ปู่ฤาษีเกศแก้ว มีญาณหรืออิทธิฤทธิ์ด้านใดบ้าง

มีลูกหลานชาวลาว ปู่เขาบอกให้พ่อตามหา พ่อบอกให้ลูกตามหา ลูกอายุราว 60 มาเจอปู่ฤาษีที่เมืองไทย คราว ๆ อายุ ประมาณ 3 generation

(ท่านต้องมีดี ซิน่ะ ถึงอยู่ได้ป่านนี้)

เชื่อไม่เชื่อ ควรพิจารณาเอาเอง ....

 

เหตุที่ไม่ตัด เพราะตัดไม่ขาด ...

 

กมฺมุนา วตฺตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

ความคิดเห็นส่วนตัวผมนะครับฤาษี ควรกราบไหว้พระสงฆ์นะครับ เพราะพระสงฆ์มีศีลมากกว่า

และเราควรยกย่องสรรเสริญ ผู้ที่ยึดหลักปฏิบัติ ไม่ใช่เลือกสรรเสริญ เพราะการมี อภิญญามีฤทธิ์มีเดชครับ และผมเห็นว่าไม่เหมาะสมที่นั่งสูงกว่าพระสงฆ์

 

เรื่องฤาษีไม่ออกบวช เราไม่มีญาณหยั่งรู้จิตของท่าน เราควรวางเฉยไว้ก่อน ไม่ควรเอาศีลมาวัดว่าเป็นฤาษีแล้วศีลน้อยกว่าพระ แล้วจะดีกว่าพระไปได้อย่างไร เพราะหากเนื้อแท้ท่านเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว คนปรามาสจะมีโทษหนัก หรือแม้ท่านฤาษียังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่เป็นพระโพธิสัตว์ขั้นปรมัตถ์ เหล่าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกปกติก็ยังเกรงใจท่านเหมือนกัน เรื่องสงฆ์กราบท่านฤาษี เขาอาจกราบที่คุณธรรมในตัวฤาษีที่มีมากกว่าตัวเองก็ได้ อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ

 

คนที่เห็นธรรม ย่อมเคารพธรรม แล้วแบบนี้หละเคารพไหม คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

กตัญญูกตเวที พ่อ แม่

ปูชา จะ ปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา

สาธุ

 

เมื่อวานไปหล่อพระที่วัดตะเคียนงาม อ.เมือง กาญจนบุรี หล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์เงิน และ องค์ทองคำ มีพระเกจิอาจารย์ไปด้วยมากมาย เราก็ได้มีโอกาสเห็นท่านฤาษีเกษแก้วด้วยค่ะ ตอนพิธีเริ่มท่านก็เป็นประธานยืนคู่กับพระสงฆ์ในการเททองหล่องพระ ตอนนั้นไม่รู้หรอกค่ะว่าท่านเป็นใคร รู้แต่ว่าแต่งกายแบบนี้ต้องเป็นฤาษีแน่นอน พอพิธีจบทุกคนกำลังจะเดินทางกลับ ก็เห็นคนไปล้อมรถตู้คันนึง เราก็เลยเข้าไปดูด้วย การเป็นเห็นท่านฤาษีองค์นั้นนั่้งอยู่ ผู้คนก็เข้าไปให้ท่านเคาะศรีษะให้ด้วยพัดเล็กๆที่ท่านถือ เราอยากเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็นึกท่านจะเคาะศรีษะให้เราไหมหนอ ท่านก็หันมาเคาะเราเป็นคนสุดท้ายเลย แต่เวลาเข้าไปไกล้ๆ ตัวท่านก็ไม่มีกลิ่นนะค่ะ เป็นปกติ แต่ยังไงเสียเราก็นับถือศรัทธา และ กราบไหว้สามรัตนะ เป็นอันดับแรกค่ะ สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี ส่วนท่านอื่นเราก็ต้องพิจารณา แล้วก็จะกราบไหว้แต่เฉพาะบุคคลที่ควรบูชาเท่านั้นค่ะ

 

มีคำพูดให้คิด พระธรรมดาถือศีล 227 ข้อ แต่ฆราวาสเป็นพระอริยะ (ตั้งแต่พระโสดาบัน) ถือแค่ศีล 5 + กรรมบท 10 แค่นั้นก็เป็นพระอริยะขั้นพระโสดาบันแล้วไม่ต้องถึงขั้นฤาษีหรอก 2 คนนี้ เอาภาษาชาวบ้านว่าใครดีกว่าใคร ??? (พระพุทธเจ้าท่านนับถือความเป็นพระตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป)

