จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    จิตยก(ของข้าพเจ้า) วันที่ ๑

    เมื่อจิตของข้าพเจ้ายก เมื่อวันที่ 30 ต.ค.55 เวลาประมาณ หกโมงครึ่ง เดิมก่อนยกจิตก็ทรงฌาน 3 – 4 หลังจากจิตยกแล้ว ก็ยังทรงฌานอยู่เหมือนเดิม แต่มีความโปร่งโล่งเบามากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จิตระลึกถึงพระเมื่อไหร่ฌานจะพุ่งสูงขึ้นทันที เหมือนเส้นโค้งพาราโบล่า พอสูงแล้วจะค่อยๆผ่อนลง แล้วจะค่อยๆขึ้นมาอีก ขึ้นๆลงๆอยู่แถวประมาณ 2-3 แต่ถ้าหากไประลึกพระ ฌานจะพุ่งสูงขึ้นทันทีเหมือนเหยียบคันเร่ง เมื่อคืนเข้านอน ห้าทุ่มกว่าๆ วันรุ่งขึ้นจะไปงานบุญกฐิน และบังสกลุผ้าป่า ของวัดดอยธรรมเจดีย์(หลวงปู่แบน ธนากโร สกลนคร)

    ก่อนนอนก็ระลึกถึงพระแล้วหลับไป ตื่นขึ้นมาตีสามกว่าๆ อย่างสดชื่นเต็มอิ่ม เป็นมาอย่างนี้ห้าหกวันมาแล้ว ตั้งแต่จิตเข้าฌานบ่อยๆ (บางครั้งก็ตื่นมาตีหนึ่งกว่าอย่างสดชื่น ช่วงหลังเลยปรับเวลานอนให้ดึกขึ้นอีกนิด เพราะไม่อยากไปตื่นตอนตีหนึ่ง-ตีสอง) ขับรถจากนครพนมไปสกลนคร(วัดดอยธรรมเจดีย์)ระยะทางประมาณร่วมร้อยกิโลเมตร จิตทรงฌานอยู่ตลอดน่าจะอยู่ระหว่างฌานสอง ถึงฌานสาม ขับรถไปจิตก็ทรงฌานไป บางครั้งก็หูอื้อหูชา แต่ก็มีสติขับรถไปได้โดยตลอด ฌานถอยขึ้นถอยลงของเขาเองเป็นระยะๆ ประสาทสัมผัสตอบสนองในการขับรถก็ไม่ได้ช้าแต่อย่างใด ..สุขสบายในฌานเป็นอย่างนี้นี่เอง ..คนเราถึงได้ติดกันมาก และจิตรับรู้ได้ไวกว่าเมื่อก่อนๆ เมื่อเข้าใกล้พระหรือมองเห็นพระพุทธรูปจิตจะหวือหวารับรู้เร็วมาก ฌานก็ปรับสูงขึ้นจนหูแทบอื้อในบางครั้ง

    เมื่อถึงช่วงถวายผ้ากฐินแลบังสุกุลผ้าป่าร่วมกัน จะเรียกว่าอาการอย่างไรก็ไม่ทราบ จิตไปสัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งบุญจิตที่โปร่งโล่งเบาแผ่ซ่านไปทั่วกายหวือหวาไปทั่วกาย บรรยายเป็นภาษาไม่ถูก เข้ามาเป็นระยๆ ..

    ในระหว่างวันของวันนี้ มีกิเลสมากระทบอายตนะต่างๆ จะรับรู้ได้ไวกว่าเมื่อก่อนมาก เช่นเมื่อเข้ามาดูข้อมูลในเวป เพียงแค่เห็นชื่อคนนั้นคนนี้ จิตก็มีมานะขึ้นมาทันที(เทียบเขาเทียบเรา) สติตามรู้ได้ทัน ก็ดับไปทันที เกิดดับๆอยู่เรื่อยๆ..ในตัวเรานี้กิเลสมันแฝงมันซ่อนเร้นอยู่มาก หากไม่ทรงฌาน(ลักขณูปนิชฌาน)จะไม่ค่อยเห็นเลย ..วันนี้เห็นได้มากพอควร กิเลสใดๆที่มากระทบไม่ว่า โลภ โกรธ หลง จะเห็นได้มาก(แต่โกรธจะมีน้อย เพราะจิตอยู่ในฌานอารมณ์จะแจ่มใส มีขัดใจกับคำพูดคนรอบข้างเป็นบ้างครั้ง แต่รู้ทันและดับไปอย่างรวดเร็ว สติจะทำหน้าที่ของเขาอย่างอัตโนมัติ เห็นแล้วดับๆ เห็นไตรลักษณ์ของความไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปอยู่บ่อยๆ

