อวตาร แห่ง นิพพาน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย โซ, 24 พฤศจิกายน 2012.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ออกตัวก่อนน่ะครับแค่มาแชร์ความคิด ความรู้ที่มาจากส่วนลึกของคนๆนึงที่พึงจะรู้ผิดรู้ถูกของคนๆเดียวที่ไม่ได้แตกฉานในธรรมเลย ไม่ได้มาบิดเบือนคำสั่งสอนน่ะครับ เพราะผมรู้ว่านี่คือ
    อจิณตรัย เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด แต่ผมได้ตรึกตรองมานานแล้ว(เพราะมันหยุดสมองไม่ได้ มันเป็นที่เรียกว่าสันดานไปแล้วครับ)ว่า สิ่งนี้ยังต้องมี แม้นิพพานคือสิ่งสูงสุด ถาวร ยั่งยืน เป็นสภาวะจิตที่รู้หลุดพ้นแจ่มแจ้งแล้วด้วยมหาปัญญาที่แน่วแน่มั่นคง ถาวร หลุดพ้น ตัด ละ ดับขันธ์ ได้แล้วเป็นเหตุแห่งนิพพาน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าซึ่งมาแห่ง อวตาร ได้อีก (อยู่ที่ว่าจะลงมามั้ย) เพราะสภาวะรู้หลุดพ้นแจ่มแจ้งนั้นรู้ไม่ยึดติด ไม่มีมาแห่งการเกิด สร้างภพชาติได้อีก แต่เป็นสภาวะปัญญาที่แจ่มแจ้งตลอด มั่นคงถาวร เปรียบเสมือนคนที่มี กำบัง ปกป้องอันตราย อยู่ว่า พักพิงอาศัยในบ้าน ปลอดภัยกว่าอยู่นอกบ้าน ฉันได ผู้นั้นจะไม่ออกมาจากบ้านเลย(แม้ข้อนี้เปรียบไม่ได้ หรือ ไม่นำมาเปรียบเลย กับนิพพาน แต่ยกตัวอย่างมาเพื่ออ้างอิงเท่านั้นเอง) แต่อาจจะเลือกลงมาเพื่อยังประโยชน์แก้สรรพสัตว์ทั้งหลายก็เป็นได้ แต่ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะยังมีพระโพธิสัตว์อีกไม่รู้กี่หมื่น แสน ล้าน องค์ ไม่จำเป็นต่อสิ่งนี้ แต่แค่นำมาคิดได้อีกว่า สภาวะนี้ยังคงอยู่ เป็นสภาวะแห่งที่สุดแล้ว มีคำกล่าวที่ว่า
    '' ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ''

    แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่ง นิพพานตามความเป็นนิพพาน.ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจ้งแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพานไม่ทำ ความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า “นิพพาน เป็นของเรา”, ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า ? เรากล่าวว่า เพราะเหตุว่า นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ตถาคตกำหนดรู้ทั่วถึงแล้ว เพราะรู้ว่าความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์และเพราะมีภพจึง มีชาติ, เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้วต้องมีแก่และตาย. เพราะเหตุนั้นตถาคตจึงตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะตัณหาทั้งหลายสิ้นไป ปราศไป ดับไป สละไป ไถ่ถอนไป โดยประการทั้งปวงดังนี้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2012
  2. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    บุคคลเมื่อถึงฝั่ง ย่อมจะทิ้งเรือและอุปกรณืไว้บนฝั่ง คงไม่แบกเรือไปด้วย เมื่อดับไปแล้ว หมดไปแล้วแห่งเหตุของการเกิด จะมาเกิดใหม่ได้อย่างไร การเห็นธรรมนั้นใครเป็นผู้บอกธรรมเล่า ก็ศาสดาไง แล้วจะไม่เห็นท่านได้อย่างไร เพราะท่านยังคงอยู่ในธรรมนั่นเอง อย่าคิดมากในสิ่งที่ไม่ทำให้หลุดพ้น ใบไม้ในป่าใหญ่กับในไม้ในมือ ถึงจะมีปริมาณไม่เท่ากัน แต่มันก็คือใบไม้ เมื่อรู้ใบไม้ในมือชัดเจนแล้ว แจ่มแจ้งแล้ว ก็เท่ากับได้รู้ใบไม้ในป่าใหญ่ไปด้วยในตัวของมันเอง สวัสดี
     