ดังนั้น จะดูว่าใครเป็นพระอริยะ หรือไม่ เค้าดูกันที่ปฎิปทา เค้าไม่ได้ดูกันที่ใครถือศีลมากกว่าหรอก เรื่องใครจะเป็นหรือไม่เป็นไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะมาถกเถียงกันเพราะปฎิปทาของใครของมันความเป็นอริยะของเค้าไม่ได้ช่วยให้เราพ้นนรก แต่เราจะลงนรกซะเองเพราะความโง่ของจิต พระอริยะเค้าไม่มาคุยหรอกว่าฉันเป็นอริยะ มีแต่ลูกศิษย์จะจับตาและวิเคราะห์กันเองว่าท่านเป็นไหม เอาง่ายๆ ไม่ต้องคิดมากอย่างหลวงตามหาบัวหนิ ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่คนไม่ชอบท่านก็นินทาท่านอย่างนั้น อย่างนี้ แต่พอท่านมรณะภาพไปแล้ว พระธาตุท่านมีหนิ คนก็ฮือฮา ต่างๆ นาๆว่าท่านเป็นอรหันต์บ้างไรบ้าง คนปรามาสท่านไว้ก็เตรียมตัวซวยรอลงนรกสถานเดียวเพราะกลับใจก็สายไป และกรณีท่านพุทธทาสอีกเหมือนกันผมเคยเตือนแล้วนะ เพราะรู้สึกสงสารเวลารู้ว่าพวกอาภัพบุคคลอีกเยอะต้องลงนรกเพราะความโง่ของตัวเองมานั่งเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอ่ะ ดังนั้นใครจะเป็นพระดีหรือไม่ดี เป็นคนดีหรือไม่ดีเราควรดูและรู้เองไม่ต้องไปนั่งเถียงกันเลยชวนกันลงนรกไป หลวงพ่อฤาษีตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกัน ยังไม่เข็ดไม่เอาบทเรียนในอดีตมาสอนใจกันเลยนะ

ใครฟังเทปหลวงพ่อฤาษีท่านเคยเตือนแล้วนะว่าใครฝึกกสิณ ฝึกมโนมยิทธิเนี้ย อย่าไปดูจิตคนอื่น ให้ดูจิตตัวเอง จิตคนอื่นเค้าจะดีจะเลวไม่ใช่เรื่องของเรา.

อีกเรื่อง เรื่องพระไหว้ฤาษีที่เคยเห็นกันแต่ก็ยังวิจารย์กันอยู่ จะว่าไปโทษท่านทั้ง 2 ไม่ได้ เพราะพระเนี้ยก็มีหลายแบบ อาจเป็นพระอ่อนพรรษา บางที่ยังติดนิสัยฆราวาสท่านอาจจะไหวโดยเคารพว่าเป็นครูบาอาจารย์ หรืออย่างอื่นโดยคิดไม่ละเอียดพอว่าถูกกับธรรมเนียมประเพณีตามสฐานะตัวเองไหมถ้าจะมีโทษก็ควรแต่ไม่สำรวม ส่วนท่านฤาษีท่านก็คงไม่รู้มาก่อนว่าพระจะไหวโทษท่านก็ไม่ได้ จริงไหม.

 

ตำหนิสงฆ์ไม่ได้เพราะเลขศีลเยอะ ซะงั้นตรรกะบ้าตัวเลข เค้าบังคับให้ไปกราบเหรอ รู้ไม่เหมาะจะทำทำไม งานพิธีก็เชิญเค้าไปนั่งหน้าอีก พระถ้าผิด เตือนไม่ได้ใช่ป่ะ อาบัติ ก็จับสึกเยอะไป ดีทุกคนถ้าบวชเหรอ ใหนจะข่าวมั่วสีกา เยอะไป ฆราวาสถ้าได้ อนาคามีก็ถมไป แต่พระบวช 20 พรรษาแต่แอบมีเมีย ก็มี ฤาษีคุณว่าเท่ากับเณร ก็ปรามาสโพธิสัตว์หลายองค์เลยนะ อย่างผมยกสุเมธดาบส หรือ พระเวสสันดร ก็ฤาษีภพชาติของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมทั้งนั้น เก็บบารมีแบบเณร เทพลงมาเฝ้าเณรสินะ สาวกภูมิย่อมไม่เข้าใจวิสัยพุทธภูมิ ส่วนตัว ไม่รู้จักหรอกนะฤาษีองค์นีี้ผมเป็นพระ และไม่กราบฤาษี ไม่อวดว่าศีลเยอะด้วย สรุปไม่สมควร งดเชิญฤาษี และตักเตือนสงฆ์ว่าภาพออกมาไม่ควร หรือจะไปขับไล่ฤาษีออกนอกประเทศดี มารศาสนานิ