    จนถึงขณะนี้ก็ยังทรงฌานอยู่ นั่งพิมพ์ไปจิตก็เกาะพระทรงฌานไปตลอด อาการหูอื้อหูชาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เหมือนเป็นตัวชี้วัดสภาวะระดับของฌานไปในตัว และในระหว่างทรงฌานนี้ ลมหายใจจะแผ่วเบา..หัวใจก็เต้นช้าลง

    (คิดอยู่นาน ว่าจะเขียนดีหรือไม่ แต่พิจารณาดูแล้วน่าจะประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยก็ให้ครูแต่ละท่านช่วยดู เพราะอาจจะมีบางส่วนหรือตอนใดที่เข้าใจผิดไปจะได้ช่วยกันแก้ไข หรือเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ต่อไป และเป็นการแชร์ประสบการณ์ เพื่อสร้างแรงจูงให้ผู้มาใหม่เข้ามาปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2012
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    มีประสบการณือะไร เขียนมาเล่าสู่กันอ่านอีกนะคะ อ่านเรื่องจิตติดธรรมมะเนี่ยะ อ่านไม่รู้อิ่มเจงๆ
     
  3. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ขอบคุณครับ...เมื่อจิตยกนี้ กิเลสมันลดไปเยอะจริงๆครับ โดยเฉพาะอัตตานี้หายไปเยอะเลย สำคัญคือได้ฌานร่วมไปด้วย
    นอกจากจะสุขกายสบายใจแล้ว ยังช่วยส่องกิเลสให้อีกด้วย..และยังมีอีกเยอะที่บรรยายไม่ถูกและบอกไม่ได้ เป็นปัจจัตตังจริงๆครับ
    แต่จิตบุญทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดี..สำหรับบ้านผมอยู่ห่างจากฝั่งโขงประมาณสามกิโลฯ ก็ได้แผ่เมตตาให้ภพภูมิต่างๆ
    วันละหลายครั้ง ครับ ผมผูกพันกับที่บริเวณนี้อย่างมาก ชอบแม่น้ำโขง และพระธาตุพนมจะผูกพันมากเป็นพิเศษ ผมไม่ใช่คนถิ่นนี้
    มาไกลจากแดนใต้ แต่บุรพกรรมได้ชักนำให้เข้ามาอยุ่ในดินแดนบริเวณแห่งนี้ อาจจะด้วยเคยผูกพันมานานแสนนานมาแล้ว..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ตุลาคม 2012
  4. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,071
    ค่าพลัง:
    +13,917

    ขอสำรอง ๑ ที่ ครับครูวิทย์ :z3:z3:z3




    อ่านแล้วคันเลย โดนเต็มๆ เกือบเผลอยกขาหลังมาเกาหูเลยครับ (ping)(ping)(ping)

    เดี๋ยวหาการบ้านส่งก่อนนะคร๊าบบบบบบบบบ (deejai)(deejai)(deejai)
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คุณอภิชัยส่งรายงานการทรงอารมณ์หลังจิตยกขึ้นกระทู้ไ้ด้เรื่อย ๆ ค่ะ ให้รักษาอารมณ์สบายไว้จนกว่าจิตจะมั่นคงค่ะ หากเกิดกระทบให้วิปัสสนาแยกกายแยกจิตให้ชัดเจน อย่าเอาเรื่องกายไปมั่วกับจิต อย่าเอาเรื่องจิตไปมั่วกับกาย มันคนละส่วนกัน ทำจิตให้นิ่งอย่างเดียวค่ะ เดี๋ยวท่านพ่อสื่อสอนธรรมะให้เอง มีไรสงสัยพูดคุยสอบถามกันได้บนกระทู้หรือจะเมล/pm ก็ตามแต่สะดวกค่ะ

