยเจ้า
    ปัญญาของคนทั่วๆไป... เราก็มีกันอยู่แล้วนี่
     
  20. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับสำหรับทุกความรู้ จับมายำรวมมิตรกันได้องค์ความรู้ที่กว้างมากขึ้นเห็นภาพได้มากขึ้น ที่ตั้งกระทู้นี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับเพราะเมื่อก่อน(เป็น10กว่าปีมาแล้ว)หรือทุกวันนี้เคยมีคำถามขึ้นมาว่า เอวันนี้รู้สึกทำอไรขาดไปอย่างหนึ่ง หรือลืมของสิ่งหนึ่งที่เคยติดตัวเราไปอยู่ เหมือนชีวิตไม่ได้เติมเต็มเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หรือมีคนมาด่า ว่าเรา ทั้งๆที่เราคิดว่าเราไม่ผิด แต่มาว่าเราทำใม เราจะเกิดคำถามหรือติดข้องข้อสงสัยในใจ อยากเคลียหรือหาคำตอบไห้กับใจเราดวงนี้ ตอนนี้ คือยังจับในมโนแห่งความสงสัยนั้นอยู่ ใจเราไปยึดอยู่กับสภาวะแบบนั้น แต่ก็ได้รู้มาตามในอาจารย์ หรือ หนังสือ ในเน็ตว่า ให้ปล่อยวางอย่าไปยึดติด ใช้ปัญญาเข้าไปจัดการ ซึ่งมันเป็นแบบแผนอย่างนี้ที่ถูกต้องฟังเรียนรู้ได้ชัดเจน แต่ที่เราได้ยินได้ฟังมานั้น มันจะติดอยู่ที่ตรงปัญญาซะส่วนใหญ่ คือเราก็รู้ว่าปล่อยวาง แต่ก็เป็นแบบปล่อยวางไปเฉยๆเห็นแล้วปล่อย เห็นแล้วปล่อย แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เอาปัญญาไปจัดการ มันจะคลายความสงสัยไปไม่ได้ บางคนบอกว่า เอ๊า ก็เราก็ตามรู้ปล่อยวางแล้วนี่ นั่นแหละตัวปัญญา คือ ปัญญาที่เราเข้าไปปล่อยวางแล้วนี่ นั่นแหละตัวปัญญา ผมเลยบอกเขาว่า นั่นยังไม่ใช่ตัวปัญญา มันแค่ตามรู้อารมย์ปล่อยวางเฉยๆ ยังไม่ทำให้วิมุติ การวางเฉยแบบนั้น ถ้าตายไปก็แค่เข้าถึงพรหม ชั้นต่างๆตามกำลังของอารมณ์หรือว่าฌาน
    ปัญญาในความหมายของผมคือ ใช้สติปล่อยวางรู้ตามอารมณ์ ให้รู้ว่าต้องปล่อยวาง แบบหายสงสัย เพราะถ้าฝึกบ่อยๆหรือตามรู้เห็นบ่อยๆมันจะมีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ว่ามันก็เป็นเช่นนั้น เกิดแบบนั้น มันก็มีและจบแบบนั้น เิกิดอยู่ตั้งและดับไปแบบนี้ ไม่มีการปรุงจิตแต่งเติม จึงจะเป็นการปล่อยวางอย่างแท้จริง นี่แหละคือตัวปัญญา ใช่หรือไม่ครับ ขอความเห็นด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...