  3. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    เท่าที่ผมพอเข้าใจ ประมาณว่าพระพุทธเจ้ายึดติดว่าจะไปนิพพานใช่ไหมครับ

    จริงๆแล้วการยึดว่า "นิพพาน เป็นของเรา"
    : ผู้นั้นคิดผิดแล้ว เพราะนิพพานไม่ใช่ของๆใคร นิพพานเป็นที่สุดแห่งทุกข์ของผู้รักษาศีล ผู้ใดรักษาศีลบริบูรณ์ผู้นั้นย่อมถึงนิพพานอย่างแน่นอน

    "ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน"
    : ตรงนี้เป็นความรู้สึกต่อการปฏิบัติเพื่อไปถึงนิพพาน เหมือนว่าปรารถนานิพพาน แต่ไม่รักษาศีล จะทำอะไรก็เป็นพิธีไปเสียหมด
    ถ้าผู้ใดรักษาศีลแล้วเข้าสู่สภาวะนิพพาน ยังจะมีการเพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพานอีกเหรอ เพราะว่า การตัดกิเลสหมดแล้ว จึงไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง

    อยากให้ท่านลองพิจารณาคำว่านิพพานให้ดีเสียก่อน เพราะอ่านแล้วท่านยังไม่เข้าใจนิพพานอย่างชัดเจน
     
  4. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอน้อมรับด้วยใจจริงครับ เป็นการแสดงความคิดเห็น เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้
    รู้สึก นึก คิด เพื่อยังประโยชน์ต่อท่านอื่นบ้างก็แค่นั้นครับ ถึงผมไม่เข้าใจใน สภาวะ เป็นจริงที่เป็นหรือมีอยู่นั้น ธรรมอันสูงสุดมี นิพพาน อยู่เบื้องหน้านั้น เพราะสภาวะนี้ ผู้ที่รู้คือผู้ที่ทำธรรมไห้แจ่มแจ้งเท่านั้นถึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ผมก็เชื่อว่า นิพพานนั้นเป็นธรรมอันสูงสุดหาที่เปรียบมิได้ เปรียบเสมือนหรือคิดได้ว่า รู้อยู่ว่าคนมีเงิน 1,000 หรือ 10,000ล้านนั้นคงมีความสุขแน่ เป็นอยู่ มีอยู่ แน่ แต่เราไม่ได้เข้าไปรู้อย่างผู้นั้นเป็นอยู่ แต่เราก็จะเรียนรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างนั้นบ้าง ก็พยายามหา มาเพื่อสิ่งนั้น แม้การกระทำที่หามานั้น มันแตกต่างกันบ้าง แต่ระยะเวลา จะสั่งสม ได้สอนไห้เราได้เรียนรู้ว่าอันไหนแท้ อันไหนเทียม จริง หรือ หรอก แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่จะได้นำมาซึ่ง 1000 10000ล้า่น การนำมาซึ่งสิ่งที่หวังนั้นมีผิดบ้าง ถูกบ้าง เราก็นำมาแก้ไข เพื่อไห้ได้มาซึ่งสิ่งที่หวังที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสอง เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด ในบางครั้งการที่เราจะนำมาซึ่ง 1000 10000ล้านนั้น ไม่จำเป็นต้องหาคนเดียว มีคนเดียว เราอาจจะไปบอกหรือชักชวนคนอื่นไห้มี ไห้ได้ เหมือนเรา
    สิ่งต่อไปนี้ที่ผมจะย้ำในความคิดของผมคือ(อาจจะไม่ถูกใจใครบางท่านก็ว่าได้) คือ
    อยากไห้มองตามความเป็นจริงๆ แบบกลางๆดูว่ายุคสมัยนี้จะมีแต่ผู้รู้ธรรม ปฏิบัติเข้าถึงธรรมสูงสุดนั้นมีน้อย เวลาเราจะบอกกล่าวไห้ผู้อื่นไห้รู้ธรรมนั้น ส่วนตัวผมจะไม่กล่าวเรื่องนิพพานก่อน ผมจะกล่าวว่า สิ่งที่มีมา ที่ได้ยิน ได้ฟังนั้น มาแต่อดีตกาลถ้าไม่มี ไม่ดี มันคงไม่มีมาถึงปัจจุบันแน่ พระอริยทั้งหลายท่านได้ปฏิบัติดีแล้วมีมาแต่ก่อน ท่านยังฟันธงลงไปเลยว่ามีอยู่จริงตามนั้น เปรียบเสมือนเราจะบอกกล่าวผู้คนที่หาเช้ากินค่ำ ท่านทั้งหลายเลือกจะกล่าวแบบไหนไห้ท่านเหล่านั้นได้รู้ เพื่อเป็นการเริ่มต้นของความศรัทธา สิ่งแรกที่ท่านจะเลือกกล่าวคือ
    1. นิพพาน
    2. ปัญญา
    3. ศีล สมาธิ
    4. ทางเดินแห่งพุทธภูมิ
    ทางเดินและความคิดคนเราไม่เหมือนกันที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายและมุ่งหวังแต่สุดท้ายแล้วสิ่งนั้นมีอยู่หนึ่งเดียวไม่เป็นอื่นที่แน่นอนมั่นคง ถาวรสำหรับผู้ที่อบรมเจริญจิตจนมีบารมีเกิดปัญญาแจ่มแจ้งแล้วเท่านั้นถึงจะรับรู้ได้ ปัจจุบันจิตของคนเราเพียงแค่ได้ยิน รับรู้อยู่เท่านั้นว่าสิ่งนั้นมีอยู่แน่นอน แต่ยังเข้าไปไม่ถึงสิ่งนั้น ก็เพียงเท่านั้นเอง
     