    อ้อ รู้แล้ว ท่านพ่อจะให้ครูเพ็ญแนะนำท่านเรื่องทรงอารมณ์หลังจิตยกกับแยกกายแยกจิตนี่เอง

    ถ้าอย่างไรท่านอภิชัยสามารถสอบถามพูดคุยกับครูวิทย์หรือพี่ภูไ้ด้ค่ะ ส่วนครูเพ็ญตาปรือแว้ว

    พี่ภู พี่ลูกพลัง ท่านพี่ทั้งสองกำลังจะมีคู่หูบ่นธรรมะเพิ่มอีกคนเลี้ยว กึ๋ย หนูพี่เพ็ญหนาวยะเยือก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขออนุโมทนา สาธุๆ ล่วงหน้าด้วย
    คุณแนท&คุณวิทย์ จะพูดเรื่อง เอากิเลสออกจากจิต
    แต่คุณติงลี่ ณ ภูเก็ต จะมาพูดเรื่อง การนำเอาสารพิษออกจากร่างกาย
    เรียกได้ว่างานนี้คุ้มเลย ทุกท่านที่ไปร่วมฟังการบรรยาย จะได้ชำระล้างทั้งจิและร่างกายเสียเดียวเลย ฮ่าๆ
    สุดคุ้ม ฟรี! ทั้งงาน ยกเว้นคุณแนท ห้ามฟรี!
    แต่ถ้าคุณแนทฟรีอีกท่านนึงนะ พวกเราตัวใครก็ตัวมัน จิตใครจิตมันดูแลกันเองนะ ฮ่าๆ

    เอ๊า! ส่วนใครจะไปรีบๆจองที่นั่งไวๆ ถ้าใครไปทีหลังไม่ได้จองนะ
    เดี๋ยวพี่ภูจะสั่งข้างกล่องไว้รอ ฮ่าๆ เพื่ออาหารจำกัด
    ผมล้อคุณเล่นน่ะ
     
  7. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ของผมมีคุณวันดี+คุณป๋อมแป๋มและอีกสองคนนะครับ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อ๋อพี่ภูเข้าใจแล้ว ชื่อนี้มันไหลมา มันเป็นของเหลวชนิดนึงแน่ๆ OK ผ่านๆ
    เธอเป็นผู้หญิงอย่าไปยิ้มเก่งสิ! เดี๋ยวใบหน้าเธอจะเป็นรอย ฮ่าๆ
    เธอนี่ อย่าพาพี่ภูออกทะเลไปป่าว เอาๆ เดี๋ยวพี่ภูจัดให้ รอแป๊บนึง
     
  9. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ดีครับพี่เพ็ญ ผมเคยคุยกับน้องหว้า เรื่องอยากให้มีใครเขียนเรื่องการปฏิบัติตนหลังจิตยก ว่าอะไรเป้นเรื่องของกายอะไรเป้นเรื่องของจิต เพราะจิตบุญบางคนยังงงอยู่เลยครับ ตัวผมเองตอนแรกก็เอาตัวเองไปเทียบกับการปฏิบัติของพระไปโน้นเลยครับ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ๊าน้องหนูมาดีๆ มารับไป งานนี้พี่ภูจัดให้กับเธอโดยเฉพาะเลย ไม่รักกันจริงนี่ ไม่มานั่งพร่ำแน่ๆ ไปนอนดีกว่า..