 

ท่านเคยบวชเป็นพระ แต่ต่อนนี้ท่านบวชเป็นพระอีกไม่ได้แล้ว(???) ลองถามประวัติท่านกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ ดูจะรู้ว่าทำไมท่านบวชพระอีกไม่ได้

ส่วนเรื่องใครไหว้ใครนะดูง่ายๆ ครูบาอาจารย์เคยบอกว่า พระมันไม่มีดีเท่าฤาษีไง เลยได้ไหว้ฤาษี

 

พิจารณาเอาเองครับว่า ควรหรือไม่

 

แล้วคุณหละเป็นใคร พิจรณาตัวเองให้ถี่ถ้วน
ไอคำว่าเสื่อมหนิมันควรใช้กับคุณหรือคนที่บำเพ็ญ?

 

ขอฝากใว้านิดนึงครับ .....สำหรับพระนั้นเรื่องวินัยต้องมาก่อน เพราะเราชาวพุทธทั้งหลายอย่าไปหลงประเด็น เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ กับ เรื่องธรรมมันต่างกัน อิทธิปาฏิหาริย์นั้นพระเทวทัตก็ทำได้ ใครก็ทำได้พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ และยังทรงเกรียจและขยะแขยงเป็นอย่างมากเพราะเป็นมารขวางมรรคขวางผลเป็นเหตุให้นำออกจากอริยสัจสี่ ส่วนเรื่องพระที่ไปกราบฤาษีนี้เป็นการหลงประเด็นเพราะพระใหม่ก็มี พระที่ท่านไม่ได้ปริยัติก็ไม่(ไม่ได้เรียนพระธรรมและพระวินัย) เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงเน้นให้กุลบุตรผู้บวชเข้ามาในตระกูลศากยะ ควรศึกษาปริยัติเสียก่อนจะได้รู้คำพระศาสดา และ หลักของศาสนาไม่หลงผิดไปเข้ากับเดียรถีนอกศาสนา แม้ฤาษี ดาบท หรือ เหล่าชีวกเหล่าใดก็ตามก็สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆได้ แต่เป็นโลกียะ มีวันเสื่อมได้อยู่ภายใต้กฏไตรลักษ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังมีกิเลสอยู่ เราชาวพุทธอย่าหลงประเด็น เมื่อครั้งก่อนพระศาสดาจะปรินิพพานทรงตรัสให้ พระธรรม และ พระวินัย เป็นศาสดา ยกตัวอย่างเช่น ภิกษุผู้บวชมา 30 พรรษาไม่บรรลุธรรมใดเลย ยังเป็นภิกษุปุถุชน กับภิกษุผู้บวชใหม่ 1 พรรษาแต่กลับบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ยังไงก็ตามภิกษุผู้เป็นอรหันต์ก็ต้องงกราบภิกษุผู้เป็นปุถุชนที่มีพรรษา30 พรรษาผู้บวชก่อนกว่าตามพระวินัย ไม่ว่าจะวิเศษมาจากไหนก็ต้องดูตามพรรษา ยิ่งเป็นเดียรถีนอกศาสนาแล้วยิ่งแล้วใหญ่ แล้วจะถามว่า พวกคุณทั้งหลายเข้าไปรู้วิสัย หรือ สภาวะธรรม ของฤาษีท่านนั้นได้ยังไงว่าขั้นไหนยังไง มีแต่เดากันทั้งนั้น หรือ ได้ยินมาว่ายังงั้นยังงี้ไช่ไหมถ้าเป็นชาวบ้านก็นับถือได้ไม่ผิดแปลก แต่หากเป็นบุตรแห่งตระกูลศากยะแล้ว ควรทำตามพระวินัยของศาสดาผู้เป็นสัพพัญญู อย่าไปทำอะไรที่ศาสดาไม่ได้บอก ไม่ได้บัญญัติ แม้แต่พระโมคลานะและพระสารีบุตร ยังมีพลาด พูดผิด คิดผิด มีหมดพระศาสดายังตำหนิ ไม่ต้องพูดถึงสาวกยุคปัจจุบัน สุดท้ายนี้ขอฝากเราชาวพุทธทั้งหลายว่าอย่าหลงประเด็นในศาสนาพุทธ จงใค่รควรพิจรณาให้ดีนะครับ สาธุ