  5. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    ขอแชร์ด้วยอีกคนนะครับ ทราบว่าเป็นเรื่องไม่ควรคิดครับ แต่แค่เคยได้ยินเคยทราบมาเท่านั้น จริงๆก็ไม่ได้คิดมากอะไร แต่เห็น จขกท.เปิดมาก็เลยตามน้ำซักหน่อย เพราะฉะนั้น พวกที่ชอบพูดทำนองว่า อย่าไปคิด อย่าสนใจ สนใจในมรรค8จะดีกว่า นี่ไม่ใช่ทางหลุดพ้น เสียเวลา อะไรทำนองนี้ ก็ไม่ต้องบอกนะครับ ได้ยินมากแล้ว เย๊อะแล้ว
    นิพพานคือสภาวะที่ ไม่มีความกว้าง ไม่มีความยาว ไม่มีความสูง ไม่มีความลึก ไม่ปรากฎการเกิด ไม่ปรากฎการเสื่อม และไม่ปรากฎการเสื่อมลงเรื่อยๆ ฉะนั้นการดับจึงไม่มีด้วย หมายความว่า ไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา และถ้าจำไม่ผิดพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เป็นสภาวะที่ มหาภูตทั้ง4คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หยั่งลงไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน
    แล้วปรากฎเป็นสถานที่มีแต่แก้ว วิจิตรสวยงาม มาจากไหน (แค่ถามเปรยๆเฉยๆ ไม่ได้ตั้งประเด็นนะ หรือใครอยากจะพิจารณาก็ตามแต่ ) วงเล็บไว้กันพวกภูมิธรรมสูงๆ จะเข้าใจผมผิดอ่ะนะ
     
  6. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    อวตาร แห่ง นิพพาน

    นิพพานยังมีการแบ่งภาคอวตาร ยังมีการเกิดอีกเหรอ

    นิพพาน คือ สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่จิตมีความสงบสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ ไร้สุข เป็นอิสรภาพสมบูรณ์
     