    ทำไมต้องจิตเกาะพระ?​

    เธออยากพ้นทุกข์ หรือหายโง่เขลา เบาปัญญามั๊ยหล่ะ แต่ถ้าอยากหายโง่เขลา ก็ให้เธอนำจิตมาเกาะพระซะดีๆ
    หรือว่าเธอจะมาเกาะพี่ภู เห่อๆ สจ.สว. เดี๋ยวพี่ภูไปถามเจ้าของก่อน เพราะร่างกายของพี่ภูนั้น เป็นสมบัติของโลก ไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไหร่ ส่วนหัวใจตอนนี้ไม่มีแล้ว เธออย่าไปเข้าใจผิดนะ พี่ภูหมายถึงความรักไม่มีให้กับเธอแล้ว แเพราะพี่ได้เปลี่ยนความรักมาเป็นความเมตตาไปหมดแล้วตอนนี้ เพราะพี่ภูนั้น มีแต่ให้ "พี่คนนี้ นั้นมีแต่ให้ เจ้าใช่ไหม ไม่เคยให้พี่ อยากได้อะไรหาให้ทันที ให้เจ้ามากขนาดนี้ ไม่ดีอีกหรือแม่คุณ...." เห่อๆ ร้องเพลงให้ฟังซะงั้น

    สรุปว่า...จิตเกาะพระพุทธเจ้า หรือพระอริยเจ้าดีกว่า เพราะดวงจิตของพระพุทธเจ้า หรือพระอริยเจ้านั้น อยู่ที่พระนิพพาน
    ส่วนใครจะนำจิตไปเกาะอะไรก็ตามแต่ใจ เกาะของสูงก็ได้ของสูง แต่ถ้าจิตไปเกาะของต่ำๆก็จะได้แต่ของต่ำๆ ไม่ต่ำธรรมดาด้วยนะ แต่จะเป็นต่ำทราม ที่ไปหรือที่หมายปลายทางก็ผิดกันริบลิ่ว

    จิตเกาะพระช่วยให้เราใจเย็นได้ป่าวคะ?​

    ้้้นี่แสดงว่า เธอไม่รู้อะไรเสียแล้ว ทำไมเธอถึงใจร้อน นี่ไง๊ โดนพี่ภูถามกลับไปมั่ง พี่ภูตอบให้เธอก็ได้ เพราะว่าเธอ ไม่ใส่ใจ หรือไม่สนใจดูจิตตนเอง นี่คือสาเหตุหลักๆ ส่วนสาเหตุรองลงมาก็คือ เหตุที่ใจคนที่ร้อนรน ก็เพราะว่า ตามปรกติจิต หรือธรรมชาติแห่งมนุษย์นั้น ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข เพราะด้วยความอยากรู้ เพราะความซนของจิตนี้แล
    บอกไปแล้วว่า จิตมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนที่ดีนั้น เป็นจิตที่ไม่นิ่งเอาเสียเลย อย่างจิตเธอเป็นต้น ฮ่าๆ เธอนึกว่ารอดอ่ะดิ่ ไม่รอด โดนเต็มๆ สม!

    บอกไปแล้วว่า จิตมนุษย์นั้น บางครั้งก็เหมือนเด็ก เหมือนลิง เหมือนปูจ๋า

    เมื่อจิตไม่นำไปเกาะพระ แล้วจิตจะไปเกาะอะไรหล่ะ ถ้าไม่ใช่กิเลส ถึงจิตไม่ไปเกาะกิเลส แต่ถ้าตราบใดที่จิตยังไม่นิ่ง ไม่เสถียร กิเลสนั้นก็จะมาเกาะจิตแทน เห่อๆ คราวนี้ใจคนจะร้อนทันทีเลย เพราะว่ากิเลสเป็นของร้อน
    ได้แก่ ความโกรธ เป็นต้น ร้อนไหมหล่ะความโกรธน่ะ ดูระบบการหายใจก็รู้ เวลาคนโกรธกัน ความโกรธเปรียบได้ดั่งไฟนรกในใจ เพราะเวลาโกรธมาเยือนใคร ธาตุไฟจะทำหน้าที่ทันที แต่ถ้าจิตนิ่งมาก จิตก็จะรู้เท่าันกิเลส ความโกรธก็ยังคงมีอยู่เหมือน อยู่ที่กายนั่นเอง แต่ความโกรธ หรือความร้อนหรือว่าไฟนั้น ก็เปรียบดั่งภูเขาไฟฟูจิ คือรอบนอกเย็น แต่ภายในพร้อมที่ระเบิด ถ้ามีตัวจุดไฟทำงาน นั่นก็คือ จิต