 

คิดดี พูดดี ทำดี ก็ดีแล้วค่ะ

จงตัดอารมณ์ของ อุปกิเลส ทิ้งไป
อุป แปลว่า เข้าไปถึง เข้าไปใกล้มัน
กิเลส แปลว่า ความเศร้าหมอง

อารมณ์ที่เข้าไปยึดถือความเศร้าหมอง นี่อย่าให้มันมีในใจ แต่ว่าการที่จะขับมันไปทีเดียวให้หมดน่ะมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องค่อย ๆ ขับค่อย ๆ ฝึก ทำด้วยอาการไม่เคร่งเครียด เพราะจิตเราไปคบกับอารมณ์ของอุปกิเลสมันมานาน นี่พระพุทธเจ้าทรงเรียงไว้มีถึง ๑๖ อย่าง ถ้าจะพูดกันวันนี้มันก็ไม่จบ ก็ขอสรุปสั้น ๆ ตามอามรณ์ของอุปกิเลส ก็คือ

เอาจิตเข้าไปยุ่งกับจริยาของบุคคลอื่น คือว่าเราไปสนใจคนอื่น คนนั้นไม่ดีแบบนี้ คนนี้ไม่ดีแบบโน้น คนโน้นก็พูดไม่ดี คนนี้ก็ทำไม่ดี ว่ากันจิปาถะไปหมด แต่เราก็เลยลืมดูตัวเราว่า.. {เราดีหรือไม่ดี}

คัดจาก..ธรรมะของพระผู้หมดกิเลสแล้วทั้งปวง :z12

 

กล่าวได้ดีมากๆเลยครับ ท่านคือผู้รู้จริงๆ

 

ขอวันทาให้กับ comment นี้อย่างยิ่ง!!

 

ขอวันทาในการพิจารณาของท่าน .........

 

สาธุ ....

 

.. อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกันด้วยซ้ำว่าท่านจะใช่ของจริงหรือว่าไม่จริง!! ผิด ถูก ไม่สำคัญและไม่สามารถมีอะไรมาวัดได้เลย .. หากต้องการคำตอบนักก็ต้องไปถามพระพุทธเจ้า .. ในเมื่อเราก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาพระพุทธเจ้าท่านได้ที่ไหนก็ต้องไปถามพระพุทธรูป ถ้าพระพุทธรูปนั่งเฉย ๆ ไม่ยอมตอบนั่นก็ต้องตัวใครตัวมัน!! เพราะการกล่าวหาว่าท่านผู้ปฏิบัตินั้นโทษภัยมหันต์จริง ๆ ดิ่งลงอเวจีไม่มีใครขัดคอ!! พระที่บวชเข้าไปในบวรพุทธศาสนาแล้วห่มผ้าเหลืองนั้นหากไม่มีการเจริญ "สติ" อยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อขัดเกลากิเลสก็เท่ากับว่าความดียังเสมอหรือเทียบเท่าชาวบ้านธรรมดา .. จะรับวันทาข้าวของชาวบ้านที่เค้าบูชาพระรัตนไตรกินข้าวที่เขาบูชาพระรัตนไตรนั้นเค้าเรียกกันว่า "เปรต" นั่นก็ยิ่งดิ่งลงอเวจีไปแบบไม่มีใครขัดคอเลยเหมือนกัน!! ดังนั้นไม่ว่าจะฤาษี ชีไพร พระสงฆ์ หรืออะไรหากปฏิบัติดีแล้วท่านย่อมรู้แก่ตน .. ไม่เกี่ยวกับชาวบ้านธรรมดา!! เพราะเราชาวบ้านธรรมดากำลังแห่งจิตยังไม่หนักแน่นหนาเท่ากับท่านแล้วยังมีน่าไปปรามาสผู้ปฏิบัติดี ..............