  7. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    โทษนะครับที่ทำไห้ทุกท่านสับสนครับจริงๆแล้ว นิพพาน คือสิ่งเที่ยงแท้แล้ว ตามนั้นครับไม่มีการมาเกิดอีกข้อนี้ผมรู้ครับ แต่ผมเป็นคนที่ชอบคิด จินตนาการ ไตร่ตรอง ตรึกตรอง สูงครับ ง่ายๆชอบฟุ้งซ่านนั่นแหละครับน่ะครับ คือผมยังประโยชน์ไม่ขอนิพพานชาตินี้ครับขอสั่งสมประสบการณ์ในธรรมบุญบารมีไปเรื่อยๆครับ แค่มาแชร์ความรู้ที่ได้ยินมาฟังมาเป็นเรื่องไห้กับพวกเดียวกับผมที่ชอบฟุ้งซ่านเกินขอบเขตครับ ไม่ได้มีเจตนามาบิดเบือนคำสั่งสอนครับ ในอนาคตกาลอีกนานนับชาติไม่ได้มั้งผมเมื่อบุญบารมีผมได้ครบเต็มบริบูรณ์แล้วสุดท้ายผมก็คงต้องนำมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่นแน่ แค่ผมเอาคำที่องค์หลวงตามหาบัวกล่าวเทศน์ไว้เรื่องหลวงปู่มั่นท่านสำเร็จอรหันต์แห่งนิพพานแล้ว ท่านได้ไปพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าของพวกเราชาวพุทธ แล้วท่านก็นำมาเล่าไห้บรรดาลูกศิษย์ฟัง หนึ่งในนั้นก็องค์หลวงตานี่แหละครับ และก็มีอีกหลายคนหลายอาจารย์ที่ผมได้ไปฟังคลิปธรรมของท่าน ผมเลยเอามาจับแพะชนแกะเป็นนิทานหรือเรื่องเพ้อเจ้อ ที่คิดว่าของ คำว่า นิพพานนี้ยังมีสภาวะอยู่ แต่เป็นสภาวะที่หมดแห่งรูปนาม และขันต์แล้ว ภพภูมิแล้ว ผมก็เลยแบบว่าอจิณไตรไปเล่นๆว่า ถ้ายังประโยชน์ได้อีก น่าจะอวตาล หรือ จุติ ลงมาอีกได้ จริงๆแล้วสองคำนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบใช้กับคำว่านิพพานได้ อย่าซีเรียสครับมันไม่ใช่เรื่องจริงครับผมแค่มาแชร์ความฟุ้งซ่านของผมก็เท่านั้นเองครับ เพราะยังงัยคำว่านิพพานก็ต้องเป็นหนึ่งตามจริงอย่างนั้น ผมไม่เอาไปสอนใครหรอกครับ เพราะมันก็แค่เรื่องฟุ้งซ่านที่จิตผมชอบหาเรื่องของแดนเกิดไม่มีที่สิ้นสุดก็เท่านั้นครับ ธรรมที่พุทธองค์สอนตามจริงตามนั้นผมไำม่มีความสัมมาทิฐิเป็นอย่างอื่นครับ เอามาแชร์เพื่อความบันเทิงไห้กับคนที่คิดจะเวียนว่ายไปในอสงไขย กัปล์ ในอนันตกาลครับ
     
  8. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ผมว่าคุณน่ะควรไปเปลี่ยนศาสนาได้แล้ว เพราะที่คุณบอกว่าได้ยินมาเยอะแล้วนั้น ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลแล้ว พระองค์ก็จะทรงตอบอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะคนเราในปัจจุบันเหมือนน้ำชาที่ล้นถ้วยแล้ว ความรู้ของตนมีมากแล้ว รู้แล้ว แต่การรู้ของคุณไม่สามารถทำให้คุณปล่อยวางได้เลย ถึงเรื่องที่เขาบอกไว้ว่านิพานมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เข้าใจได้ สัมผัสได้ รู้ได้แค่นั้นเอง ถ้าคุณไปได้ถึงจริง ๆ คุณก็จะรู้เองว่ามันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะพูดไปคนที่ไม่รู้ ไม่ถึง ก็ไม่เข้าใจ เหมือนปลาที่อยู่แต่ในน้ำ ไม่สามารถเข้าใจแผ่นดินได้เลย แล้วคนเราศึกษาธรรมะมีความว่างเป็นจุดหมาย เมื่อได้ความว่าง นิพพานก็จะได้เอง เพราะนิพพานนั้นอยู่ในความว่าง ความว่างก็คือนิพพาน แล้วอย่าเอาไปเปรียบกับบ้านที่ไม่มีข้าวของอยู่นะครับ ถึงไม่มีข้าวของแต่มันก็ยังมีบ้านอยู่ ยังไม่ถึอว่าเป็นความว่าง และผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่าความว่างที่ผมพูดถึงนี่หมายถึงอะไร เพราะคุณก็คงฟังมาเยอะแล้ว สวัสดี
     