    แต่ถ้าเธอนำจิตไปเกาะพระ นั่นแหล่ะ เธอกำลังเขาเรียนหลักสูตร พระกรรมฐานทันที
    หรือการเริ่มต้นของจิตตภาวนา หรือเจริญสติภาวนา ก็เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนาว
    เมื่อที่ขณะนำจิตไปเกาะพระ นั่นแหล่ะ พวกเรากำลังเริ่มต้นการสร้างสติแล้ว
    เมื่อผู้ปฎิบัติมีสติมาก และมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปอีก และอย่างต่อเนื่อง จิตของผู้ปฎิบัติก็จะนิ่ง
    และจิตเป็นสมาธิไว หรือจิตทรงฌานไปตามลำดับจิตนิ่งนั้นๆ หรือที่เราเรียกกันว่า ฌานลำดับ
    คือ จิตจะทรงฌาน๑ ฌาน๒ ฌาน๓ ฌาน๔ เป็นต้น
    เมื่อเราสามารถทำให้จิตของเรานิ่งได้ หรือนิ่งมากๆ จากจิตที่นิ่งเฉยๆ ธรรมดาๆ และนิ่งอย่างต่อเนื่อง
    เราเรียกว่า ฌาน หรือสมาธิล้วนๆ เมื่อจิตนิ่งมาก จิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌานกันได้นี้
    จิตก็จะเกิดปัญญา ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาทางโลกนะเธอจ๋า มิใช่ปัญญาที่ได้มาจากโรงเรียน มหา'ลัย
    เมื่อจิตของเรามีปัญญา และปัญญาตัวนี้ แปลว่า ตัวรู้หรือตัวรู้รู้ เพิ่มมากับจิตเราแล้ว เราก็เลิกกันได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อจิตเราไม่นิ่งอีก เราก็กลับมาโง่ดังเดิม แต่ถ้าไม่อยากกลับมาโง่ดังเดิม
    พวกเราก็ต้องรู้จักทำอาสวะให้สิ้น หรือนำปัญญาที่ได้จากจิตนิ่งหรือสมาธิหรือฌานนี้ ที่เราเรียกกกันว่า
    สมถสมาธิ ซึ่งสมถสมาธินี้เป็นบาทฐานสำคัญในการเจริญสติภาวนาให้สูงขึ้นไปอีกขั้นนึง ก็คือ การวิปัสสนา
    ถือเป็นกรรมฐานขั้นสูงขึ้นไปอีกขั้นนึง นำสม๔สมาธิที่ได้นี้ นำปัญญาพิจารณาธรรม
    ลืมบอกไปว่า สำหรับคนที่จิตไม่นิ่ง หรือจิตไม่ได้เป็นสมาธิหรือฌานนั้น เราจะไปพิจารณาธรรมเองไม่ได้ นอกจากผู้ที่จิตกำลังทรงฌานอยู่นั้น ที่เราเรียกกันว่า วิปัสสนา เพราะเมื่อจิตสามารถเข้าสู่ความนิ่งได้แล้ว
    จิตที่ในขณะทรงฌานอยู่นั้น จิตจะมีตัวรู้รู้ รู้ลูกเดียว รู้ผิดรู้ถูกได้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจคราวนี้เอง
    แต่ถ้าเราไปพิจารณาธรรมในขณะที่จิตเราไม่นิ่งนั้น เราเรียกกันว่า วิปัสสนา
    อันนี้พอจะเข้าใจ และแยกแยะกันได้แล้วนะว่า อารมณ์ใดคือ วิปัสสนา หรือ วิปัสสนึก

    ปล. วิปัสสนึก ก็แปลว่า ตรูคิดเอาเอง ไม่เกี่ยวกับใคร แต่ไม่ถูกต้องนัก นำมารู้จริง รู้แจ้งไม่ได้ เพราะกิเลสยังปะปนจิตอยู่มาก ความคิดแบบนั้นจัดเป็น มิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด)ได้ เมื่อคนเรามีความเห็นผิด ต่อไปไม่ว่าทั้งพูดและการกระทำ หรือแสดงออก ก็มักผิด ขวางหู ขวางตากับคนอื่นๆเขา แต่พอเป็นความเห็นของพระอรหันต์ ทำไมทุกท่าน นั่งฟังกันเงียบกริบ พี่ภูไม่ต้องอธิบายต่อแร๊ะ ทุกคนฉลาดเห็นมั๊ย

    ส่วนวิปัสสนา ขี้เกลียดอธิบายแร๊ะ แต่ถ้าเธอยังไม่รู้ ก็ถามมาใหม่ เดี๋ยวพี่ภูหมดมุก
    วันที่ ๑๗ พ.ย. เธอไม่ไปฟังการบรรยายกับเขาหรอ
    คนเรานี่แปลก แต่จริง พอบรรยายเรื่อง ผีๆ ภัยพิบัติ ไปกันเพี๊ยบเลยนะ แต่พอบรรยายเรื่อง ก็ไปกันเพี๊ยบ
    แต่ไปกันที่อื่นนะ ฮ่าๆ เรื่องจริงๆไม่เอากัน เหมือนหลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า ของจริงๆไม่เอากัน เอาแต่เปลือก
    แก่นไม่เอา ทุกท่านที่ไปหาท่าน บ้างก็เอายันต์ เอาพระเครื่อง เอาน้ำมนต์ อันนี้มันปลายแถว อันนั้นมัแค่เปลือก
    ท่านว่ามาอย่างนั้นนะ แต่แก่นไม่เอา แก่นนี่ หมายถึง การปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนน่ะ
    พี่ภูบอกแล้ว อย่าไปพูดกับคนจิตยังหยาบอยู่ คนจิตหยาบนี่ไม่ใช่ไปหมายถึงความว่า เป็นคนชั่วนะ แต่พี่ภูจะหมายถึง คนที่กำลังเตรียมตัวทำชั่ว แต่เหตุที่จะเตรียมตัวทำชั่วนั้น ก็เพราะว่า ความหลง หรือจิตไม่นิ่ง จิตที่กำลังตกเป็นเหยื่อแห่งกองกิเลสนั่นไง สำหรับผู้ที่กำลังหาทางออกจากทุกข์กันตรงนี้นี่ไง ยังไงๆก็หาประตูออกไม่เจอ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระธรรมมาให้กับมวลมนุษย์ ๒๕๐๐ ปีกว่าแล้ว แต่พวกเราก็ยังควำหาประออกจากกิเลสกันไม่ได้

    งั้นพี่ภูขอเฉลยกันตรงๆ กันตรงนี้กันเลยก็ได้
    ทางออกจากทุกข์มีทางเดียวในขณะนี้ ก็คือ พระกรรมฐาน จะเป็นกองไหนก็ได้ ตามแต่จริแห่งตน
    โดยนำจิตมาเดินสายกลาง หรือมรรคมีองค์๘ หรือเรียกสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
    มีทางเดียวที่พวกเธอจะออกจากทุกข์ หรือจากสงสารวัฎ กันได้ตรงนี้
    หนทางแห่งความสุขแบบถาวร หรือ จุดหมายปลายของผู้เจริญได้แก่ มรรคผล โดยเฉพาะปลายทางสูงสุด
    หรือวัตถุประสงค์สูงสุดของการปฎิบัติ ในพระพุทธศาสนา ก็คือ ความหลุดพ้น
    ความหลุดพ้นนั้น มีนัยยะอยู่สองความหมาย ก็คือ หลุดพ้นจากกองทุกข์ หรือ หลุดพ้นสงสารวัฎ
    หรือ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือ พระนิพพาน
    ความสงบ นอกจิตนั้น ไม่มี
    มีแต่ความสงบ ภายในจิตของตน​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2012
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ..............................................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สำหรับวิธีของผมนะ
    ผมก็โง่เหมือนกัน แต่ผมคิดเอาเองตลอด ก็คือ...
    ผมจะเปิดเวปพลังจิต ที่กระทู้ของเรานะไว้สองวินโดเลย
    (เปิดหน้าที่เราต้องการจะตอบไปให้ใครน่ะ แล้วก๊อปปี้ แล้วไปลงอีกที่นึง ที่ที่เราจะตอบให้ใครน่ะ)
    พูดใหม่...
    แต่ถ้าคุณหมอจะเลือกตอบใคร ใช่ไหม๊ ก็ให้ก๊อปปี้ไปวางอีกทีนึง
    ที่ต้องการ ก็จะกลายเป็นการตอบสองคนได้ แต่ต่างหน้ากระทู้กัน