  9. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เรียนคุณ AYACOOSHA
    สงสัยคุณต้องกลับไปอ่านข้อความผมด้วยใจเป็นกลางก่อนที่จะให้ผมเปลี่ยนศาสนาแล้วล่ะครับ เพราะคำแนะนำของคุณถือว่าน่ารังเกียจและเป็นอกุศลจิตมากนะครับ ที่จะยังให้ผู้ที่ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต้องเลิกล้มไป แต่กลับแนะนำให้เปลี่ยนศาสนา เพราะถ้าเป็นสมัยพุทธกาลแล้ว กระผมคาดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงตำหนิคุณว่าเป็นโมฆบุรุษนะครับ
    ต้องช่วยเข้าใจก่อนนิดนึงนะครับว่า ผมไม่ได้กล่าวในสมัยพุทธกาลครับ และผมไม่ได้กล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า เพียงกล่าวกับเพื่อนชาวเว็บนี้เท่านั้น อย่ายกพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเปิดBackในเรื่องนี้ มันมิสมควรอย่างมาก อีกประการสภาวะนิพพานที่ผมกล่าวถึงไปนั้น กระผมไม่ได้คิดเอาเอง ตรึกเอง หรือฟังคำมาจากสายอาจารย์นู้น สายอาจารย์นี้ ผมรับทราบมาจากคำของตถาคตนะครับ ผมเป็นเพียงผู้ฟัง แล้วก็มากล่าวต่อ เท่านั้น
    ก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่า ทำไมต้องให้ผมเปลี่ยนศาสนา เกี่ยวอะไรกันครับ
    ผมกล่าวว่า "ไม่ต้องบอกแล้ว กับคำว่า นี่ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ควรสนใจใบไม้ในกำมือดีกว่า" เพราะผมทราบดีแล้วแล้วส่วนนั้น
    ผมไม่ได้กล่าวว่า "ไม่ต้องบอกอะไรผมแล้ว ในพระธรรมหรือความรู้ทุกอย่าง" นะครับ
    กลับไปอ่านใหม่นะครับ ด้วยใจเป็นกลางนิดนึงนะครับ
     
  10. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เรียนคุณโซ
    กระผมเข้าใจความรู้สึกดีครับ แหะๆ คือมันก็ห้ามยากที่จะไม่ให้คิด เพราะผมก็คล้ายๆกับคุณ คือชอบคิดหาคำตอบเหตุผล ก็เป็นปกติของบุคคลอย่างพวกเราๆกันอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะต้องหาคำตอบอย่างจริงจัง ก็แค่เปรยๆว่าเคยมีคำถามอย่างเรื่องพวกนี้อยู่ในหัวเท่านั้น สุดท้าย ก็ต้องเจริญใบไม้ในกำมือด้วยตัวเอง ให้รู้แจ้งเห็นจริงเอง อย่างนี้
     
  11. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    จากรูปของเจ้าของกระทู้เป็นภาพของสวรรค์นะครับ มีพระอินทร์ พระพรหม

    ไม่ใช่ภาพของนิพพาน นะครับ เพราะ นิพพานไม่มีรูป
     
  12. DanaiT

    DanaiT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +42
    ก็จริง อย่างที่จขกท ว่านะครับ ก็ ในเมื่อยังมีกิเลสกันอยู่ ก็ยังอดที่จะคิดนึก ตรึกเอาตามคำที่ไ้ด้ยินมา ว่า มันอาจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามความคิด จนกว่า จะเข้าถึง กระแสแห่งนิพพานอย่างที่ ครูบา อาจารย์หลายๆ ท่าน ได้กล่าวเอาไว้ เมื่อนั้นก็จะกระจ่างแจ้งใน คำว่านิพพาน โดยอัตโนมัตินะผมว่า ก็ พระพุทธองค์ ยังมี พระสูตร ให้ ทุกคนต้องพิสูจน์ความจริงเลยไม่ใช่ หรือครับ ว่าอย่า เชื่อ เพราะผู้นั้นเป็นครู อย่าเชื่อเพราะบอกต่อกันมา อะไรต่างๆ 10ข้อ นั้นอ่ะครับ เพราะงั้นผมว่า ก็ไม่เห็นผิด อะไรที่ เจ้าของกระทู้ จะคิดไปได้ว่า ถ้าพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านมี เมตตา หาที่สุดไม่ได้ ไฉน เลยท่านถึงไม่ลงมาเกิดอีก เพื่อยังประโยชน์ให้กับ สรรพสัตว์ทั้งหลายอีก เล่า อย่างนั้นหรือเปล่า ครับ ท่านเจ้าของกระทู้
     
  13. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    แก้ไขครับ เป็นภาพตอนในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา โดยพระอินทร์ พระพรหม ทูลอารธนาสันดุสิตเทพบุตรให้จุติเป็นพระพุทธเจ้า
     
  14. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ ตามนั้นครับ ตราบใดที่เรายังไม่มี เวลา โอกาส บารมี เราก็ยังที่จะอดคิดไม่ได้ครับเมื่อมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้วเมื่อนั้นคงจะ เห็น เป็น ไป สิ่งเดียวกันครับ
    อย่าไปว่ากันเลยครับ ผู้ที่ฝึกฝน อบรมจิตอยู่เนืองๆย่อมรู้และเปิดใจรับสิ่งที่ผิดที่ถูก และยอมรับคำตักเตือนจากขึ้นชื่อได้ว่าบัณฑิตผู้รู้้ได้เสมอครับ เพราะเราก็มีความคิด ความรู้ ที่จะสามารถแยกแยะสิ่งที่ผิดถูกได้ครับ เรารับเอาธรรม ที่เรายังไม่รู้ ยังประโยชน์ต่อตัวเราได้ ที่นี้ไม่ได้ติเตียนใครน่ะครับ คือไห้มีใจเป็นกลางในด้านของความคิดที่หลากหลายอย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าในสิ่งที่เราคิดนั้นยังมีคนที่เห็นผิดเห็นถูกแบบเราอยู่ ไม่งั้นศาสนาของเราชาวพุทธไม่มีหลายลัทธิหรอกครับ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลนั้นเมื่อมีแค่ความรู้ที่แตกฉาน แต่ยังไม่บรรลุถึงแก่นแท้ของศาสนา ก็นำเอาความรู้สึกนึกคิดของตนนั้นไปตั้งเป็นลัทธิที่เราเห็นกันอยู่นี่แหละครับ แต่สุดท้ายแล้วพวกท่านเหล่านั้นได้สั่งสมบุญบารมีเติมเต็มที่แล้ว ด้วยบุญบารมีที่ท่านเหล่านั้นได้ถึงพร้อมแล้วสุดท้ายก็ต้องพบกับความเป็นพระอรหันต์ซึ่งมีนิพพานเป็นที่ตั้งเหมือนกันหมดนั่นแหละครับ
    ผมย้ำน่ะครับว่า ที่ผมตั้งกระทู้มานี้ผมแค่อยากจะมาแชร์ความคิดนึกของผมเท่านั้นอยากไห้ผู้ที่คิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้ แบบนั้น มาแชร์ความรู้ที่ตนมีอยู่น่ะครับ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ผมคิดนี้มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นน่ะครับผมมีจินตนาการของผมอีกเยอะที่อจิณไตรไปได้หลายเรื่อง ผมว่านี่แหละครับมันเป็นคำถาม ที่ต้องหาคำตอบ เก็บไำว้เป็นประสบการณ์ในอสงไขย กัปล์ ในวันข้างหน้า ผมไม่ได้คิดแค่เรื่องที่เป็นอจิณไตรอย่างเดียวน่ะครับ ทุกวันนี้ผมดำรงชีพ ทำงานอยู่ก็หมั่นพิจรณาในธรรมของความไม่เที่ยงของสังขาร สิ่งสวยงามต่างๆ อดทน ต่อปัญหาที่ตัวเองถึงแม้เราไม่ได้เป็นพระหรือนักบวช เราก็หมั่นอบรมจิตของเราได้ครับ นั่นแหละครับผมมองว่ามันเป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตที่พยายามครองธรรมไปในตัวเอง หมั่นพิจรณาสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดพลั้งไปนำมาแก้ไข ใครจะว่ายังงัยผมไม่สนใจครับ เพราะธรรมที่ผมมีอยู่ถึงไม่ได้ยิ่งยวด แต่ผมก็พยายามเติมเต็มไปทีละนิดละน้อย เมื่อเวลาและโอกาสที่ผมมีมาผมต้องไปบวชแน่ครับ เพราะตอนนี้ผมก็ยังหาเช้ากินค่ำอยู่ ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ ทั้งที่ผมอยากบวชมาก แต่ยังมีภาระที่ต้องทำไห้สำเร็จก่อน
     