    คนอธิบายพูดไม่ถูกเล แต่ผมทำเป็น อิอิ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นี่ขนาดกายป่วยยน่ะเนี๊ย!
    ยังแต่งกลอนได้ น่านับถือๆ สาธุๆ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถ้ารักเก่าที่บ้านเกิด
    เอ๊ย แต่ถ้าบ้านรากแก่นเกิดก่อนนะ
    ผมจะให้ผจก.คุณวิทย์ รับเด็กๆ(ชาย/หญิง/กระเทย/ดี้) เอาแบบหน้าตาใสๆ ปิ๊งๆ แล้วจัดคอร์สอบรม
    เพื่อจะมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับจิตเกาะพระ
    เผื่อใครเรียกใช้บริการทางโทรศัพท์ ผจก.วิทย์จะส่งเด็กเหล่านี้ บริการถึงที่เลย

    เรียกว่า จิตเกาะพระเดลิเวอรี่
    จิตเกาะพระส่งถึงบ้านกันเลย ฮ่าๆ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น่าน..นึกแล้วเชียว มีชื่อพ่วงกับเขาไปด้วย
    หวยมาออกที่พี่ภูจนได้
    พี่ม่ะรุ๊เรื่อง เรื่องซอย เรื่องถนนอะไรน่ะ พี่ภูเป็นเด็กตจว.และตปท.อิอิ
    ส่วนสยามพารากอนนั้น เคยไปนะ แต่ไปทานข้าวเฉยๆ เมื่อทานเสร็จก็เลยลงแวะไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ที่อยู่วงล้อมไปด้วยความเจริญทั้งหลายนั้น

    จากผู้เคยเดินซอย เอ๊ย หลงทางมายาวนาน..มาหลายภพชาติ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แหม๊ พี่ภูเฉลยให้ก็ได้...
    มีร้านสมบูรณ์โภชนา ร้านเก่าแก่และโด่งดังไม่แพ้ใคร บนถนนบรรทัดทอง ปัจจุบันมีหลายสาขา เมนูเด่นประจำร้านก็จะเป็นอาหารจำพวกซีฟู้ด… ฮ่าๆ
    และหวังว่า จะเป็นคำตอบสุดท้าย นะครับ
    (ตอบอย่างนี้จะโดนมั๊ยหน๋อ...พี่ภูไม่รู้จริงๆนะขอรับ ได้โปรดอย่ามาเค้น เดี๋ยวผมบอกนะ อิอิ)
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เห่อๆ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว พวกเจ้า อย่าหนีหาย หรืออย่าเบนหางหนีกันนะ
    เดี๋ยวพวกเรา ชาวจิตบุญญญ ทั้งหลายเอ๋ย...
    เดี๋ยวเจ้าก็มีที่โม้ เอ๊ย สนทนาธรรมโต้รุ่ง...
    โม้หรือไม่ได้โม้ โดยครูเพ็ญ
    อย่าให้พี่ภูพร่ำนะ เพราะจะเทศน์ไม่เหมือนใครหรือไม่มีใครเหมือน เพราะว่าถ้าผู้ใดปล่อยให้ผมโม้ละก้อ ครูเพ็ญท่านก็คงจะได้นั่ง อ้าปากหวอ ตาค้างเป็นแน่ เอิ๊กๆ เพราะเทศน์ไปไม่รู้จะมีผู้อื่น อยากจะเทศน์มั่งอิดิ่
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ่อ น้องใครหว๋า หัวแหลมเหมือนกับพี่สาวเลย เอ๊ย ปัญญาแหลม

    ธรรมะคือธรรมชาติ
    ธรรมชาติคือพี่ภู ธรรมชาติคือพี่เพ็ญ
    แต่เหตุไฉน! พี่เพ็ญจึงไม่ค่อยจะเข้าใจพี่ภู
    เห็นมีแต่พี่ภูเข้าใจพี่เพ็ญ...

    พอดีก่า เดี๋ยวจะมีมือที่สาม สี่ ห้า.. เดี๋ยวจะยุ่ง

    ว่าแต่ว่า..ครูฝ่ายปกครองหายไปไหนเย๊วววว ลาป่วยบ่อยนะเธอนี่
    เดี๋ยวให้ใครเป็นแทนดีหว๋า...(แมวมองๆ พบจิตใครดุๆ บอกกันมั่งเด้อ)
     
  19. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    กราบอนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๑๐๑ และครูผู้สอนทุกท่านค่ะ สาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=u02SgnmPNhw&feature=watch-vrec]เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม - วรรธนา - YouTube[/ame]​
    บางวันหนักบ้าง บางวันก็เบาบ้าง
    บางวันดีใจ บางวันก็เสียใจ
    บางวันสุขสุดๆ บางวันก็ทุกข์สุดๆ​

    เห่อ และคุณๆทุกๆท่านหล่ะ คิดว่าทุกคนก็คงเคยรู้สึกมาแบบนี้ทุกคนมาแล้ว
    เป็นเพราะอะไรใครพอจะตอบได้บ้าง
    ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ต่างก็ล้วนธรรมะแทบทั้งสิ้น
    ธรรมะก็แปลว่า สัจจะ หรือความจริงมันเป็นเช่นนี้เอง
    แต่ถ้าพวกเราฝึกจิตกันมาดี เมื่อจิตนิ่ง ย่อมมองเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมะ
    เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา นี่เอง

    สำหรับจิตผู้คนที่ยังไม่เคยหยุดนิ่ง ย่อมทนทุกข์กับมันไป
    และเป็นตั้งแต่เกิด จนถึงตาย
    โอ้ อนิจจังแท้ๆ โลกนี้ บางคนเห็นธรรมยังหนุ่มยังสาว
    แต่บางคนเผื่อจะรู้ธรรมก็เกือบจะลงโลง
    แต่มีหนักกว่านี้อีก ก็คือ ลงโลงไปแล้ว หรือเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว
    ก็ไม่เคยพบเจอพระธรรม หรือไม่เคยได้พบกับความจริงของตนเองเลย

    แต่ผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระกันนี้ ก็นับว่าโชคดีมากๆแล้ว
    และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม จิตเป็นนิพพาน
    ผู้ที่รอดแล้ว ก็ให้มีเมตตากับผู้อื่นๆให้มาก เหมือนดั่งท่านพ่อนั้น
    พระองค์ท่านมีพระเมตตาสูงยิ่ง ขนาดเสด็จดับขันธปรินิพพานไปตั้งนานแล้ว
    พระองค์ท่านก็ยังเป็นห่วง และเฝ้าตามเก็บดวงจิตลูกหลานของพระองค์ กลับขึ้นสู่พระนิพพาน

    เหตุไฉนจิตบุญคือ ผู้เจริญ จึงอยากจะทิ้งกาย หนีตายกลับไปพระนิพพานเพียงแค่ตนเอง เท่านั้น
    หรือพวกท่านอยากจะเป็นจิตอรหันต์เห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ?
    แต่ถ้าจิตบุญได้ไปพระนิพพานกันจริงๆ แล้วจะกล้าพบท่านพ่อ?

    พี่ภูพูดให้พวกท่านคิดกัน
    เพราะถ้าจิตบุญคือ พุทธบุตรที่แท้จริงนั้น ท่านจะต้องคิดกันได้ ว่าจะต้องสนองคุณ
    หรือตอบแทนท่านพ่ออย่างไรดี
    ที่ทุกวันนี้มีจิตเกาะพระก็เพื่อใคร ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของท่าน...
    พอแร๊ะ...ปิติน้ำตานอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...