  15. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ ภาพเป็นส่วนประกอบครับ ที่ผมเอามาลงเพราะภาพมันสวยก็เท่านั้นครับไม่ได้นำมาเปรียบเทียบ มันดูสบายตาดีครับ ผมหาภาพใหม่ได้ที่ไกล้เคียงกับกระทู้ เดี่ยวค่อยเปลียนครับ
     
  16. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ตามนั้นครับ ถ้าไห้ผมหยุดคิดคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะบารมีผมยังไม่มี ผมคิดว่านี่เป็นแค่การเริ่มต้นของการสร้างบุญ และบารมีสำหรับตัวผมเองครับ คงอีกหลายภพชาติครับที่ผมจะถึงนิพพาน
    คิดซะว่านี่คือกระทู้ของ บรรเทิงธรรม ครับ ใครอยากเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่ก็ตามผมมาเลยครับตามกระทู้ตามผมมาเลย เพราะผมตอนนี้คือปถุชนคนธรรมดาที่มีกิเลสอยู่ แต่เมื่อใดผมพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ เมื่อไหร่ สำเร็จดั่งความตั้งใจในโลกของปถุชนแล้ว ผมจะขอบวชครองผ้าเหลืองอย่างแน่นอน นั่นคือ สิ่งสูงสุดที่ผมหวังไว้ คนทั่วๆไปมีความฝันเมื่อตอนเป็นเด็กว่า โตขึ้นอยากเป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นทหาร โตขึ้นมาหน่อยมีการมีงานทำก็อยากมีลูก
    มีเมีย มีสามี มีบ้าน มีรถ มีทรัพย์สินเก็บไว้มากๆ ส่วนตัวผมคืออยากบวชตลอดชีวิต ผมคิดว่า นั่นคือ ทาง หรืองานที่ผมต้องกระทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่บุญผมว่าจะได้เป็นดั่งที่ตั้งใจหรือเปล่า เพราะตอนเป็นเด็กประมาณอยู่ประถม4มั้งมีชาวต่างชาติที่เป็นนักบวชคริสต์(อยู่ชนบท)ได้เข้ามาที่โรงเรียน และห้องที่ผมอยู่ ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนา เข้ามาสอนสุดท้ายเขาไห้พูดตามเขาผมยังจำได้ว่า "ข้าพเจ้าขอน้อมพระ....เข้ามาในใจของข้าพเจ้า" ในจุดคือชื่อพระเจ้าของเขาน่ะครับผมไม่ต้องบอกก็รู้น่ะครับ ในจุดนั้นผมเลยกล่าวเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปแทน นั่นแหละครับเมื่อผมตอนเป็นเด็ก และมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดกับผมอีก3เรื่องเมื่อตอนเป็นเด็กเป็นเรื่องเล็กๆอยากฟังเดี่ยวผมมาเล่าไห้ฟัง เพราะตอนเป็นเด็กแม่ไห้ผมฝึกนั่งสมาธิด้วย
    แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ทุกสิ่งต้องมีที่มา ที่เกิด ของมัน เพียงแต่ที่ตั้งหรือสภาวะนั้นเป็นแบบไหน เมื่อมีมันขึ้นมาแล้วจะจบไปแบบง่ายๆนั้นมันเห็นแก่ตัวเกินไป มันต้องมีแดนเกิดของๆมัน สักวันนึงผมต้องได้รู้หรือเข้าถึงสิ่งนี้แน่ (เพราะคำว่า อรหันต์ หรือ นิพพานนี้ ผมได้ยินมานานและเข้าไปศึกษามาแล้ว รู้แล้วแต่ยังเข้าหรือไปไม่ถึง ) สักวันในอนาคตกาลผมต้องได้เข้าไปรู้ไปเห็นอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2012
  17. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...